คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ 247 สะเทือนเวยปั๋ว! เชิญหมอเทวดาออกมาจากถ้ำ

Now you are reading คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ Chapter 247 สะเทือนเวยปั๋ว! เชิญหมอเทวดาออกมาจากถ้ำ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

สายตาของผู้หญิงคนนั้นดุดันขึ้นมาทันที กลิ่นอายเย็นชาแผ่ซ่าน พูดเสียงขรึม

“เธอสงสัยในตัวฉันเหรอ”

พอคำพูดนี้ออกมา แร็งส์กับเบสซี่ก็เกร็งหนักยิ่งกว่าเดิม

“ไม่ได้สงสัย แต่อยากขอให้คุณช่วยแสดงความสามารถให้ดูเป็นขวัญตาหน่อยค่ะ” อิ๋งจื่อจินพยักหน้า

“นี่เป็นยาพิษตัวใหม่ที่ตระกูลเบวินซื้อมาจากนักปรุงยาพิษอันดับสาม ตอนนี้ยังไม่มียาถอนพิษทั้งนั้น”

“แต่ฉันเชื่อว่า ในฐานะที่คุณเป็นนักปรุงยาพิษอันดับหนึ่ง คุณจะต้องถอนพิษได้แน่นอน” ชายวัยกลางคนฟังแล้วงง อดกระซิบถามไม่ได้

“คุณหนูไปซื้อยาพิษตัวใหม่มาจากเจ้าติงต๊องนั่นตั้งแต่เมื่อไรครับ”

ริต้าเหยียบเท้าเขา “หุบปากไปซะ”

ผู้หญิงคนนั้นมองขนมที่อยู่ในขวด แสยะยิ้ม “ในเมื่อตระกูลเบวินไม่มีความจริงใจแบบนี้ งั้นข้อตกลงครั้งนี้ก็ถือเป็นโมฆะ”

เธอไม่เอาดอกหนิงเสินแล้ว หันหลังเดินออก

แต่มีมือข้างหนึ่งมาจับบ่าเธออย่างรวดเร็วประหนึ่งฟ้าร้องยังไม่ทันได้เอามือปิดหู

เดิมทีริต้าจะเข้าไปห้าม แต่พอเห็นแบบนี้เธอก็อดตะลึงไม่ได้ เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่าเนื้อตัวของนักปรุงยาพิษมีแต่พิษ แม้จะเป็นนักปรุงยาพิษอันดับที่ยี่สิบก็ตาม

ถ้าไปแตะถูกเนื้อตัวพวกเขาโดยไม่ได้รับอนุญาตก็จะถูกพิษทันที แล้วนี่เป็นถึงนักปรุงยาพิษอันดับหนึ่ง แตะต้องตัวเธอแล้วขาดใจตายทันทียังถือว่าน้อยไป

เว้นเสียแต่ว่านี่เป็นตัวปลอม!

ดวงตาของริต้าเบิกโพลง ตะโกนขึ้น “เข้ามาจับเร็ว!”

พอได้ยินคำสั่ง พวกคนที่ซ่อนตัวอยู่ก็ออกมาทั้งหมดแล้วไปล้อมผู้หญิงคนนั้นไว้อย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เดินขึ้นหน้า ทันใดนั้นร่างกายของเธอก็ชักเกร็ง

เธอเอียงศีรษะ จากนั้นก็ล้มลงไปบนพื้น

“อะไรกัน” ริต้าเดินขึ้นหน้าด้วยสีหน้าเย็นชา “ยังจะแกล้งตายอีกเหรอ”

“อย่าเข้าไป” อิ๋งจื่อจินยกมือห้ามเธอ “มีพิษ”

“ว่าไงนะ” ริต้าอึ้งไปเล็กน้อย หลังจากมองไปอีกครั้งสีหน้าก็เปลี่ยนไปมาก

เธอเห็นร่างกายของผู้หญิงที่อยู่บนพื้นค่อยๆ บุบสลายลง ในเวลาเพียงครึ่งนาทีก็กลายเป็นกระดูกสีขาว กระดูกนั้นเริ่มปรากฏเส้นสีดำ ภายในเวลาไม่กี่วินาทีพิษได้กัดกร่อนอวัยวะภายในและผิวหนังทุกส่วนของผู้หญิงคนนี้ สลายเซลล์ทุกอณู ชวนสยดสยองสุดๆ

ต่อให้ไม่ใช่นักปรุงยาพิษอันดับหนึ่ง พิษระดับนี้ก็เพียงพอให้ติดชาร์ตสิบอันดับแรกของโลกแล้ว ไม่ได้มีการจัดดับแค่นักปรุงยาพิษเท่านั้น ยาพิษก็มีการจัดอันดับด้วยเช่นกัน

ยาพิษสิบอันดับแรกของโลกล้วนอยู่ในที่เดียวกันมีการคุ้มกันอย่างเข้มงวด ห้ามนำออกมา

ยาพิษอันดับหนึ่งของโลกเทียบเท่ากับไวรัสดึกดำบรรพ์ที่อยู่ภายใต้ชั้นน้ำแข็งในทวีปแอนตาร์กติกามาหลายพันล้านปีแล้ว พร้อมจะทำลายล้างโลกได้ทุกนาที

อิ๋งจื่อจินล้วงขวดอีกใบออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เทผงที่อยู่ในนั้นลงไป

ริต้ายังคงระแวง “นี่อะไรเหรอ”

“ยาแก้สารพัดพิษที่ซื้อมาจากคนติงต๊องนั่น” อิ๋งจื่อจินเทเสร็จ “น่าจะแตะตัวได้แล้ว แต่เธอก็ตรวจไม่พบหรอกว่ามันคืออะไร”

แววตาของริต้าเปลี่ยนไปอีกครั้ง “ช่างเถอะ เอากลับไปก่อน ไม่ว่ายังไงจะต้องมีนักปรุงยาพิษลงมือแล้วแน่นอน”

ขณะพูดเธอก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา “ฉันจะโพสต์ลงในเว็บบอร์ด”

เหมือนซีซาร์ ลอเรนท์ ริต้าเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลเบวิน คนส่วนใหญ่ต่างรู้

แอคเคาท์ของเธออยู่ในระดับ เอส

อย่างไรเสียทั้งเว็บบอร์ดก็มีแอคเคาท์ระดับ เอสเอส อยู่แค่ไม่กี่คน

เธอโพสต์กระทู้ด้วยความโมโหจนเสร็จ “ฉันไร้เดียงสาเกินไปจริงๆ”

อิ๋งจื่อจินเหลือบมองเธอ พยักหน้าเล็กน้อย “คนอายุเท่าเธอจะไร้เดียงสาก็ไม่แปลก”

“อย่าซ้ำเติมจะได้ไหม” ริต้ากัดฟัน “ฉันต้องกลับยุโรปก่อนแล้วไว้ว่างๆ พวกเราค่อยติดต่อกันใหม่”

อิ๋งจื่อจินไม่พูดอะไร เธอเช็ดมือเสร็จก็ออกจากคฤหาสน์ร้างหลังนี้

วันต่อมาเมืองตี้ตู

คฤหาสน์ตระกูลมู่

มู่เหวยเฟิงนั่งอยู่บนม้านั่งหินอ่อนในสวนหย่อม มือข้างขวาจับพู่กันหลังจากแตะน้ำหมึกก็เริ่มเขียนอักษร

อักษรของเขาสวยมาก ลายเส้นพลิ้วดุจมังกรเคลื่อนไหว ได้สัดส่วน มีพลังโดดเด่น

ช่วงแรกมู่เหวยเฟิงเขียนได้ลื่นไหลมาก แต่พอเขียนมาถึงอักษรตัวสุดท้ายมือกลับสั่น ทันใดนั้นก็มีเลือดหยดใส่กระดาษที่เขียนอยู่หลายหยด

สีหน้าของมู่เหวยเฟิงกลับเรียบเฉย เขาจัดการขยำกระดาษใบนั้นแล้วทิ้งลงถังขยะ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์มือถือที่ดังอยู่ข้างๆ

“ปู่เซิ่งครับ” เขาเพิ่งเรียกเสร็จก็ไออย่างรุนแรง

ไอครั้งนี้มีเลือดทะลักออกมาแม้จะได้ยินแค่เสียง แต่เซิ่งชิงถังที่อยู่ปลายสายก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป “อาการหนักขึ้นเหรอ”

“พอไหวครับ” มู่เหวยเฟิงเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก ยิ้มเศร้า “อย่างน้อยก็ไม่มีทางตายตอนนี้”

“นายๆ!” เซิ่งชิงถังร้อนใจ “ทำไมนายไม่บอกฉัน”

