คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ 687 เทพอิ๋งจะไปทำลายล้างทุกสารทิศอีกแล้วเหรอ
ตอนที่ 687 เทพอิ๋งจะไปทำลายล้างทุกสารทิศอีกแล้วเหรอ
ซีนายอึ้ง “อาอิ๋ง?”
สถานะของผู้วิเศษในเมืองแห่งโลกไม่ต่างจากเทพ
พวกเขาลึกลับและยิ่งใหญ่
มีความเมตตาไม่สิ้นสุด แต่ก็เย็นชามากเช่นกัน
นอกจากผู้วิเศษจักรพรรดินีแล้ว แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีผู้วิเศษคนไหนที่เผยใบหน้าที่แท้จริงให้ชาวเมืองแห่งโลกได้เห็น
อิ๋งจื่อจินก้มหน้า ล้วงโทรศัพท์มือถือที่เพิ่งซื้อออกมากดหน้าต่างสนทนากับซิว
ซิวตอบกลับอย่างรวดเร็ว
[ซิว : คุณหมายถึงคุณนายซู่เวิ่นตระกูลเรนเกลเหรอ]
[ซิว : รีบไหม ถ้าไม่รีบรอผมกลับสำนักผู้วิเศษเดือนหน้าจะเขียนใบอนุญาตให้]
อิ๋งจื่อจินหลุบตา แค่มองหน้าจอโทรศัพท์เฉยๆ
ไม่นานก็ปรากฏข้อความ
ไม่ต้องพิมพ์ และไม่ต้องพูด
ในโทรศัพท์มือถือมีอุปกรณ์ที่ตรวจจับคลื่นสมองได้ เอาคำพูดที่อยากพูดแปรเปลี่ยนเป็นข้อความแล้วส่งเข้าทางออนไลน์
[ไม่รีบ ขอภายในสองเดือนก็พอ ด้วยสภาพร่างกายของคุณนายซู่เวิ่นในตอนนี้ การฝังเข็มยังจะเป็นอันตรายต่อเธออยู่ไม่น้อย]
นอกจากเพราะหมอห้ามแล้ว อิ๋งจื่อจินก็มองออก
สภาพจิตใจของซู่เวิ่นไม่ดีนัก จำเป็นต้องรักษาด้วยการสะกดจิตก่อนเพื่อให้สภาพจิตใจของเธอคงที่
มิฉะนั้นอาจทำให้สติฟั่นเฟือนได้
[ซิว : โอเค]
[ซิว : แต่ทำไมอยู่ๆ คุณก็นึกอยากยุ่งเรื่องของตระกูลเรนเกลล่ะ]
[คำสัญญา]
อิ๋งจื่อจินตอบไปสั้นๆ ก็จบการสนทนา
เธอเงยหน้ามองซีนาย จริงจังแบบที่เห็นได้ยาก
“ใบอนุญาตจะได้เดือนหน้า ฉันกับคุณอวี้จะไปที่ห้องรักษาอาทิตย์ละครั้ง”
เรื่องไหนที่เธอรับปากไว้ เธอต้องทำให้ได้
ซีนายตะลึง “อาอิ๋ง เธอ…รู้จักผู้วิเศษจริงเหรอ!”
