คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ 167 คุณหนูตัวจริงตัวปลอมของตระกูลอิ๋ง

Now you are reading คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ Chapter 167 คุณหนูตัวจริงตัวปลอมของตระกูลอิ๋ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ชื่ออิ๋งลู่เวยได้ดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ

ฟู่อวิ๋นเซินยังเอียงตัวพิงเคาน์เตอร์ พอได้ยินแบบนั้นก็หันมามองแวบหนึ่ง

ดวงตาดอกท้อขรึมลง ลึกล้ำชวนดึงดูด

เขาละสายตากลับมา ก้มมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือ

บนหน้าจอเป็นข้อความที่เพิ่งถูกส่งเข้ามาเมื่อครู่

[คุณชายครับ ตระกูลเจียงประกาศเรื่องถอนหมั้นไปทั่วฮู่เฉิงแล้วครับ]

เรื่องที่ซิวอวี่พูดถึงก็คือเรื่องนี้ เธอทำเสียงจึ๊ “ฉันก็คิดว่าเจียงมั่วหย่วนจะเป็นผู้ชายที่มีความรักลึกซึ้งสักแค่ไหน ที่แท้ก็เหมือนที่คำโบราณว่าไว้ สามีภรรยาดุจนกป่าเดียวกัน เมื่อถึงคราวเคราะห์ก็บินแยกจากกัน”

“หึ” เจียงหรานแสยะยิ้ม “งั้นก็แสดงว่าพวกเธอถูกภาพลักษณ์จอมปลอมของเขาหลอกลวงหนักเอาการเลยนะ เขาเป็นลูกชายของยายแก่คนนั้นได้ เดิมทีก็เป็นพวกไร้เยื่อใยอยู่แล้ว”

อย่าว่าแต่ลูกน้องเลย แม้แต่ซิวอวี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเจียงหรานพูดถึงเรื่องในตระกูลเจียง

“นายหมายถึง เมียคนที่คุณตาของนายแต่งเข้ามาใหม่หลังจากที่คุณยายของนายตายน่ะเหรอ”

ผู้เฒ่าเจียงมีภรรยาสามคน เป็นเรื่องธรรมดามากสำหรับตระกูลเศรษฐี

ภรรยาคนแรกวาสนาน้อย แต่งเข้าตระกูลเจียงได้ไม่กี่วันก็ป่วยตาย ไม่ได้ทิ้งทายาทไว้แม้แต่คนเดียว

ภรรยาคนที่สองก็คือแม่ของเจียงฮว่าผิง แต่เสียไปตอนที่เจียงฮว่าผิงอายุสิบกว่าปี

ตอนที่ผู้เฒ่าเจียงแต่งภรรยาคนที่สาม เขาอายุเกินสี่สิบแล้ว แต่ตอนนั้นภรรยาคนที่สามอายุยังไม่ถึงยี่สิบปี

ภรรยาคนที่สามนี้ก็คือคุณนายผู้เฒ่าเจียงในตอนนี้ มารดาผู้ให้กำเนิดเจียงมั่วหย่วน

“นังจิ้งจอก” เจียงหรานพูดด้วยน้ำเสียงที่ข่มความหงุดหงิดไว้

“ไม่อย่างนั้นคุณยายของฉันไม่มีทางตาย”

ซิวอวี่ความรู้สึกไว ไม่ได้ถามต่อ

อย่างไรก็ตามตอนนี้เจียงหรานกับเจียงฮว่าผิงก็ไม่ใช่คนที่ตระกูลเจียงจะยุ่งด้วยได้

ด้วยอิทธิพลของพวกเขาที่มีในตี้ตูสามารถเอาเรื่องคนในตระกูลเจียงหลายคนจนถึงตายได้

เดิมทีคิดว่างานเลี้ยงฉลองในวันนี้จะผ่านไปอย่างสงบ

แต่เรื่องที่คาดไม่ถึงก็คือ เนื่องจากตำแหน่งที่นั่งข้างอิ๋งจื่อจินเหลือที่เดียว จึงมีสองคนเริ่มทะเลาะกัน

“ไปๆ เจ้าฝรั่งหัวทอง” เซิ่งชิงถังเอามือบังเบิร์กไว้ พยายามเบียดตัวจะเข้าไปนั่งตรงนั้น

“พวกนายมีกลิ่นตัว ฉีดน้ำหอมฉีดโคโลญก็ไม่มีประโยชน์ ฉุนจนอยากจะสลบ”

“ตาแก่หัวดื้อ ปากเสีย!” เบิร์กโมโหสุดๆ “คุณแก่ปูนนี้แล้ว เคี้ยวเนื้อก็ไม่ไหว ยังจะมาแย่งกับผมทำไม”

“เฮอะ ขอโทษนะ” เซิ่งชิงถังยิ้มยิงฟัน “ก่อนหน้านี้ฉันเพิ่งไปเลี่ยมฟันมา”

อิ๋งจื่อจิน “…”

นักเรียนห้องสิบเก้า “…”

นี่กำลังเล่นเก้าอี้ดนตรีกันเหรอ

ผู้เฒ่าจงผ่อนลมหายใจ มีความสุข

ยังดีที่เขาไม่ต้องไปแย่งกับใคร หลานสาวของเขากันที่ไว้ให้แล้ว

สุดท้ายเซิ่งชิงถังกับเบิร์กต่างคนต่างไม่ยอม ที่นั่งตรงนั้นจึงเว้นไว้

“หืม?” หลังจากที่ฟู่อวิ๋นเซินคุยกับบริกรเสร็จก็เห็นที่นั่งข้างอิ๋งจื่อจินว่างอยู่

“เยาเยาเว้นที่ไว้ให้พี่ชายด้วยเหรอ พี่ชายประทับใจจัง”

“เปล่า” อิ๋งจื่อจินเท้าคาง สีหน้าเอื่อยเฉื่อย “ไม่เห็นเหรอว่าเก้าอี้ของคุณถูกเอาออกไปแล้ว”

ฟู่อวิ๋นเซินค่อยๆ ก้มหน้า เห็นเก้าอี้ที่เซิ่งชิงถังยกอยู่ “…”

ได้

เขาไม่ควรคาดหวังว่าเด็กน้อยจะไม่พูดอะไรที่ไร้เยื่อใยออกมา

“ตาแก่หัวดื้อ เพราะคุณเลย!” เบิร์กโมโหฉุนเฉียว “ถ้าไม่ใช่เพราะคุณผมก็ได้นั่งไปแล้ว”

“ฉันไม่สน ฉันไม่ได้นั่ง นายก็อย่าหวังจะได้นั่ง” เซิ่งชิงถังวางเก้าอี้แล้วนั่งข้างเบิร์ก

“ฉันจะจับตาดูนายไว้”

“ฉันว่าไม่สู้เอาแบบนี้ พวกคุณเลิกทะเลาะกัน” จั๋วหลานหันก็จนปัญญา

“ยังไงซะเด็กคนนี้ก็เก่งทุกอย่าง งั้นก็เข้าให้หมดทุกสมาคมไปเลยสิคะ”

เซิ่งชิงถังเบิกตาโพลง “แบบนั้นจะได้ยังไง”

“ได้ๆ!” เบิร์กกลับดีใจ “ครั้งนี้ผมเอาใบรับรองการเชิญอาจารย์พิเศษที่มีชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยศิลปะรอยัลมาด้วย ขอแค่อาจารย์อิ๋งเซ็นชื่อก็เรียบร้อย”

เขาอยู่ในอาณาเขตของคนอื่นย่อมสู้ไม่ได้

เซิ่งชิงถังแค้นที่ตัวเองไม่ได้เอาลูกแตงโมมาด้วย จะได้ทุ่มใส่หัวตาเบิร์กนี่

กลุ่มคนที่อยู่ในฮั่นเก๋อฉลองให้อิ๋งจื่อจินกันอย่างสนุกสนาน แต่จงมั่นหวากลับนั่งเหม่ออยู่ในคฤหาสน์ตระกูลอิ๋งทั้งวัน เหมือนคนไม่มีสติ เรื่องสะเทือนใจครั้งนี้ทำให้สภาพจิตใจของเธอแย่ลง เหมือนเมื่อสิบหกปีก่อน เบื้องหน้าปรากฏภาพลวงตา โชคดีที่เธอมียาเตรียมไว้ หลังจากกินยาเข้าไปถึงสงบสติอารมณ์ได้บ้าง

จงมั่นหวาพยายามอดทนต่อความโกรธภายในจิตใจ “ยังไม่กลับมาเหรอ”

“คุณนายครับ คุณลู่เวยอยู่ระหว่างทางแล้วครับ” วันนี้พ่อบ้านมีท่าทีหวาดกลัวอยู่ตลอด “ช่วงสองวันมานี้เธอเองก็ทุกข์ทรมานมากเหมือนกันครับ”

จงมั่นหวาอยากแสยะยิ้ม

ทุกข์ทรมานเหรอ

นั่นไม่ใช่หาเรื่องใส่ตัวเหรอ

“โทรไปอีกรอบ” จงมั่นหวาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฉันต้องการเจอเธอก่อนหกโมง”

พ่อบ้านขานรับ “ครับคุณนาย”

อิ๋งลู่เวยกลับมาถึงตอนห้าโมงห้าสิบหกนาที

เวลานี้เธอไม่มีอารมณ์จะมัวพูดรักษามารยาทกับจงมั่นหวา สีหน้าเย็นชา “พี่สะใภ้เรียกหาฉันมีอะไรเหรอคะ ฉันยังมีธุระ ค่อนข้างรีบ”

พออิ๋งลู่เวยพูดจบ

“เพล้ง!”

แจกันถูกเขวี้ยงมาทางเธอ และตกแตกในตำแหน่งที่ห่างจากเธอไปแค่นิ้วเดียว เศษแจกันกระเด็นบาดคอเธอ อิ๋งลู่เวยตกใจ ที่มากกว่าคือความโมโห

“พี่สะใภ้อาการกำเริบอีกแล้ว ฉันจะโทรเรียกหมอให้ พี่เรียกฉันกลับมาเพื่อระบายอารมณ์ใส่เหรอ”

เธอได้รับการเอาใจใส่จากผู้ใหญ่ของสี่ตระกูลเศรษฐีมาตั้งแต่เด็กจนโต มีใครกล้าทำกับเธอแบบนี้บ้าง

“อิ๋งลู่เวย ฉันแค้นจนแทบอยากจะฆ่าเธอ!”

น้ำเสียงของจงมั่นหวาแทบจะเค้นเลือดออกมาดวงตาก็แดงก่ำ “ฉันกับพี่ชายของเธอดูแลเธอมาอย่างดี ทำไมเธอถึงทำเรื่องแบบนี้ออกมาได้ ไม่รู้สึกผิดต่อพวกเราเลยเหรอ!”

อิ๋งลู่เวยใจหายวาบ เริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี เธอยิ้ม “พี่สะใภ้พูดเรื่องอะไรกันคะ ฉันทำเรื่องที่ผิดต่อพี่กับพี่ใหญ่เมื่อไรกัน”

“เธอดูเอาเอง!” จงมั่นหวายืนขึ้น ปาจดหมายใส่หน้าอิ๋งลู่เวย “สิบหกปีก่อนทำไมเธอต้องขโมยลูกสาวของฉันไปทิ้งด้วย!”

เปรี้ยง!

คำพูดนี้เหมือนสายฟ้าฟาด ชั่วขณะนั้นสมองของอิ๋งลู่เวยว่างเปล่าในทันที

เธอเบิกตาโพลงมองกระดาษที่เลื่อนตกลงมาจากศีรษะ เลือดในกายหยุดไหลเวียน

เป็นไปไม่ได้

จงมั่นหวารู้เรื่องนี้ได้ยังไง!

พ่อบ้านที่อยู่ข้างๆ ก็ตะลึงเหมือนกัน “คุณลู่เวย”

“สิบหกปีก่อนเธอเพิ่งจะแปดขวบ แปดขวบเองนะ!” จงมั่นหวาร้องไห้พลางตะโกน “ตอนนั้นลูกสาวฉันเพิ่งอายุเท่าไร ยังไม่ถึงขวบ ทำไมเธอถึงได้ใจร้ายขนาดนี้ ขโมยคนที่มีสายเลือดเดียวกันไปทิ้งได้ลงคอเลยเหรอ”

“ไม่…ไม่!” อิ๋งลู่เวยเริ่มตัวสั่น ควบคุมน้ำเสียงไม่ได้

“ไม่เกี่ยวกับฉัน ฉันไม่ได้ทำ เด็กนั่นคลานออกไปเอง!”

“ใช่ ถูกต้อง เด็กคนนั้นคลานออกไปเอง เกี่ยวอะไรกับฉันด้วย”

จงมั่นหวาโกรธจนตัวสั่น “หลักฐานแน่นหนา ยังจะแก้ตัวอีกเหรอ”

อิ๋งลู่เวยจ้องสามชื่อที่อยู่บนกระดาษเขม็ง สติแตกอีกครั้ง “ฉันไม่ได้ทำ ก็บอกแล้วว่าฉันไม่ได้ทำ!”

ทันใดนั้นเธอได้กรีดร้องออกมา เปิดประตูแล้ววิ่งออกไป

พ่อบ้านหันขวับ “คุณนาย?”

จงมั่นหวาแค่ส่ายมือให้ ท่าทางเหมือนเหนื่อยล้าเต็มที “รอเจิ้นถิงกลับมา”

พ่อบ้านลังเลเล็กน้อย “แต่เรื่องนี้ถ้าให้คุณนายผู้เฒ่าทราบ แบบนั้น…”

คำพูดของเขาถูกขัดจังหวะด้วยเสียงโทรศัพท์

เป็นเสียงโทรศัพท์บ้าน

จงมั่นหวาไม่ได้มีท่าทีจะรับ พ่อบ้านจึงเข้าไปรับ “สวัสดีครับ ว่าไงนะ!”

สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปมาก หันหน้าไป “คุณนายครับ คนที่ส่งจดหมายมาครับ”

จงมั่นหวาถึงได้สติ ลุกพรวดทันที “ฮัลโหล พวกคุณต้องการอะไรกันแน่”

“ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น” เสียงปลายสายแยกไม่ออกว่าชายหรือหญิง

“แค่หวังดีอยากช่วยพวกคุณสืบเรื่องที่พวกคุณสืบไม่ได้ให้มันกระจ่างสักที”

ประโยคนี้กลับทำให้จงมั่นหวาใบหน้าแดงก่ำ

ถ้าบอกว่าสืบไม่ได้จริง นั่นเป็นไปไม่ได้

แต่ตระกูลอิ๋งสืบอยู่แค่สองปีก็ไม่ได้สืบอีก

เพราะตอนนั้นตระกูลอิ๋งมีคุณหนูใหญ่คนใหม่แล้ว

“แค่นั้นจริงเหรอ” จงมั่นหวาไม่เชื่อ “พวกคุณไม่ได้หวังอะไรจากตระกูลอิ๋งเหรอ”

“หึ” ราวกับได้ยินอะไรที่น่าขำ ปลายสายหัวเราะ “หวังอะไรงั้นเหรอ ตระกูลอิ๋งของพวกคุณไม่คู่ควรหรอก แต่มีอยู่เรื่องที่สงสัยเหลือเกิน”

“ตระกูลอิ๋งคิดจะจัดการเรื่องนี้ยังไง ไม่ให้ความยุติธรรมกับคุณจื่อจินหน่อยเหรอ”

“พวกคุณพูดจาเหลวไหลอะไร ใช่ คุณหนูใหญ่หายไปจากตระกูลอิ๋ง แต่หายไปไม่นานพวกเราก็ตามหากลับมาได้ พวกเราก็แค่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ” จงมั่นหวาพยายามข่มเสียงตัวเองไม่ให้สั่น “จื่อจินเป็นลูกสาวที่ฉันรับมาเลี้ยง ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องเมื่อสิบหกปีก่อน คุณอย่าพูดมั่ว”

ปลายสายเงียบไปสักพัก จากนั้นก็ยิ้ม ครั้งนี้น้ำเสียงเย็นชาลงไปมาก “ดีมาก คุณนายอิ๋งเลือกแบบนี้”

“หวังว่าจะไม่เสียใจภายหลัง”

อีกด้านหนึ่ง

อิ๋งลู่เวยกลับคอนโดของตัวเอง จากนั้นก็เห็นเวยปั๋วที่เจียงซื่อกรุ๊ปโพสต์เรื่องถอนหมั้น

ชั่วขณะนั้นความหวาดกลัว ความหวาดระแวง ความอับอาย สารพัดความรู้สึกได้ประเดประดังมาที่ตัวเธอพร้อมเลือดในกายที่พลุ่งพล่าน

แต่สีหน้าของอิ๋งลู่เวยกลับดูใจเย็นผิดปกติ

เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรไปที่เบอร์หนึ่ง “ฮัลโหล ฉันเอง ฉันไม่ต้องการมือของยัยนั่นแล้ว แต่ฉันต้องการชีวิต”

เวลาสองทุ่ม

กลุ่มคนออกมาจากร้านฮั่นเก๋อ

เบิร์กถือใบรับรองที่อิ๋งจื่อจินเซ็นเรียบร้อย กำลังอารมณ์ดี

“คุณหมอเทวดา ทำไมไปรับปากเขาล่ะ” เซิ่งชิงถังปวดใจ “ผมจะบอกให้นะ มหาวิทยาลัยศิลปะรอยัลไม่ใช่คนดีอะไรหรอกนะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ” อิ๋งจื่อจินหาวออกมา “ยังไงซะฉันก็ไม่ต้องทำอะไร”

แค่เซ็นชื่อเอง

เซิ่งชิงถังถอนหายใจ ขณะที่กำลังจะพูดอะไรต่อ

ทันใดนั้นได้มีรถบรรทุกคันหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็วสูง กำลังพุ่งเข้ามาหาเด็กสาว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ 167 คุณหนูตัวจริงตัวปลอมของตระกูลอิ๋ง

Now you are reading คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ Chapter 167 คุณหนูตัวจริงตัวปลอมของตระกูลอิ๋ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ชื่ออิ๋งลู่เวยได้ดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ

ฟู่อวิ๋นเซินยังเอียงตัวพิงเคาน์เตอร์ พอได้ยินแบบนั้นก็หันมามองแวบหนึ่ง

ดวงตาดอกท้อขรึมลง ลึกล้ำชวนดึงดูด

เขาละสายตากลับมา ก้มมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือ

บนหน้าจอเป็นข้อความที่เพิ่งถูกส่งเข้ามาเมื่อครู่

[คุณชายครับ ตระกูลเจียงประกาศเรื่องถอนหมั้นไปทั่วฮู่เฉิงแล้วครับ]

เรื่องที่ซิวอวี่พูดถึงก็คือเรื่องนี้ เธอทำเสียงจึ๊ “ฉันก็คิดว่าเจียงมั่วหย่วนจะเป็นผู้ชายที่มีความรักลึกซึ้งสักแค่ไหน ที่แท้ก็เหมือนที่คำโบราณว่าไว้ สามีภรรยาดุจนกป่าเดียวกัน เมื่อถึงคราวเคราะห์ก็บินแยกจากกัน”

“หึ” เจียงหรานแสยะยิ้ม “งั้นก็แสดงว่าพวกเธอถูกภาพลักษณ์จอมปลอมของเขาหลอกลวงหนักเอาการเลยนะ เขาเป็นลูกชายของยายแก่คนนั้นได้ เดิมทีก็เป็นพวกไร้เยื่อใยอยู่แล้ว”

อย่าว่าแต่ลูกน้องเลย แม้แต่ซิวอวี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเจียงหรานพูดถึงเรื่องในตระกูลเจียง

“นายหมายถึง เมียคนที่คุณตาของนายแต่งเข้ามาใหม่หลังจากที่คุณยายของนายตายน่ะเหรอ”

ผู้เฒ่าเจียงมีภรรยาสามคน เป็นเรื่องธรรมดามากสำหรับตระกูลเศรษฐี

ภรรยาคนแรกวาสนาน้อย แต่งเข้าตระกูลเจียงได้ไม่กี่วันก็ป่วยตาย ไม่ได้ทิ้งทายาทไว้แม้แต่คนเดียว

ภรรยาคนที่สองก็คือแม่ของเจียงฮว่าผิง แต่เสียไปตอนที่เจียงฮว่าผิงอายุสิบกว่าปี

ตอนที่ผู้เฒ่าเจียงแต่งภรรยาคนที่สาม เขาอายุเกินสี่สิบแล้ว แต่ตอนนั้นภรรยาคนที่สามอายุยังไม่ถึงยี่สิบปี

ภรรยาคนที่สามนี้ก็คือคุณนายผู้เฒ่าเจียงในตอนนี้ มารดาผู้ให้กำเนิดเจียงมั่วหย่วน

“นังจิ้งจอก” เจียงหรานพูดด้วยน้ำเสียงที่ข่มความหงุดหงิดไว้

“ไม่อย่างนั้นคุณยายของฉันไม่มีทางตาย”

ซิวอวี่ความรู้สึกไว ไม่ได้ถามต่อ

อย่างไรก็ตามตอนนี้เจียงหรานกับเจียงฮว่าผิงก็ไม่ใช่คนที่ตระกูลเจียงจะยุ่งด้วยได้

ด้วยอิทธิพลของพวกเขาที่มีในตี้ตูสามารถเอาเรื่องคนในตระกูลเจียงหลายคนจนถึงตายได้

เดิมทีคิดว่างานเลี้ยงฉลองในวันนี้จะผ่านไปอย่างสงบ

แต่เรื่องที่คาดไม่ถึงก็คือ เนื่องจากตำแหน่งที่นั่งข้างอิ๋งจื่อจินเหลือที่เดียว จึงมีสองคนเริ่มทะเลาะกัน

“ไปๆ เจ้าฝรั่งหัวทอง” เซิ่งชิงถังเอามือบังเบิร์กไว้ พยายามเบียดตัวจะเข้าไปนั่งตรงนั้น

“พวกนายมีกลิ่นตัว ฉีดน้ำหอมฉีดโคโลญก็ไม่มีประโยชน์ ฉุนจนอยากจะสลบ”

“ตาแก่หัวดื้อ ปากเสีย!” เบิร์กโมโหสุดๆ “คุณแก่ปูนนี้แล้ว เคี้ยวเนื้อก็ไม่ไหว ยังจะมาแย่งกับผมทำไม”

“เฮอะ ขอโทษนะ” เซิ่งชิงถังยิ้มยิงฟัน “ก่อนหน้านี้ฉันเพิ่งไปเลี่ยมฟันมา”

อิ๋งจื่อจิน “…”

นักเรียนห้องสิบเก้า “…”

นี่กำลังเล่นเก้าอี้ดนตรีกันเหรอ

ผู้เฒ่าจงผ่อนลมหายใจ มีความสุข

ยังดีที่เขาไม่ต้องไปแย่งกับใคร หลานสาวของเขากันที่ไว้ให้แล้ว

สุดท้ายเซิ่งชิงถังกับเบิร์กต่างคนต่างไม่ยอม ที่นั่งตรงนั้นจึงเว้นไว้

“หืม?” หลังจากที่ฟู่อวิ๋นเซินคุยกับบริกรเสร็จก็เห็นที่นั่งข้างอิ๋งจื่อจินว่างอยู่

“เยาเยาเว้นที่ไว้ให้พี่ชายด้วยเหรอ พี่ชายประทับใจจัง”

“เปล่า” อิ๋งจื่อจินเท้าคาง สีหน้าเอื่อยเฉื่อย “ไม่เห็นเหรอว่าเก้าอี้ของคุณถูกเอาออกไปแล้ว”

ฟู่อวิ๋นเซินค่อยๆ ก้มหน้า เห็นเก้าอี้ที่เซิ่งชิงถังยกอยู่ “…”

ได้

เขาไม่ควรคาดหวังว่าเด็กน้อยจะไม่พูดอะไรที่ไร้เยื่อใยออกมา

“ตาแก่หัวดื้อ เพราะคุณเลย!” เบิร์กโมโหฉุนเฉียว “ถ้าไม่ใช่เพราะคุณผมก็ได้นั่งไปแล้ว”

“ฉันไม่สน ฉันไม่ได้นั่ง นายก็อย่าหวังจะได้นั่ง” เซิ่งชิงถังวางเก้าอี้แล้วนั่งข้างเบิร์ก

“ฉันจะจับตาดูนายไว้”

“ฉันว่าไม่สู้เอาแบบนี้ พวกคุณเลิกทะเลาะกัน” จั๋วหลานหันก็จนปัญญา

“ยังไงซะเด็กคนนี้ก็เก่งทุกอย่าง งั้นก็เข้าให้หมดทุกสมาคมไปเลยสิคะ”

เซิ่งชิงถังเบิกตาโพลง “แบบนั้นจะได้ยังไง”

“ได้ๆ!” เบิร์กกลับดีใจ “ครั้งนี้ผมเอาใบรับรองการเชิญอาจารย์พิเศษที่มีชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยศิลปะรอยัลมาด้วย ขอแค่อาจารย์อิ๋งเซ็นชื่อก็เรียบร้อย”

เขาอยู่ในอาณาเขตของคนอื่นย่อมสู้ไม่ได้

เซิ่งชิงถังแค้นที่ตัวเองไม่ได้เอาลูกแตงโมมาด้วย จะได้ทุ่มใส่หัวตาเบิร์กนี่

กลุ่มคนที่อยู่ในฮั่นเก๋อฉลองให้อิ๋งจื่อจินกันอย่างสนุกสนาน แต่จงมั่นหวากลับนั่งเหม่ออยู่ในคฤหาสน์ตระกูลอิ๋งทั้งวัน เหมือนคนไม่มีสติ เรื่องสะเทือนใจครั้งนี้ทำให้สภาพจิตใจของเธอแย่ลง เหมือนเมื่อสิบหกปีก่อน เบื้องหน้าปรากฏภาพลวงตา โชคดีที่เธอมียาเตรียมไว้ หลังจากกินยาเข้าไปถึงสงบสติอารมณ์ได้บ้าง

จงมั่นหวาพยายามอดทนต่อความโกรธภายในจิตใจ “ยังไม่กลับมาเหรอ”

“คุณนายครับ คุณลู่เวยอยู่ระหว่างทางแล้วครับ” วันนี้พ่อบ้านมีท่าทีหวาดกลัวอยู่ตลอด “ช่วงสองวันมานี้เธอเองก็ทุกข์ทรมานมากเหมือนกันครับ”

จงมั่นหวาอยากแสยะยิ้ม

ทุกข์ทรมานเหรอ

นั่นไม่ใช่หาเรื่องใส่ตัวเหรอ

“โทรไปอีกรอบ” จงมั่นหวาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฉันต้องการเจอเธอก่อนหกโมง”

พ่อบ้านขานรับ “ครับคุณนาย”

อิ๋งลู่เวยกลับมาถึงตอนห้าโมงห้าสิบหกนาที

เวลานี้เธอไม่มีอารมณ์จะมัวพูดรักษามารยาทกับจงมั่นหวา สีหน้าเย็นชา “พี่สะใภ้เรียกหาฉันมีอะไรเหรอคะ ฉันยังมีธุระ ค่อนข้างรีบ”

พออิ๋งลู่เวยพูดจบ

“เพล้ง!”

แจกันถูกเขวี้ยงมาทางเธอ และตกแตกในตำแหน่งที่ห่างจากเธอไปแค่นิ้วเดียว เศษแจกันกระเด็นบาดคอเธอ อิ๋งลู่เวยตกใจ ที่มากกว่าคือความโมโห

“พี่สะใภ้อาการกำเริบอีกแล้ว ฉันจะโทรเรียกหมอให้ พี่เรียกฉันกลับมาเพื่อระบายอารมณ์ใส่เหรอ”

เธอได้รับการเอาใจใส่จากผู้ใหญ่ของสี่ตระกูลเศรษฐีมาตั้งแต่เด็กจนโต มีใครกล้าทำกับเธอแบบนี้บ้าง

“อิ๋งลู่เวย ฉันแค้นจนแทบอยากจะฆ่าเธอ!”

น้ำเสียงของจงมั่นหวาแทบจะเค้นเลือดออกมาดวงตาก็แดงก่ำ “ฉันกับพี่ชายของเธอดูแลเธอมาอย่างดี ทำไมเธอถึงทำเรื่องแบบนี้ออกมาได้ ไม่รู้สึกผิดต่อพวกเราเลยเหรอ!”

อิ๋งลู่เวยใจหายวาบ เริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี เธอยิ้ม “พี่สะใภ้พูดเรื่องอะไรกันคะ ฉันทำเรื่องที่ผิดต่อพี่กับพี่ใหญ่เมื่อไรกัน”

“เธอดูเอาเอง!” จงมั่นหวายืนขึ้น ปาจดหมายใส่หน้าอิ๋งลู่เวย “สิบหกปีก่อนทำไมเธอต้องขโมยลูกสาวของฉันไปทิ้งด้วย!”

เปรี้ยง!

คำพูดนี้เหมือนสายฟ้าฟาด ชั่วขณะนั้นสมองของอิ๋งลู่เวยว่างเปล่าในทันที

เธอเบิกตาโพลงมองกระดาษที่เลื่อนตกลงมาจากศีรษะ เลือดในกายหยุดไหลเวียน

เป็นไปไม่ได้

จงมั่นหวารู้เรื่องนี้ได้ยังไง!

พ่อบ้านที่อยู่ข้างๆ ก็ตะลึงเหมือนกัน “คุณลู่เวย”

“สิบหกปีก่อนเธอเพิ่งจะแปดขวบ แปดขวบเองนะ!” จงมั่นหวาร้องไห้พลางตะโกน “ตอนนั้นลูกสาวฉันเพิ่งอายุเท่าไร ยังไม่ถึงขวบ ทำไมเธอถึงได้ใจร้ายขนาดนี้ ขโมยคนที่มีสายเลือดเดียวกันไปทิ้งได้ลงคอเลยเหรอ”

“ไม่…ไม่!” อิ๋งลู่เวยเริ่มตัวสั่น ควบคุมน้ำเสียงไม่ได้

“ไม่เกี่ยวกับฉัน ฉันไม่ได้ทำ เด็กนั่นคลานออกไปเอง!”

“ใช่ ถูกต้อง เด็กคนนั้นคลานออกไปเอง เกี่ยวอะไรกับฉันด้วย”

จงมั่นหวาโกรธจนตัวสั่น “หลักฐานแน่นหนา ยังจะแก้ตัวอีกเหรอ”

อิ๋งลู่เวยจ้องสามชื่อที่อยู่บนกระดาษเขม็ง สติแตกอีกครั้ง “ฉันไม่ได้ทำ ก็บอกแล้วว่าฉันไม่ได้ทำ!”

ทันใดนั้นเธอได้กรีดร้องออกมา เปิดประตูแล้ววิ่งออกไป

พ่อบ้านหันขวับ “คุณนาย?”

