คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ 63

Now you are reading คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ Chapter 63 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หรือว่าแค่พึ่งคุณชายเสเพลฟู่อวิ๋นเซินคนเดียวนั่นก็พอแล้วเหรอ

จะพึ่งได้นานสักเท่าไรกัน

พอนึกถึงท่าทีของเจียงมั่วหย่วนที่มีต่อเธอช่วงสองสามวันนี้ อิ๋งลู่เวยก็ยิ่งใจคอไม่ดี

ถึงแม้เธอเองก็รู้ว่าสาเหตุมาจากหุ้นตก ทำให้เจียงซื่อกรุ๊ปได้รับความเสียหายไปมาก แต่เธอก็ยังรู้สึกกลัวนิดหน่อย

เดิมทีเพราะเธอเป็นโรคฮีโมฟีเลีย คุณนายผู้เฒ่าเจียงถึงไม่ค่อยพอใจในตัวเธอนัก แต่เห็นแก่ที่เธอเป็นไฮโซสาวอันดับหนึ่งของเมืองฮู่เฉิง จำต้องยอม

ดังนั้นเธอห้ามเกิดข้อผิดพลาดอะไรเด็ดขาดก่อนที่จะได้แต่งเข้าตระกูลเจียง

ถึงแม้เรื่องเวยปั๋วในครั้งนี้จะส่งผลต่อชื่อเสียง และสถานะของเธอในแวดวงไฮโซไม่ได้ แต่ก็ต้องมีข่าวซุบซิบแน่นอน

คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งก็มีอิ๋งลู่เวยตอนอายุมากแล้ว ครอบครัวตระกูลอิ๋งทั้งหมดถึงประคบประหงมเอาใจ ทนเห็นอิ๋งลู่เวยเสียใจไม่ได้แม้แต่น้อย

“ยังโทรไม่ติดเหรอ” คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งมองจงมั่นหวาที่อยู่ข้างๆ พูดประชด “ดูซิ ฉันพูดไว้ว่าไง เลี้ยงไม่เชื่อง!”

ตระกูลอิ๋งไม่แคร์เรื่องที่ต้องเลี้ยงคนเพิ่มมาหนึ่งคน แต่การที่ต้องรับลูกเลี้ยงเข้ามาให้ได้ มันน่าหงุดหงิดใจจริงๆ

ถ้าจะให้เธอพูด ให้เลือดได้เท่าไร ก็เอาเงินไปเท่านั้น ถือเป็นหนทางที่ดี ที่จะไม่ติดค้างกัน

ถ้าไม่ติดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอิ๋งลู่เวย คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งไม่มีทางลดตัวมาอยู่ในร้านขายชานมเล็กๆ ริมถนนแบบนี้

จงมั่นหวาเองก็หงุดหงิดอย่างมาก

เธอถูกบล็อกเบอร์ไปแล้ว ต่อให้เปลี่ยนเบอร์อื่นโทรไป วินาทีแรกที่ได้ยินเสียงเธอ อิ๋งจื่อจินก็กดวางทันที บล็อกเบอร์ทันที

เธอบากหน้าไปหาผู้เฒ่าจง อยากให้เขาออกหน้า แต่ก็ถูกด่า

ผู้เฒ่าจงด่าเธอยกใหญ่ บอกว่าเธอไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่แยกแยะคนในครอบครัวกับคนนอก มีเหรอที่เธอยังจะมีหน้าไปหาอีก

“แม่คะ ใจเย็นๆ ค่ะ” อิ๋งลู่เวยปลอบคุณนายผู้เฒ่าอิ๋ง “เสี่ยวจินโกรธพี่สะใภ้ใหญ่อยู่ อย่าโทษพี่สะใภ้ใหญ่เลยนะคะ”

เธอเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ ยิ้มพลางพูด “ตอนนี้ห้าโมงสี่สิบ อีกสิบนาทีก็จะเลิกเรียน พวกเรารออยู่ที่นี่ต้องได้เจอเสี่ยวจินแน่นอนค่ะ”

คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งส่งสายตาเย็นชาไปทางจงมั่นหวา สีหน้าถึงได้ผ่อนคลายลง “เวยเอ๋อร์ของแม่ฉลาดจริงๆ”

