คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง 48 เปิดประตูต้อนรับความมงคล

Now you are reading คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง Chapter 48 เปิดประตูต้อนรับความมงคล at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 48 เปิดประตูต้อนรับความมงคล

วันที่หก เดือนสาม

ประกาศเปิดตลาด เข้าจวน อธิษฐานขอทรัพย์…

เมื่อแสงแรกของท้องฟ้าสาดผ่านหมู่เมฆ เมืองหลวงที่เงียบงันทั้งคืนก็ตื่นขึ้นมา

แอ๊ด…

ร้านขายผักดองซูจี้ในตลาดทางตะวันออกนำแผงประตูลง ตั้งขวดผักดองไว้ที่หน้าประตู เริ่มการค้าขายของวันนั้น

หลังจากเช้าที่แสนวุ่นวาย ในที่สุดก็ได้ยินเสียงสะใภ้เรียกกินข้าวเช้า

เติมน้ำลงไปในเศษข้าวที่เหลือจากเมื่อคืนทำเป็นข้าวต้ม

กินคู่กับผักดองของตนเอง ถือเป็นอาหารเช้าหนึ่งมื้อ

หลังอาหารเช้า เถ้าแก่ซูเช็ดปาก ไปเฝ้าที่แผงค้าขายต่อ

เขามองออกไปนอกประตู ก่อนจะพบสิ่งที่แตกต่างออกไปเล็กน้อยในวันนี้

ที่แท้ร้านค้าเล็กฝั่งตรงข้ามที่เคยขายแป้งทอดนั้นเปลี่ยนเป็นร้านใหม่ ร้านนั้นตั้งหม้อขนาดใหญ่ไว้ที่ประตู กำลังก่อไฟลุกโชน!

ร้านมีขนาดเล็ก ภายในร้านจัดวางเพียงแค่สามโต๊ะ

แต่บริเวณประตูร้านมีการจัดวางโต๊ะไว้สี่โต๊ะ

รวมทั้งสิ้นเป็นเจ็ดโต๊ะ หากนั่งเต็ม คงจะมียี่สิบสามสิบคน

เถ้าแก่ซูรู้สึกสงสัย เขาจึงเดินไปที่ร้านใหม่ฝั่งตรงข้ามด้วยท่าทีสบาย

“น้องชาย มาใหม่หรือ ขายอันใด ดูเหมือนจะขายอาหาร?”

“เถ้าแก่ซูสามารถ พวกเราขายอาหารตามที่ท่านว่า น้ำแกงเครื่องใน เปิดอย่างเป็นทางการตอนเที่ยงวันนี้ สามารถลองชิมได้ไม่เสียเงิน เมื่อถึงเวลาเถ้าแก่ซูต้องให้เกียรติมาชิม”

เถ้าแก่ซูยังสงสัยว่าอีกฝ่ายรู้จักเขาได้อย่างไร จากนั้นจึงถูกดึงดูดด้วยการลองชิมแบบไม่เสียเงิน

“น้ำแกงเครื่องใน? ลองชิมได้? น้องชายไม่ใช่เจ้าของใช่หรือไม่!”

เจ้าของจะสิ้นเปลืองแบบนี้ได้อย่างไร

หัวหน้าร้านร้านน้ำแกงเครื่องใน ‘หนานเป่ย’ ร้านแรกมีนามว่า ‘จี้ผิง’ เดิมทีเป็นคนทำสวนในแปลงนาแห่งหนึ่งของเซียวฮูหยิน แต่ถูกเยียนอวิ๋นเกอพบตัวจึงได้รับการอบรมเป็นระยะเวลาสามเดือนนับแต่เดินทางมาเมืองหลวง รับหน้าที่อย่างเป็นทางการในวันนี้

ร้านเบอร์หนึ่งมีเด็กในร้านทั้งหมดห้าคน รวมหัวหน้าร้านจี้ผิง โดยเป็นชายสาม หญิงสอง

สตรีรับผิดชอบการล้างจานพูดกลั้วหัวเราะ “ข้าทำงานแทนเจ้าของร้าน หากท่านให้เกียรติ เรียกข้าว่าจี้จั่งกุ้ยก็ย่อมได้”

“จี้จั่งกุ้ยมีความสามารถ เป็นจั่งกุ้ยตั้งแต่อายุยังน้อย ย่อมมีความสามารถมาก”

“เถาแก่ซูเกรงใจ!”

