คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ 510 ผู้สืบทอดตระกูลจี้! มหาวิทยาลัยตี้ตูแตกแน่

Now you are reading คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ Chapter 510 ผู้สืบทอดตระกูลจี้! มหาวิทยาลัยตี้ตูแตกแน่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 510 ผู้สืบทอดตระกูลจี้! มหาวิทยาลัยตี้ตูแตกแน่

ก็คือทีมคุ้มกันที่กลับมาอีกครั้ง

ไม่เพียงเท่านี้ ผู้อำนวยการกับพวกรองผู้อำนวยการที่มีอำนาจอยู่ในมือก็มาด้วย

พวกเขาต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด

สายตาต่างจับจ้องไปที่จี้อี้หยวนอย่างมีจุดประสงค์ ดุดันขั้นสุด แฝงด้วยความเย็นชา

ผู้อำนวยการไม่พูดอะไรมาก แค่ชี้จี้อี้หยวนแล้วหันไปสั่ง “จับตัวไว้”

หัวหน้าทีมคุ้มกันเดินขึ้นหน้าทันที ไม่พูดพล่ามทำเพลงจับตัวจี้อี้หยวนไว้

จี้อี้หยวนรู้สึกเหมือนมีดาวลอยอยู่บนหัว ชักยืนไม่อยู่ เหมือนมีเสียงของจี้อี้หางวนเวียนอยู่ข้างหู ‘ฉันเล่นละครตบตา’

คำนี้ได้ทำเขาสติแตก

เดิมทีเขาคิดว่าตัวเองจับจุดอ่อนของจี้อี้หางได้แล้ว ปรากฏว่าทุกอย่างเป็นเรื่องหลอกลวง!

จี้อี้หยวนควบคุมสติไม่ได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว “จี้อี้หาง! แกวางแผนชั่ว แกมันหน้าไม่อาย!”

“ตลกน่า” คุณนายจี้สีหน้าเย็นชา “ถ้าตอนนั้นนายไม่บุกเข้ามาเล่นงานด้วยเจตนาร้าย เรื่องก็ไม่มีทางกลายเป็นแบบนี้ พวกเราก็แค่ป้องกันตัวอย่างเหมาะสม”

ใครใช้ให้จี้อี้หยวนอยากเล่นงานพวกเขารวบยอดชนิดที่แทบทนรอไม่ไหวแบบนี้ล่ะ

พวกเขาแค่เปิดช่องโหว่จี้อี้หยวนก็มาติดกับ

“ผู้อำนวยการครับ คนของตระกูลเดิมมาแล้วครับ” รองผู้อำนวยการคนหนึ่งดูเวลา “พวกเราเอาไงต่อครับ”

“เปิดเผยการสอบสวน” ผู้อำนวยการกวักมือ “กลับศูนย์ใน”

จี้อี้หยวนจึงถูกพาไปทั้งแบบนี้ สภาพดูไม่ได้

“คุณพ่อ เดี๋ยวผมพากลับนะครับ” จี้อี้หางโล่งอกอย่างสิ้นเชิงแล้ว “ลำบากคุณพ่อแล้วครับ”

ชายชราส่ายหน้า แต่สายตากลับมองอิ๋งจื่อจินอย่างอ่อนโยน “แม่หนู เรื่องนี้ฉันต้องขอบใจเธอมากนะ อนาคตของเธอไม่สิ้นสุด อย่ามาถูกตระกูลจี้ขังไว้เลย”

ความสามารถโดดเด่น หงส์ในหมู่คน

แววตาของอิ๋งจื่อจินวูบไหว “เข้าใจค่ะ”

ที่เธอกลับตระกูลจี้ก็เพื่อช่วยเวินเฟิงเหมียนเอาสิ่งที่เขาควรได้กลับคืนมา

เธอหันไปพูดกับเวินเฟิงเหมียน “พ่อคะ พวกเราไปที่ศูนย์ในอีกรอบ ลุงรองกับป้ารองกลับไปเถอะค่ะ”

เวินเฟิงเหมียนพยักหน้า

ระหว่างทางที่ทั้งสองคนไปศูนย์ในก็ได้เจอกับจี้หลีที่รีบกลับมาจากมหาวิทยาลัยตี้ตู

หลังจากจี้หลีรู้เรื่องทั้งหมดแล้วก็ตามไปด้วยกัน

ภายในศูนย์ใน

พวกผู้อาวุโสมาถึงแล้ว มีคนคุ้มกันล้อมรอบ

คนที่ขึ้นไปนั่งเป็นชายชราคนหนึ่ง ภายนอกดูเหมือนคนอายุห้าสิบหกสิบปี

ดวงตาหงส์ของอิ๋งจื่อจินหรี่ลงเล็กน้อย เพียงชั่วพริบตาเธอก็รู้วรยุทธ์ของชายชราคนนี้ เกินห้าสิบปี

วรยุทธ์ระดับนี้ถือเป็นผู้อาวุโสในตระกูลจี้แล้ว

เธอควบคุมลมปราณในร่างกาย

ผู้อำนวยการทำความเคารพผู้อาวุโส “ผู้อาวุโสสาม นี่คือนักโทษครับ พวกเรามีหลักฐานที่เขาจงใจฆ่าคน”

ตระกูลจี้อนุญาตให้มีการแก่งแย่งชิงดีภายใน แต่ก็แค่ในด้านการทดลอง

ห้ามลงมือทำร้ายคนโดยเด็ดขาด

แววตาของผู้อาวุโสสามดุจมีเปลวเพลิง พูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ลงโทษ!”

จากนั้นก็มีคนคุ้มกันถือสารพัดอุปกรณ์ลงโทษเข้ามา

เปิดเผยการไต่สวนก็ย่อมเปิดเผยการลงโทษด้วย

ภายในห้องสอบสวนมีเพียงเสียงร้องทรมานของจี้อี้หยวนอย่างไม่ขาดสาย ฟังดูเหมือนใจจะขาด

หลังจากใช้เครื่องมือลงโทษครบทุกชิ้น จี้อี้หยวนก็ล้มไปกองบนพื้น แทบไม่มีแม้แต่แรงจะพูด

จนกระทั่งเขาเห็นดวงตาหงส์ที่เย็นชาของอิ๋งจื่อจิน เกิดอาการตัวสั่น มีสติขึ้นมาในชั่วพริบตา

“ท่านผู้อาวุโส เธอ! เธอเป็นจอมยุทธ์!” จี้อี้หยวนนึกทางรอดสุดท้ายได้ ชี้อิ๋งจื่อจิน ร้องซี้ด “เธอยังเป็นแพทย์แผนโบราณด้วย! เธอต้องเป็นไส้ศึกที่ตระกูลอื่นส่งมาแน่ ท่านผู้อาวุโสต้องจับเธอไว้นะครับ!”

