คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ 146 ตระกูลอิ๋งของพวกเธอกำลังจะพังแล้ว

Now you are reading คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ Chapter 146 ตระกูลอิ๋งของพวกเธอกำลังจะพังแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ถึงแม้นักเรียนมอสี่ก็รู้เรื่องการสอบกลางภาคเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่พวกเขาไม่ได้ร่วมชมการถามตอบในตอนนั้น อีกทั้งยังอยู่คนละอาคารเรียน ย่อมไม่รู้เรื่องอื่น

อย่างมากพวกเขาก็รู้แค่ว่าชั้นมอห้ามีเทพด้านการเรียนมาจุติอีกหนึ่งคนแล้ว หน้าตาก็ดี ทุกวันมีคนต่อแถวไปห้องม.5/19 ยาวไปจนถึงชั้นล่าง

บุคคลโด่งดังของชั้นมอห้าย่อมไม่มีทางสู้อิ๋งลู่เวยที่อุตส่าห์มาสอนดนตรีให้พวกเขาหลายครั้งได้

อิ๋งลู่เวยเวลาอยู่ข้างนอกจะรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองมาก ภาพลักษณ์ที่ใช้โปรโมตก็เป็นผู้หญิงอ่อนหวานใจดี

ดังนั้นทุกปีต่อให้ยุ่งแค่ไหนก็จะต้องมาสอนวิชาดนตรีให้เด็กมอสี่ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ สร้างภาพลักษณ์อ่อนโยนใจดีภายในใจนักเรียนใหม่พวกนี้ก่อน จากนั้นถึงรักษาความถี่โดยการมาสอนให้ทุกเดือน

เนื่องจากมีสาเหตุมาจากอิ๋งจื่อจิน ทำให้อิทธิพลของอิ๋งลู่เวยในระดับชั้นมอห้าลดลงไปมาก

มอหกเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ไม่ได้มีเวลามาฟังวิชาดนตรี

เดิมทีนักเรียนมอห้าก็ชอบอิ๋งลู่เวยมาตลอด แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะคลาสเด็กอัจฉริยะหรือคลาสอื่น ต่างไม่ได้กระตือรือร้นสนใจเธอแบบเมื่อก่อนแล้ว

อิ๋งลู่เวยนึกไม่ถึงว่าอิ๋งจื่อจินจะปรากฏตัวที่นี่ เธออึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็ยิ้ม “เสี่ยวจินต้องอยู่ตึกมอห้าไม่ใช่เหรอ ทำไมมาที่นี่ล่ะ”

อิ๋งจื่อจินไม่สนใจ ไม่แม้แต่จะมอง

“เสี่ยวจิน รอก่อน!” อิ๋งลู่เวยไม่มีทางปล่อยโอกาสดีแบบนี้ รีบเรียกเด็กสาวไว้

สายตามองไปรอบๆ ก็สังเกตเห็นเวินทิงหลาน จึงขมวดคิ้วเล็กน้อย

ดูเหมือนเธอจะเคยเจอเด็กหนุ่มคนนี้ที่ไหนมาก่อน

“ขอแนะนำให้ทุกคนรู้จักนะจ๊ะ นี่คือหลานสาวของครูเอง” อิ๋งลู่เวยหันหน้าไปแนะนำ “ซึ่งก็คือรุ่นพี่มอห้าของพวกเธอ ครูเป็นคนสอนเปียโนให้หลานครูเอง ต่อไปถ้าพวกเธออยากฟังก็ไปหาเสี่ยวจินได้นะ”

นักเรียนมอสี่พวกนั้นพอได้ฟังก็ยังไม่ค่อยได้สติ

“อาจารย์อิ๋งสอนเปียโนเธอเหรอครับ” นักเรียนชายคนเมื่อครู่กลับรู้สึกไม่ยอมยิ่งกว่าเดิม “งั้นผมก็อยากรู้แล้วครับว่านักเรียนคนนี้เล่นเปียโนได้เทพขนาดไหน ถึงกล้าพูดว่าอาจารย์เล่นได้ขยะ”

ตั้งแต่เทอมก่อนจนถึงตอนนี้ พวกเขาฟังอิ๋งลู่เวยสอนวิชาดนตรีมาแล้วห้าคาบ

นักเรียนวัยนี้ส่วนใหญ่ไม่เคยไปงานคอนเสิร์ตเปียโนชั้นแนวหน้าอย่างแท้จริง ย่อมคิดว่าฝีมือเล่นเปียโนของอิ๋งลู่เวยอยู่ในระดับสูงสุด

“มีคำพูดที่ว่า ‘คนรุ่นใหม่แซงหน้าคนรุ่นเก่า’ ไม่ใช่เหรอจ๊ะ” อิ๋งลู่เวยก็ไม่โกรธ แค่ยิ้มให้ “เสี่ยวจินเรียนเก่ง ถึงขนาดสอบได้ที่หนึ่งของชั้นปี เล่นเปียโนได้ดีกว่าอาเล็กคนนี้ ก็ไม่ใช่…”

ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบก็ถูกขัดจังหวะ

“นี่ป้า อย่ามาทำเรียกสนิทสนม” ซิวอวี่แสยะยิ้ม “เธอทำกับพ่ออิ๋งไว้ยังไง พวกเราไม่ได้ตาบอดหรอกนะ”

เธอชี้อิ๋งลู่เวยแล้วพูดกับนักเรียนมอสี่พวกนั้น “รู้หรือเปล่าว่าอาจารย์อิ๋งคนนี้ของพวกเธอเคยทำอะไรไว้ ตัวเองเป็นโรคฮีโมฟีเลีย กรุ๊ปเลือดหายากหาคลังเลือดไม่ได้ ก็เลยรวมหัวกับคู่หมั้นตามหาคลังเลือดมีชีวิต”

“หึ และคลังเลือดมีชีวิตที่ว่าก็ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเธอตอนนี้นี่ไง”

สีหน้าซิวอวี่กึ่งยิ้ม พูดประชด “ทำไมฉันได้ยินมาว่าเป็นเพราะพ่ออิ๋งถูกบังคับให้เอาเลือดไปให้เธอ เมื่อก่อนก็เลยไม่มีแม้กระทั่งเรี่ยวแรงจะมาเรียน เธอยังจะสอนเปียโนให้พ่ออิ๋งอีกงั้นเหรอ อย่างเธอน่ะอยากบีบให้พ่ออิ๋งไม่มีเวลาพักผ่อนมากกว่า”

“บอกว่าเธอขยะ ก็ไม่ใช่แค่ฝีมือเล่นเปียโนที่ขยะหรอกนะ ทั้งเนื้อทั้งตัวเธอมันก็ขยะทุกกระเบียดนิ้วนั่นแหละ”

“…”

ทั้งห้องดนตรีเงียบกันหมด พวกนักเรียนต่างตะลึง ที่มากกว่าคือความรู้สึกเหลือเชื่อ

คำว่าคลังเลือดมีชีวิต แค่ได้ยินก็รู้สึกว่าโหดร้ายแล้ว

พวกเขามองอิ๋งลู่เวยด้วยสายตาประหลาดราวกับเพิ่งเจอกันครั้งแรก ความกระตือรือร้นที่มีต่ออิ๋งลู่เวยจึงค่อยๆ ลดลง

อิ๋งลู่เวยนึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องนี้จะถูกยกขึ้นมาพูดอีกครั้ง ทั้งยังเป็นต่อหน้านักเรียนจำนวนมากขนาดนี้

ท่ามกลางสายตาหลายคู่ เลือดในกายของเธอพลุ่งพล่าน ทะลักเข้าสมอง เกิดเสียงตื้อ แทบล้มทั้งยืน

ริมฝีปากของอิ๋งลู่เวยสั่น หน้าซีด “เธอ เธอ…”

นักเรียนชายที่ออกหน้าพูดแทนอิ๋งลู่เวยก็รู้สึกช็อก เขาเม้มริมฝีปาก แต่ยังคงฝืนหาคำพูด “นี่เป็นคำพูดของเธอฝ่ายเดียว พวกเราจะรู้ได้ไงว่าจริงหรือโกหก เธอบอกไม่ใช่เหรอว่าฝีมือเล่นเปียโนของอาจารย์อิ๋งมันขยะ งั้นเธอก็มาเล่นสิ”

“นายจะให้เล่นก็ต้องเล่นเหรอ คิดว่าตัวเองเป็นใคร” เจียงหรานล้วงกระเป๋าเดินเข้ามา “ปีสองพันยี่สิบแล้วยังจะมีคนคิดแบบนี้อีกเหรอ ถ้าอย่างนั้นฉันคิดว่าร้านขนมปังทางตอนใต้ของเมืองรสชาติห่วยแตก ฉันยังจะต้องไปเป็นเชฟขนมให้พวกเขาด้วยหรือไง”

ชื่อเสียงเรื่องความเก๋าของเจียงหราน อย่าว่าแต่มอสี่เลย ต่อให้เป็นพวกเด็กมัธยมต้นทั้งสามชั้นปีก็รู้กันหมด

นักเรียนชายคนนั้นไม่กล้าพูดแล้ว

“เสี่ยวจิน อาขอโทษเธอแล้วกันนะ เรื่องนี้จะโทษอาทั้งหมดก็ไม่ได้ ตอนนั้นครอบครัวเราก็ร้อนใจเกินไป” อิ๋งลู่เวยอดทนต่อสายตาหยามเหยียด “อีกไม่กี่วันก็จะเป็นคอนเสิร์ตของอาแล้ว เธอมาได้ไหม อาเตรียมที่นั่งแถวแรกไว้ให้เธอแล้ว”