ร้านจี้ผิงต้อนรับอย่างยิ้มแย้มเสมอ ไม่เพียงแต่เถ้าแก่ซู เพื่อนบ้านรอบด้านเขาล้วนไม่ละเลย พูดได้เลยว่ามีความละเอียดรอบคอบ มีความชำนาญ

อายุของเขาไม่มาก ยี่สิบกว่า มิน่าเถ้าแก่ซูได้ยินว่าเขาเป็นจี้จั่งกุ้ยจึงมีสีหน้าประหลาดใจ

ภายใต้สถานการณ์ปกติ จี้จั่งกุ้ยของร้านค้าอย่างน้อยมีอายุสี่สิบห้าสิบ สุขุม พึ่งพาได้

จี้จั่งกุ้ยที่อายุน้อยอย่างจี้ผิงนี้ พบเห็นได้น้อย พบเห็นได้น้อยอย่างมาก

ร้านจี้ผิงที่ผ่านการอบรมมาสามเดือน ไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อยเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความสงสัยของผู้คน

เขามีจวนองค์หญิงหนุนหลัง เถ้าแก่คือคุณหนูสี่ตระกูลเยียน เขาจะตื่นตระหนกอันใด

ถึงแม้จะประสบกับนักเลงท้องถิ่น คนโหดเหี้ยมที่หาเรื่องแย่งการค้า เขาก็ไม่ตื่นตระหนก

เพราะเหตุใดหรือ

เพราะองครักษ์ของจวนองค์หญิงไม่ใช่เครื่องประดับ

เถ้าแก่มีเตรียมการไว้ก่อนแล้ว องครักษ์ของจวนองค์หญิงจะวนเวียนมาทุกชั่วยาม รับรองไม่มีผู้ใดกล้าสร้างปัญหา

ต้มน้ำแกงกลางถนนทำให้กลิ่นหอมพัดโชยไปทั่ว

แม้จะห่างไกลตรอกหนึ่ง เถ้าแก่ซูที่นั่งอยู่ด้านหลังตู้ที่ได้กลิ่นก็หิวกระหายอย่างมาก

น้ำแกงเครื่องในจะหอมได้เพียงนี้เชียวหรือ

น้ำแกงเครื่องใน เมื่อฟังจากชื่อ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความหรูหราแม้แต่น้อย

น้ำแกงเครื่องใน หากว่ากันตามตรงก็เป็นเพียงอาหารริมทาง

เพียงแต่ เหตุใดจึงหอมได้เพียงนี้

กลิ่นหอมพัดโชยมาเตะจมูก ทำให้ความอยากอาหารของเขาถูกดึงขึ้นมา

เมื่อถึงกลางวัน ท้องของเขาร้องเสียงดัง

เถ้าแก่ซูยืดคอยาว มองไปยังตรอกตรงข้าม

เถ้าแก่เนี้ยพูดขึ้น “หอมเสียจริง ข้าถามแล้ว ชามหนึ่งสองสลึง ไม่แพง”

ความหายคือวันนี้กลางวันกินน้ำแกงเครื่องในดีกว่า กินเนื้อเสียย้าว

เถ้าแก่ซูขมวดคิ้ว สองสลึงไม่ใช่เงินหรือ หญิงสุรุ่ยสุร่าย!

เพียงแต่กลิ่นหอมนี้ ทำให้คนหวั่นไหว

“เอ๊ะ ข้าให้ท่านลองชิมได้ ลองชิมรสชาติก่อน หากไม่อร่อย ก็ไม่ต้องซื้อ” เถ้าแก่คนนี้นพูดขึ้นอีกครั้ง

ดวงตาของเถ้าแก่ซูเป็นประกาย เขาตบหน้าผาก เกือบลืมไปว่าสามารถลองชิมได้

ไปๆ ลองชิมของใหม่

“เถ้าแก่ซูมาแล้วหรือ!” สตรีร้านจี้ผิงยิ้มทักทาย

“วันนี้เปิดร้าน สามารถลองชิมได้ เถ้าแก่ซูลองเสียหน่อยหรือไม่”

“เอามาลองเสียหน่อย” เถ้าแก่ซูทำหน้าจริงจัง ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับเรื่องสำคัญ

ลองชิมเพียงแค่คำเดียว

ไส้ที่ล้างอย่างสะอาด ถูกหั่นเป็นชิ้นขนาดเล็ก หลังจากผ่านการต้มหลายชั่วยาม เมื่อกลืนลงท้อง รสชาตินั้น ดีเยี่ยม!

ยังไม่สาแก่ใจ!