ฟึ่บ สายตาของจอมยุทธ์ทุกคนในห้องสอบสวนต่างมองไปที่อิ๋งจื่อจิน แรงกดดันล้นเหลือ

แม้แต่สีหน้าของเวินเฟิงเหมียนก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

ผู้อำนวยการอึ้ง “จอมยุทธ์กับแพทย์แผนโบราณเหรอ”

มีเพียงอิ๋งจื่อจินที่ยังทำตัวเฉย สุขุมใจเย็น

ผู้อาวุโสสามมองอิ๋งจื่อจินด้วยสายตาสำรวจอยู่สักพักแล้วค่อยๆ พูดขึ้น “เคยเรียนคัมภีร์หัวใจจอมยุทธ์มาเหรอ”

อิ๋งจื่อจินส่ายหน้า “ไม่เคยได้ยินค่ะ”

“เคยเรียนแผนภาพแปดจุดฝังเข็มบนร่างกายมนุษย์ไหม”

อิ๋งจื่อจินเหลือบตาขึ้น “ถ้าเป็นของแพทย์แผนจีนก็เคยอ่านค่ะ”

แต่ของแพทย์แผนโบราณไม่เหมือนกับของแพทย์แผนจีน

ผู้อาวุโสสามพยักหน้า เหลือบมองจอมยุทธ์คนหนึ่งที่อยู่ข้างกาย

“กล้าโกหกแม้กระทั่งคนของตระกูลเดิม” จอมยุทธ์คนนี้เดินตรงมา ง้างมือตบไปที่หน้าของจี้อี้หยวน พูดเสียงเย็นชา “รนหาที่ตาย!”

ตบนี้มีกำลังภายใน จี้อี้หยวนเลือดพุ่งทันที ใบหน้าบวมเป่ง

เขาฟุบลงบนพื้น เลือดชุ่ม มีเลือดไหลออกจากมุมปากไม่หยุด

กำลังภายในแล่นเข้าสู่ร่างกาย ทำอวัยวะภายในของจี้อี้หยวนปั่นป่วน เจ็บปวดน่าเวทนา

จี้อี้หยวนไปไม่ถูก รู้สึกเหลือเชื่อ “ท่านผู้อาวุโส!”

“โง่เง่า ไม่รู้จักจอมยุทธ์ก็หุบปากซะ” จอมยุทธ์คนนี้ตบจี้อี้หยวนอีกครั้ง แสยะยิ้ม “แกรู้หรือเปล่าว่าจอมยุทธ์คืออะไร แกคิดว่าคนอายุเท่านี้ใครก็ฝึกฝนกำลังภายในออกมาได้เหรอ ทุกคนเป็นอัจฉริยะงั้นสิ”

“ยังจะมาแพทย์แผนโบราณ คนที่เป็นทั้งจอมยุทธ์และแพทย์แผนโบราณ สิบนิ้วของฉันยังพอนับให้แกดูเลย!”

แม้แต่ผู้อาวุโสสามก็ยังสัมผัสไม่ได้ถึงคลื่นกำลังภายในบนร่างกายของอิ๋งจื่อจิน

เด็กสาวที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีจะมีวรยุทธ์สูงกว่าผู้อาวุโสสามตระกูลจี้ได้อีกเหรอ

แน่นอนว่าพวกเขาสืบเรื่องอิ๋งจื่อจินมาแล้ว

อิ๋งจื่อจินอยู่โลกภายนอกมาตลอด ไม่เคยไปโลกจอมยุทธ์

โดยเฉพาะสิบเจ็ดปีก่อนที่อาศัยอยู่ในอำเภอแร้นแค้นอย่างอำเภอชิงสุ่ย แต่ละวันทำได้เพียงประทังชีวิต แล้วยังจะฝึกวรยุทธ์ได้อีกเหรอ

“เธอเป็นจริงๆ!” จี้อี้หยวนถึงขั้นร้องไห้ออกมาแล้ว “ผมสาบานได้เลยว่าเธอเป็นจอมยุทธ์จริงๆ! ทำไมพวกคุณไม่เชื่อ ทำไมไม่เชื่อ!”

“หุบปาก!” จอมยุทธ์ชักหมดความอดทน ตบที่สามเข้าใบหน้า จี้อี้หยวนสลบเรียบร้อย

ผู้อำนวยการรีบออกคำสั่ง “ลากออกไปขังไว้ แล้วไปสืบคนของสายตระกูลทางเขาทั้งหมด”

จี้หลีมองจี้อี้หยวน “…”

เฮ้อ น่าสมเพชเหลือเกิน

อายุกับภาพลักษณ์ภายนอกของน้องสาวเธอมันลวงตาจริงๆ นั่นแหละ

ถ้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง เป็นใครก็ไม่เชื่อ

ถูกเย่ว์ฝูอีจัดการไปหนึ่งรอบ ถูกเตือนจากศาลสถิตยุติธรรม ตระกูลเดิมของตระกูลจี้ก็สงบเสงี่ยมลงไปมาก

ผู้อาวุโสสามก็ไม่ได้อยู่นาน พาพวกจอมยุทธ์กลับไป

เวินเฟิงเหมียนไปทำการทดลองต่อ

จี้หลีกับอิ๋งจื่อจินเดินเคียงข้างกันไป

“จริงสิเทพอิ๋ง ตอนนี้มหาวิทยาลัยตี้ตูเปิดเทอมได้เกือบหนึ่งเดือนแล้ว การฝึกระเบียบทหารจะเริ่มหลังหยุดวันชาติ” จี้หลีดวงตาเป็นประกาย “ฝึกสิบสี่วัน ได้ยินว่าจะได้จับปืนล่าสัตว์ด้วยนะ”