อันที่จริงเขาก็เคยมีความคิดอยากรับลูกศิษย์ ก็คือมู่เหวยเฟิง

ตอนนั้นเขายังเป็นประธานสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนอยู่ อาศัยอยู่ที่ตี้ตู เขารู้จักมู่เหวยเฟิงในงานนิทรรศการภาพอักษรพู่กันครั้งหนึ่ง ในบรรดาหนุ่มสาวที่เขาเคยเจอ นอกจากอิ๋งจื่อจินแล้วก็มีผลงานของมู่เหวยเฟิงที่เรียกได้ว่างดงามจริง

แต่มู่เหวยเฟิงปฏิเสธที่จะมาเป็นลูกศิษย์ของเขาด้วยเหตุผลที่ว่าสุขภาพไม่เอื้ออำนวย แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ยังคงดีมาตลอด

เขาจะโทรหามู่เหวยเฟิงทุกอาทิตย์ทั้งยังไปที่ตี้ตูทุกเดือน แต่ก็มองไม่ออกถึงความผิดปกติของมู่เหวยเฟิง เซิ่งชิงถังยังแอบคิดว่าอาการป่วยของมู่เหวยเฟิงดีขึ้นนานแล้ว

นึกไม่ถึงว่าอาการของเขาจะหนักลงเรื่อยๆ แบบนี้

ปีนี้มู่เหวยเฟิงเพิ่งจะอายุยี่สิบปี แต่ร่างกายกลับป่วยหนักถึงขนาดนี้

“ผมรู้ร่างกายตัวเองดีครับ” มู่เหวยเฟิงไม่อธิบายอะไร เขายังคงยิ้ม

“ปู่เซิ่งครับ เมื่อครู่ผมตั้งใจเขียนภาพอักษรให้ปู่ด้วย กะว่าจะส่งไปให้ แต่ก็เผลอทำเสียไปแล้ว”

“นี่มันเวลาไหนแล้ว ยังจะอยากเขียนอีกเหรอ” เซิ่งชิงถังโมโหมากกว่าเดิม “ชอบหาเรื่องให้กลุ้มใจแบบไอ้ลูกชายหัวล้านของฉันไม่มีผิด รอก่อนนะ ฉันรู้จักหมอเทวดาคนหนึ่ง เธอต้องรักษานายให้หายได้แน่นอน”

มู่เหวยเฟิงอึ้ง ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรเซิ่งชิงถังก็วางสายไปแล้ว

เขาถอนหายใจพลางส่ายหน้า

เขาเคยหาหมอมาหลายคน รวมถึงตระกูลเมิ่ง

แต่ก็เชิญสมาชิกสายตรงของตระกูลเมิ่งให้รักษาไม่ได้ อาการป่วยของเขาจึงไม่เคยหายดีมาตลอด

เขาไม่ได้ปรารถนาในอำนาจมากเท่าไร และก็ไม่ได้คิดสืบทอดตระกูลมู่ เขาหวังเพียงว่าจะสามารถใช้สถานะผู้สืบทอดตระกูลมู่ขอให้สมาชิกสายตรงของตระกูลเมิ่งช่วยรักษาเขาได้

อย่างไรเสียเขาก็ยังมีน้องสาวอีกคนที่ต้องดูแล แต่น่าเสียดายหมอเทวดาที่ไหนจะหาได้ง่ายขนาดนั้นกัน หลังจากมู่เหวยเฟิงกินยาไปหนึ่งเม็ดก็เริ่มเขียนต่อ

อีกด้านหนึ่ง

ตอนอิ๋งจื่อจินได้รับสายจากเซิ่งชิงถัง เธอกำลังดูโจทย์ที่ศาสตราจารย์จั่วหลีส่งมาให้

“คุณหมอเทวดา ผมมีเรื่องจะขอร้องหน่อย” เซิ่งชิงถังเข้าประเด็นทันที “ผมมีลูกศิษย์ที่ไม่ถือเป็นลูกศิษย์อยู่คนหนึ่ง เขาไม่สบายอาการหนักมากเป็นมาตั้งแต่เกิดจากท้องแม่ หลายปีมานี้อาการหนักขึ้นเรื่อยๆ คุณหมอเทวดาช่วยรักษาให้เขาได้ไหม”

ไม่รอให้อิ๋งจื่อจินตอบเขาก็รีบพูดต่อ “แล้วแต่คุณหมอเลยครับ ไม่บังคับ”

มือของอิ๋งจื่อจินชะงักเล็กน้อย “หมอคนอื่นรักษาไม่หายเหรอคะ”

“ใช่ครับ” เซิ่งชิงถังถอนหายใจ ทั้งกลุ้มใจทั้งรู้สึกแย่ “ตระกูลเขาก็ไม่ใช่ตระกูลเล็กๆ ทำไมถึงรักษาโรคของเขาไม่หายก็ไม่รู้”

อิ๋งจื่อจินครุ่นคิดเล็กน้อย “เขามาฮู่เฉิงได้ไหมคะ”

“ได้ครับได้” เซิ่งชิงถังรู้สึกเซอร์ไพรส์

“ผมจะโทรให้เขามาเดี๋ยวนี้ คุณหมอเทวดาอยากได้อะไร ผมจะจัดให้เลยครับ”

“ไว้ค่อยว่ากันค่ะ” มือของอิ๋งจื่อจินกดดูโจทย์รัวๆ เธอพูด “ฉันรักษาคนโดยดูจากชะตาก่อนค่ะ”

“จริงสิคุณหมอเทวดามีนิทรรศการภาพเขียนระดับนานาชาติแห่งหนึ่ง ผมส่งภาพเขียนของคุณหมอภาพนั้นไปร่วมจัดแสดงด้วย” เซิ่งชิงถังพูดต่อ “ต้องได้อันดับหนึ่งแน่นอนครับ”

พอได้ยินแบบนี้อิ๋งจื่อจินก็เริ่มสนใจ “มีเงินรางวัลหรือของอร่อยไหมคะ”

เซิ่งชิงถังงุนงง ผ่านไปสักพักถึงได้พูดขึ้น “ดูเหมือนจะไม่มีนะครับ แต่ว่าคุณหมอเทวดา ชื่อเสียงของคุณหมอจะต้องโด่งดังมากขึ้นแน่นอน”

จากนั้นเขาก็ถูกตัดสายทิ้งอย่างไม่ใยดี

“…”

เรื่องที่ไอเอสซีจะจัดงานแข่งขันได้เริ่มลือไปในเน็ตนอกเหนือจากในหมู่เด็กมัธยมปลาย

งานแข่งขันระดับนานาชาติมีอยู่มากมายโดยเฉพาะด้านกีฬา แต่งานแข่งขันวิชาการที่ใหญ่มากแบบนี้กลับเพิ่งมีเป็นครั้งแรกประเทศจีนได้โควตาผ่านเข้ารอบสุดท้ายทั้งหมดหกคน

โรงเรียนมัธยมชิงจื้อหนึ่งคน โรงเรียนในสังกัดมหาวิทยาลัยตี้ตูสองคน ส่วนโควตามอีกสามคนเป็นของโรงเรียนมัธยมอื่นๆ สามแห่ง

เมื่อยืนยันตัวแทนทั้งหกคนแล้วก็จะประกาศขึ้นเว็บไซต์วิทยาศาสตร์ของประเทศจีน

คนจำนวนไม่น้อยที่ให้ความสนใจไอเอสซีต่างไปดู พอดูเสร็จก็กลับมาคุยกันในเวยปั๋วด้วยความตื่นเต้น

[หกคนนี้ถูกเลือกไปเข้ารอบสุดท้ายได้ พอถึงตอนนั้นน่าจะเป็นตัวแทนของประเทศจีนลงแข่งใช่หรือเปล่า]

[ฉันลองเสิร์ชประวัติของคนหนึ่ง เก่งจริงๆ อายุเพิ่งสิบเจ็ดก็ได้รางวัลมามากมายเก่งตั้งแต่อายุยังน้อย]

[ไม่ๆ ก็ไม่ใช่ว่าเก่งทุกคน ฉันพอคุ้นหน้าอีกห้าคนที่เหลืออยู่บ้างมีอยู่คนเคยได้สามเหรียญทองจาก ไอเอ็มโอ ไอโอไอ และไอซีโอ หนึ่งคนได้โควตาเข้าเรียนมหาวิทยาลัยอันดับสองของโลก ส่วนอีกสามคนก็เคยได้รางวัลใหญ่ๆ มาไม่น้อย

แต่อิ๋งจื่อจินเป็นใครเคยได้รางวัลทางวิชาการอะไรบ้าง ทำไมถึงได้มีชื่อรวมอยู่กับคนอื่นๆ นี่ไม่เท่ากับเป็นตัวถ่วงเหรอ]

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ 247 สะเทือนเวยปั๋ว! เชิญหมอเทวดาออกมาจากถ้ำ

Now you are reading คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ Chapter 247 สะเทือนเวยปั๋ว! เชิญหมอเทวดาออกมาจากถ้ำ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

สายตาของผู้หญิงคนนั้นดุดันขึ้นมาทันที กลิ่นอายเย็นชาแผ่ซ่าน พูดเสียงขรึม

“เธอสงสัยในตัวฉันเหรอ”

พอคำพูดนี้ออกมา แร็งส์กับเบสซี่ก็เกร็งหนักยิ่งกว่าเดิม

“ไม่ได้สงสัย แต่อยากขอให้คุณช่วยแสดงความสามารถให้ดูเป็นขวัญตาหน่อยค่ะ” อิ๋งจื่อจินพยักหน้า

“นี่เป็นยาพิษตัวใหม่ที่ตระกูลเบวินซื้อมาจากนักปรุงยาพิษอันดับสาม ตอนนี้ยังไม่มียาถอนพิษทั้งนั้น”

“แต่ฉันเชื่อว่า ในฐานะที่คุณเป็นนักปรุงยาพิษอันดับหนึ่ง คุณจะต้องถอนพิษได้แน่นอน” ชายวัยกลางคนฟังแล้วงง อดกระซิบถามไม่ได้

“คุณหนูไปซื้อยาพิษตัวใหม่มาจากเจ้าติงต๊องนั่นตั้งแต่เมื่อไรครับ”

ริต้าเหยียบเท้าเขา “หุบปากไปซะ”

ผู้หญิงคนนั้นมองขนมที่อยู่ในขวด แสยะยิ้ม “ในเมื่อตระกูลเบวินไม่มีความจริงใจแบบนี้ งั้นข้อตกลงครั้งนี้ก็ถือเป็นโมฆะ”

เธอไม่เอาดอกหนิงเสินแล้ว หันหลังเดินออก

แต่มีมือข้างหนึ่งมาจับบ่าเธออย่างรวดเร็วประหนึ่งฟ้าร้องยังไม่ทันได้เอามือปิดหู

เดิมทีริต้าจะเข้าไปห้าม แต่พอเห็นแบบนี้เธอก็อดตะลึงไม่ได้ เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่าเนื้อตัวของนักปรุงยาพิษมีแต่พิษ แม้จะเป็นนักปรุงยาพิษอันดับที่ยี่สิบก็ตาม

ถ้าไปแตะถูกเนื้อตัวพวกเขาโดยไม่ได้รับอนุญาตก็จะถูกพิษทันที แล้วนี่เป็นถึงนักปรุงยาพิษอันดับหนึ่ง แตะต้องตัวเธอแล้วขาดใจตายทันทียังถือว่าน้อยไป

เว้นเสียแต่ว่านี่เป็นตัวปลอม!

ดวงตาของริต้าเบิกโพลง ตะโกนขึ้น “เข้ามาจับเร็ว!”

พอได้ยินคำสั่ง พวกคนที่ซ่อนตัวอยู่ก็ออกมาทั้งหมดแล้วไปล้อมผู้หญิงคนนั้นไว้อย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เดินขึ้นหน้า ทันใดนั้นร่างกายของเธอก็ชักเกร็ง

เธอเอียงศีรษะ จากนั้นก็ล้มลงไปบนพื้น

“อะไรกัน” ริต้าเดินขึ้นหน้าด้วยสีหน้าเย็นชา “ยังจะแกล้งตายอีกเหรอ”

“อย่าเข้าไป” อิ๋งจื่อจินยกมือห้ามเธอ “มีพิษ”

“ว่าไงนะ” ริต้าอึ้งไปเล็กน้อย หลังจากมองไปอีกครั้งสีหน้าก็เปลี่ยนไปมาก

เธอเห็นร่างกายของผู้หญิงที่อยู่บนพื้นค่อยๆ บุบสลายลง ในเวลาเพียงครึ่งนาทีก็กลายเป็นกระดูกสีขาว กระดูกนั้นเริ่มปรากฏเส้นสีดำ ภายในเวลาไม่กี่วินาทีพิษได้กัดกร่อนอวัยวะภายในและผิวหนังทุกส่วนของผู้หญิงคนนี้ สลายเซลล์ทุกอณู ชวนสยดสยองสุดๆ