เถ้าแก่ซูถาม “จี้จั่งกุ้ย ลองชิมอีกรอบได้หรือไม่”

สตรีร้านจี้ผิงพูด “เถ้าแก่ซูพูดตลกแล้ว ท่านเป็นคนเก่าแก่ในตรอกนี้ จะไม่มีเงินสองสลึงให้น้ำแกงเครื่องในได้อย่างไร ใช่หรือไม่ อีกทั้งมันเป็นกฎของเถ้าแก่พวกเรา หนึ่งคนลองชิมได้หนึ่งคำ มากกว่านั้นไม่มีแล้ว ขอเถ้าแก่ซูให้อภัยด้วย”

เวลานี้ เถ้าแก่สวีจากร้านเครื่องลายครามด้านข้างตระโกนบอกจี้ผิง

“จี้จั่งกุ้ย น้ำแกงเครื่องในสองชาม”

“ได้เลย!” จี้จั่งกุ้ยตอบรับ

เปิดกิจการแล้ว!

ในที่สุดก็เปิดกิจการแล้ว!

เถ้าแก่สวีจากร้านเครื่องลายครามด้านข้าวมองเถ้าแก่ซูอย่างมีนัย ราวกับกำลังเยาะเย้ยเถ้าแก่ซู

“เจ้าคนงก น้ำแกงเครื่องในชามละสองสลึงยังเสียไม่ได้”

เถ้าแก่ซูเลือดขึ้นสมอง เพียงแค่สองสลึงเท่านั้น

“จี้จั่งกุ้ย ข้าเอาสองชามด้วย ส่งไปที่ร้านให้ข้า”

“ได้เลย! ท่านรอประเดี๋ยว จะรีบส่งไปให้ท่าน”

เมื่อมีลูกค้าคนที่หนึ่ง ย่อมมีลูกค้าคนที่สอง

ตามการซื้อน้ำแกงเครื่องในสองชามของเถ้าแก่ซู การค้าขายต่อจากนั้นก็หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

เพื่อนบ้างข้างเคียง แขกที่ผ่านไปมา พ่อค้าทหารยาม คนที่ใช้กำลังแรงกาย…

กลิ่นของน้ำแกงเครื่องในเผ็ดร้อยช่างเย้ายวน ได้กลิ่นจากมาแต่ไกล

เมื่อถาม เพียงแค่ชามละสองสลึง อีกทั้งยังมีน้ำร้อนให้ดื่มได้ตามสบายคิดเงินเพิ่ม

ในไม่ช้าโต๊ะเจ็ดตัวก็นั่งเต็มไปด้วยผู้คน

แขกกลุ่มหนึ่งไปแล้วแขกอีกกลุ่มหนึ่งมา ไปอีกกลุ่มยังมีอีกกลุ่ม

แม่ครัวสองคนล้างชามไม่ทัน

“เผ็ดมาก เผ็ดมาก…”

“อร่อย!”

“ยิ่งกินยิ่งเผ็ด ยิ่งเผ็ดยิ่งอยากกิน!”

“เผ็ดร้อนเพียงนี้ แต่กลับเย้ายวนเพียงนี้ ประหลาด…”

คนส่วนใหญ่ล้วนได้ลิ้มรสอาหารที่เผ็ดร้อนเช่นนี้เป็นครั้งแรก แต่คนส่วนใหญ่ต่างยอมรับได้ที แต่ละคนกินจนเหงื่อเต็มหน้า

เพราะเหตุใดหรือ

เพราะมีเนื้อ!

สองสลึงสามารถกินเนื้อได้ ถึงแม้เนื้อมีน้อยมี มากเพียงสิบแผ่นบาง แต่มันก็คือเนื้อ!

มีเนื้อก็มีน้ำมัน

ท้องที่กินอาหารรสจืดมาหลายเดือนได้รับความพึงพอใจเล็กน้อย

โดยเฉพาะคนที่ใช้แรงกาย น้ำแกงเครื่องในร้อนๆ ชามหนึ่ง พวกเขากินอย่างเอร็ดอร่อย

มีคนใช้กำลังที่ยอมเสียเงิน สั่งสามชามในทีเดียว

เมื่อทำงานตอนบ่าย พวกเขาวิ่งมากกว่าคนอื่นสองรอบ

ร้านน้ำแกงเนื้อสีบ ‘หนานเป่ย’ เปิดอีกสิบร้านในวันที่หก เดือนสาม

ร้านทั้งสิบต่างได้รับความชื่นชอบอย่างมาก

เชื่อว่าใช้เวลาไม่นาน ชื่อเสียงของร้านน้ำแกงเครื่องในหนานเป่ยย่อมสามารถแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง

พลบค่ำ เก็บร้าน

จวนแห่งหนึ่งในพื้นที่ตรอกจินหยิน

จั่งกุ้ยทั้งสิบร้านกำลังส่งมอบบัญชี

สาวรับใช้ อาเย่ว์ถือลูกคิด กำลังคิดบัญชีเสียงดัง ทั้งเร็วทั้งแม่นยำ

เยียนอวิ๋นเกอสวมชุดขี่ม้ายิงธนู ถือสมุดบัญชีพลิกดูอย่างไม่ใส่ใจ

รายการบัญชีในหนึ่งวันมีจำกัดมาก

อาเย่ว์ คำนวณเสร็จอย่างรวดเร็ว มีผลลัพธ์ออกมา

เปิดร้านวันแรก เยียนอวิ๋นเกอได้รับความประหลาดใจหนึ่ง

ร้านค้าทั้งสิบ วันหนึ่งขายได้สามสิบกว่าก้วน ได้กำไรสิบแปดก้วน

ไม่เลว! ดีกว่าที่นางคาดการณ์เอาไว้

ในการคาดการณ์ของนาง ร้านทั้งสิบรวมกัน สามารถขายได้ยี่สิบห้าก้วนถือว่าบรรลุเป้าหมาย

เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะขึ้นมา

ไม่เลว…ไม่เลว!

วันนี้สมกับเป็นวันเปิดร้านที่ดี

แต่ว่าวันนี้เป็นวันแรก ทุกคนได้ลิ้มลองของใหม่แล้ว วันหลังย่อมขายไม่ได้ดีเท่านี้

เยียนอวิ๋นเกอเตือนจั่งกุ้ยใหญ่ เยียนมู่ รอระยะสดใหม่จากการเปิดร้านผ่านไป ต่อจากนี้การเตรียมของลดลงหนึ่งถึงสองส่วน รับรองว่าน้ำแกงเครื่องในในแต่ละวันสามารถขายจดหมด ไม่มีของเหลือ

นางยังคงไม่วางใจ จรดปากกาเขียนลง “เครื่องในต้องสดใหม่ อย่าได้ใช้ของไม่ดีมาแทน อย่าได้ซื้อเครื่องในของหมูแพะที่ป่วย พวกเราไม่เพียงแต่ต้องหาเงิน ยังต้องสร้างชื่อเสียง เมื่อชื่อเสียงดี น้ำแกงเครื่องในหนานเป่ยนี้ต้องโด่งดังให้ได้”

เมื่อเป็นเช่นนี้ แผนการเปิดร้านค้าแบบลูกโซ่จึงสามารถบรรลุความสำเร็จได้

จั่งกุ้ยใหญ่แห่งน้ำแกงเครื่องในหนานเป่ย บ่าวรับใช่ผู้ซื่อสัตย์ของตระกูลเยียน หรือจะพูดให้ถูกต้องคือบ่าวรับใช่ผู้ซื่อสัตย์ของเซียวฮูหยิน

ถูกเยียนอวิ๋นเกอขุดมารับตำแหน่งจั่งกุ้ยใหญ่

เยียนมู่พูดขึ้น “คุณหนูสี่วางใจ ข้าน้อยจะเข้มงวดในการดูแลแหล่งวัตถุดิบ ย่อมไม่มีทางทำให้น้ำแกงเครื่องในหนานเป่ยเสียชื่อเสียง

เช่นนี้ย่อมดี!

แค่เพียงสิบร้านแรกเปิดกิจการอย่างรายรื่น ร้านค้าต่อๆ ไปย่อมสามารถเปิดขึ้นมาได้

นางพยายามจะเปิดให้ได้ห้าสิบร้านในเมืองหลวงภายในเวลาสามเดือน

ต่อจากนั้นจะขยายไปยังตลาดของแคว้นต่างๆ ในนครบาล

ต่อมา เยียนอวิ๋นเกอริเริ่มแผนการการบุกเบิกที่ดิน

การบุกเบิกที่ดินเป็นเรื่องสำคัญ

นางไม่ได้ต้องการทำเล่นๆ

ไม่ทำก็แล้วไป ในเมื่อตัดสินใจจะบุกเบิกที่ดิน ย่อมต้องทำให้จริงจัง

หากต้องการทำอย่างจริงจังย่อมต้องการทรัพย์ก้อนใหญ่ ต้องการกำลังคนจำนวนมาก อีกทั้งยังต้องมีคนของฝ่ายราชการคุ้มครอง…

เพียงแค่เรื่องเงินก็เป็นอุปสรรคต่อเยียนอวิ๋นเกอแล้ว

เพียงแค่เงินจำนวนน้อยของนาง แม้แต่เศษยังไม่พอ

นางต้องขอความช่วยเหลือจากภายนอก

ความช่วยเหลือแรกคือมารดา เซียวฮูหยิน

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *