คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ 233 มู่เฉินโจวไม่มีคุณสมบัติ

Now you are reading คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ Chapter 233 มู่เฉินโจวไม่มีคุณสมบัติ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

อย่างไรเสียต่อให้เป็นช่วงก่อนศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ภายในตระกูลจอมยุทธ์ที่เฟื่องฟูเหล่านั้นก็ใช่ว่าสมาชิกทุกคนในตระกูลจะฝึกฝนกำลังภายในจนสำเร็จได้

นับตั้งแต่ตระกูลจอมยุทธ์ทั้งหมดกลับเข้าสู่วงการจอมยุทธ์ สมาชิกตระกูลที่ฝึกฝนกำลังภายในออกมาไม่ได้ก็ต่างถูกขับไล่ออกจากวงการไป

ไม่ใช่แค่เมืองตี้ตูหรือเมืองฮู่เฉิงกับเมืองใหญ่เมืองอื่นๆ ก็มีสำนักฝึกอยู่บ้างเช่นกัน สำนักฝึกเหล่านี้ส่วนใหญ่คนที่เปิดจะเป็นคนในวงการจอมยุทธ์ที่ถูกขับไล่ออกมา มีส่วนน้อยที่ไปบวชวัดเส้าหลิน

ส่วนแพทย์แผนโบราณก็จะต้องฝึกวิทยายุทธ์ให้ได้เช่นกัน เพราะการมีกำลังภายในที่มากพอเท่านั้นถึงจะสามารถทำให้พวกเขาใช้วิธีฝังเข็มโบราณได้มากยิ่งขึ้น แต่แพทย์แผนโบราณจะฝึกวิทยายุทธ์แค่ขั้นพื้นฐานเท่านั้นเทียบชั้นกับจอมยุทธ์ที่แท้จริงไม่ได้

ในทางตรงกันข้าม เนื่องจากการปรุงสมุนไพรหายากทำให้ตัวเองต้องทดลองยา สุขภาพของพวกเขาจึงแข็งแรงสู้คนปกติไม่ได้ด้วยซ้ำ มีจำนวนไม่น้อยที่ตายตั้งแต่อายุยังไม่มาก เว้นเสียแต่ว่ามีคนที่ฝึกจนเป็นได้ทั้งจอมยุทธ์กับแพทย์แผนโบราณจริงๆ

สิ่งที่น่าเสียดายคือคนแบบนี้ไม่มีอยู่จริง ผ่านมาตั้งกี่ปีแล้วยังไม่มีให้เห็นจากวงการแพทย์แผนโบราณกับวงการจอมยุทธ์

ถ้าอยากจะฝึกเป็นทั้งจอมยุทธ์กับแพทย์แผนโบราณ คำว่าอัจฉริยะคงไม่เพียงพอให้ใช้ขยายความ ดังนั้นเพื่อเป็นการปกป้องสมาชิกของตระกูล ตระกูลแพทย์แผนโบราณแต่ละรุ่นจึงมีการเกี่ยวดองกับตระกูลจอมยุทธ์ด้วยการแต่งงาน

ไม่ว่าจะเป็นวงการแพทย์แผนโบราณในประเทศจีนหรือวงการเล่นแร่แปรธาตุของยุโรป ในระดับสากลไม่มีอิทธิพลใหญ่อิทธิพลไหนที่จะกล้าไปล่วงเกิน ไม่ว่าใครต่างก็ต้องเจ็บป่วย และก็มีเพียงหมอเทวดาเท่านั้นถึงจะช่วยฉุดขึ้นมาจากความเป็นความตายได้

ตระกูลเมิ่งเป็นตระกูลแพทย์แผนโบราณตระกูลเดียวที่ยังมีข่าวคราวในตี้ตู

แต่ก็มีแค่มู่เฮ่อชิง ผู้เฒ่าเนี่ย เนี่ยอี้ คนเหล่านี้เท่านั้นที่รู้ว่าตระกูลเมิ่งเป็นแพทย์แผนโบราณ ไม่ใช่แพทย์แผนจีน ถึงแม้มู่เฉินโจวจะอยู่ในตระกูลมู่ แต่ก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้คลุกคลีหัวใจหลักของตี้ตู เขาย่อมไม่รู้เรื่องนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าคุณนายมู่เป็นเพียงนายหญิงธรรมดาของบ้าน

อิ๋งจื่อจินพับหน้าจอ เริ่มรู้สึกสนใจ “ประวัติของตระกูลเมิ่งยาวนานแค่ไหน”

ถึงแม้จะผ่านมานานมากแล้ว แต่เธอก็ยังพอจำชื่อของบรรดาลูกศิษย์ได้

เธอมีลูกศิษย์คนหนึ่งแซ่ฝู

แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าหลังจากนั้นลูกศิษย์ของเธอเปลี่ยนแซ่ เธอเคยทำนายให้ลูกศิษย์คนนี้ ชื่อของเขาไม่ค่อยดีเท่าไร ส่งผลต่อดวงชะตา