ผู้วิเศษสูงส่งขนาดไหน
ต่อให้เป็นผู้บัญชาการหน่วยอัศวินทั้งสี่ที่ใกล้ชิดพวกเขาที่สุด รวมถึงคนรับใช้ ต่างก็ไม่คู่ควรบอกว่ารู้จัก
คนที่รู้จักผู้วิเศษ สั่งให้พวกเขาทำอะไรได้ ต้องรู้จักระดับไหนกัน
ซีนายกังวลนิดหน่อย “เธอคงไม่ได้ต้องแลกกับอะไรใช่ไหม”
“เปล่า” อิ๋งจื่อจินทำหน้าเนือย เลิกคิ้ว “เมื่อนานมาแล้วเขาติดค้างน้ำใจฉันหลายเรื่อง เอาเป็นว่ามันก็แค่การเซ็นชื่อสำหรับเขา”
ซีนายโล่งอกขึ้นมาบ้าง “งั้นก็ดี”
เธอคิดแล้วถามต่อ “ผู้วิเศษคนไหนเหรอ”
“นักพรต”
“หน้าตาเป็นไงเหรอ”
“สูบจัด ดื่มเก่ง ย้อมผม ใส่แว่นกันแดด”
“…”
ยังไม่ทันที่ซีนายจะได้พูดอะไร วินาทีถัดมาก็มีเสียงกระดูกเสียดสี
ในเวลาไม่กี่วินาที ร่างกายของซีนายปั่นป่วน จากนั้นก็หายเข้าไปในเสื้อผ้าที่เป็นไซส์ของผู้ใหญ่
เธอยื่นแขนน้อยๆ ออกมาอย่างยากลำบาก “อาอิ๋ง ช่วยหน่อย”
“รอเดี๋ยว” อิ๋งจื่อจินกดปุ่มข้างหน้าต่าง
เบาะหลังพลิกขึ้น กลายเป็นห้องแต่งตัวแก้ขัด
ซีนายมุดเข้าไป ไม่นานก็เปลี่ยนเสื้อผ้าออกมา
“ยุ่งยากจริง กลายเป็นเด็กอีกแล้ว” เธอถอนหายใจ
“จอดหน่อย เดี๋ยวฉันไปเอง พวกเธอเอารถคันนี้ไปใช้ก่อน มีฟังก์ชันเยอะนะ”
อวี้เสวี่ยเซิงจอดรถที่ป้ายจอดบนฟ้า เขาลังเลแบบที่เห็นได้ยาก “คุณจะไปเองเหรอครับ”
เด็กหกขวบเกิดถูกลักพาตัวจะทำไง
ซีนายส่ายมือ “สบายมาก”
เธอเปิดประตูรถ ยื่นตัวออกไปเหยียบบนสเกตบอร์ด “ฟึ่บ” เพียงชั่วพริบตาเหาะไปไกลแล้ว
อิ๋งจื่อจินเท้าศีรษะ มองไปทางที่ซีนายออกไป
“ส่วนประกอบหลักที่เกี่ยวข้องกับรถคันนี้ มีบางทฤษฎีที่เธอเป็นคนเสนอเอง”
รถแข่งที่มีสามโหมดน้ำบกฟ้ารุ่นล่าสุดคันนี้ที่เว็บดับบลิวผลิตได้มีเค้าโครงมาตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน
ซีนายไม่ได้ซื้อรถคันนี้เอง แต่สำนักวิจัยยกให้ตระกูลเรนเกลฟรีๆ อีกทั้งยังบันทึกลายนิ้วมือกับม่านตาของซีนายไว้
คุณนายสามอยากได้มาก แต่เธอเอาไปใช้ไม่ได้
ถ้าฝืนเข้ามาจะเป็นการกระตุ้นระบบโจมตีที่อยู่ภายในรถ
“ผมคิดมากไปเองครับ” อวี้เสวี่ยเซิงหัวเราะ
“สมกับเป็นคุณหนูตระกูลเรนเกล ไอคิวสูงขนาดนี้”
เกิดความเงียบขึ้นภายในรถ
“คุณอิ๋งเคยคิดไหมครับว่าคุณนายซู่เวิ่นอาจเป็นคุณแม่ของคุณ”
หลังจากขับเคลื่อนอย่างมั่นคงแล้ว อวี้เสวี่ยเซิงก็ลดความเร็ว
“ขอโทษครับ ตอนครั้งแรกที่ผมรักษาคุณ ผมเคยบอกกับอวิ๋นเซินว่า คุณคล้ายคนไข้คนหนึ่งของผมเมื่อก่อนนี้มาก”
คนไข้คนนั้นก็คือซู่เวิ่น
ไม่ใช่เพราะหน้าตาเหมือนกันมาก
แต่เป็นเพราะซู่เวิ่นกับอิ๋งจื่อจินให้ความรู้สึกที่คล้ายกันในด้านบุคลิกบนตัว