ต่อให้ไม่ใช่นักปรุงยาพิษอันดับหนึ่ง พิษระดับนี้ก็เพียงพอให้ติดชาร์ตสิบอันดับแรกของโลกแล้ว ไม่ได้มีการจัดดับแค่นักปรุงยาพิษเท่านั้น ยาพิษก็มีการจัดอันดับด้วยเช่นกัน

ยาพิษสิบอันดับแรกของโลกล้วนอยู่ในที่เดียวกันมีการคุ้มกันอย่างเข้มงวด ห้ามนำออกมา

ยาพิษอันดับหนึ่งของโลกเทียบเท่ากับไวรัสดึกดำบรรพ์ที่อยู่ภายใต้ชั้นน้ำแข็งในทวีปแอนตาร์กติกามาหลายพันล้านปีแล้ว พร้อมจะทำลายล้างโลกได้ทุกนาที

อิ๋งจื่อจินล้วงขวดอีกใบออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เทผงที่อยู่ในนั้นลงไป

ริต้ายังคงระแวง “นี่อะไรเหรอ”

“ยาแก้สารพัดพิษที่ซื้อมาจากคนติงต๊องนั่น” อิ๋งจื่อจินเทเสร็จ “น่าจะแตะตัวได้แล้ว แต่เธอก็ตรวจไม่พบหรอกว่ามันคืออะไร”

แววตาของริต้าเปลี่ยนไปอีกครั้ง “ช่างเถอะ เอากลับไปก่อน ไม่ว่ายังไงจะต้องมีนักปรุงยาพิษลงมือแล้วแน่นอน”

ขณะพูดเธอก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา “ฉันจะโพสต์ลงในเว็บบอร์ด”

เหมือนซีซาร์ ลอเรนท์ ริต้าเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลเบวิน คนส่วนใหญ่ต่างรู้

แอคเคาท์ของเธออยู่ในระดับ เอส

อย่างไรเสียทั้งเว็บบอร์ดก็มีแอคเคาท์ระดับ เอสเอส อยู่แค่ไม่กี่คน

เธอโพสต์กระทู้ด้วยความโมโหจนเสร็จ “ฉันไร้เดียงสาเกินไปจริงๆ”

อิ๋งจื่อจินเหลือบมองเธอ พยักหน้าเล็กน้อย “คนอายุเท่าเธอจะไร้เดียงสาก็ไม่แปลก”

“อย่าซ้ำเติมจะได้ไหม” ริต้ากัดฟัน “ฉันต้องกลับยุโรปก่อนแล้วไว้ว่างๆ พวกเราค่อยติดต่อกันใหม่”

อิ๋งจื่อจินไม่พูดอะไร เธอเช็ดมือเสร็จก็ออกจากคฤหาสน์ร้างหลังนี้

วันต่อมาเมืองตี้ตู

คฤหาสน์ตระกูลมู่

มู่เหวยเฟิงนั่งอยู่บนม้านั่งหินอ่อนในสวนหย่อม มือข้างขวาจับพู่กันหลังจากแตะน้ำหมึกก็เริ่มเขียนอักษร

อักษรของเขาสวยมาก ลายเส้นพลิ้วดุจมังกรเคลื่อนไหว ได้สัดส่วน มีพลังโดดเด่น

ช่วงแรกมู่เหวยเฟิงเขียนได้ลื่นไหลมาก แต่พอเขียนมาถึงอักษรตัวสุดท้ายมือกลับสั่น ทันใดนั้นก็มีเลือดหยดใส่กระดาษที่เขียนอยู่หลายหยด

สีหน้าของมู่เหวยเฟิงกลับเรียบเฉย เขาจัดการขยำกระดาษใบนั้นแล้วทิ้งลงถังขยะ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์มือถือที่ดังอยู่ข้างๆ

“ปู่เซิ่งครับ” เขาเพิ่งเรียกเสร็จก็ไออย่างรุนแรง

ไอครั้งนี้มีเลือดทะลักออกมาแม้จะได้ยินแค่เสียง แต่เซิ่งชิงถังที่อยู่ปลายสายก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป “อาการหนักขึ้นเหรอ”

“พอไหวครับ” มู่เหวยเฟิงเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก ยิ้มเศร้า “อย่างน้อยก็ไม่มีทางตายตอนนี้”

“นายๆ!” เซิ่งชิงถังร้อนใจ “ทำไมนายไม่บอกฉัน”