“ไม่ได้สั้นเมื่อเทียบกับตระกูลมู่” ฟู่อวิ๋นเซินพยักหน้า “ไม่ถึงสองร้อยปี”

อิ๋งจื่อจินพยักหน้าเล็กน้อย

ดูท่าจะไม่ใช่ลูกศิษย์ของเธอ

งั้นเธอไม่สนใจแล้ว

“เมื่อก่อนตระกูลเมิ่งรักษาอาการป่วยของผู้เฒ่ามู่มาตลอด” ฟู่อวิ๋นเซินพูด “เพียงแต่รักษาไม่หายขาด มักจะมีอาการหลงเหลืออยู่เสมอ”

“หลังจากที่เยาเยารักษาผู้เฒ่ามู่ ทางตระกูลเมิ่งยังเกิดความคิดอยากเชิญเธอไปที่บ้านของพวกเขา”

“ไม่ไป” อิ๋งจื่อจินไม่เงยหน้า “เกษียณแล้ว”

ทันใดนั้นฟู่อวิ๋นเซินก็ยิ้มออกมา เขาลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปลูบศีรษะของเธออย่างเป็นธรรมชาติ

พูดด้วยน้ำเสียงกึ่งหยอกล้อ

“เด็กน้อย เธอเพิ่งจะอายุเท่าไร อย่าแย่งคำพูดพี่ชายสิ”

ดวงตาสีอำพันอ่อนของเขาวูบไหวเล็กน้อย คล้ายดวงดาว ระยิบระยับ สุกสกาว ยามมองเธอสายตาของเขาจะอ่อนโยนลงอย่างไม่รู้ตัวเสมอเก็บซ่อนความโหดเหี้ยมเอาไว้ในส่วนลึก เหลือเพียงความอ่อนโยนที่ออกมาจากใจ

กลิ่นไม้กฤษณาหอมอ่อนๆ โอบล้อมบริเวณหลังใบหูของเธอ มือของอิ๋งจื่อจินที่อยู่บนแป้นคีย์บอร์ดหยุดชะงัก

“ไม่ไปก็ดี” สีหน้าของเขาดูล้าเล็กน้อย

“พี่ชายน่ะ มีเรื่องขัดแย้งกับตระกูลเมิ่ง ถ้าเธอไป แบบนั้นจะจัดการยาก”

อิ๋งจื่อจินรู้สึกคาดไม่ถึงนิดหน่อย “ขัดแย้งอะไรกันเหรอ”

ฟู่อวิ๋นเซินกลับไปนั่งที่โซฟาดวงตาหรี่ลง

“พี่ชายเคยไปทำสมาชิกสายตรงในครอบครัวพวกเขาจนพิการเพราะเรื่องบางอย่าง ก็เลยถูกไล่ฆ่าระยะหนึ่ง”

เขาพูดเสียงเนือย เจือไปด้วยความเซ็กซี่เล็กๆ

เล่าเรื่องนี้ราวกับกำลังบอกว่าจิบชาสักถ้วยสิ

“…”

อิ๋งจื่อจินหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา “ยังมีเวลาอีกหนึ่งชั่วโมง เล่นเกมกันไหม”

ฟู่อวิ๋นเซินไม่ปฏิเสธ ทั้งสองคนล็อกอินเข้าเกม อยู่ทีมเดียวกันระหว่างที่ควบคุมตัวละครในเกมอยู่นั้นเธอก็เงยหน้าเลิกคิ้วมองฟู่อวิ๋นเซิน

นิ้วเรียวยาวของเขาขยับอยู่บนหน้าจอ ไม่รีบร้อน แต่ทุกครั้งที่ปล่อยสกิลของตัวละครจะแม่นยำมาก

เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว ช่วยขับให้ใบหน้าโดดเด่นสยบใจผู้ที่พบเห็นมีเสน่ห์เย้ายวน

เกรงว่าตอนนี้ประธานกับพวกนักสืบหัวหน้านักสืบของไอบีไอจะยังไม่รู้ว่า ผู้บัญชาการสูงสุดของพวกเขาก็อยู่ในรายชื่อหมายจับของพวกเขาเหมือนกัน

งานเต้นรำครั้งนี้ได้เชิญคนดังทั้งหมดของฮู่เฉิงมาร่วมงาน ตระกูลฟู่ก็ย่อมอยู่ด้วย หลังจากที่ซูหร่วนกับฟู่อี้หันเต้นรำเสร็จก็ไปพักผ่อนด้านข้าง