อิ๋งจื่อจินเลิกคิ้ว “ฝึกระเบียบทหารเหรอ”

โรงเรียนมัธยมชิงจื้อก็มีฝึกระเบียบทหาร เริ่มตอนเข้ามอสี่ ทั้งหมดเจ็ดวัน

แต่ตอนเธอย้ายเข้าโรงเรียนมัธยมชิงจื้อก็เกือบมอห้าแล้ว ย่อมไม่ได้ฝึกระเบียบทหาร

“ใช่ เทพอิ๋ง เธอจะเข้าร่วมไหม” พอจี้หลีถามเสร็จก็เพิ่งคิดได้ “ฉันลืมไป เธอเป็นจอมยุทธ์ ว่างๆ จะไปเข้าฝึกระเบียบทหารทำไม”

จี้หลีชอบเล่นกีฬามาก เธอเองก็ฝึกศิลปะป้องกันตัว วิ่งห้ากิโลเมตรได้ทุกวันไม่มีปัญหา

เธอไม่เหมือนนักศึกษาคนอื่น เธอกลับเฝ้ารอการฝึกระเบียบทหารเสียด้วยซ้ำ

“ไม่ พี่พูดถูก น่าสนใจดี” อิ๋งจื่อจินคิดแล้วพยักหน้า “เข้าร่วมได้”

“เอาสิๆ” จี้หลีดีใจมาก “เอ๊ะ แต่ตกลงเทพอิ๋งอยู่คณะไหนเหรอ ฝึกระเบียบทหารเขาแบ่งตามคณะ”

“ฉันไปกับพี่แล้วกัน” อิ๋งจื่อจินตอบ “ตอนบ่ายพี่จะกลับไปเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเหรอ”

“อืม” จี้หลีถอนหายใจ “วิชาเรียนของคลาสทดลองเยอะมาก ฉันยุ่งจะไม่ไหวแล้ว”

“อืมก็พอดี” อิ๋งจื่อจินครุ่นคิดแล้วพูดขึ้น “ฉันก็จะไปที่มหาวิทยาลัยตี้ตูด้วย”

มหาวิทยาลัยตี้ตูในปลายเดือนกันยายนครึกครื้นมาก

ก่อนหยุดเทศกาลวันชาติเป็นงานแข่งกีฬาของทั้งมหาวิทยาลัย หลังหยุดวันชาติเป็นการฝึกระเบียบทหาร

พวกรุ่นพี่ต่างรอช่วงฝึกระเบียบทหารจะได้ไปดูพวกรุ่นน้องถูกทรมาน

แต่ตอนนี้เป็นเวลาพักกลางวัน แถมอิ๋งจื่อจินยังเข้าทางประตูด้านข้าง มีคนผ่านไปมาไม่เยอะ

เธอตรงเข้าไปหาจั่วหลี

เดิมทีจั่วหลีคิดว่าจะมีคนมาช่วยเขาทำการทดลองแล้ว กำลังจะดีใจกลับได้ยินอิ๋งจื่อจินพูดว่าเตรียมเข้าร่วมฝึกระเบียบทหาร

จั่วหลี “…”

อะไรเนี่ย

ร่วมฝึกระเบียบทหารเหรอ

ทุนการศึกษาแค่นั้นมันเทียบกับเงินสนับสนุนห้องทดลองของพวกเขาได้เหรอ

อิ๋งจื่อจินเงียบไปชั่วครู่ สรุปสั้นๆ “หนูลาหยุดค่ะ”

ช่วงนี้เธอเหนื่อยมากจริงๆ อยากผ่อนคลาย

จั่วหลีรู้สึกเพียงว่าเขาตามความคิดของอิ๋งจื่อจินไม่ทัน ผ่านไปสักพักถึงถามขึ้น “…เธอเอาวันหยุดไปฝึกระเบียบทหารเหรอ”

ฟังดูนะ นี่ใช่คำพูดมนุษย์เหรอ

การฝึกระเบียบทหารของมหาวิทยาลัยตี้ตูไม่เหมือนมหาวิทยาลัยอื่น แบ่งเป็นหลายระดับตามพละกำลังและสาขา

ถ้าเป็นนักศึกษาทหารเข้าร่วมการฝึกก็จะไม่แตกต่างกับการฝึกในค่ายทหาร เข้มงวดมาก

ต่อมาคือพวกนักกีฬา

สุดท้ายคือนักศึกษาทั่วไป และจะแยกชายหญิง

แต่ต่อให้เป็นระดับต่ำสุด ฝึกสิบสี่วันก็เหมือนถูกถลกหนัง

จั่วหลีก็เป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยตี้ตู เขารู้ดีว่าการฝึกระเบียบทหารของมหาวิทยาลัยนี้ยากขนาดไหน

เขาจำได้ฝังใจเลยล่ะ

รูมเมทของเขาเรียนคณะเคมี รู้ลึกพวกเครื่องสำอาง ทาครีมกันแดดทุกวัน ทั้งยังเตือนเขาว่าครีมกันแดดไม่เพียงแต่จะช่วยกันผิวคล้ำ ที่สำคัญยิ่งกว่าคือช่วยให้เหี่ยวช้าลง

จั่วหลีคิดว่าเขาเป็นลูกผู้ชายอกสามศอก จะใช้ของพวกนี้ได้อย่างไร

ไม่ใช้!