อิ๋งลู่เวยไม่พูดอะไรอีก สายตาจับจ้องไปที่ประตูโรงเรียน

ไม่ว่าต้องใช้วิธีไหนเธอก็ต้องทำให้อิ๋งจื่อจินยอมถอนฟ้องให้ได้

หลับตลอดคาบทบทวนบทเรียนด้วยตัวเอง อิ๋งจื่อจินถึงรู้สึกสดชื่นขึ้นมา และก็ถึงเวลาเลิกเรียนพอดี พวกนักเรียนทยอยเดินออกไปข้างนอก

เธอหาวออกมา ยืนขึ้น ไม่เก็บหนังสือ แค่เอากระเป๋านักเรียนพาดบ่า หยิบเสื้อตัวนอกของเครื่องแบบนักเรียนแล้วเดินออกไปอย่างไม่รีบร้อน

หน้าบอร์ดประกาศใต้อาคารเรียน คนของสภานักเรียนกำลังประดับบอร์ด

จงจือหว่านเป็นหัวหน้าชมรม กำลังถือแฟ้มเอกสารยืนสั่งงาน

เธอเอาผมทัดหู สายตามองไปมาก็เหลือบเห็นอิ๋งจื่อจินอย่างไม่ตั้งใจ กำลังเดินออกมาจากบันไดข้างหน้า

ช่วงขาเรียวยาว เอวคอด สัดส่วนแต่ละจุดสมบูรณ์แบบกำลังดี

กระดุมเสื้อเชิ้ตถูกปลดออกหนึ่งเม็ด เสื้อคลายออก เผยให้เห็นกระดูกไหปลาร้า ผิวพรรณขาวผ่อง เรียกได้ว่างดงามมากทีเดียว

เล่นเอานักเรียนของแต่ละระดับชั้นถึงกับต้องเหลียวมองบ่อยครั้ง ดึงดูดเอาความสนใจไปทั้งหมด

จงจือหว่านก้มหน้า แต่สายตาจับจ้อง

หัวหน้าชมรมวารสารเป็นผู้หญิง มองด้วยความชื่นชม “อิ๋งจื่อจินเปลี่ยนไปมากเลยนะ เมื่อก่อนเอาแต่ก้มหน้าเดิน ไม่เคยสังเกตเลยว่าสวยขนาดนี้”

สวยจนทำให้คนไม่มีแม้กระทั่งความคิดจะอิจฉา

จงจือหว่านสีหน้าเรียบเฉย “เลิกมองเถอะ รีบทำให้เสร็จจะได้กลับบ้าน”

หัวหน้าชมรมวารสารละสายตาด้วยความเสียดาย จากนั้นก็เริ่มซุบซิบ “จะว่าไป อิ๋งจื่อจินก็ลงชื่อเข้าร่วมเทศกาลศิลปะครั้งนี้ด้วยนะ”

จงจือหว่านขมวดคิ้ว “ลงชื่อประกวดในเทศกาลศิลปะน่ะเหรอ”

“ไม่ใช่แค่ประกวดรายการเดียวนะ ลงประกวดหลายรายการเลยล่ะ” หัวหน้าชมรมพูด “นอกจากเขียนอักษรด้วยพู่กันกับจิตรกรรมภาพวาดโบราณ อิ๋งจื่อจินก็ลงวาดภาพสีน้ำมันด้วยนะ จะเก่งเกินไปแล้ว”

“เธอคิดเยอะไปแล้ว” จงจือหว่านส่ายหน้า “ยัยนั่นคงร้อนเงินล่ะไม่ว่า”

หัวหน้าชมรมวารสารอึ้งไปชั่วขณะ “ร้อนเงินเหรอ”

“ยัยนั่นทะเลาะกับคุณอาของฉัน หนีออกจากบ้านไปแล้ว” จงจือหว่านวาดอะไรเรื่อยเปื่อยลงบนกระดาษอย่างเหม่อลอย “คงเห็นเงินรางวัลในเทศกาลศิลปะสูงมากก็เลยอยากลองดูแหละมั้ง”

เธอไม่คิดว่าอิ๋งจื่อจินจะมีความสามารถอะไรทางด้านศิลปะ

ไม่ว่าจะเขียนอักษรด้วยพู่กันหรือจิตรกรรมวาดภาพโบราณ ถ้าอยากทำให้ได้ดี มีแค่พรสวรรค์ยังไม่พอ ต้องมีอาจารย์เก่งด้วย

แต่คนในอำเภอเล็กๆ จะมีกำลังทรัพย์ถึงขั้นเชิญอาจารย์ที่มีชื่อเสียงได้ยังไง

“อย่างนั้นเหรอ…” หัวหน้าชมรมวารสารรู้สึกเสียดาย “ฉันยังคิดว่าวาดเป็นถึงได้ลงประกวด”

จงจือหว่านหลุบตาลง ผ่านไปสักพักอยู่ๆ ก็พูดขึ้น “เธอเอาใบสมัครเทศกาลศิลปะมาให้ฉันใบนึงสิ”

หัวหน้าชมรมวารสารตกใจ “จือหว่าน เธอจะลงประกวดด้วยเหรอ เธอไม่ได้ไม่สนใจเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เหรอ” จงจือหว่านไม่ได้ร้อนเงิน และก็ไม่จำเป็นต้องใช้เทศกาลศิลปะเพื่อเป็นบันไดไปรู้จักพวกปรมาจารย์ในแวดวงศิลปะ

อย่างไรเสียเธอก็คลุกคลีเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่เด็ก ตระกูลจงเชิญแต่อาจารย์ที่เก่งที่สุดมาทั้งนั้น

จงจือหว่านยิ้ม “ก็ไม่อะไร แค่อยากลงสมัครเล่นๆ”

โทรศัพท์มือถือดังขึ้นตอนที่อิ๋งจื่อจินเดินไปถึงประตูโรงเรียน

มีข้อความส่งมาจากเบอร์แปลก

[สวัสดีครับคุณอิ๋ง ผมเป็นนักจิตวิทยาของคุณ ไม่ทราบว่าวันที่ยี่สิบว่างไหมครับ พวกเรานัดเจอกันหน่อยดีไหมครับ]

คำพูดเป็นทางการมาก และไม่มีการลงชื่อ

อิ๋งจื่อจินกำลังจะตอบว่า ‘ไม่ว่าง ขอบคุณค่ะ’ แต่แล้วเธอก็หรี่ตาลง ทันใดนั้นเบื้องหน้าเหมือนมีหมอกขาวปกคลุม

ภาพเหตุการณ์ในอนาคตปรากฏขึ้นมาแวบหนึ่งแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว

นิ้วมือของเธอหยุดชะงัก ขมวดคิ้วเข้าหากัน เปลี่ยนความคิด

[ได้ค่ะ เจอกันห้าโมง]

ทางนั้นตอบกลับมาเร็วมาก

[ครับ ผมจะไปถึงตรงเวลา แล้วเจอกันครับ]

อิ๋งจื่อจินถือโทรศัพท์รอสัญญาณไฟแดง สายตาของเธอมองแฉลบออกไปเล็กน้อยก็เห็นอิ๋งลู่เวยที่กำลังข้ามถนนมาจากฝั่งตรงข้าม

“เสี่ยวจิน!”

อิ๋งจื่อจินเบี่ยงตัวหลบ

อิ๋งลู่เวยเซเล็กน้อย เกือบล้ม มือแข็งอยู่กลางอากาศ

แต่เธอก็ได้สติโดยเร็ว ริมฝีปากผุดรอยยิ้ม สีหน้าเป็นห่วง “เสี่ยวจิน หลายวันนี้เธอไปไหนมา ทำไมไม่โทรบอก พวกเราเป็นห่วงเธอมากนะ”

“อืม เข้าใจ” อิ๋งจื่อจินพยักหน้า “เป็นห่วงว่าพอไม่มีคลังเลือดมีชีวิตแล้วจะตายสินะ”

อิ๋งลู่เวยประคองรอยยิ้มไม่อยู่อีกต่อไป สีหน้าอ่อนโยนเช่นยามปกติก็แหลกเป็นชิ้นๆ

เธอนึกไม่ถึงว่าอิ๋งจื่อจินจะพูดตรงขนาดนี้

โอยเฉพาะตอนนี้มีนักเรียนยืนรอไฟแดงอยู่ไม่น้อย หลายคนพอได้ยินคำพูดนี้ก็กำลังมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ

กระวนกระวายใจ ทำให้เธอรู้สึกดุจนั่งอยู่บนพรมที่มีหนาม

อิ๋งลู่เวยเม้มริมฝีปาก พูดเสียงเบา “เสี่ยวจิน เธอจะไม่พอใจอา อาไม่ถือสา แต่คุณย่ากับคุณแม่ของเธอรอเธออยู่ที่ด้านนั้นนะ ไปเจอพวกท่านหน่อยดีไหม”

เธอคิดไว้แล้วว่า ถ้าอิ๋งจื่อจินปฏิเสธ รอบตัวมีคนเยอะขนาดนี้ เธอสามารถใช้เรื่องศีลธรรมมาบีบบังคับได้ แต่ทว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายของอิ๋งลู่เวยก็คือ หลังจากที่อิ๋งจื่อจินมองเธอหนึ่งวินาทีก็ตอบว่า “ได้”