เธอย่อมเห็นฟู่อวิ๋นเซินแล้ว แต่ก็แค่เหลือบมองแวบหนึ่ง

คิดว่าเธอไม่รู้เหรอว่าที่ฟู่อวิ๋นเซินมาร่วมงานได้เป็นเพราะผู้เฒ่าฟู่

แต่ฟู่อี้หันไม่เหมือนกัน เขามีบัตรเชิญของตัวเอง

ใครเหนือกว่าแค่ดูก็รู้แล้ว

“เสี่ยวหร่วน คุณนั่งรอที่นี่ก่อนนะ” ฟู่อี้หันพูด “ผมมีธุระนิดหน่อยจะไปหารือกับคุณพ่อ”

“ไปเถอะค่ะ” ซูหร่วนส่ายมือ “ฉันอยู่คนเดียวได้”

เธอก็รู้ว่าอีกสักครู่จะมีงานประมูล

ในรายการของที่นำมาประมูลมีสร้อยคอเส้นหนึ่งที่เธอชอบมาก เธอคิดจะประมูลมัน

หลังจากที่ซูหร่วนกินขนมไปหนึ่งชิ้นก็เห็นบริกรถือค็อกเทลเดินผ่านมา สายตาของเธอหยุดชะงัก

เธอเรียกบริกรแล้วชี้ไปที่ถาด “ฉันขอแก้วนี้”

นั่นเป็นแก้วที่ประณีตมากใบหนึ่ง ดูหรูหรา ทั้งยังมีกลิ่นอายโบราณ ค็อกเทลที่อยู่ในนั้นก็ถูกทำขึ้นมาพิเศษ แตกต่างจากแก้วอื่น ซูหร่วนถูกใจตั้งแต่แวบแรกที่เห็น

บริกรอึ้ง รีบบอก “คุณนายน้อยฟู่ครับ คือแก้วนี้…”

ซูหร่วนเห็นเขาไม่ขยับจึงเอื้อมมือมาหยิบเอง

เธอจิบค็อกเทลด้วยท่วงท่าที่สง่างาม ทั้งยังจงใจทิ้งรอยลิปสติกสีแดงไว้บนแก้ว

จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “แก้วนี้มีอะไร”

บริกรร้อนใจ “แก้วนี้เป็นแก้วเฉพาะของแขกท่านอื่น ไม่ใช่แก้วของทางโรงแรมครับ”

“แก้วเฉพาะอะไรกัน” ซูหร่วนแสยะยิ้ม

“หรือฉันไม่มีแม้กระทั่งสิทธิ์ที่จะใช้แก้วใบหนึ่ง ฉันชอบ มันก็คือของฉัน”

เธอถูกเอาใจมาตั้งแต่เด็กจนโต อวดดีจนชิน ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องผิดอะไร

บริกรร้อนใจยิ่งกว่าเดิม เขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี

จนกระทั่งเขาเห็นเด็กสาวที่ไปหยิบขนมเค้กเดินมาในที่สุดก็หาคนช่วยชีวิตได้แล้ว

“คุณอิ๋งครับ แก้วของคุณ…”

“อ่อ ของเธอเหรอ” ซูหร่วนจำอิ๋งจื่อจินได้ตั้งแต่แวบแรก พูดด้วยน้ำเสียงยโส

“โทษทีนะ ฉันใช้แก้วของเธอไปแล้ว”

เธอต้องการให้ฟู่อวิ๋นเซินเห็นว่า ไม่ใช่ทุกคนจะเทียบกับเธอได้

อิ๋งจื่อจินหลุบตาลงมอง ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ

“สกปรกแล้ว ทิ้งไปเถอะ”

เธอเป็นโรครักสะอาด ด้วยเหตุนี้จึงพกอุปกรณ์กินอาหารส่วนตัวมาเองตลอด

รอยยิ้มบนใบหน้าซูหร่วนค้างเติ่ง

สีหน้าของเธอเริ่มเขียวทีละนิดจนสุดท้ายกลายเป็นบึ้งตึง โมโหจนตัวสั่น “ดูถูกฉันเหรอ”

อิ๋งจื่อจินหาวออกมา หันหน้าไป “คงงั้นมั้ง”

“คุณล่ะ” ไม่ว่าอย่างไรซูหร่วนก็สงบสติอารมณ์ไม่ได้ เธอหันขวับดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธ

“ปล่อยให้เธอทำอย่างนี้กับฉันเหรอ”

ฟู่อวิ๋นเซินเหลือบตาขึ้นอย่างเฉื่อยชา เชิดคางขึ้นเพื่อบอกบริกรที่อยู่ข้างๆ

“คิดเงินกับเธอ”

บริกรหยิบสมุดเขียนบิลที่พกติดตัวออกมาเขียนแล้วยื่นให้ซูหร่วน

ตัวเลขสีดำชัดเจน

แก้วหยกชั้นสูง

ราคาห้าแสน

สีหน้าของซูหร่วนชะงัก ใบหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย คล้ายกับถูกตบกลางอากาศ ปวดแสบปวดร้อน ถึงแม้ว่าเงินห้าแสนจะไม่เท่าไรสำหรับเธอ แต่นี่เป็นการตบหน้าเธอสร้างความอับอายอย่างเห็นได้ชัด

“โอนเงินมาในสิบนาที” ฟู่อวิ๋นเซินไม่มองเธออีก “คงไม่ต้องให้ทวงนะ”

ซูหร่วนโกรธจนน้ำตาไหล มือสั่น “ฟู่อวิ๋นเซิน คอยดูเถอะ!”