ปรากฏว่าจบสิบสี่วัน เขาตัวดำเมี่ยมเหมือนถ่าน

นึกเสียใจสุดๆ

จั่วหลีปวดใจ แต่ก็ช่วยไม่ได้ พูดได้เพียงว่า “งั้น งั้นเธอก็เตรียมครีมกันแดดไว้ด้วยนะ”

พอได้ยินแบบนี้อิ๋งจื่อจินก็เลิกคิ้ว “ศาสตราจารย์จั่วหลีคะ”

อยู่ๆ จั่วหลีก็รู้สึกหนาว เขากระชับเสื้อ “ทำไมเหรอ”

“พวกเราเพิ่งมีเซ็ตสุดคุ้มมาใหม่” อิ๋งจื่อจินดูมือถือ “ในเซ็ตมีมาร์คหน้าชุ่มชื้นยี่สิบแผ่น ครีมกันแดดเนื้อบางเบา และยังมีครีมทามือกับน้ำมันหอมระเหย เซ็ตนี้ราคาแค่สามพันแปดร้อยแปดสิบแปด ศาสตราจารย์จะซื้อให้ภรรยากี่ชุดดีคะ”

“…”

อิ๋งจื่อจินออกจากห้องทำงานของจั่วหลีไปที่ห้องอธิการบดีเฉินจวิ้นเซียนแล้ว

จั่วหลีมองยอดเงินโอนสามหมื่นแปดพันแปดร้อยแปดสิบ ปวดใจไม่ไหว

ช่างเถอะ ซื้อให้เมีย

จั่วหลีเช็ดเหงื่อ ขณะที่เตรียมจะทำงานต่อ ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงปัญหาสำคัญได้

เขาลืมไป เขาควรให้อิ๋งจื่อจินสวมผ้าปิดปาก ทางที่ดีแต่งตัวมิดชิดเอาให้ใครก็จำไม่ได้!

อันที่จริงนักศึกษาตั้งแต่ปีสองขึ้นไปไม่มีใครสนใจการแข่งไอเอสซี อย่างไรเสียนั่นก็เป็นการแข่งขันความรู้ของเด็กมอปลาย ไม่เกี่ยวกับนักศึกษามหาวิทยาลัย

โดยเฉพาะเด็กปีสามปีสี่ที่ยุ่งกับการเตรียมสอบชิงทุนเรียนต่อต่างประเทศหรือหางานทำ ไม่มีทางว่างดูรายการพวกนี้ อย่างมากก็แค่เคยได้ยินชื่ออิ๋งจื่อจินอยู่บ้าง

แต่เด็กที่เพิ่งขึ้นปีหนึ่งปีนี้มีคนที่คลั่งไคล้อิ๋งจื่อจินเยอะมาก

แปดสิบเปอร์เซ็นต์ได้

พิธีปฐมนิเทศอิ๋งจื่อจินไม่ได้มา คำกล่าวของนักศึกษาใหม่ก็ให้คนที่สอบได้อันดับหนึ่งอีกคนทำแทน นักศึกษาปีหนึ่งก็เลยเซ็งกันมาก

จั่วหลีนั่งนิ่งบนเก้าอี้ ชักเริ่มสติแตก

แย่แล้ว มหาวิทยาลัยตี้ตูแตกแน่

ทางด้านตระกูลจี้

เรื่องที่จี้อี้หยวนถูกยึดทรัพยากรทั้งหมด ถูกตัดคะแนนผลงาน ถูกขังอยู่ในคุกเหล็กของตระกูลจี้ ทั้งหมดนี้ได้ถูกลือไปทั้งตระกูลจี้ในเวลาหนึ่งชั่วโมง

สายตระกูลทุกสายของตระกูลจี้ต่างอกสั่นขวัญแขวน สงบเสงี่ยมลงไปมาก

พอจัดการจี้อี้หยวนเสร็จศูนย์ในก็เปิดประชุมที่เคร่งเครียดมาก เรียกรวมคนมีอำนาจของแต่ละสายตระกูล รวมถึงผู้อาวุโสของศูนย์ใน

ผู้อำนวยการพูดขึ้น “ความหมายของทางตระกูลเดิมคือ เนื่องจากศาลสถิตยุติธรรมกำลังตรวจเข้มจอมยุทธ์ที่เข้ามาแทรกแซงโลกปุถุชน ดังนั้นต่อไปทางตระกูลเดิมอาจไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราแล้ว”

พอคำพูดนี้ออกมาก็มีหลายคนที่หน้าถอดสีตกใจมาก

โลกปุถุชนเป็นคำที่โลกจอมยุทธ์กับโลกแพทย์แผนโบราณใช้เรียกโลกภายนอก แสดงถึงคนธรรมดาและเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา

สาเหตุที่ตระกูลจี้ไม่กลัวตระกูลชั้นแนวหน้าใดๆ ของตี้ตูนอกจากเป็นเพราะมีข้อมูลงานวิจัยจำนวนไม่น้อยอยู่ในมือ ยังเป็นเพราะมีตระกูลเดิมในโลกจอมยุทธ์ด้วย

หากตระกูลเดิมในโลกจอมยุทธ์ไม่ขอแทรกแซงโลกปุถุชนอีก ถ้าอย่างนั้นในด้านพละกำลังการต่อสู้ของพวกเขาก็จะลดฮวบเลยทีเดียว

พอถึงเวลาก็จะถูกหน่วยอีจื้อควบคุม

ตระกูลจี้ในอดีตไม่เคยเกรงกลัวหน่วยอีจื้อ

ผู้อำนวยการพูดต่อ “แต่ถ้ามีคนทรยศ ทางตระกูลเดิมไม่มีทางปล่อยไป”

นี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมตระกูลจี้ถึงกล้าใช้คนแซ่อื่น เพราะมีจอมยุทธ์อยู่ ต่อให้หนีไปอยู่ยุโรปก็สามารถจัดการได้

“ดังนั้นผมได้ปรึกษากับพวกผู้อาวุโสและตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว” ผู้อำนวยการเคาะโต๊ะเพื่อบอกให้ทุกคนเงียบ “ตอนนี้ตระกูลจี้ต้องการผู้สืบทอด สืบทอดตระกูลจี้และศูนย์วิจัย”

ถึงแม้ผู้อำนวยการจะรับตำแหน่งผู้อำนวยการ แต่ไม่ถือเป็นทุกอย่างของศูนย์วิจัย

ข้อมูลทั้งหมดที่ศูนย์วิจัยตระกูลจี้ครอบครอง แม้แต่พวกห้องทดลองชั้นแนวหน้าของยุโรปต่างก็อยากได้

จำเป็นต้องมีผู้สืบทอดที่ผ่านเกณฑ์

ผู้อำนวยการให้ผู้ช่วยเอาเอกสารมาแจกให้ทุกคน “ในนั้นเป็นรายชื่อตัวเลือกผู้สืบทอดห้าคนที่บรรดาผู้อาวุโสเลือกมา”

จี้อี้หางรับมาแล้วเปิดดู

ผู้สืบทอดคนที่หนึ่ง เหยียนรั่วเสวี่ย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ 510 ผู้สืบทอดตระกูลจี้! มหาวิทยาลัยตี้ตูแตกแน่

