คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ 690 คนใหญ่คนโตทั้งหลายก็คนกันเองทั้งนั้น เดินกร่างได้
ตอนที่ 690 คนใหญ่คนโตทั้งหลายก็คนกันเองทั้งนั้น เดินกร่างได้
ชายหนุ่มผมสั้นสีดำ ใบหน้าหล่อเหลา แต่ดูบึ้งตึงเล็กน้อย
ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยยินดีมาเท่าไร แต่สุดท้ายก็ตามมา
“ท่านนี้ก็คือนายน้อยของพวกเราครับ” เจ้าหน้าที่ของสมาพันธ์แฮกเกอร์ถอยหนึ่งก้าว แนะนำให้ทุกคนรู้จัก “นายน้อยอารมณ์ไม่ค่อยดี ยังไม่บอกชื่อแล้วกันครับ ไว้วันหลังทางสมาพันธ์จะเชิญทุกท่านไปงานเลี้ยง พอถึงตอนนั้นค่อยแนะนำอย่างเป็นทางการนะครับ”
สมาพันธ์แฮกเกอร์เป็นองค์กรที่ปรากฏในเมืองแห่งโลกเมื่อศตวรรษที่สิบเจ็ด ช่วยขับเคลื่อนให้อินเตอร์เน็ตเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และเป็นหนึ่งในอิทธิพลใหญ่ของเมืองแห่งโลก
ถึงแม้สำนักวิจัยก็มีคณะคอมพิวเตอร์ แต่ก็ยังด้อยกว่าหน่อยเมื่อเทียบกับสมาพันธ์แฮกเกอร์
นับตั้งแต่ประธานสมาพันธ์คนนี้ขึ้นสู่ตำแหน่งเมื่อห้าสิบปีก่อน ผ่านมานานขนาดนี้ก็ยังไม่เคยได้ยินว่ามีนายน้อยด้วย
แต่ภายในสมาพันธ์มีแฮกเกอร์ชั้นยอดจำนวนไม่น้อยที่มีความสามารถในการสืบทอดตำแหน่งได้ ก็แค่ประธานสมาพันธ์ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาตลอด
เห็นได้ชัดว่า ถึงแม้แฮกเกอร์จะมีความสามารถมากขนาดไหนก็ยังไม่พอให้ประธานสมาพันธ์ยกสมาพันธ์แฮกเกอร์ให้
แต่นี่เพิ่งผ่านมาไม่กี่วันทำไมถึงมีนายน้อยแล้ว
แต่อายุเท่านี้สามารถสกัดไวรัสที่ประธานสมาพันธ์สร้างมาโจมตีได้ ก็ถือว่าไม่ธรรมดา
นักศึกษาจำนวนไม่น้อยมองไปที่เขา รวมถึงเทียนเยียน
เธอลืมเรื่องของอิ๋งจื่อจินไปเสียสนิท มีความดีใจที่เจือไปด้วยความระริกระรี้
เทียนเยียนติดตามบิลย่อมเคยได้เจอแฮกเกอร์ชั้นยอดของสมาพันธ์แฮกเกอร์
แต่แฮกเกอร์ชั้นยอดเหล่านี้ ถ้าไม่หัวล้านไปครึ่งหัวก็ไม่มีอะไรที่โดดเด่นเป็นพิเศษ
เธอเพิ่งเคยเห็นคนที่หน้าตาดีแบบนี้เป็นครั้งแรก
นายน้อยของสมาพันธ์แฮกเกอร์ไม่ด้อยไปกว่าผู้สืบทอดของตระกูลใหญ่ทั่วไป
แม้แต่เวลาตระกูลเรนเกลกับตระกูลอวี้เจอปัญหาด้านคอมพิวเตอร์ก็ยังต้องเชิญสมาพันธ์แฮกเกอร์ไปช่วย
เจ้าหน้าที่พานายน้อยไปที่หน้าโต๊ะทดลองด้วยความนอบน้อม “นายน้อยครับ ช่วยตรวจสอบด้วยครับ”
ฉินหลิงเยี่ยนขานรับแบบไม่เต็มใจ พูดเสียงเนือย “ได้”