ราวกับรอคำพูดนี้อยู่ อิ๋งจื่อจินหยุดนิ่ง

เธอหันหน้ามาเล็กน้อย พูดคำเดียว “ได้”

“ถ้าไม่ได้ ก็ไม่ใช่ว่า…” อิ๋งลู่เวยนึกไม่ถึงว่าเด็กสาวจะรับปากทันที จึงอดอึ้งไปไม่ได้ “เสี่ยวจิน เธอตกลงเหรอ”

อิ๋งจื่อจินกลับไม่ตอบอีก เธอหยิบนมออกมาจากกระเป๋านักเรียนถุงหนึ่งโยนให้เวินทิงหลานแล้วเดินออก

มองตามหลังของเด็กสาว อิ๋งลู่เวยกลับสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก

หัวใจของเธอเต้นเร็ว ราวกับเธอตัดสินใจผิดมหันต์

แต่คิดไปคิดมา อิ๋งลู่เวยก็คิดไม่ออกว่าผิดตรงไหน

ถูกรบกวนแบบนี้เธอก็ไม่มีอารมณ์จะอยู่ต่ออีก

หลังจากที่ปิดแป้นเปียโนเสร็จเธอก็ถือกระเป๋าเดินออกไปอย่างรีบร้อน

บรรดานักเรียนที่อยู่ในห้องต่างมองหน้ากัน ในใจคิดกันไปคนละแบบ

ตอนสองทุ่มลู่ฟั่งถึงทำความสะอาดรถขนขี้เสร็จ

เขาไม่กล้ากลับบ้านทั้งแบบนี้ จำต้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ร้านเหล้าข้างโรงเรียนก่อน

พอกลับถึงบ้านลู่ฟั่งก็เห็นลู่จื่อกำลังเก็บข้าวของ

เขาอดอึ้งไปไม่ได้ “พี่ ทำอะไรน่ะ”

“ฉันหางานทำที่นี่ไม่ได้แล้ว” ลู่จื่อพูดเสียงเบา “จะไปเรียนต่อเมืองนอก ถ้ามีมหา’ลัยรับฉันน่ะนะ”

“พี่ ต้องขนาดนี้เลยเหรอ” ลู่ฟั่งไม่เข้าใจ “ถึงแม้ตระกูลลู่ของเราจะไม่ใช่ตระกูลเศรษฐี แต่กิจการก็ใหญ่โต ยังจำเป็นต้องให้พี่ไปทำงานด้วยเหรอ”

“ฉันตัดสินใจเอง เสี่ยวฟั่ง ฟังคำพี่ไว้นะ” ลู่จื่อเม้มริมฝีปาก “ต่อไปไม่ว่าจะทำอะไรก็อย่าไปหาเรื่องอิ๋งจื่อจิน ยัยนั่นไม่ใช่คนที่นายจะไปมีเรื่องด้วยได้”

สิ่งที่เหนือความคาดหมายของลู่จื่อก็คือ ครั้งนี้ลู่ฟั่งไม่เถียง

ครั้นแล้วเธอจึงพูดต่อ “ถ้าทำดีกับยัยนั่นได้…ช่างเถอะ มันสายไปแล้ว”

ลู่จื่อส่ายหน้า ยังเสียใจไม่หาย

ตอนที่เธอเพิ่งลากกระเป๋าเดินทางออกจากบ้านก็ได้รับสายจากอิ๋งลู๋เวย

“ลู่จื่อ ทำไมจะไปเมืองนอกล่ะ” อิ๋งลู่เวยท่าทางตกใจมาก “ตระกูลลู่ไม่ให้เงินเธอแล้วเหรอ ไม่เป็นไร ยังมีฉันนะ เธอมาหาฉันได้”

“อิ๋งลู่เวย ฉันว่าฉันเห็นธาตุแท้ของเธอแล้วนะ” ลู่จื่อแสยะยิ้ม “เมื่อก่อนเธอเอาฉันเป็นโล่กำบังทุกวัน สนุกมากใช่ไหม”

เธอเชื่อคำพูดตอแหลของอิ๋งลู่เวยเข้าจริงๆ ที่บอกว่าอิ๋งจื่อจินยั่วเจียงมั่วหย่วน

เรื่องที่โรงพยาบาลเซ่าเหรินมีหมอเทวดาลือไปถึงตี้ตูแล้ว

ถึงขนาดที่เธอได้ข่าวมาจากอาจารย์ของเธอว่า หมอจากตี้ตูรวมถึงหมอเก่งๆ ระดับประเทศจะมาที่ฮู่เฉิง เพียงเพื่อมาขอพบหมอเทวดาคนนี้

คนที่อยากหาหมอเทวดายังมีพวกตระกูลเศรษฐีของตี้ตูอีกด้วย

เจียงมั่วหย่วนเป็นซีอีโอของเจียงซื่อกรุ๊ปก็จริง แต่ตระกูลเจียงเมื่ออยู่ในตี้ตู แค่สาดเงินลงน้ำยังไม่กระเพื่อมเลยด้วยซ้ำ