จงมั่นหวาแค่ส่ายมือให้ ท่าทางเหมือนเหนื่อยล้าเต็มที “รอเจิ้นถิงกลับมา”

พ่อบ้านลังเลเล็กน้อย “แต่เรื่องนี้ถ้าให้คุณนายผู้เฒ่าทราบ แบบนั้น…”

คำพูดของเขาถูกขัดจังหวะด้วยเสียงโทรศัพท์

เป็นเสียงโทรศัพท์บ้าน

จงมั่นหวาไม่ได้มีท่าทีจะรับ พ่อบ้านจึงเข้าไปรับ “สวัสดีครับ ว่าไงนะ!”

สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปมาก หันหน้าไป “คุณนายครับ คนที่ส่งจดหมายมาครับ”

จงมั่นหวาถึงได้สติ ลุกพรวดทันที “ฮัลโหล พวกคุณต้องการอะไรกันแน่”

“ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น” เสียงปลายสายแยกไม่ออกว่าชายหรือหญิง

“แค่หวังดีอยากช่วยพวกคุณสืบเรื่องที่พวกคุณสืบไม่ได้ให้มันกระจ่างสักที”

ประโยคนี้กลับทำให้จงมั่นหวาใบหน้าแดงก่ำ

ถ้าบอกว่าสืบไม่ได้จริง นั่นเป็นไปไม่ได้

แต่ตระกูลอิ๋งสืบอยู่แค่สองปีก็ไม่ได้สืบอีก

เพราะตอนนั้นตระกูลอิ๋งมีคุณหนูใหญ่คนใหม่แล้ว

“แค่นั้นจริงเหรอ” จงมั่นหวาไม่เชื่อ “พวกคุณไม่ได้หวังอะไรจากตระกูลอิ๋งเหรอ”

“หึ” ราวกับได้ยินอะไรที่น่าขำ ปลายสายหัวเราะ “หวังอะไรงั้นเหรอ ตระกูลอิ๋งของพวกคุณไม่คู่ควรหรอก แต่มีอยู่เรื่องที่สงสัยเหลือเกิน”

“ตระกูลอิ๋งคิดจะจัดการเรื่องนี้ยังไง ไม่ให้ความยุติธรรมกับคุณจื่อจินหน่อยเหรอ”

“พวกคุณพูดจาเหลวไหลอะไร ใช่ คุณหนูใหญ่หายไปจากตระกูลอิ๋ง แต่หายไปไม่นานพวกเราก็ตามหากลับมาได้ พวกเราก็แค่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ” จงมั่นหวาพยายามข่มเสียงตัวเองไม่ให้สั่น “จื่อจินเป็นลูกสาวที่ฉันรับมาเลี้ยง ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องเมื่อสิบหกปีก่อน คุณอย่าพูดมั่ว”

ปลายสายเงียบไปสักพัก จากนั้นก็ยิ้ม ครั้งนี้น้ำเสียงเย็นชาลงไปมาก “ดีมาก คุณนายอิ๋งเลือกแบบนี้”

“หวังว่าจะไม่เสียใจภายหลัง”

อีกด้านหนึ่ง

อิ๋งลู่เวยกลับคอนโดของตัวเอง จากนั้นก็เห็นเวยปั๋วที่เจียงซื่อกรุ๊ปโพสต์เรื่องถอนหมั้น

ชั่วขณะนั้นความหวาดกลัว ความหวาดระแวง ความอับอาย สารพัดความรู้สึกได้ประเดประดังมาที่ตัวเธอพร้อมเลือดในกายที่พลุ่งพล่าน

แต่สีหน้าของอิ๋งลู่เวยกลับดูใจเย็นผิดปกติ

เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรไปที่เบอร์หนึ่ง “ฮัลโหล ฉันเอง ฉันไม่ต้องการมือของยัยนั่นแล้ว แต่ฉันต้องการชีวิต”

เวลาสองทุ่ม

กลุ่มคนออกมาจากร้านฮั่นเก๋อ

เบิร์กถือใบรับรองที่อิ๋งจื่อจินเซ็นเรียบร้อย กำลังอารมณ์ดี

“คุณหมอเทวดา ทำไมไปรับปากเขาล่ะ” เซิ่งชิงถังปวดใจ “ผมจะบอกให้นะ มหาวิทยาลัยศิลปะรอยัลไม่ใช่คนดีอะไรหรอกนะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ” อิ๋งจื่อจินหาวออกมา “ยังไงซะฉันก็ไม่ต้องทำอะไร”

แค่เซ็นชื่อเอง

เซิ่งชิงถังถอนหายใจ ขณะที่กำลังจะพูดอะไรต่อ

ทันใดนั้นได้มีรถบรรทุกคันหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็วสูง กำลังพุ่งเข้ามาหาเด็กสาว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+