Now you are reading คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ Chapter 510 ผู้สืบทอดตระกูลจี้! มหาวิทยาลัยตี้ตูแตกแน่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 510 ผู้สืบทอดตระกูลจี้! มหาวิทยาลัยตี้ตูแตกแน่

ก็คือทีมคุ้มกันที่กลับมาอีกครั้ง

ไม่เพียงเท่านี้ ผู้อำนวยการกับพวกรองผู้อำนวยการที่มีอำนาจอยู่ในมือก็มาด้วย

พวกเขาต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด

สายตาต่างจับจ้องไปที่จี้อี้หยวนอย่างมีจุดประสงค์ ดุดันขั้นสุด แฝงด้วยความเย็นชา

ผู้อำนวยการไม่พูดอะไรมาก แค่ชี้จี้อี้หยวนแล้วหันไปสั่ง “จับตัวไว้”

หัวหน้าทีมคุ้มกันเดินขึ้นหน้าทันที ไม่พูดพล่ามทำเพลงจับตัวจี้อี้หยวนไว้

จี้อี้หยวนรู้สึกเหมือนมีดาวลอยอยู่บนหัว ชักยืนไม่อยู่ เหมือนมีเสียงของจี้อี้หางวนเวียนอยู่ข้างหู ‘ฉันเล่นละครตบตา’

คำนี้ได้ทำเขาสติแตก

เดิมทีเขาคิดว่าตัวเองจับจุดอ่อนของจี้อี้หางได้แล้ว ปรากฏว่าทุกอย่างเป็นเรื่องหลอกลวง!

จี้อี้หยวนควบคุมสติไม่ได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว “จี้อี้หาง! แกวางแผนชั่ว แกมันหน้าไม่อาย!”

“ตลกน่า” คุณนายจี้สีหน้าเย็นชา “ถ้าตอนนั้นนายไม่บุกเข้ามาเล่นงานด้วยเจตนาร้าย เรื่องก็ไม่มีทางกลายเป็นแบบนี้ พวกเราก็แค่ป้องกันตัวอย่างเหมาะสม”

ใครใช้ให้จี้อี้หยวนอยากเล่นงานพวกเขารวบยอดชนิดที่แทบทนรอไม่ไหวแบบนี้ล่ะ

พวกเขาแค่เปิดช่องโหว่จี้อี้หยวนก็มาติดกับ

“ผู้อำนวยการครับ คนของตระกูลเดิมมาแล้วครับ” รองผู้อำนวยการคนหนึ่งดูเวลา “พวกเราเอาไงต่อครับ”

“เปิดเผยการสอบสวน” ผู้อำนวยการกวักมือ “กลับศูนย์ใน”

จี้อี้หยวนจึงถูกพาไปทั้งแบบนี้ สภาพดูไม่ได้

“คุณพ่อ เดี๋ยวผมพากลับนะครับ” จี้อี้หางโล่งอกอย่างสิ้นเชิงแล้ว “ลำบากคุณพ่อแล้วครับ”

ชายชราส่ายหน้า แต่สายตากลับมองอิ๋งจื่อจินอย่างอ่อนโยน “แม่หนู เรื่องนี้ฉันต้องขอบใจเธอมากนะ อนาคตของเธอไม่สิ้นสุด อย่ามาถูกตระกูลจี้ขังไว้เลย”

ความสามารถโดดเด่น หงส์ในหมู่คน

แววตาของอิ๋งจื่อจินวูบไหว “เข้าใจค่ะ”

ที่เธอกลับตระกูลจี้ก็เพื่อช่วยเวินเฟิงเหมียนเอาสิ่งที่เขาควรได้กลับคืนมา

เธอหันไปพูดกับเวินเฟิงเหมียน “พ่อคะ พวกเราไปที่ศูนย์ในอีกรอบ ลุงรองกับป้ารองกลับไปเถอะค่ะ”

เวินเฟิงเหมียนพยักหน้า

ระหว่างทางที่ทั้งสองคนไปศูนย์ในก็ได้เจอกับจี้หลีที่รีบกลับมาจากมหาวิทยาลัยตี้ตู

หลังจากจี้หลีรู้เรื่องทั้งหมดแล้วก็ตามไปด้วยกัน

ภายในศูนย์ใน

พวกผู้อาวุโสมาถึงแล้ว มีคนคุ้มกันล้อมรอบ

คนที่ขึ้นไปนั่งเป็นชายชราคนหนึ่ง ภายนอกดูเหมือนคนอายุห้าสิบหกสิบปี

ดวงตาหงส์ของอิ๋งจื่อจินหรี่ลงเล็กน้อย เพียงชั่วพริบตาเธอก็รู้วรยุทธ์ของชายชราคนนี้ เกินห้าสิบปี

วรยุทธ์ระดับนี้ถือเป็นผู้อาวุโสในตระกูลจี้แล้ว

เธอควบคุมลมปราณในร่างกาย

ผู้อำนวยการทำความเคารพผู้อาวุโส “ผู้อาวุโสสาม นี่คือนักโทษครับ พวกเรามีหลักฐานที่เขาจงใจฆ่าคน”

ตระกูลจี้อนุญาตให้มีการแก่งแย่งชิงดีภายใน แต่ก็แค่ในด้านการทดลอง

ห้ามลงมือทำร้ายคนโดยเด็ดขาด

แววตาของผู้อาวุโสสามดุจมีเปลวเพลิง พูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ลงโทษ!”

จากนั้นก็มีคนคุ้มกันถือสารพัดอุปกรณ์ลงโทษเข้ามา

เปิดเผยการไต่สวนก็ย่อมเปิดเผยการลงโทษด้วย

ภายในห้องสอบสวนมีเพียงเสียงร้องทรมานของจี้อี้หยวนอย่างไม่ขาดสาย ฟังดูเหมือนใจจะขาด

หลังจากใช้เครื่องมือลงโทษครบทุกชิ้น จี้อี้หยวนก็ล้มไปกองบนพื้น แทบไม่มีแม้แต่แรงจะพูด

จนกระทั่งเขาเห็นดวงตาหงส์ที่เย็นชาของอิ๋งจื่อจิน เกิดอาการตัวสั่น มีสติขึ้นมาในชั่วพริบตา

“ท่านผู้อาวุโส เธอ! เธอเป็นจอมยุทธ์!” จี้อี้หยวนนึกทางรอดสุดท้ายได้ ชี้อิ๋งจื่อจิน ร้องซี้ด “เธอยังเป็นแพทย์แผนโบราณด้วย! เธอต้องเป็นไส้ศึกที่ตระกูลอื่นส่งมาแน่ ท่านผู้อาวุโสต้องจับเธอไว้นะครับ!”