อันที่จริงเขาก็เคยมีความคิดอยากรับลูกศิษย์ ก็คือมู่เหวยเฟิง

ตอนนั้นเขายังเป็นประธานสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนอยู่ อาศัยอยู่ที่ตี้ตู เขารู้จักมู่เหวยเฟิงในงานนิทรรศการภาพอักษรพู่กันครั้งหนึ่ง ในบรรดาหนุ่มสาวที่เขาเคยเจอ นอกจากอิ๋งจื่อจินแล้วก็มีผลงานของมู่เหวยเฟิงที่เรียกได้ว่างดงามจริง

แต่มู่เหวยเฟิงปฏิเสธที่จะมาเป็นลูกศิษย์ของเขาด้วยเหตุผลที่ว่าสุขภาพไม่เอื้ออำนวย แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ยังคงดีมาตลอด

เขาจะโทรหามู่เหวยเฟิงทุกอาทิตย์ทั้งยังไปที่ตี้ตูทุกเดือน แต่ก็มองไม่ออกถึงความผิดปกติของมู่เหวยเฟิง เซิ่งชิงถังยังแอบคิดว่าอาการป่วยของมู่เหวยเฟิงดีขึ้นนานแล้ว

นึกไม่ถึงว่าอาการของเขาจะหนักลงเรื่อยๆ แบบนี้

ปีนี้มู่เหวยเฟิงเพิ่งจะอายุยี่สิบปี แต่ร่างกายกลับป่วยหนักถึงขนาดนี้

“ผมรู้ร่างกายตัวเองดีครับ” มู่เหวยเฟิงไม่อธิบายอะไร เขายังคงยิ้ม

“ปู่เซิ่งครับ เมื่อครู่ผมตั้งใจเขียนภาพอักษรให้ปู่ด้วย กะว่าจะส่งไปให้ แต่ก็เผลอทำเสียไปแล้ว”

“นี่มันเวลาไหนแล้ว ยังจะอยากเขียนอีกเหรอ” เซิ่งชิงถังโมโหมากกว่าเดิม “ชอบหาเรื่องให้กลุ้มใจแบบไอ้ลูกชายหัวล้านของฉันไม่มีผิด รอก่อนนะ ฉันรู้จักหมอเทวดาคนหนึ่ง เธอต้องรักษานายให้หายได้แน่นอน”

มู่เหวยเฟิงอึ้ง ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรเซิ่งชิงถังก็วางสายไปแล้ว

เขาถอนหายใจพลางส่ายหน้า

เขาเคยหาหมอมาหลายคน รวมถึงตระกูลเมิ่ง

แต่ก็เชิญสมาชิกสายตรงของตระกูลเมิ่งให้รักษาไม่ได้ อาการป่วยของเขาจึงไม่เคยหายดีมาตลอด

เขาไม่ได้ปรารถนาในอำนาจมากเท่าไร และก็ไม่ได้คิดสืบทอดตระกูลมู่ เขาหวังเพียงว่าจะสามารถใช้สถานะผู้สืบทอดตระกูลมู่ขอให้สมาชิกสายตรงของตระกูลเมิ่งช่วยรักษาเขาได้

อย่างไรเสียเขาก็ยังมีน้องสาวอีกคนที่ต้องดูแล แต่น่าเสียดายหมอเทวดาที่ไหนจะหาได้ง่ายขนาดนั้นกัน หลังจากมู่เหวยเฟิงกินยาไปหนึ่งเม็ดก็เริ่มเขียนต่อ

อีกด้านหนึ่ง

ตอนอิ๋งจื่อจินได้รับสายจากเซิ่งชิงถัง เธอกำลังดูโจทย์ที่ศาสตราจารย์จั่วหลีส่งมาให้

“คุณหมอเทวดา ผมมีเรื่องจะขอร้องหน่อย” เซิ่งชิงถังเข้าประเด็นทันที “ผมมีลูกศิษย์ที่ไม่ถือเป็นลูกศิษย์อยู่คนหนึ่ง เขาไม่สบายอาการหนักมากเป็นมาตั้งแต่เกิดจากท้องแม่ หลายปีมานี้อาการหนักขึ้นเรื่อยๆ คุณหมอเทวดาช่วยรักษาให้เขาได้ไหม”

ไม่รอให้อิ๋งจื่อจินตอบเขาก็รีบพูดต่อ “แล้วแต่คุณหมอเลยครับ ไม่บังคับ”