คำพูดที่อิ๋งลู่เวยคิดไว้เสียดิบดีเป็นอันต้องยุติลง เธอกำฝ่ามือ เดินนำอิ๋งจื่อจินไปยังร้านชานมอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไร

เวลานี้ในร้านชานมมีคนอยู่ไม่น้อย ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนของชิงจื้อ

เพราะเรื่องในเวยปั๋ว ตอนนี้ไม่มีใครในชิงจื้อไม่มีใครไม่รู้จักอิ๋งจื่อจินแล้ว อย่างไรเสียก็หน้าตาดีกินขาด เป็นไปไม่ได้ที่จะมองข้าม

จงมั่นหวากับคุณนายผู้เฒ่าอิ๋งนั่งอยู่โต๊ะริมด้านใน ดูค่อนข้างเกร็ง

“ในที่สุดก็มาแล้วเหรอ วางท่าใหญ่โตจริงๆ เลยนะ” คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งทนมานานแล้ว เธอตบโต๊ะดังปัง

“ยังต้องให้เวยเอ๋อร์ไปเชิญถึงที่ ลืมสถานะของตัวเองแล้วเหรอ”

จงมั่นหวาสีหน้าแย่มาก “คุณแม่คะ อย่ามัวพูดตรงนี้เลยค่ะ มีเรื่องอะไรกลับไป…”

“คุยกันตรงนี้นี่แหละ” คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งไม่ยอม แสยะยิ้ม “คนที่ขายหน้าไม่ใช่พวกเราสักหน่อย”

คำพูดนี้ทำลูกค้าในร้านตกใจกันหมด

พวกเขาพากันมองมา ทั้งแปลกใจทั้งตกใจ

นักเรียนของชิงจื้อจำอิ๋งลู่เวยได้ พากันกระซิบกระซาบ

“นั่นมันอาจารย์อิ๋งไม่ใช่เหรอ เกิดอะไรขึ้นระหว่างเธอกับอิ๋งจื่อจินน่ะ”

“ใครจะรู้ล่ะ ฉันได้ยินคลาสเด็กอัจฉริยะเล่าว่า อิ๋งจื่อจินทะเลาะกับคนในตระกูลอิ๋งจนหนีออกจากบ้าน เชิญให้กลับ เธอก็ไม่กลับไปประมาณนั้น”

“หา? ไม่มั้ง เธอเป็นลูกเลี้ยงไม่ใช่เหรอ กล้าเอาแต่ใจขนาดนั้นเลยเหรอ”

อิ๋งลู่เวยพยายามหุบยิ้ม แต่ปากกลับพูดว่า “แม่คะ พี่สะใภ้ใหญ่พูดถูก พวกเรากลับบ้าน…”

ยังไม่ทันพูดจบทั้งสามคนก็ถูกอิ๋งจื่อจินโยนกระดาษใส่หนึ่งใบ

ในนั้นเป็นรายการให้เลือดไปกี่มิลลิลิตรพร้อมระบุวันที่ ละเอียดเสียยิ่งกว่าละเอียด

อิ๋งลู่เวยอึ้ง อยู่ๆ ก็เริ่มใจคอไม่ดี

“ในเมื่ออยากเจอฉัน งั้นก็จัดการเรื่องนี้ด้วยแล้วกัน” อิ๋งจื่อจินเงยหน้า “เลือดสีทองประเมินราคาไม่ได้ ฉันขอคิดพวกคุณสองหมื่นห้าต่อหนึ่งร้อยมิลลิลิตรแล้วกัน”

ตอนที่ได้ยินเลือดสีทอง สมองของอิ๋งลู่เวยก็เบลอไปชั่วขณะ ห้ามอิ๋งจื่อจินพูดต่อไม่ทัน

“หนึ่งปีที่ผ่านมา พวกคุณบังคับสูบเลือดของฉันไปสิบสามครั้งโดยไม่ได้รับอนุญาตจากฉัน ครั้งละสองร้อยมิลลิลิตร ทั้งหมดเป็นเงินหกแสนห้าหมื่น”

“…” เกิดความเงียบขึ้นในร้านชานมชั่วขณะ

มือข้างหนึ่งของอิ๋งจื่อจินล้วงกระเป๋า พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยราวกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตัวเอง

“ให้เวลาพวกคุณสามนาที โอนเงินมาตอนนี้”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ 63