อิ๋งจื่อจินเป็นหมอเทวดาระดับนี้ ตระกูลเศรษฐีตี้ตูยังต้องคุกเข่าขอร้อง

เจียงมั่วหย่วนคู่ควรเหรอ

“ลู่จื่อ เธอพูดเหลวไหลอะไร” อิ๋งลู่เวยเริ่มลนลาน แต่ก็ใจเย็นลงอย่างรวดเร็ว เธอพูด “เอาล่ะ เลิกโกรธได้แล้ว พรุ่งนี้ฉันจะไปหาเธอ ตกลงตามนี้ อาการป่วยของแม่ฉันยังต้องพึ่งเธออยู่นะ”

“ฉันพูดเหลวไหลงั้นเหรอ” ลู่จื่อก็ไม่อยากเตือนอะไรอิ๋งลู่เวยมาก เธอแสยะยิ้มต่อ “อิ๋งลู่เวย ฉันจะบอกเธอให้นะ เธอทำตัวเสแสร้งต่อไปเถอะ อีกไม่นานตระกูลอิ๋งของพวกเธอก็จะพังทลายแล้ว!”

พูดจบเธอก็กดตัดสายทันที จากนั้นก็บล็อกอิ๋งลู่เวยอย่างรวดเร็ว

เรื่องที่ชูกวงมีเดียกับบริษัทภาพยนตร์ยูนิเวอร์แซลพิกเจอร์สจะถ่ายทำภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ดนตรียุโรปช่วงศตวรรษที่สิบเจ็ดถึงสิบแปดก็มีเพียงผู้บริหารระดับสูงแค่ไม่กี่คนของชูกวงมีเดียเท่านั้นที่รู้

เพราะเรื่องนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่นอน บรรดาผู้บริหารระดับสูงจึงเก็บเป็นความลับมิดชิด

อิ๋งลู่เวยอยากอาศัยกระแสวิจารณ์ทำให้ชูกวงมีเดียยกบทวีร่า โฮลท์ซให้เธอ แต่ก็ไม่มั่นใจ

ในเมื่อเป็นบริษัทเอนเตอร์เทนเมนต์อันดับหนึ่งของประเทศจีนได้ เบื้องหลังย่อมไม่ธรรมดา

เธอครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็ล็อกอินเข้าเวยปั๋วของตัวเองที่ไม่ได้เข้ามาสองเดือน

แอทอิ๋งลู่เวย : [วันนี้เป็นวันที่ 10 พฤษภาคม คอนเสิร์ตแรกในปีนี้ของฉันคือวันที่ 18 พฤษภาคม เมื่อถึงวันนั้นฉันจะรอทุกคนที่หอประชุมใหญ่ฮู่เฉิงนะคะ รอคอยที่จะได้พบกับทุกคนอีกครั้งค่ะ (อีโมติคอนน่ารัก) และเพื่อเป็นการขอโทษเสี่ยวจิน ฉันตั้งใจเชิญเธอมาร่วมงานคอนเสิร์ตของฉันด้วย เธอเองก็เล่นเปียโนเก่ง ฉันเป็นคนสอนเองค่ะ เด็กรุ่นหลังแซงหน้าคนรุ่นเก่าอย่างฉันเสียแล้ว หวังว่าทุกคนจะชอบนะคะ]

แฟนคลับของอิ๋งลู่เวยหายไปเก้าในสิบ หนึ่งส่วนที่เหลือต่างหากที่เป็นแฟนคลับเหนียวแน่นที่สุด

พอเธอโพสต์เวยปั๋ว บรรดาแฟนคลับที่ว่างไปนานก็ลุกฮือขึ้นมาทันที

หากไม่มีประโยคสุดท้ายล่ะก็

[โทษนะ พวกเราไม่กล้าด่าน้องคนนั้นแล้ว กลัวจะถูกชาวเน็ตรุม แต่ฉันก็ยังคงมีข้อสงสัยว่าทำไมเธอจะต้องมายุ่งคอนเสิร์ตของลู่เวยด้วย ไม่สร้างความวุ่นวายจะได้ไหม คนที่พวกเราอยากดูคือลู่เวย ไม่ใช่เธอนะ]

[ลู่เวยจะเล่นเพลงตะวันกับจันทราของวีร่า โฮลท์ซให้พวกเราฟัง ไม่ทราบว่า แอทเกษียณแล้วอย่ากวน จะเล่นเพลงอะไรเหรอ ยังไง หรือจะเป็นเพลงอื่นของวีร่า โฮลท์ซ เพลงสงครามศักดิ์สิทธิ์ที่ยากยิ่งกว่าเพลงตะวันกับจันทรา หรือจะเป็นเพลงบทเพลงแห่งฟลอเรนซ์ที่ตอนนี้ยังไม่มีนักเปียโนคนไหนเล่นได้ (อีโมติคอนยิ้ม) (อีโมติคอนยิ้ม)]