เธอวิ่งร้องไห้ออกไปแล้ว

“โชคดีที่ยังไม่ได้ใช้” อิ๋งจื่อจินเช็ดมือ “น่าขยะแขยง”

“ไม่เป็นไร ได้เงินมาห้าแสนฟรีๆ” ฟู่อวิ๋นเซินแสยะยิ้ม

“ซื้อใหม่ได้อีกตั้งหลายพันใบ”

แก้วใบนั้นย่อมไม่ใช่แก้วหยกชั้นสูงจริงๆ เป็นแก้วยกโหลที่อิ๋งจื่อจินซื้อมาจากเว็บสตาร์

ใบละสิบห้าหยวน

เธอไม่เคยตระหนี่เรื่องกิน แต่กลับไม่ได้อะไรมากกับของใช้

ประหยัดได้ก็ประหยัด

อิ๋งจื่อจินจับศีรษะ “พวกเราไปทางนั้นกัน”

เมื่อใกล้เริ่มงานประมูล เหล่าบริกรก็ขนย้ายโต๊ะอาหารออกไปเปลี่ยนเป็นเก้าอี้

อิ๋งจื่อจินนั่งอยู่ตรงมุมสุดหลับตาพักสายตา

เครื่องเคลือบลายครามแดงที่มู่เฮ่อชิงต้องการให้เธอประมูลเป็นของประมูลชิ้นรองสุดท้าย ตอนนี้ยังเร็วเกินไป

เธอเองก็ดูรายการของประมูลแล้ว ไม่มีชิ้นไหนที่สนใจ

ของประมูลสิบชิ้นเสร็จไปอย่างรวดเร็ว ราคาประมูลที่แพงที่สุดเป็นสร้อยคอ จบที่ราคาสิบเก้าล้าน

“ของประมูลชิ้นต่อไปคือดอกทิวลิปหนึ่งดอกครับ” นักประมูลที่อยู่บนเวทีพูด “เป็นพันธุ์ผสมที่หาได้ยากมากราคาเริ่มต้นที่หนึ่งหมื่นครับ”

อิ๋งจื่อจินลืมตาขึ้น สายตาจับจ้อง

เธอมองออกตั้งแต่แวบแรกว่านั่นไม่ใช่ดอกทิวลิป แต่เป็นหลิงจือหิมะ

แต่เนื่องจากลักษณะภายนอกของหลิงจือหิมะคล้ายคลึงกับดอกทิวลิปมาก คนทั่วไปจึงแยกไม่ออก หลิงจือหิมะเป็นสมุนไพรหายากชนิดหนึ่งแก้ได้สารพัดพิษเมื่อก่อนเธอก็เคยใช้มัน

อิ๋งจื่อจินนึกไม่ถึงว่าปัจจุบันนี้ทรัพยากรบนโลกมนุษย์ถูกทำลายถึงขั้นนี้แล้ว หลิงจือหิมะยังเจริญเติบโตขึ้นมาได้อีก

เธอครุ่นคิดแล้วหยิบป้ายประมูล “หนึ่งล้าน”

ตัวเลขนี้ได้ดึงดูดสายตาทุกคู่ในงาน ต่างอดตะลึงไม่ได้ มู่เฉินโจวหันไปมองสีหน้าของผู้ชายข้างตัวทันที เขารู้ว่าที่ตระกูลเมิ่งมางานครั้งนี้ก็เพื่อของสิ่งนี้

แต่จะให้พวกเขาซื้อด้วยเงินหนึ่งล้านนั่นเป็นไปไม่ได้ เดิมทีตระกูลเมิ่งคิดไว้ว่าอย่างมากสุดก็แค่ห้าหมื่น มู่เฉินโจวยืนขึ้นสั่งให้หยุดการประมูล

“ผมขอให้ประมูลของชิ้นนี้ใหม่ครับ แต่คุณอิ๋งห้ามเข้าร่วม หรือ…”

เขาหยุดชั่วครู่

“คุณยอมสละดอกทิวลิปดอกนี้ก็ได้เหมือนกัน ก็จะไม่มีเรื่องต้องวุ่นวายเท่าไรแล้วครับ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ 233 มู่เฉินโจวไม่มีคุณสมบัติ