Now you are reading คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ Chapter 63 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หรือว่าแค่พึ่งคุณชายเสเพลฟู่อวิ๋นเซินคนเดียวนั่นก็พอแล้วเหรอ

จะพึ่งได้นานสักเท่าไรกัน

พอนึกถึงท่าทีของเจียงมั่วหย่วนที่มีต่อเธอช่วงสองสามวันนี้ อิ๋งลู่เวยก็ยิ่งใจคอไม่ดี

ถึงแม้เธอเองก็รู้ว่าสาเหตุมาจากหุ้นตก ทำให้เจียงซื่อกรุ๊ปได้รับความเสียหายไปมาก แต่เธอก็ยังรู้สึกกลัวนิดหน่อย

เดิมทีเพราะเธอเป็นโรคฮีโมฟีเลีย คุณนายผู้เฒ่าเจียงถึงไม่ค่อยพอใจในตัวเธอนัก แต่เห็นแก่ที่เธอเป็นไฮโซสาวอันดับหนึ่งของเมืองฮู่เฉิง จำต้องยอม

ดังนั้นเธอห้ามเกิดข้อผิดพลาดอะไรเด็ดขาดก่อนที่จะได้แต่งเข้าตระกูลเจียง

ถึงแม้เรื่องเวยปั๋วในครั้งนี้จะส่งผลต่อชื่อเสียง และสถานะของเธอในแวดวงไฮโซไม่ได้ แต่ก็ต้องมีข่าวซุบซิบแน่นอน

คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งก็มีอิ๋งลู่เวยตอนอายุมากแล้ว ครอบครัวตระกูลอิ๋งทั้งหมดถึงประคบประหงมเอาใจ ทนเห็นอิ๋งลู่เวยเสียใจไม่ได้แม้แต่น้อย

“ยังโทรไม่ติดเหรอ” คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งมองจงมั่นหวาที่อยู่ข้างๆ พูดประชด “ดูซิ ฉันพูดไว้ว่าไง เลี้ยงไม่เชื่อง!”

ตระกูลอิ๋งไม่แคร์เรื่องที่ต้องเลี้ยงคนเพิ่มมาหนึ่งคน แต่การที่ต้องรับลูกเลี้ยงเข้ามาให้ได้ มันน่าหงุดหงิดใจจริงๆ

ถ้าจะให้เธอพูด ให้เลือดได้เท่าไร ก็เอาเงินไปเท่านั้น ถือเป็นหนทางที่ดี ที่จะไม่ติดค้างกัน

ถ้าไม่ติดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอิ๋งลู่เวย คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งไม่มีทางลดตัวมาอยู่ในร้านขายชานมเล็กๆ ริมถนนแบบนี้

จงมั่นหวาเองก็หงุดหงิดอย่างมาก

เธอถูกบล็อกเบอร์ไปแล้ว ต่อให้เปลี่ยนเบอร์อื่นโทรไป วินาทีแรกที่ได้ยินเสียงเธอ อิ๋งจื่อจินก็กดวางทันที บล็อกเบอร์ทันที

เธอบากหน้าไปหาผู้เฒ่าจง อยากให้เขาออกหน้า แต่ก็ถูกด่า

ผู้เฒ่าจงด่าเธอยกใหญ่ บอกว่าเธอไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่แยกแยะคนในครอบครัวกับคนนอก มีเหรอที่เธอยังจะมีหน้าไปหาอีก

“แม่คะ ใจเย็นๆ ค่ะ” อิ๋งลู่เวยปลอบคุณนายผู้เฒ่าอิ๋ง “เสี่ยวจินโกรธพี่สะใภ้ใหญ่อยู่ อย่าโทษพี่สะใภ้ใหญ่เลยนะคะ”

เธอเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ ยิ้มพลางพูด “ตอนนี้ห้าโมงสี่สิบ อีกสิบนาทีก็จะเลิกเรียน พวกเรารออยู่ที่นี่ต้องได้เจอเสี่ยวจินแน่นอนค่ะ”

คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งส่งสายตาเย็นชาไปทางจงมั่นหวา สีหน้าถึงได้ผ่อนคลายลง “เวยเอ๋อร์ของแม่ฉลาดจริงๆ”