เดิมทีเขากำลังนั่งกินบะหมี่ถ้วยอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อแถวสมาพันธ์แฮกเกอร์ ปรากฏว่ายังไม่ทันได้เอาเข้าปากก็มีคนมาหาถึงที่
บอกว่าเกิดเรื่องที่สำนักวิจัย ถ้าเขาไม่รีบไป เกิดเว็บดับบลิวมีช่องโหว่ขึ้นมา ทั่วทั้งเมืองแห่งโลกต้องพังแน่
เป็นครั้งแรกที่ฉินหลิงเยี่ยนเกลียดเทคโนโลยี
ทำให้เขาจะไปซ่อนตัวที่ไหนก็ไม่ได้ แม้แต่จะกินบะหมี่ถ้วยให้สบายใจสักหน่อยก็ยังทำไม่ได้
ฉินหลิงเยี่ยนพับแขนเสื้อขึ้นแล้วนั่งลงตรงหน้าโต๊ะทดลอง
เขากวาดตามองหนึ่งรอบแล้วเริ่มใส่พวกโค้ดต่างๆ
มีนักศึกษาเอามือถือขึ้นมาถ่าย ทำการไลฟ์สดผ่านเว็บดับบลิว
“อาอิ๋ง” ปิงหลานกลับกลุ้มใจ “คงไม่มีเรื่องอะไรใช่ไหม”
เมื่อครู่เธอเพิ่งได้ยินพวกนักศึกษาซุบซิบกันเรื่องในสนามสอบเมื่อเช้า
ระบบตรวจสอบพบว่าโต๊ะทดลองของอิ๋งจื่อจินมีการเตรียมภาพแบบเอาไว้แล้ว
คนที่เรียนวิศวะเครื่องกลก็ย่อมมีความสามารถในด้านคอมพิวเตอร์พอสมควร แต่ไม่มีทางเทียบแฮกเกอร์ของสมาพันธ์แฮกเกอร์ได้
“ไม่เป็นไร” อิ๋งจื่อจินเลิกคิ้ว “อย่างมากสุดเขาก็แค่ตรวจพบร่องรอยการลบไฟล์”
โต๊ะทดลองเชื่อมต่อกับเว็บดับบลิว
สำหรับอิ๋งจื่อจินแล้ว มีแอ๊กเคานท์ผู้ก่อตั้งอยู่ เธอสามารถควบคุมได้ทั้งเว็บดับบลิว
หลังจากที่เธอสังเกตเห็น เธอได้ใช้อำนาจพิเศษลบภาพแบบที่เทียนเยียนเอาใส่ไว้ในโต๊ะทดลองของเธอออกในสามวินาที
การลบเองกับการทำลายโดยใช้เทคนิคของแฮกเกอร์นั้นไม่เหมือนกัน
“แต่นายน้อยคนนี้หน้าตาดีจริงๆ เลยนะ” ปิงหลานมองสำรวจฉินหลิงเยี่ยน “อย่างมากเขาน่าจะอายุแค่สิบแปดหรือเปล่า”
อิ๋งจื่อจินมองใบหน้าอ่อนเยาว์ของฉินหลิงเยี่ยน ทำลายจินตนาการของปิงหลาน “เขาอายุยี่สิบหกแล้ว”
“ไอ๊หยา อาอิ๋ง พวกเรายืนใกล้ขนาดนี้ควรไลฟ์สดนะ” อยู่ๆ ปิงหลานก็พูดขึ้น “คนนี้นายน้อยของสมาพันธ์แฮกเกอร์เชียวนะ เพิ่มยอดแฟนคลับของเธอได้กระฉูดเลยล่ะ”
“ไม่เป็นไร” อิ๋งจื่อจินหาวหวอด “อีกหน่อยก็มีโอกาสเจอบ่อย”
ปิงหลานอึ้ง ยังไม่ทันเข้าใจ ฉินหลิงเยี่ยนก็ยืนขึ้น
เขาหันมา ขณะที่กำลังจะพูด สายตาเหลือบมอง จับจ้องไปยังคนที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่มคน
ฉินหลิงเยี่ยน “!”
ว้าก
เขาเห็นใครน่ะ
เขาไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม
ฉินหลิงเยี่ยนกลืนคำพูดทั้งหมดที่อยากพูดลงไป
มองอิ๋งจื่อจินอย่างอึ้งๆ สักพักกว่าจะได้สติกลับมา
ทำไมบอสมาอยู่ที่นี่!