“ความเป็นไปได้ไม่เยอะค่ะ” อิ๋งจื่อจินมองนอกหน้าต่าง ยิ้มอย่างใจเย็น
“ตอนนั้นฉันเคยตรวจดีเอ็นเอกับตระกูลอิ๋ง ถ้าไม่ใช่เพราะดีเอ็นเอสอดคล้องกัน ตระกูลอิ๋งไม่มีทางรับฉันกลับไป”
“อีกอย่าง ฉันกับคนตระกูลอิ๋งก็มีจุดที่เหมือนกัน”
แต่ก็มีจุดที่ชวนสงสัย บ่วงกรรมระหว่างเธอกับตระกูลอิ๋งจบลงเร็วมาก อีกทั้งเธอยังเคยช่วยอิ๋งเทียนลี่ว์ให้พ้นเคราะห์ตาย แต่เธอกลับไม่ได้รับความเสียหายอะไรมาก
นิ้วของอวี้เสวี่ยเซิงเคาะพวงมาลัย ถอนหายใจเบาๆ “ก็จริงครับ”
ไม่ว่าอย่างไรตระกูลอิ๋งก็เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลเศรษฐีแห่งฮู่เฉิง ไม่ถึงกับผิดพลาดแค่เรื่องตรวจดีเอ็นเอ
อีกทั้งฟู่อวิ๋นเซินก็เคยส่งคนไปสืบอยู่นานเกี่ยวกับเรื่องในตอนนั้น
ทุกอย่างได้พิสูจน์แล้วว่าเด็กทารกที่ตอนนั้นถูกอิ๋งลู่เวยแอบเอาออกไปให้พวกค้ามนุษย์ก็คืออิ๋งจื่อจินอย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะถูกสับเปลี่ยน
“ไม่คาดหวังอะไร” อิ๋งจื่อจินหลับตา พูดเสียงเรียบเฉย
“ตอนอยู่ตระกูลอิ๋งเคยคาดหวัง พอต่อมาพบว่าไม่เป็นอย่างหวัง ที่แท้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่”
“ฉันมีพ่อกับน้องชาย มันดีมากแล้วค่ะ”
เวินเฟิงเหมียนกับเวินทิงหลานไม่ใช่ญาติทางสายเลือดของเธอ แต่ยิ่งต้องทะนุถนอมให้มาก
บางครั้งการคาดหวังเป็นเพียงการฝันลมๆ แล้งๆ
…
สองชั่วโมงต่อมารถก็ไปหยุดที่กองบัญชาการอัศวิน
ที่นี่คือสถานที่ประจำการของสี่หน่วยอัศวิน และเป็นเพียงสถานที่เดียวที่สามารถเข้าสู่สำนักผู้วิเศษได้โดยตรง
อิ๋งจื่อจินลงจากรถไปยังอาณาเขตของหน่วยอัศวินดาบอาญาสิทธิ์
หน่วยอัศวินดาบอาญาสิทธิ์เป็นผู้นำของทั้งสี่หน่วยอัศวิน แต่ละวันจะมีชาวเมืองจำนวนไม่น้อยมามุงดู
ฟู่อวิ๋นเซินแปลงโฉม อีกทั้งยังจงใจเก็บรังสีที่แผ่รอบตัว ถ่อมตัวมากยามอยู่ในกลุ่มอัศวินดาบอาญาสิทธิ์
แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนี้ รูปร่างที่สมบูรณ์แบบของเขาก็ดึงดูดความสนใจของเพศตรงข้ามได้ไม่น้อย
ฟู่อวิ๋นเซินไม่สนใจ เดินตรงเข้าไปหาอิ๋งจื่อจิน
เขาก้มตัวเล็กน้อย เอาตราสัญลักษณ์ที่เพิ่งได้มาวางในมืออิ๋งจื่อจิน “วันนี้เป็นไงบ้าง”
“พอไหว” อิ๋งจื่อจินเอากระดาษทิชชู่ซับเหงื่อบนหน้าผากของเขา พยักหน้าเล็กน้อย
“วันมะรืนฉันจะเข้าทดสอบของสำนักวิจัย”
“หืม?” ฟู่อวิ๋นเซินเลิกคิ้ว “เทพอิ๋งจะทำลายล้างทุกสารทิศอีกแล้วเหรอ”
สีหน้าของอิ๋งจื่อจินชะงักเล็กน้อย มองค้อนใส่เขา “ใช้คำพูดแบบนี้เป็นตั้งแต่เมื่อไร”