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ 146 ตระกูลอิ๋งของพวกเธอกำลังจะพังแล้ว

Now you are reading คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ Chapter 146 ตระกูลอิ๋งของพวกเธอกำลังจะพังแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ถึงแม้นักเรียนมอสี่ก็รู้เรื่องการสอบกลางภาคเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่พวกเขาไม่ได้ร่วมชมการถามตอบในตอนนั้น อีกทั้งยังอยู่คนละอาคารเรียน ย่อมไม่รู้เรื่องอื่น

อย่างมากพวกเขาก็รู้แค่ว่าชั้นมอห้ามีเทพด้านการเรียนมาจุติอีกหนึ่งคนแล้ว หน้าตาก็ดี ทุกวันมีคนต่อแถวไปห้องม.5/19 ยาวไปจนถึงชั้นล่าง

บุคคลโด่งดังของชั้นมอห้าย่อมไม่มีทางสู้อิ๋งลู่เวยที่อุตส่าห์มาสอนดนตรีให้พวกเขาหลายครั้งได้

อิ๋งลู่เวยเวลาอยู่ข้างนอกจะรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองมาก ภาพลักษณ์ที่ใช้โปรโมตก็เป็นผู้หญิงอ่อนหวานใจดี

ดังนั้นทุกปีต่อให้ยุ่งแค่ไหนก็จะต้องมาสอนวิชาดนตรีให้เด็กมอสี่ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ สร้างภาพลักษณ์อ่อนโยนใจดีภายในใจนักเรียนใหม่พวกนี้ก่อน จากนั้นถึงรักษาความถี่โดยการมาสอนให้ทุกเดือน

เนื่องจากมีสาเหตุมาจากอิ๋งจื่อจิน ทำให้อิทธิพลของอิ๋งลู่เวยในระดับชั้นมอห้าลดลงไปมาก

มอหกเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ไม่ได้มีเวลามาฟังวิชาดนตรี

เดิมทีนักเรียนมอห้าก็ชอบอิ๋งลู่เวยมาตลอด แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะคลาสเด็กอัจฉริยะหรือคลาสอื่น ต่างไม่ได้กระตือรือร้นสนใจเธอแบบเมื่อก่อนแล้ว

อิ๋งลู่เวยนึกไม่ถึงว่าอิ๋งจื่อจินจะปรากฏตัวที่นี่ เธออึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็ยิ้ม “เสี่ยวจินต้องอยู่ตึกมอห้าไม่ใช่เหรอ ทำไมมาที่นี่ล่ะ”

อิ๋งจื่อจินไม่สนใจ ไม่แม้แต่จะมอง

“เสี่ยวจิน รอก่อน!” อิ๋งลู่เวยไม่มีทางปล่อยโอกาสดีแบบนี้ รีบเรียกเด็กสาวไว้

สายตามองไปรอบๆ ก็สังเกตเห็นเวินทิงหลาน จึงขมวดคิ้วเล็กน้อย

ดูเหมือนเธอจะเคยเจอเด็กหนุ่มคนนี้ที่ไหนมาก่อน

“ขอแนะนำให้ทุกคนรู้จักนะจ๊ะ นี่คือหลานสาวของครูเอง” อิ๋งลู่เวยหันหน้าไปแนะนำ “ซึ่งก็คือรุ่นพี่มอห้าของพวกเธอ ครูเป็นคนสอนเปียโนให้หลานครูเอง ต่อไปถ้าพวกเธออยากฟังก็ไปหาเสี่ยวจินได้นะ”

นักเรียนมอสี่พวกนั้นพอได้ฟังก็ยังไม่ค่อยได้สติ

“อาจารย์อิ๋งสอนเปียโนเธอเหรอครับ” นักเรียนชายคนเมื่อครู่กลับรู้สึกไม่ยอมยิ่งกว่าเดิม “งั้นผมก็อยากรู้แล้วครับว่านักเรียนคนนี้เล่นเปียโนได้เทพขนาดไหน ถึงกล้าพูดว่าอาจารย์เล่นได้ขยะ”

ตั้งแต่เทอมก่อนจนถึงตอนนี้ พวกเขาฟังอิ๋งลู่เวยสอนวิชาดนตรีมาแล้วห้าคาบ

นักเรียนวัยนี้ส่วนใหญ่ไม่เคยไปงานคอนเสิร์ตเปียโนชั้นแนวหน้าอย่างแท้จริง ย่อมคิดว่าฝีมือเล่นเปียโนของอิ๋งลู่เวยอยู่ในระดับสูงสุด

“มีคำพูดที่ว่า ‘คนรุ่นใหม่แซงหน้าคนรุ่นเก่า’ ไม่ใช่เหรอจ๊ะ” อิ๋งลู่เวยก็ไม่โกรธ แค่ยิ้มให้ “เสี่ยวจินเรียนเก่ง ถึงขนาดสอบได้ที่หนึ่งของชั้นปี เล่นเปียโนได้ดีกว่าอาเล็กคนนี้ ก็ไม่ใช่…”

ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบก็ถูกขัดจังหวะ

“นี่ป้า อย่ามาทำเรียกสนิทสนม” ซิวอวี่แสยะยิ้ม “เธอทำกับพ่ออิ๋งไว้ยังไง พวกเราไม่ได้ตาบอดหรอกนะ”

เธอชี้อิ๋งลู่เวยแล้วพูดกับนักเรียนมอสี่พวกนั้น “รู้หรือเปล่าว่าอาจารย์อิ๋งคนนี้ของพวกเธอเคยทำอะไรไว้ ตัวเองเป็นโรคฮีโมฟีเลีย กรุ๊ปเลือดหายากหาคลังเลือดไม่ได้ ก็เลยรวมหัวกับคู่หมั้นตามหาคลังเลือดมีชีวิต”

“หึ และคลังเลือดมีชีวิตที่ว่าก็ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเธอตอนนี้นี่ไง”

สีหน้าซิวอวี่กึ่งยิ้ม พูดประชด “ทำไมฉันได้ยินมาว่าเป็นเพราะพ่ออิ๋งถูกบังคับให้เอาเลือดไปให้เธอ เมื่อก่อนก็เลยไม่มีแม้กระทั่งเรี่ยวแรงจะมาเรียน เธอยังจะสอนเปียโนให้พ่ออิ๋งอีกงั้นเหรอ อย่างเธอน่ะอยากบีบให้พ่ออิ๋งไม่มีเวลาพักผ่อนมากกว่า”

“บอกว่าเธอขยะ ก็ไม่ใช่แค่ฝีมือเล่นเปียโนที่ขยะหรอกนะ ทั้งเนื้อทั้งตัวเธอมันก็ขยะทุกกระเบียดนิ้วนั่นแหละ”

“…”

ทั้งห้องดนตรีเงียบกันหมด พวกนักเรียนต่างตะลึง ที่มากกว่าคือความรู้สึกเหลือเชื่อ

คำว่าคลังเลือดมีชีวิต แค่ได้ยินก็รู้สึกว่าโหดร้ายแล้ว

พวกเขามองอิ๋งลู่เวยด้วยสายตาประหลาดราวกับเพิ่งเจอกันครั้งแรก ความกระตือรือร้นที่มีต่ออิ๋งลู่เวยจึงค่อยๆ ลดลง

อิ๋งลู่เวยนึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องนี้จะถูกยกขึ้นมาพูดอีกครั้ง ทั้งยังเป็นต่อหน้านักเรียนจำนวนมากขนาดนี้

ท่ามกลางสายตาหลายคู่ เลือดในกายของเธอพลุ่งพล่าน ทะลักเข้าสมอง เกิดเสียงตื้อ แทบล้มทั้งยืน

ริมฝีปากของอิ๋งลู่เวยสั่น หน้าซีด “เธอ เธอ…”

นักเรียนชายที่ออกหน้าพูดแทนอิ๋งลู่เวยก็รู้สึกช็อก เขาเม้มริมฝีปาก แต่ยังคงฝืนหาคำพูด “นี่เป็นคำพูดของเธอฝ่ายเดียว พวกเราจะรู้ได้ไงว่าจริงหรือโกหก เธอบอกไม่ใช่เหรอว่าฝีมือเล่นเปียโนของอาจารย์อิ๋งมันขยะ งั้นเธอก็มาเล่นสิ”

“นายจะให้เล่นก็ต้องเล่นเหรอ คิดว่าตัวเองเป็นใคร” เจียงหรานล้วงกระเป๋าเดินเข้ามา “ปีสองพันยี่สิบแล้วยังจะมีคนคิดแบบนี้อีกเหรอ ถ้าอย่างนั้นฉันคิดว่าร้านขนมปังทางตอนใต้ของเมืองรสชาติห่วยแตก ฉันยังจะต้องไปเป็นเชฟขนมให้พวกเขาด้วยหรือไง”

ชื่อเสียงเรื่องความเก๋าของเจียงหราน อย่าว่าแต่มอสี่เลย ต่อให้เป็นพวกเด็กมัธยมต้นทั้งสามชั้นปีก็รู้กันหมด

นักเรียนชายคนนั้นไม่กล้าพูดแล้ว

“เสี่ยวจิน อาขอโทษเธอแล้วกันนะ เรื่องนี้จะโทษอาทั้งหมดก็ไม่ได้ ตอนนั้นครอบครัวเราก็ร้อนใจเกินไป” อิ๋งลู่เวยอดทนต่อสายตาหยามเหยียด “อีกไม่กี่วันก็จะเป็นคอนเสิร์ตของอาแล้ว เธอมาได้ไหม อาเตรียมที่นั่งแถวแรกไว้ให้เธอแล้ว”

ราวกับรอคำพูดนี้อยู่ อิ๋งจื่อจินหยุดนิ่ง

เธอหันหน้ามาเล็กน้อย พูดคำเดียว “ได้”