ฟึ่บ สายตาของจอมยุทธ์ทุกคนในห้องสอบสวนต่างมองไปที่อิ๋งจื่อจิน แรงกดดันล้นเหลือ

แม้แต่สีหน้าของเวินเฟิงเหมียนก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

ผู้อำนวยการอึ้ง “จอมยุทธ์กับแพทย์แผนโบราณเหรอ”

มีเพียงอิ๋งจื่อจินที่ยังทำตัวเฉย สุขุมใจเย็น

ผู้อาวุโสสามมองอิ๋งจื่อจินด้วยสายตาสำรวจอยู่สักพักแล้วค่อยๆ พูดขึ้น “เคยเรียนคัมภีร์หัวใจจอมยุทธ์มาเหรอ”

อิ๋งจื่อจินส่ายหน้า “ไม่เคยได้ยินค่ะ”

“เคยเรียนแผนภาพแปดจุดฝังเข็มบนร่างกายมนุษย์ไหม”

อิ๋งจื่อจินเหลือบตาขึ้น “ถ้าเป็นของแพทย์แผนจีนก็เคยอ่านค่ะ”

แต่ของแพทย์แผนโบราณไม่เหมือนกับของแพทย์แผนจีน

ผู้อาวุโสสามพยักหน้า เหลือบมองจอมยุทธ์คนหนึ่งที่อยู่ข้างกาย

“กล้าโกหกแม้กระทั่งคนของตระกูลเดิม” จอมยุทธ์คนนี้เดินตรงมา ง้างมือตบไปที่หน้าของจี้อี้หยวน พูดเสียงเย็นชา “รนหาที่ตาย!”

ตบนี้มีกำลังภายใน จี้อี้หยวนเลือดพุ่งทันที ใบหน้าบวมเป่ง

เขาฟุบลงบนพื้น เลือดชุ่ม มีเลือดไหลออกจากมุมปากไม่หยุด

กำลังภายในแล่นเข้าสู่ร่างกาย ทำอวัยวะภายในของจี้อี้หยวนปั่นป่วน เจ็บปวดน่าเวทนา

จี้อี้หยวนไปไม่ถูก รู้สึกเหลือเชื่อ “ท่านผู้อาวุโส!”

“โง่เง่า ไม่รู้จักจอมยุทธ์ก็หุบปากซะ” จอมยุทธ์คนนี้ตบจี้อี้หยวนอีกครั้ง แสยะยิ้ม “แกรู้หรือเปล่าว่าจอมยุทธ์คืออะไร แกคิดว่าคนอายุเท่านี้ใครก็ฝึกฝนกำลังภายในออกมาได้เหรอ ทุกคนเป็นอัจฉริยะงั้นสิ”

“ยังจะมาแพทย์แผนโบราณ คนที่เป็นทั้งจอมยุทธ์และแพทย์แผนโบราณ สิบนิ้วของฉันยังพอนับให้แกดูเลย!”

แม้แต่ผู้อาวุโสสามก็ยังสัมผัสไม่ได้ถึงคลื่นกำลังภายในบนร่างกายของอิ๋งจื่อจิน

เด็กสาวที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีจะมีวรยุทธ์สูงกว่าผู้อาวุโสสามตระกูลจี้ได้อีกเหรอ

แน่นอนว่าพวกเขาสืบเรื่องอิ๋งจื่อจินมาแล้ว

อิ๋งจื่อจินอยู่โลกภายนอกมาตลอด ไม่เคยไปโลกจอมยุทธ์

โดยเฉพาะสิบเจ็ดปีก่อนที่อาศัยอยู่ในอำเภอแร้นแค้นอย่างอำเภอชิงสุ่ย แต่ละวันทำได้เพียงประทังชีวิต แล้วยังจะฝึกวรยุทธ์ได้อีกเหรอ

“เธอเป็นจริงๆ!” จี้อี้หยวนถึงขั้นร้องไห้ออกมาแล้ว “ผมสาบานได้เลยว่าเธอเป็นจอมยุทธ์จริงๆ! ทำไมพวกคุณไม่เชื่อ ทำไมไม่เชื่อ!”

“หุบปาก!” จอมยุทธ์ชักหมดความอดทน ตบที่สามเข้าใบหน้า จี้อี้หยวนสลบเรียบร้อย

ผู้อำนวยการรีบออกคำสั่ง “ลากออกไปขังไว้ แล้วไปสืบคนของสายตระกูลทางเขาทั้งหมด”

จี้หลีมองจี้อี้หยวน “…”

เฮ้อ น่าสมเพชเหลือเกิน

อายุกับภาพลักษณ์ภายนอกของน้องสาวเธอมันลวงตาจริงๆ นั่นแหละ

ถ้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง เป็นใครก็ไม่เชื่อ

ถูกเย่ว์ฝูอีจัดการไปหนึ่งรอบ ถูกเตือนจากศาลสถิตยุติธรรม ตระกูลเดิมของตระกูลจี้ก็สงบเสงี่ยมลงไปมาก

ผู้อาวุโสสามก็ไม่ได้อยู่นาน พาพวกจอมยุทธ์กลับไป

เวินเฟิงเหมียนไปทำการทดลองต่อ

จี้หลีกับอิ๋งจื่อจินเดินเคียงข้างกันไป

“จริงสิเทพอิ๋ง ตอนนี้มหาวิทยาลัยตี้ตูเปิดเทอมได้เกือบหนึ่งเดือนแล้ว การฝึกระเบียบทหารจะเริ่มหลังหยุดวันชาติ” จี้หลีดวงตาเป็นประกาย “ฝึกสิบสี่วัน ได้ยินว่าจะได้จับปืนล่าสัตว์ด้วยนะ”