Now you are reading คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ Chapter 233 มู่เฉินโจวไม่มีคุณสมบัติ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

อย่างไรเสียต่อให้เป็นช่วงก่อนศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ภายในตระกูลจอมยุทธ์ที่เฟื่องฟูเหล่านั้นก็ใช่ว่าสมาชิกทุกคนในตระกูลจะฝึกฝนกำลังภายในจนสำเร็จได้

นับตั้งแต่ตระกูลจอมยุทธ์ทั้งหมดกลับเข้าสู่วงการจอมยุทธ์ สมาชิกตระกูลที่ฝึกฝนกำลังภายในออกมาไม่ได้ก็ต่างถูกขับไล่ออกจากวงการไป

ไม่ใช่แค่เมืองตี้ตูหรือเมืองฮู่เฉิงกับเมืองใหญ่เมืองอื่นๆ ก็มีสำนักฝึกอยู่บ้างเช่นกัน สำนักฝึกเหล่านี้ส่วนใหญ่คนที่เปิดจะเป็นคนในวงการจอมยุทธ์ที่ถูกขับไล่ออกมา มีส่วนน้อยที่ไปบวชวัดเส้าหลิน

ส่วนแพทย์แผนโบราณก็จะต้องฝึกวิทยายุทธ์ให้ได้เช่นกัน เพราะการมีกำลังภายในที่มากพอเท่านั้นถึงจะสามารถทำให้พวกเขาใช้วิธีฝังเข็มโบราณได้มากยิ่งขึ้น แต่แพทย์แผนโบราณจะฝึกวิทยายุทธ์แค่ขั้นพื้นฐานเท่านั้นเทียบชั้นกับจอมยุทธ์ที่แท้จริงไม่ได้

ในทางตรงกันข้าม เนื่องจากการปรุงสมุนไพรหายากทำให้ตัวเองต้องทดลองยา สุขภาพของพวกเขาจึงแข็งแรงสู้คนปกติไม่ได้ด้วยซ้ำ มีจำนวนไม่น้อยที่ตายตั้งแต่อายุยังไม่มาก เว้นเสียแต่ว่ามีคนที่ฝึกจนเป็นได้ทั้งจอมยุทธ์กับแพทย์แผนโบราณจริงๆ

สิ่งที่น่าเสียดายคือคนแบบนี้ไม่มีอยู่จริง ผ่านมาตั้งกี่ปีแล้วยังไม่มีให้เห็นจากวงการแพทย์แผนโบราณกับวงการจอมยุทธ์

ถ้าอยากจะฝึกเป็นทั้งจอมยุทธ์กับแพทย์แผนโบราณ คำว่าอัจฉริยะคงไม่เพียงพอให้ใช้ขยายความ ดังนั้นเพื่อเป็นการปกป้องสมาชิกของตระกูล ตระกูลแพทย์แผนโบราณแต่ละรุ่นจึงมีการเกี่ยวดองกับตระกูลจอมยุทธ์ด้วยการแต่งงาน

ไม่ว่าจะเป็นวงการแพทย์แผนโบราณในประเทศจีนหรือวงการเล่นแร่แปรธาตุของยุโรป ในระดับสากลไม่มีอิทธิพลใหญ่อิทธิพลไหนที่จะกล้าไปล่วงเกิน ไม่ว่าใครต่างก็ต้องเจ็บป่วย และก็มีเพียงหมอเทวดาเท่านั้นถึงจะช่วยฉุดขึ้นมาจากความเป็นความตายได้

ตระกูลเมิ่งเป็นตระกูลแพทย์แผนโบราณตระกูลเดียวที่ยังมีข่าวคราวในตี้ตู

แต่ก็มีแค่มู่เฮ่อชิง ผู้เฒ่าเนี่ย เนี่ยอี้ คนเหล่านี้เท่านั้นที่รู้ว่าตระกูลเมิ่งเป็นแพทย์แผนโบราณ ไม่ใช่แพทย์แผนจีน ถึงแม้มู่เฉินโจวจะอยู่ในตระกูลมู่ แต่ก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้คลุกคลีหัวใจหลักของตี้ตู เขาย่อมไม่รู้เรื่องนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าคุณนายมู่เป็นเพียงนายหญิงธรรมดาของบ้าน

อิ๋งจื่อจินพับหน้าจอ เริ่มรู้สึกสนใจ “ประวัติของตระกูลเมิ่งยาวนานแค่ไหน”

ถึงแม้จะผ่านมานานมากแล้ว แต่เธอก็ยังพอจำชื่อของบรรดาลูกศิษย์ได้

เธอมีลูกศิษย์คนหนึ่งแซ่ฝู

แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าหลังจากนั้นลูกศิษย์ของเธอเปลี่ยนแซ่ เธอเคยทำนายให้ลูกศิษย์คนนี้ ชื่อของเขาไม่ค่อยดีเท่าไร ส่งผลต่อดวงชะตา