“ถ้าไม่ได้ ก็ไม่ใช่ว่า…” อิ๋งลู่เวยนึกไม่ถึงว่าเด็กสาวจะรับปากทันที จึงอดอึ้งไปไม่ได้ “เสี่ยวจิน เธอตกลงเหรอ”

อิ๋งจื่อจินกลับไม่ตอบอีก เธอหยิบนมออกมาจากกระเป๋านักเรียนถุงหนึ่งโยนให้เวินทิงหลานแล้วเดินออก

มองตามหลังของเด็กสาว อิ๋งลู่เวยกลับสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก

หัวใจของเธอเต้นเร็ว ราวกับเธอตัดสินใจผิดมหันต์

แต่คิดไปคิดมา อิ๋งลู่เวยก็คิดไม่ออกว่าผิดตรงไหน

ถูกรบกวนแบบนี้เธอก็ไม่มีอารมณ์จะอยู่ต่ออีก

หลังจากที่ปิดแป้นเปียโนเสร็จเธอก็ถือกระเป๋าเดินออกไปอย่างรีบร้อน

บรรดานักเรียนที่อยู่ในห้องต่างมองหน้ากัน ในใจคิดกันไปคนละแบบ

ตอนสองทุ่มลู่ฟั่งถึงทำความสะอาดรถขนขี้เสร็จ

เขาไม่กล้ากลับบ้านทั้งแบบนี้ จำต้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ร้านเหล้าข้างโรงเรียนก่อน

พอกลับถึงบ้านลู่ฟั่งก็เห็นลู่จื่อกำลังเก็บข้าวของ

เขาอดอึ้งไปไม่ได้ “พี่ ทำอะไรน่ะ”

“ฉันหางานทำที่นี่ไม่ได้แล้ว” ลู่จื่อพูดเสียงเบา “จะไปเรียนต่อเมืองนอก ถ้ามีมหา’ลัยรับฉันน่ะนะ”

“พี่ ต้องขนาดนี้เลยเหรอ” ลู่ฟั่งไม่เข้าใจ “ถึงแม้ตระกูลลู่ของเราจะไม่ใช่ตระกูลเศรษฐี แต่กิจการก็ใหญ่โต ยังจำเป็นต้องให้พี่ไปทำงานด้วยเหรอ”

“ฉันตัดสินใจเอง เสี่ยวฟั่ง ฟังคำพี่ไว้นะ” ลู่จื่อเม้มริมฝีปาก “ต่อไปไม่ว่าจะทำอะไรก็อย่าไปหาเรื่องอิ๋งจื่อจิน ยัยนั่นไม่ใช่คนที่นายจะไปมีเรื่องด้วยได้”

สิ่งที่เหนือความคาดหมายของลู่จื่อก็คือ ครั้งนี้ลู่ฟั่งไม่เถียง

ครั้นแล้วเธอจึงพูดต่อ “ถ้าทำดีกับยัยนั่นได้…ช่างเถอะ มันสายไปแล้ว”

ลู่จื่อส่ายหน้า ยังเสียใจไม่หาย

ตอนที่เธอเพิ่งลากกระเป๋าเดินทางออกจากบ้านก็ได้รับสายจากอิ๋งลู๋เวย

“ลู่จื่อ ทำไมจะไปเมืองนอกล่ะ” อิ๋งลู่เวยท่าทางตกใจมาก “ตระกูลลู่ไม่ให้เงินเธอแล้วเหรอ ไม่เป็นไร ยังมีฉันนะ เธอมาหาฉันได้”

“อิ๋งลู่เวย ฉันว่าฉันเห็นธาตุแท้ของเธอแล้วนะ” ลู่จื่อแสยะยิ้ม “เมื่อก่อนเธอเอาฉันเป็นโล่กำบังทุกวัน สนุกมากใช่ไหม”

เธอเชื่อคำพูดตอแหลของอิ๋งลู่เวยเข้าจริงๆ ที่บอกว่าอิ๋งจื่อจินยั่วเจียงมั่วหย่วน

เรื่องที่โรงพยาบาลเซ่าเหรินมีหมอเทวดาลือไปถึงตี้ตูแล้ว

ถึงขนาดที่เธอได้ข่าวมาจากอาจารย์ของเธอว่า หมอจากตี้ตูรวมถึงหมอเก่งๆ ระดับประเทศจะมาที่ฮู่เฉิง เพียงเพื่อมาขอพบหมอเทวดาคนนี้

คนที่อยากหาหมอเทวดายังมีพวกตระกูลเศรษฐีของตี้ตูอีกด้วย

เจียงมั่วหย่วนเป็นซีอีโอของเจียงซื่อกรุ๊ปก็จริง แต่ตระกูลเจียงเมื่ออยู่ในตี้ตู แค่สาดเงินลงน้ำยังไม่กระเพื่อมเลยด้วยซ้ำ