อิ๋งลู่เวยไม่พูดอะไรอีก สายตาจับจ้องไปที่ประตูโรงเรียน

ไม่ว่าต้องใช้วิธีไหนเธอก็ต้องทำให้อิ๋งจื่อจินยอมถอนฟ้องให้ได้

หลับตลอดคาบทบทวนบทเรียนด้วยตัวเอง อิ๋งจื่อจินถึงรู้สึกสดชื่นขึ้นมา และก็ถึงเวลาเลิกเรียนพอดี พวกนักเรียนทยอยเดินออกไปข้างนอก

เธอหาวออกมา ยืนขึ้น ไม่เก็บหนังสือ แค่เอากระเป๋านักเรียนพาดบ่า หยิบเสื้อตัวนอกของเครื่องแบบนักเรียนแล้วเดินออกไปอย่างไม่รีบร้อน

หน้าบอร์ดประกาศใต้อาคารเรียน คนของสภานักเรียนกำลังประดับบอร์ด

จงจือหว่านเป็นหัวหน้าชมรม กำลังถือแฟ้มเอกสารยืนสั่งงาน

เธอเอาผมทัดหู สายตามองไปมาก็เหลือบเห็นอิ๋งจื่อจินอย่างไม่ตั้งใจ กำลังเดินออกมาจากบันไดข้างหน้า

ช่วงขาเรียวยาว เอวคอด สัดส่วนแต่ละจุดสมบูรณ์แบบกำลังดี

กระดุมเสื้อเชิ้ตถูกปลดออกหนึ่งเม็ด เสื้อคลายออก เผยให้เห็นกระดูกไหปลาร้า ผิวพรรณขาวผ่อง เรียกได้ว่างดงามมากทีเดียว

เล่นเอานักเรียนของแต่ละระดับชั้นถึงกับต้องเหลียวมองบ่อยครั้ง ดึงดูดเอาความสนใจไปทั้งหมด

จงจือหว่านก้มหน้า แต่สายตาจับจ้อง

หัวหน้าชมรมวารสารเป็นผู้หญิง มองด้วยความชื่นชม “อิ๋งจื่อจินเปลี่ยนไปมากเลยนะ เมื่อก่อนเอาแต่ก้มหน้าเดิน ไม่เคยสังเกตเลยว่าสวยขนาดนี้”

สวยจนทำให้คนไม่มีแม้กระทั่งความคิดจะอิจฉา

จงจือหว่านสีหน้าเรียบเฉย “เลิกมองเถอะ รีบทำให้เสร็จจะได้กลับบ้าน”

หัวหน้าชมรมวารสารละสายตาด้วยความเสียดาย จากนั้นก็เริ่มซุบซิบ “จะว่าไป อิ๋งจื่อจินก็ลงชื่อเข้าร่วมเทศกาลศิลปะครั้งนี้ด้วยนะ”

จงจือหว่านขมวดคิ้ว “ลงชื่อประกวดในเทศกาลศิลปะน่ะเหรอ”

“ไม่ใช่แค่ประกวดรายการเดียวนะ ลงประกวดหลายรายการเลยล่ะ” หัวหน้าชมรมพูด “นอกจากเขียนอักษรด้วยพู่กันกับจิตรกรรมภาพวาดโบราณ อิ๋งจื่อจินก็ลงวาดภาพสีน้ำมันด้วยนะ จะเก่งเกินไปแล้ว”

“เธอคิดเยอะไปแล้ว” จงจือหว่านส่ายหน้า “ยัยนั่นคงร้อนเงินล่ะไม่ว่า”

หัวหน้าชมรมวารสารอึ้งไปชั่วขณะ “ร้อนเงินเหรอ”

“ยัยนั่นทะเลาะกับคุณอาของฉัน หนีออกจากบ้านไปแล้ว” จงจือหว่านวาดอะไรเรื่อยเปื่อยลงบนกระดาษอย่างเหม่อลอย “คงเห็นเงินรางวัลในเทศกาลศิลปะสูงมากก็เลยอยากลองดูแหละมั้ง”

เธอไม่คิดว่าอิ๋งจื่อจินจะมีความสามารถอะไรทางด้านศิลปะ

ไม่ว่าจะเขียนอักษรด้วยพู่กันหรือจิตรกรรมวาดภาพโบราณ ถ้าอยากทำให้ได้ดี มีแค่พรสวรรค์ยังไม่พอ ต้องมีอาจารย์เก่งด้วย

แต่คนในอำเภอเล็กๆ จะมีกำลังทรัพย์ถึงขั้นเชิญอาจารย์ที่มีชื่อเสียงได้ยังไง

“อย่างนั้นเหรอ…” หัวหน้าชมรมวารสารรู้สึกเสียดาย “ฉันยังคิดว่าวาดเป็นถึงได้ลงประกวด”