“ไม่ได้สั้นเมื่อเทียบกับตระกูลมู่” ฟู่อวิ๋นเซินพยักหน้า “ไม่ถึงสองร้อยปี”

อิ๋งจื่อจินพยักหน้าเล็กน้อย

ดูท่าจะไม่ใช่ลูกศิษย์ของเธอ

งั้นเธอไม่สนใจแล้ว

“เมื่อก่อนตระกูลเมิ่งรักษาอาการป่วยของผู้เฒ่ามู่มาตลอด” ฟู่อวิ๋นเซินพูด “เพียงแต่รักษาไม่หายขาด มักจะมีอาการหลงเหลืออยู่เสมอ”

“หลังจากที่เยาเยารักษาผู้เฒ่ามู่ ทางตระกูลเมิ่งยังเกิดความคิดอยากเชิญเธอไปที่บ้านของพวกเขา”

“ไม่ไป” อิ๋งจื่อจินไม่เงยหน้า “เกษียณแล้ว”

ทันใดนั้นฟู่อวิ๋นเซินก็ยิ้มออกมา เขาลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปลูบศีรษะของเธออย่างเป็นธรรมชาติ

พูดด้วยน้ำเสียงกึ่งหยอกล้อ

“เด็กน้อย เธอเพิ่งจะอายุเท่าไร อย่าแย่งคำพูดพี่ชายสิ”

ดวงตาสีอำพันอ่อนของเขาวูบไหวเล็กน้อย คล้ายดวงดาว ระยิบระยับ สุกสกาว ยามมองเธอสายตาของเขาจะอ่อนโยนลงอย่างไม่รู้ตัวเสมอเก็บซ่อนความโหดเหี้ยมเอาไว้ในส่วนลึก เหลือเพียงความอ่อนโยนที่ออกมาจากใจ

กลิ่นไม้กฤษณาหอมอ่อนๆ โอบล้อมบริเวณหลังใบหูของเธอ มือของอิ๋งจื่อจินที่อยู่บนแป้นคีย์บอร์ดหยุดชะงัก

“ไม่ไปก็ดี” สีหน้าของเขาดูล้าเล็กน้อย

“พี่ชายน่ะ มีเรื่องขัดแย้งกับตระกูลเมิ่ง ถ้าเธอไป แบบนั้นจะจัดการยาก”

อิ๋งจื่อจินรู้สึกคาดไม่ถึงนิดหน่อย “ขัดแย้งอะไรกันเหรอ”

ฟู่อวิ๋นเซินกลับไปนั่งที่โซฟาดวงตาหรี่ลง

“พี่ชายเคยไปทำสมาชิกสายตรงในครอบครัวพวกเขาจนพิการเพราะเรื่องบางอย่าง ก็เลยถูกไล่ฆ่าระยะหนึ่ง”

เขาพูดเสียงเนือย เจือไปด้วยความเซ็กซี่เล็กๆ

เล่าเรื่องนี้ราวกับกำลังบอกว่าจิบชาสักถ้วยสิ

“…”

อิ๋งจื่อจินหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา “ยังมีเวลาอีกหนึ่งชั่วโมง เล่นเกมกันไหม”

ฟู่อวิ๋นเซินไม่ปฏิเสธ ทั้งสองคนล็อกอินเข้าเกม อยู่ทีมเดียวกันระหว่างที่ควบคุมตัวละครในเกมอยู่นั้นเธอก็เงยหน้าเลิกคิ้วมองฟู่อวิ๋นเซิน

นิ้วเรียวยาวของเขาขยับอยู่บนหน้าจอ ไม่รีบร้อน แต่ทุกครั้งที่ปล่อยสกิลของตัวละครจะแม่นยำมาก

เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว ช่วยขับให้ใบหน้าโดดเด่นสยบใจผู้ที่พบเห็นมีเสน่ห์เย้ายวน

เกรงว่าตอนนี้ประธานกับพวกนักสืบหัวหน้านักสืบของไอบีไอจะยังไม่รู้ว่า ผู้บัญชาการสูงสุดของพวกเขาก็อยู่ในรายชื่อหมายจับของพวกเขาเหมือนกัน

งานเต้นรำครั้งนี้ได้เชิญคนดังทั้งหมดของฮู่เฉิงมาร่วมงาน ตระกูลฟู่ก็ย่อมอยู่ด้วย หลังจากที่ซูหร่วนกับฟู่อี้หันเต้นรำเสร็จก็ไปพักผ่อนด้านข้าง