อิ๋งจื่อจินเป็นหมอเทวดาระดับนี้ ตระกูลเศรษฐีตี้ตูยังต้องคุกเข่าขอร้อง

เจียงมั่วหย่วนคู่ควรเหรอ

“ลู่จื่อ เธอพูดเหลวไหลอะไร” อิ๋งลู่เวยเริ่มลนลาน แต่ก็ใจเย็นลงอย่างรวดเร็ว เธอพูด “เอาล่ะ เลิกโกรธได้แล้ว พรุ่งนี้ฉันจะไปหาเธอ ตกลงตามนี้ อาการป่วยของแม่ฉันยังต้องพึ่งเธออยู่นะ”

“ฉันพูดเหลวไหลงั้นเหรอ” ลู่จื่อก็ไม่อยากเตือนอะไรอิ๋งลู่เวยมาก เธอแสยะยิ้มต่อ “อิ๋งลู่เวย ฉันจะบอกเธอให้นะ เธอทำตัวเสแสร้งต่อไปเถอะ อีกไม่นานตระกูลอิ๋งของพวกเธอก็จะพังทลายแล้ว!”

พูดจบเธอก็กดตัดสายทันที จากนั้นก็บล็อกอิ๋งลู่เวยอย่างรวดเร็ว

เรื่องที่ชูกวงมีเดียกับบริษัทภาพยนตร์ยูนิเวอร์แซลพิกเจอร์สจะถ่ายทำภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ดนตรียุโรปช่วงศตวรรษที่สิบเจ็ดถึงสิบแปดก็มีเพียงผู้บริหารระดับสูงแค่ไม่กี่คนของชูกวงมีเดียเท่านั้นที่รู้

เพราะเรื่องนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่นอน บรรดาผู้บริหารระดับสูงจึงเก็บเป็นความลับมิดชิด

อิ๋งลู่เวยอยากอาศัยกระแสวิจารณ์ทำให้ชูกวงมีเดียยกบทวีร่า โฮลท์ซให้เธอ แต่ก็ไม่มั่นใจ

ในเมื่อเป็นบริษัทเอนเตอร์เทนเมนต์อันดับหนึ่งของประเทศจีนได้ เบื้องหลังย่อมไม่ธรรมดา

เธอครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็ล็อกอินเข้าเวยปั๋วของตัวเองที่ไม่ได้เข้ามาสองเดือน

แอทอิ๋งลู่เวย : [วันนี้เป็นวันที่ 10 พฤษภาคม คอนเสิร์ตแรกในปีนี้ของฉันคือวันที่ 18 พฤษภาคม เมื่อถึงวันนั้นฉันจะรอทุกคนที่หอประชุมใหญ่ฮู่เฉิงนะคะ รอคอยที่จะได้พบกับทุกคนอีกครั้งค่ะ (อีโมติคอนน่ารัก) และเพื่อเป็นการขอโทษเสี่ยวจิน ฉันตั้งใจเชิญเธอมาร่วมงานคอนเสิร์ตของฉันด้วย เธอเองก็เล่นเปียโนเก่ง ฉันเป็นคนสอนเองค่ะ เด็กรุ่นหลังแซงหน้าคนรุ่นเก่าอย่างฉันเสียแล้ว หวังว่าทุกคนจะชอบนะคะ]

แฟนคลับของอิ๋งลู่เวยหายไปเก้าในสิบ หนึ่งส่วนที่เหลือต่างหากที่เป็นแฟนคลับเหนียวแน่นที่สุด

พอเธอโพสต์เวยปั๋ว บรรดาแฟนคลับที่ว่างไปนานก็ลุกฮือขึ้นมาทันที

หากไม่มีประโยคสุดท้ายล่ะก็

[โทษนะ พวกเราไม่กล้าด่าน้องคนนั้นแล้ว กลัวจะถูกชาวเน็ตรุม แต่ฉันก็ยังคงมีข้อสงสัยว่าทำไมเธอจะต้องมายุ่งคอนเสิร์ตของลู่เวยด้วย ไม่สร้างความวุ่นวายจะได้ไหม คนที่พวกเราอยากดูคือลู่เวย ไม่ใช่เธอนะ]

[ลู่เวยจะเล่นเพลงตะวันกับจันทราของวีร่า โฮลท์ซให้พวกเราฟัง ไม่ทราบว่า แอทเกษียณแล้วอย่ากวน จะเล่นเพลงอะไรเหรอ ยังไง หรือจะเป็นเพลงอื่นของวีร่า โฮลท์ซ เพลงสงครามศักดิ์สิทธิ์ที่ยากยิ่งกว่าเพลงตะวันกับจันทรา หรือจะเป็นเพลงบทเพลงแห่งฟลอเรนซ์ที่ตอนนี้ยังไม่มีนักเปียโนคนไหนเล่นได้ (อีโมติคอนยิ้ม) (อีโมติคอนยิ้ม)]

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+