จงจือหว่านหลุบตาลง ผ่านไปสักพักอยู่ๆ ก็พูดขึ้น “เธอเอาใบสมัครเทศกาลศิลปะมาให้ฉันใบนึงสิ”

หัวหน้าชมรมวารสารตกใจ “จือหว่าน เธอจะลงประกวดด้วยเหรอ เธอไม่ได้ไม่สนใจเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เหรอ” จงจือหว่านไม่ได้ร้อนเงิน และก็ไม่จำเป็นต้องใช้เทศกาลศิลปะเพื่อเป็นบันไดไปรู้จักพวกปรมาจารย์ในแวดวงศิลปะ

อย่างไรเสียเธอก็คลุกคลีเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่เด็ก ตระกูลจงเชิญแต่อาจารย์ที่เก่งที่สุดมาทั้งนั้น

จงจือหว่านยิ้ม “ก็ไม่อะไร แค่อยากลงสมัครเล่นๆ”

โทรศัพท์มือถือดังขึ้นตอนที่อิ๋งจื่อจินเดินไปถึงประตูโรงเรียน

มีข้อความส่งมาจากเบอร์แปลก

[สวัสดีครับคุณอิ๋ง ผมเป็นนักจิตวิทยาของคุณ ไม่ทราบว่าวันที่ยี่สิบว่างไหมครับ พวกเรานัดเจอกันหน่อยดีไหมครับ]

คำพูดเป็นทางการมาก และไม่มีการลงชื่อ

อิ๋งจื่อจินกำลังจะตอบว่า ‘ไม่ว่าง ขอบคุณค่ะ’ แต่แล้วเธอก็หรี่ตาลง ทันใดนั้นเบื้องหน้าเหมือนมีหมอกขาวปกคลุม

ภาพเหตุการณ์ในอนาคตปรากฏขึ้นมาแวบหนึ่งแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว

นิ้วมือของเธอหยุดชะงัก ขมวดคิ้วเข้าหากัน เปลี่ยนความคิด

[ได้ค่ะ เจอกันห้าโมง]

ทางนั้นตอบกลับมาเร็วมาก

[ครับ ผมจะไปถึงตรงเวลา แล้วเจอกันครับ]

อิ๋งจื่อจินถือโทรศัพท์รอสัญญาณไฟแดง สายตาของเธอมองแฉลบออกไปเล็กน้อยก็เห็นอิ๋งลู่เวยที่กำลังข้ามถนนมาจากฝั่งตรงข้าม

“เสี่ยวจิน!”

อิ๋งจื่อจินเบี่ยงตัวหลบ

อิ๋งลู่เวยเซเล็กน้อย เกือบล้ม มือแข็งอยู่กลางอากาศ

แต่เธอก็ได้สติโดยเร็ว ริมฝีปากผุดรอยยิ้ม สีหน้าเป็นห่วง “เสี่ยวจิน หลายวันนี้เธอไปไหนมา ทำไมไม่โทรบอก พวกเราเป็นห่วงเธอมากนะ”

“อืม เข้าใจ” อิ๋งจื่อจินพยักหน้า “เป็นห่วงว่าพอไม่มีคลังเลือดมีชีวิตแล้วจะตายสินะ”

อิ๋งลู่เวยประคองรอยยิ้มไม่อยู่อีกต่อไป สีหน้าอ่อนโยนเช่นยามปกติก็แหลกเป็นชิ้นๆ

เธอนึกไม่ถึงว่าอิ๋งจื่อจินจะพูดตรงขนาดนี้

โอยเฉพาะตอนนี้มีนักเรียนยืนรอไฟแดงอยู่ไม่น้อย หลายคนพอได้ยินคำพูดนี้ก็กำลังมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ

กระวนกระวายใจ ทำให้เธอรู้สึกดุจนั่งอยู่บนพรมที่มีหนาม

อิ๋งลู่เวยเม้มริมฝีปาก พูดเสียงเบา “เสี่ยวจิน เธอจะไม่พอใจอา อาไม่ถือสา แต่คุณย่ากับคุณแม่ของเธอรอเธออยู่ที่ด้านนั้นนะ ไปเจอพวกท่านหน่อยดีไหม”

เธอคิดไว้แล้วว่า ถ้าอิ๋งจื่อจินปฏิเสธ รอบตัวมีคนเยอะขนาดนี้ เธอสามารถใช้เรื่องศีลธรรมมาบีบบังคับได้ แต่ทว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายของอิ๋งลู่เวยก็คือ หลังจากที่อิ๋งจื่อจินมองเธอหนึ่งวินาทีก็ตอบว่า “ได้”