อิ๋งจื่อจินเลิกคิ้ว “ฝึกระเบียบทหารเหรอ”

โรงเรียนมัธยมชิงจื้อก็มีฝึกระเบียบทหาร เริ่มตอนเข้ามอสี่ ทั้งหมดเจ็ดวัน

แต่ตอนเธอย้ายเข้าโรงเรียนมัธยมชิงจื้อก็เกือบมอห้าแล้ว ย่อมไม่ได้ฝึกระเบียบทหาร

“ใช่ เทพอิ๋ง เธอจะเข้าร่วมไหม” พอจี้หลีถามเสร็จก็เพิ่งคิดได้ “ฉันลืมไป เธอเป็นจอมยุทธ์ ว่างๆ จะไปเข้าฝึกระเบียบทหารทำไม”

จี้หลีชอบเล่นกีฬามาก เธอเองก็ฝึกศิลปะป้องกันตัว วิ่งห้ากิโลเมตรได้ทุกวันไม่มีปัญหา

เธอไม่เหมือนนักศึกษาคนอื่น เธอกลับเฝ้ารอการฝึกระเบียบทหารเสียด้วยซ้ำ

“ไม่ พี่พูดถูก น่าสนใจดี” อิ๋งจื่อจินคิดแล้วพยักหน้า “เข้าร่วมได้”

“เอาสิๆ” จี้หลีดีใจมาก “เอ๊ะ แต่ตกลงเทพอิ๋งอยู่คณะไหนเหรอ ฝึกระเบียบทหารเขาแบ่งตามคณะ”

“ฉันไปกับพี่แล้วกัน” อิ๋งจื่อจินตอบ “ตอนบ่ายพี่จะกลับไปเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเหรอ”

“อืม” จี้หลีถอนหายใจ “วิชาเรียนของคลาสทดลองเยอะมาก ฉันยุ่งจะไม่ไหวแล้ว”

“อืมก็พอดี” อิ๋งจื่อจินครุ่นคิดแล้วพูดขึ้น “ฉันก็จะไปที่มหาวิทยาลัยตี้ตูด้วย”

มหาวิทยาลัยตี้ตูในปลายเดือนกันยายนครึกครื้นมาก

ก่อนหยุดเทศกาลวันชาติเป็นงานแข่งกีฬาของทั้งมหาวิทยาลัย หลังหยุดวันชาติเป็นการฝึกระเบียบทหาร

พวกรุ่นพี่ต่างรอช่วงฝึกระเบียบทหารจะได้ไปดูพวกรุ่นน้องถูกทรมาน

แต่ตอนนี้เป็นเวลาพักกลางวัน แถมอิ๋งจื่อจินยังเข้าทางประตูด้านข้าง มีคนผ่านไปมาไม่เยอะ

เธอตรงเข้าไปหาจั่วหลี

เดิมทีจั่วหลีคิดว่าจะมีคนมาช่วยเขาทำการทดลองแล้ว กำลังจะดีใจกลับได้ยินอิ๋งจื่อจินพูดว่าเตรียมเข้าร่วมฝึกระเบียบทหาร

จั่วหลี “…”

อะไรเนี่ย

ร่วมฝึกระเบียบทหารเหรอ

ทุนการศึกษาแค่นั้นมันเทียบกับเงินสนับสนุนห้องทดลองของพวกเขาได้เหรอ

อิ๋งจื่อจินเงียบไปชั่วครู่ สรุปสั้นๆ “หนูลาหยุดค่ะ”

ช่วงนี้เธอเหนื่อยมากจริงๆ อยากผ่อนคลาย

จั่วหลีรู้สึกเพียงว่าเขาตามความคิดของอิ๋งจื่อจินไม่ทัน ผ่านไปสักพักถึงถามขึ้น “…เธอเอาวันหยุดไปฝึกระเบียบทหารเหรอ”

ฟังดูนะ นี่ใช่คำพูดมนุษย์เหรอ

การฝึกระเบียบทหารของมหาวิทยาลัยตี้ตูไม่เหมือนมหาวิทยาลัยอื่น แบ่งเป็นหลายระดับตามพละกำลังและสาขา

ถ้าเป็นนักศึกษาทหารเข้าร่วมการฝึกก็จะไม่แตกต่างกับการฝึกในค่ายทหาร เข้มงวดมาก

ต่อมาคือพวกนักกีฬา

สุดท้ายคือนักศึกษาทั่วไป และจะแยกชายหญิง

แต่ต่อให้เป็นระดับต่ำสุด ฝึกสิบสี่วันก็เหมือนถูกถลกหนัง

จั่วหลีก็เป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยตี้ตู เขารู้ดีว่าการฝึกระเบียบทหารของมหาวิทยาลัยนี้ยากขนาดไหน

เขาจำได้ฝังใจเลยล่ะ

รูมเมทของเขาเรียนคณะเคมี รู้ลึกพวกเครื่องสำอาง ทาครีมกันแดดทุกวัน ทั้งยังเตือนเขาว่าครีมกันแดดไม่เพียงแต่จะช่วยกันผิวคล้ำ ที่สำคัญยิ่งกว่าคือช่วยให้เหี่ยวช้าลง

จั่วหลีคิดว่าเขาเป็นลูกผู้ชายอกสามศอก จะใช้ของพวกนี้ได้อย่างไร

ไม่ใช้!