เธอย่อมเห็นฟู่อวิ๋นเซินแล้ว แต่ก็แค่เหลือบมองแวบหนึ่ง

คิดว่าเธอไม่รู้เหรอว่าที่ฟู่อวิ๋นเซินมาร่วมงานได้เป็นเพราะผู้เฒ่าฟู่

แต่ฟู่อี้หันไม่เหมือนกัน เขามีบัตรเชิญของตัวเอง

ใครเหนือกว่าแค่ดูก็รู้แล้ว

“เสี่ยวหร่วน คุณนั่งรอที่นี่ก่อนนะ” ฟู่อี้หันพูด “ผมมีธุระนิดหน่อยจะไปหารือกับคุณพ่อ”

“ไปเถอะค่ะ” ซูหร่วนส่ายมือ “ฉันอยู่คนเดียวได้”

เธอก็รู้ว่าอีกสักครู่จะมีงานประมูล

ในรายการของที่นำมาประมูลมีสร้อยคอเส้นหนึ่งที่เธอชอบมาก เธอคิดจะประมูลมัน

หลังจากที่ซูหร่วนกินขนมไปหนึ่งชิ้นก็เห็นบริกรถือค็อกเทลเดินผ่านมา สายตาของเธอหยุดชะงัก

เธอเรียกบริกรแล้วชี้ไปที่ถาด “ฉันขอแก้วนี้”

นั่นเป็นแก้วที่ประณีตมากใบหนึ่ง ดูหรูหรา ทั้งยังมีกลิ่นอายโบราณ ค็อกเทลที่อยู่ในนั้นก็ถูกทำขึ้นมาพิเศษ แตกต่างจากแก้วอื่น ซูหร่วนถูกใจตั้งแต่แวบแรกที่เห็น

บริกรอึ้ง รีบบอก “คุณนายน้อยฟู่ครับ คือแก้วนี้…”

ซูหร่วนเห็นเขาไม่ขยับจึงเอื้อมมือมาหยิบเอง

เธอจิบค็อกเทลด้วยท่วงท่าที่สง่างาม ทั้งยังจงใจทิ้งรอยลิปสติกสีแดงไว้บนแก้ว

จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “แก้วนี้มีอะไร”

บริกรร้อนใจ “แก้วนี้เป็นแก้วเฉพาะของแขกท่านอื่น ไม่ใช่แก้วของทางโรงแรมครับ”

“แก้วเฉพาะอะไรกัน” ซูหร่วนแสยะยิ้ม

“หรือฉันไม่มีแม้กระทั่งสิทธิ์ที่จะใช้แก้วใบหนึ่ง ฉันชอบ มันก็คือของฉัน”

เธอถูกเอาใจมาตั้งแต่เด็กจนโต อวดดีจนชิน ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องผิดอะไร

บริกรร้อนใจยิ่งกว่าเดิม เขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี

จนกระทั่งเขาเห็นเด็กสาวที่ไปหยิบขนมเค้กเดินมาในที่สุดก็หาคนช่วยชีวิตได้แล้ว

“คุณอิ๋งครับ แก้วของคุณ…”

“อ่อ ของเธอเหรอ” ซูหร่วนจำอิ๋งจื่อจินได้ตั้งแต่แวบแรก พูดด้วยน้ำเสียงยโส

“โทษทีนะ ฉันใช้แก้วของเธอไปแล้ว”

เธอต้องการให้ฟู่อวิ๋นเซินเห็นว่า ไม่ใช่ทุกคนจะเทียบกับเธอได้

อิ๋งจื่อจินหลุบตาลงมอง ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ

“สกปรกแล้ว ทิ้งไปเถอะ”

เธอเป็นโรครักสะอาด ด้วยเหตุนี้จึงพกอุปกรณ์กินอาหารส่วนตัวมาเองตลอด

รอยยิ้มบนใบหน้าซูหร่วนค้างเติ่ง

สีหน้าของเธอเริ่มเขียวทีละนิดจนสุดท้ายกลายเป็นบึ้งตึง โมโหจนตัวสั่น “ดูถูกฉันเหรอ”

อิ๋งจื่อจินหาวออกมา หันหน้าไป “คงงั้นมั้ง”

“คุณล่ะ” ไม่ว่าอย่างไรซูหร่วนก็สงบสติอารมณ์ไม่ได้ เธอหันขวับดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธ

“ปล่อยให้เธอทำอย่างนี้กับฉันเหรอ”

ฟู่อวิ๋นเซินเหลือบตาขึ้นอย่างเฉื่อยชา เชิดคางขึ้นเพื่อบอกบริกรที่อยู่ข้างๆ

“คิดเงินกับเธอ”

บริกรหยิบสมุดเขียนบิลที่พกติดตัวออกมาเขียนแล้วยื่นให้ซูหร่วน

ตัวเลขสีดำชัดเจน

แก้วหยกชั้นสูง

ราคาห้าแสน

สีหน้าของซูหร่วนชะงัก ใบหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย คล้ายกับถูกตบกลางอากาศ ปวดแสบปวดร้อน ถึงแม้ว่าเงินห้าแสนจะไม่เท่าไรสำหรับเธอ แต่นี่เป็นการตบหน้าเธอสร้างความอับอายอย่างเห็นได้ชัด

“โอนเงินมาในสิบนาที” ฟู่อวิ๋นเซินไม่มองเธออีก “คงไม่ต้องให้ทวงนะ”

ซูหร่วนโกรธจนน้ำตาไหล มือสั่น “ฟู่อวิ๋นเซิน คอยดูเถอะ!”