มือของอิ๋งจื่อจินชะงักเล็กน้อย “หมอคนอื่นรักษาไม่หายเหรอคะ”

“ใช่ครับ” เซิ่งชิงถังถอนหายใจ ทั้งกลุ้มใจทั้งรู้สึกแย่ “ตระกูลเขาก็ไม่ใช่ตระกูลเล็กๆ ทำไมถึงรักษาโรคของเขาไม่หายก็ไม่รู้”

อิ๋งจื่อจินครุ่นคิดเล็กน้อย “เขามาฮู่เฉิงได้ไหมคะ”

“ได้ครับได้” เซิ่งชิงถังรู้สึกเซอร์ไพรส์

“ผมจะโทรให้เขามาเดี๋ยวนี้ คุณหมอเทวดาอยากได้อะไร ผมจะจัดให้เลยครับ”

“ไว้ค่อยว่ากันค่ะ” มือของอิ๋งจื่อจินกดดูโจทย์รัวๆ เธอพูด “ฉันรักษาคนโดยดูจากชะตาก่อนค่ะ”

“จริงสิคุณหมอเทวดามีนิทรรศการภาพเขียนระดับนานาชาติแห่งหนึ่ง ผมส่งภาพเขียนของคุณหมอภาพนั้นไปร่วมจัดแสดงด้วย” เซิ่งชิงถังพูดต่อ “ต้องได้อันดับหนึ่งแน่นอนครับ”

พอได้ยินแบบนี้อิ๋งจื่อจินก็เริ่มสนใจ “มีเงินรางวัลหรือของอร่อยไหมคะ”

เซิ่งชิงถังงุนงง ผ่านไปสักพักถึงได้พูดขึ้น “ดูเหมือนจะไม่มีนะครับ แต่ว่าคุณหมอเทวดา ชื่อเสียงของคุณหมอจะต้องโด่งดังมากขึ้นแน่นอน”

จากนั้นเขาก็ถูกตัดสายทิ้งอย่างไม่ใยดี

“…”

เรื่องที่ไอเอสซีจะจัดงานแข่งขันได้เริ่มลือไปในเน็ตนอกเหนือจากในหมู่เด็กมัธยมปลาย

งานแข่งขันระดับนานาชาติมีอยู่มากมายโดยเฉพาะด้านกีฬา แต่งานแข่งขันวิชาการที่ใหญ่มากแบบนี้กลับเพิ่งมีเป็นครั้งแรกประเทศจีนได้โควตาผ่านเข้ารอบสุดท้ายทั้งหมดหกคน

โรงเรียนมัธยมชิงจื้อหนึ่งคน โรงเรียนในสังกัดมหาวิทยาลัยตี้ตูสองคน ส่วนโควตามอีกสามคนเป็นของโรงเรียนมัธยมอื่นๆ สามแห่ง

เมื่อยืนยันตัวแทนทั้งหกคนแล้วก็จะประกาศขึ้นเว็บไซต์วิทยาศาสตร์ของประเทศจีน

คนจำนวนไม่น้อยที่ให้ความสนใจไอเอสซีต่างไปดู พอดูเสร็จก็กลับมาคุยกันในเวยปั๋วด้วยความตื่นเต้น

[หกคนนี้ถูกเลือกไปเข้ารอบสุดท้ายได้ พอถึงตอนนั้นน่าจะเป็นตัวแทนของประเทศจีนลงแข่งใช่หรือเปล่า]

[ฉันลองเสิร์ชประวัติของคนหนึ่ง เก่งจริงๆ อายุเพิ่งสิบเจ็ดก็ได้รางวัลมามากมายเก่งตั้งแต่อายุยังน้อย]

[ไม่ๆ ก็ไม่ใช่ว่าเก่งทุกคน ฉันพอคุ้นหน้าอีกห้าคนที่เหลืออยู่บ้างมีอยู่คนเคยได้สามเหรียญทองจาก ไอเอ็มโอ ไอโอไอ และไอซีโอ หนึ่งคนได้โควตาเข้าเรียนมหาวิทยาลัยอันดับสองของโลก ส่วนอีกสามคนก็เคยได้รางวัลใหญ่ๆ มาไม่น้อย

แต่อิ๋งจื่อจินเป็นใครเคยได้รางวัลทางวิชาการอะไรบ้าง ทำไมถึงได้มีชื่อรวมอยู่กับคนอื่นๆ นี่ไม่เท่ากับเป็นตัวถ่วงเหรอ]

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+