“อ๋อ พี่ชายเห็นในเน็ตพูดกันแบบนี้” ฟู่อวิ๋นเซินก้มตัวลง ดวงตาดอกท้อโค้งมน
“ขอสัมผัสความกินขาดของเทพอิ๋งหน่อย”
ความหมายของคำพูดนี้คือ ไม่ว่าจะการแข่งขันไหนก็ตามที่มีเทพอิ๋งลง เทพอิ๋งก็ไม่มีทางเป็นที่สอง
อิ๋งจื่อจินไม่ตอบ เธอก้มหน้ามองตราสัญลักษณ์ในมือ
บนนั้นเป็นรูปมงกุฎพระราชา
ในหน่วยอัศวิน มงกุฎพระราชาแสดงถึงตำแหน่งผู้บัญชาการ
ฟู่อวิ๋นเซินมาเมืองแห่งโลกยังไม่ถึงหนึ่งเดือนก็กลายเป็นผู้บัญชาการหน่วยอัศวินแล้ว
ในประวัติศาสตร์เมืองแห่งโลกไม่เคยมีแบบนี้
“เมื่อกี้เอาชนะผู้บัญชาการอัศวินดาบอาญาสิทธิ์มาได้” ฟู่อวิ๋นเซินลูบศีรษะเธอ
“อีกไม่กี่วันพี่ชายจะไปพบผู้วิเศษสังฆราช จะลองหยั่งเชิงก่อน”
สีหน้าของอิ๋งจื่อจินขรึมลงเล็กน้อย “เอาความปลอดภัยไว้ก่อน”
ถึงแม้ผู้วิเศษสังฆราชจะไม่ใช่ผู้วิเศษประเภทต่อสู้ แต่ฝีมือการต่อสู้ของเขาก็ไม่มีทางด้อย เมื่อเทียบกับกลุ่มคนทั่วไป
“อืม” ฟู่อวิ๋นเซินยิ้ม “พี่ชายยังต้องหาเงินเลี้ยงดูครอบครัวใช่ไหมล่ะ”
ทั้งสองคนเดินออกข้างนอกเคียงข้างกันไป
โทรศัพท์มือถือดัง “ติ๊ด” ในเวลานี้
อิ๋งจื่อจินเหลือบมอง
มีคนมาทิ้งข้อความไว้ใต้สินค้าที่เธอโพสต์
[สไตล์การประกอบแบบนี้คล้ายคุณหนูบิลมากเลยนะ ทุกคน นี่ต้องเป็นแอคเคาท์เปิดใหม่ของคุณหนูบิลแน่ เชื่อฉันสิ ไม่อย่างนั้นทำไมสไตล์ถึงคล้ายกันได้ขนาดนี้ ถ้าไม่ตอบก็แสดงว่าใช่!]
อิ๋งจื่อจินลบแล้วบล็อก เช็กยอดคงเหลือในบัญชีแล้วเอาโทรศัพท์เก็บกลับเข้ากระเป๋าเสื้อ
…
สองวันต่อมา
สำนักวิจัย
วันนี้เป็นวันสอบของนักศึกษาระดับต้น
นักศึกษาระดับต้นแต่ละคนจะมีโอกาสสอบแค่สามครั้ง ถ้าไม่สำเร็จทั้งสามครั้งก็หมดโอกาสที่จะได้เข้าสำนักวิจัยแล้ว
แต่ถ้าสำเร็จก็จะได้รับทรัพยากรมากมาย
ครอบครัวคนธรรมดาถึงได้พยายามทุ่มเทเพื่อส่งบุตรหลานมาที่นี่ จุดประสงค์ก็เพื่อคว้าโอกาสที่จะได้ยกระดับฐานะ
“อาอิ๋ง เธอต้องเข้าคณะวิศวะได้แน่” ปิงหลานรู้สึกอาลัยอาวรณ์
“หวังว่าฉันจะสอบติดคณะคอมพิวเตอร์”
อิ๋งจื่อจินตบบ่าปิงหลาน ยิ้มบาง “แน่นอน”
ทั้งสองคนแยกกันไปเข้าสนามสอบ
พออิ๋งจื่อจินมาถึงหน้าโต๊ะทดลองบีศูนย์สอง เท้าของเธอก็ชะงัก ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย
เวลานี้เอง เสียงแจ้งเตือนภายในสนามสอบได้ดังขึ้น
มีเสียงฝีเท้ารีบร้อน
“ตรวจพบมีคนนำภาพสำเร็จรูปเข้ามาไว้ในโปรแกรมก่อน เจตนาทุจริต” ผู้คุมสอบสายตาเฉียบคม มองอิ๋งจื่อจิน “โต๊ะทดลองบีศูนย์สอง หมดสิทธิ์สอบ”
ทุกคนต่างหันมามอง
Comments