ปรากฏว่าจบสิบสี่วัน เขาตัวดำเมี่ยมเหมือนถ่าน

นึกเสียใจสุดๆ

จั่วหลีปวดใจ แต่ก็ช่วยไม่ได้ พูดได้เพียงว่า “งั้น งั้นเธอก็เตรียมครีมกันแดดไว้ด้วยนะ”

พอได้ยินแบบนี้อิ๋งจื่อจินก็เลิกคิ้ว “ศาสตราจารย์จั่วหลีคะ”

อยู่ๆ จั่วหลีก็รู้สึกหนาว เขากระชับเสื้อ “ทำไมเหรอ”

“พวกเราเพิ่งมีเซ็ตสุดคุ้มมาใหม่” อิ๋งจื่อจินดูมือถือ “ในเซ็ตมีมาร์คหน้าชุ่มชื้นยี่สิบแผ่น ครีมกันแดดเนื้อบางเบา และยังมีครีมทามือกับน้ำมันหอมระเหย เซ็ตนี้ราคาแค่สามพันแปดร้อยแปดสิบแปด ศาสตราจารย์จะซื้อให้ภรรยากี่ชุดดีคะ”

“…”

อิ๋งจื่อจินออกจากห้องทำงานของจั่วหลีไปที่ห้องอธิการบดีเฉินจวิ้นเซียนแล้ว

จั่วหลีมองยอดเงินโอนสามหมื่นแปดพันแปดร้อยแปดสิบ ปวดใจไม่ไหว

ช่างเถอะ ซื้อให้เมีย

จั่วหลีเช็ดเหงื่อ ขณะที่เตรียมจะทำงานต่อ ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงปัญหาสำคัญได้

เขาลืมไป เขาควรให้อิ๋งจื่อจินสวมผ้าปิดปาก ทางที่ดีแต่งตัวมิดชิดเอาให้ใครก็จำไม่ได้!

อันที่จริงนักศึกษาตั้งแต่ปีสองขึ้นไปไม่มีใครสนใจการแข่งไอเอสซี อย่างไรเสียนั่นก็เป็นการแข่งขันความรู้ของเด็กมอปลาย ไม่เกี่ยวกับนักศึกษามหาวิทยาลัย

โดยเฉพาะเด็กปีสามปีสี่ที่ยุ่งกับการเตรียมสอบชิงทุนเรียนต่อต่างประเทศหรือหางานทำ ไม่มีทางว่างดูรายการพวกนี้ อย่างมากก็แค่เคยได้ยินชื่ออิ๋งจื่อจินอยู่บ้าง

แต่เด็กที่เพิ่งขึ้นปีหนึ่งปีนี้มีคนที่คลั่งไคล้อิ๋งจื่อจินเยอะมาก

แปดสิบเปอร์เซ็นต์ได้

พิธีปฐมนิเทศอิ๋งจื่อจินไม่ได้มา คำกล่าวของนักศึกษาใหม่ก็ให้คนที่สอบได้อันดับหนึ่งอีกคนทำแทน นักศึกษาปีหนึ่งก็เลยเซ็งกันมาก

จั่วหลีนั่งนิ่งบนเก้าอี้ ชักเริ่มสติแตก

แย่แล้ว มหาวิทยาลัยตี้ตูแตกแน่

ทางด้านตระกูลจี้

เรื่องที่จี้อี้หยวนถูกยึดทรัพยากรทั้งหมด ถูกตัดคะแนนผลงาน ถูกขังอยู่ในคุกเหล็กของตระกูลจี้ ทั้งหมดนี้ได้ถูกลือไปทั้งตระกูลจี้ในเวลาหนึ่งชั่วโมง

สายตระกูลทุกสายของตระกูลจี้ต่างอกสั่นขวัญแขวน สงบเสงี่ยมลงไปมาก

พอจัดการจี้อี้หยวนเสร็จศูนย์ในก็เปิดประชุมที่เคร่งเครียดมาก เรียกรวมคนมีอำนาจของแต่ละสายตระกูล รวมถึงผู้อาวุโสของศูนย์ใน

ผู้อำนวยการพูดขึ้น “ความหมายของทางตระกูลเดิมคือ เนื่องจากศาลสถิตยุติธรรมกำลังตรวจเข้มจอมยุทธ์ที่เข้ามาแทรกแซงโลกปุถุชน ดังนั้นต่อไปทางตระกูลเดิมอาจไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราแล้ว”

พอคำพูดนี้ออกมาก็มีหลายคนที่หน้าถอดสีตกใจมาก

โลกปุถุชนเป็นคำที่โลกจอมยุทธ์กับโลกแพทย์แผนโบราณใช้เรียกโลกภายนอก แสดงถึงคนธรรมดาและเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา

สาเหตุที่ตระกูลจี้ไม่กลัวตระกูลชั้นแนวหน้าใดๆ ของตี้ตูนอกจากเป็นเพราะมีข้อมูลงานวิจัยจำนวนไม่น้อยอยู่ในมือ ยังเป็นเพราะมีตระกูลเดิมในโลกจอมยุทธ์ด้วย

หากตระกูลเดิมในโลกจอมยุทธ์ไม่ขอแทรกแซงโลกปุถุชนอีก ถ้าอย่างนั้นในด้านพละกำลังการต่อสู้ของพวกเขาก็จะลดฮวบเลยทีเดียว

พอถึงเวลาก็จะถูกหน่วยอีจื้อควบคุม

ตระกูลจี้ในอดีตไม่เคยเกรงกลัวหน่วยอีจื้อ

ผู้อำนวยการพูดต่อ “แต่ถ้ามีคนทรยศ ทางตระกูลเดิมไม่มีทางปล่อยไป”

นี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมตระกูลจี้ถึงกล้าใช้คนแซ่อื่น เพราะมีจอมยุทธ์อยู่ ต่อให้หนีไปอยู่ยุโรปก็สามารถจัดการได้

“ดังนั้นผมได้ปรึกษากับพวกผู้อาวุโสและตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว” ผู้อำนวยการเคาะโต๊ะเพื่อบอกให้ทุกคนเงียบ “ตอนนี้ตระกูลจี้ต้องการผู้สืบทอด สืบทอดตระกูลจี้และศูนย์วิจัย”

ถึงแม้ผู้อำนวยการจะรับตำแหน่งผู้อำนวยการ แต่ไม่ถือเป็นทุกอย่างของศูนย์วิจัย

ข้อมูลทั้งหมดที่ศูนย์วิจัยตระกูลจี้ครอบครอง แม้แต่พวกห้องทดลองชั้นแนวหน้าของยุโรปต่างก็อยากได้

จำเป็นต้องมีผู้สืบทอดที่ผ่านเกณฑ์

ผู้อำนวยการให้ผู้ช่วยเอาเอกสารมาแจกให้ทุกคน “ในนั้นเป็นรายชื่อตัวเลือกผู้สืบทอดห้าคนที่บรรดาผู้อาวุโสเลือกมา”

จี้อี้หางรับมาแล้วเปิดดู

ผู้สืบทอดคนที่หนึ่ง เหยียนรั่วเสวี่ย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+