เธอวิ่งร้องไห้ออกไปแล้ว

“โชคดีที่ยังไม่ได้ใช้” อิ๋งจื่อจินเช็ดมือ “น่าขยะแขยง”

“ไม่เป็นไร ได้เงินมาห้าแสนฟรีๆ” ฟู่อวิ๋นเซินแสยะยิ้ม

“ซื้อใหม่ได้อีกตั้งหลายพันใบ”

แก้วใบนั้นย่อมไม่ใช่แก้วหยกชั้นสูงจริงๆ เป็นแก้วยกโหลที่อิ๋งจื่อจินซื้อมาจากเว็บสตาร์

ใบละสิบห้าหยวน

เธอไม่เคยตระหนี่เรื่องกิน แต่กลับไม่ได้อะไรมากกับของใช้

ประหยัดได้ก็ประหยัด

อิ๋งจื่อจินจับศีรษะ “พวกเราไปทางนั้นกัน”

เมื่อใกล้เริ่มงานประมูล เหล่าบริกรก็ขนย้ายโต๊ะอาหารออกไปเปลี่ยนเป็นเก้าอี้

อิ๋งจื่อจินนั่งอยู่ตรงมุมสุดหลับตาพักสายตา

เครื่องเคลือบลายครามแดงที่มู่เฮ่อชิงต้องการให้เธอประมูลเป็นของประมูลชิ้นรองสุดท้าย ตอนนี้ยังเร็วเกินไป

เธอเองก็ดูรายการของประมูลแล้ว ไม่มีชิ้นไหนที่สนใจ

ของประมูลสิบชิ้นเสร็จไปอย่างรวดเร็ว ราคาประมูลที่แพงที่สุดเป็นสร้อยคอ จบที่ราคาสิบเก้าล้าน

“ของประมูลชิ้นต่อไปคือดอกทิวลิปหนึ่งดอกครับ” นักประมูลที่อยู่บนเวทีพูด “เป็นพันธุ์ผสมที่หาได้ยากมากราคาเริ่มต้นที่หนึ่งหมื่นครับ”

อิ๋งจื่อจินลืมตาขึ้น สายตาจับจ้อง

เธอมองออกตั้งแต่แวบแรกว่านั่นไม่ใช่ดอกทิวลิป แต่เป็นหลิงจือหิมะ

แต่เนื่องจากลักษณะภายนอกของหลิงจือหิมะคล้ายคลึงกับดอกทิวลิปมาก คนทั่วไปจึงแยกไม่ออก หลิงจือหิมะเป็นสมุนไพรหายากชนิดหนึ่งแก้ได้สารพัดพิษเมื่อก่อนเธอก็เคยใช้มัน

อิ๋งจื่อจินนึกไม่ถึงว่าปัจจุบันนี้ทรัพยากรบนโลกมนุษย์ถูกทำลายถึงขั้นนี้แล้ว หลิงจือหิมะยังเจริญเติบโตขึ้นมาได้อีก

เธอครุ่นคิดแล้วหยิบป้ายประมูล “หนึ่งล้าน”

ตัวเลขนี้ได้ดึงดูดสายตาทุกคู่ในงาน ต่างอดตะลึงไม่ได้ มู่เฉินโจวหันไปมองสีหน้าของผู้ชายข้างตัวทันที เขารู้ว่าที่ตระกูลเมิ่งมางานครั้งนี้ก็เพื่อของสิ่งนี้

แต่จะให้พวกเขาซื้อด้วยเงินหนึ่งล้านนั่นเป็นไปไม่ได้ เดิมทีตระกูลเมิ่งคิดไว้ว่าอย่างมากสุดก็แค่ห้าหมื่น มู่เฉินโจวยืนขึ้นสั่งให้หยุดการประมูล

“ผมขอให้ประมูลของชิ้นนี้ใหม่ครับ แต่คุณอิ๋งห้ามเข้าร่วม หรือ…”

เขาหยุดชั่วครู่

“คุณยอมสละดอกทิวลิปดอกนี้ก็ได้เหมือนกัน ก็จะไม่มีเรื่องต้องวุ่นวายเท่าไรแล้วครับ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+