คำพูดที่อิ๋งลู่เวยคิดไว้เสียดิบดีเป็นอันต้องยุติลง เธอกำฝ่ามือ เดินนำอิ๋งจื่อจินไปยังร้านชานมอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไร

เวลานี้ในร้านชานมมีคนอยู่ไม่น้อย ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนของชิงจื้อ

เพราะเรื่องในเวยปั๋ว ตอนนี้ไม่มีใครในชิงจื้อไม่มีใครไม่รู้จักอิ๋งจื่อจินแล้ว อย่างไรเสียก็หน้าตาดีกินขาด เป็นไปไม่ได้ที่จะมองข้าม

จงมั่นหวากับคุณนายผู้เฒ่าอิ๋งนั่งอยู่โต๊ะริมด้านใน ดูค่อนข้างเกร็ง

“ในที่สุดก็มาแล้วเหรอ วางท่าใหญ่โตจริงๆ เลยนะ” คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งทนมานานแล้ว เธอตบโต๊ะดังปัง

“ยังต้องให้เวยเอ๋อร์ไปเชิญถึงที่ ลืมสถานะของตัวเองแล้วเหรอ”

จงมั่นหวาสีหน้าแย่มาก “คุณแม่คะ อย่ามัวพูดตรงนี้เลยค่ะ มีเรื่องอะไรกลับไป…”

“คุยกันตรงนี้นี่แหละ” คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งไม่ยอม แสยะยิ้ม “คนที่ขายหน้าไม่ใช่พวกเราสักหน่อย”

คำพูดนี้ทำลูกค้าในร้านตกใจกันหมด

พวกเขาพากันมองมา ทั้งแปลกใจทั้งตกใจ

นักเรียนของชิงจื้อจำอิ๋งลู่เวยได้ พากันกระซิบกระซาบ

“นั่นมันอาจารย์อิ๋งไม่ใช่เหรอ เกิดอะไรขึ้นระหว่างเธอกับอิ๋งจื่อจินน่ะ”

“ใครจะรู้ล่ะ ฉันได้ยินคลาสเด็กอัจฉริยะเล่าว่า อิ๋งจื่อจินทะเลาะกับคนในตระกูลอิ๋งจนหนีออกจากบ้าน เชิญให้กลับ เธอก็ไม่กลับไปประมาณนั้น”

“หา? ไม่มั้ง เธอเป็นลูกเลี้ยงไม่ใช่เหรอ กล้าเอาแต่ใจขนาดนั้นเลยเหรอ”

อิ๋งลู่เวยพยายามหุบยิ้ม แต่ปากกลับพูดว่า “แม่คะ พี่สะใภ้ใหญ่พูดถูก พวกเรากลับบ้าน…”

ยังไม่ทันพูดจบทั้งสามคนก็ถูกอิ๋งจื่อจินโยนกระดาษใส่หนึ่งใบ

ในนั้นเป็นรายการให้เลือดไปกี่มิลลิลิตรพร้อมระบุวันที่ ละเอียดเสียยิ่งกว่าละเอียด

อิ๋งลู่เวยอึ้ง อยู่ๆ ก็เริ่มใจคอไม่ดี

“ในเมื่ออยากเจอฉัน งั้นก็จัดการเรื่องนี้ด้วยแล้วกัน” อิ๋งจื่อจินเงยหน้า “เลือดสีทองประเมินราคาไม่ได้ ฉันขอคิดพวกคุณสองหมื่นห้าต่อหนึ่งร้อยมิลลิลิตรแล้วกัน”

ตอนที่ได้ยินเลือดสีทอง สมองของอิ๋งลู่เวยก็เบลอไปชั่วขณะ ห้ามอิ๋งจื่อจินพูดต่อไม่ทัน

“หนึ่งปีที่ผ่านมา พวกคุณบังคับสูบเลือดของฉันไปสิบสามครั้งโดยไม่ได้รับอนุญาตจากฉัน ครั้งละสองร้อยมิลลิลิตร ทั้งหมดเป็นเงินหกแสนห้าหมื่น”

“…” เกิดความเงียบขึ้นในร้านชานมชั่วขณะ

มือข้างหนึ่งของอิ๋งจื่อจินล้วงกระเป๋า พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยราวกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตัวเอง

“ให้เวลาพวกคุณสามนาที โอนเงินมาตอนนี้”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+