เห็นฉินหลิงเยี่ยนเหมือนวิญญาณหลุดจากร่าง เจ้าหน้าที่ก็งง “นายน้อยครับ”
นายน้อยของพวกเขาดีทุกอย่าง ติดตรงที่ชอบกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
มันไม่ดีต่อสุขภาพ คงไม่ได้ส่งผลต่อระบบประสาทใช่ไหม
“ในโต๊ะทดลองไม่มีรูปภาพอะไรทั้งนั้น” ฉินหลิงเยี่ยนฝืนดึงสติกลับมา สีหน้าไร้ความรู้สึก “ไม่มีใครช่วยนักศึกษาทุจริต เว็บดับบลิวมีสมาพันธ์แฮกเกอร์ดูแลอยู่ตลอด ยิ่งไม่มีทางเกิดเรื่อง”
ผู้คุมสอบพูดขึ้น “แต่เห็นๆ อยู่ว่าระบบตรวจสอบ…”
“พวกคุณควรเปลี่ยนระบบตรวจสอบได้แล้ว” ฉินหลิงเยี่ยนพูดขัดจังหวะ “เชียนจวิน”
เจ้าหน้าที่ที่ชื่อเชียนจวินเข้าใจ กดตารางราคาขึ้นมาฉายเป็นภาพสามมิติให้ทุกคนดูทันที
“เท่าที่พวกเราทราบ ระบบตรวจสอบของสำนักวิจัยไม่ได้เปลี่ยนมาสามปีแล้ว” เชียนจวินยิ้ม “เนื่องจากนายน้อยเพิ่งกลับเข้าสมาพันธ์ได้ไม่นาน ท่านประธานสมาพันธ์มีความยินดีมาก กำลังเตรียมจัดงานเลี้ยงเชิญทุกคนครับ”
“ด้วยเหตุนี้ผลิตภัณฑ์และบริการทั้งหมดของสมาพันธ์แฮกเกอร์จึงกำลังลดราคา ทางสำนักวิจัยจะเลือกแพ็กเกจไหนก็ได้ครับ สมาพันธ์แฮกเกอร์จะรับหน้าที่บำรุงดูแลจนถึงที่สุด”
คณบดีนอร์แมน “…”
ขายของเก่งจริงๆ
เขากับประธานสมาพันธ์แฮกเกอร์เคยพูดคุยกันหลายครั้ง ยังเคยถูกตะล่อมเอาชุดเกราะอัจฉริยะที่มีทั้งระบบโจมตีและป้องกันไป
สมกับเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน
หัวหมอจริงๆ
ผู้คุมสอบไม่พูดอะไรอีก
ถ้าเขาพูดมากกว่านี้ก็เท่ากับสงสัยในความสามารถของสมาพันธ์แฮกเกอร์
เทียนเยียนกลับอึ้ง
จะไม่มีภาพแบบได้ยังไง!
หรือว่าเธอไม่ทันระวัง ถ่ายโอนข้อมูลผิดเหรอ
เทียนเยียนกำมือแน่น กัดฟันกรอด
อิ๋งจื่อจินรอดไปได้อีกแล้ว อีกทั้งยังเข้าคณะวิศวะได้สำเร็จ
ต่อไปถ้าคิดจะเล่นงานอิ๋งจื่อจินก็ไม่ง่ายแล้ว
เชียนจวินกำลังหารือเรื่องแพ็กเกจบริการอยู่กับคณบดีนอร์แมนและพวกอาจารย์
ฉินหลิงเยี่ยนหงุดหงิดไม่เป็นสุข
เขาหันมองอิ๋งจื่อจินบ่อยๆ ในที่สุดก็อดเดินเข้าไปหาไม่ได้
อิ๋งจื่อจินเหลือบมองเขา
เท้าของฉินหลิงเยี่ยนชะงัก กลืนคำพูดกลับไป แอบทำมือโอเคเงียบๆ
ความหมายคือ เดี๋ยวไปกินข้าวด้วยกัน
…
อีกด้านหนึ่ง
สำนักผู้วิเศษ
ผลสอบของสองคณะใหญ่ของสำนักวิจัยก็ได้ถูกส่งไปที่สำนักผู้วิเศษเช่นกัน
ส่วนคณะอื่น สำนักผู้วิเศษไม่มีเวลาสนใจและก็ไม่แคร์
ชั้นสูงสุดของสำนักผู้วิเศษมีทั้งหมดยี่สิบสองห้อง
เลขลำดับเริ่มตั้งแต่ศูนย์ไปจนถึงยี่สิบเอ็ด โดยแบ่งตามไพ่ทาโรต์สำรับใหญ่ยี่สิบสองใบ
และยังเป็นสถานที่ที่ผู้วิเศษไว้ให้คนอื่นเข้าพบ
ผู้วิเศษแต่ละคนมีห้องเป็นของตัวเอง
นี่คือประตูบานที่สอง เลขลำดับคือ ‘หนึ่ง’
บนประตูมีรูปภาพ เป็นรูปคนสวมชุดตัวยาวสีขาวมีชุดคลุมหมวกสีแดง มือถือไม้เท้า
เป็นห้องของผู้วิเศษลำดับที่สอง นักมายากล
คนดูแลเดินเข้าไปหลังจากได้รับอนุญาต
แต่กลับไม่เห็นใครสักคนในนั้น
มีเพียงเสียงพูดดังขึ้น “ว่ามา”
“เรียนท่านผู้วิเศษ” คนดูแลโค้งตัวอย่างนอบน้อม “ครั้งนี้คณะพันธุศาสตร์มีเมล็ดพันธุ์ชั้นดีอยู่หลายคน นักศึกษาชายที่ชื่อไรอันทำคะแนนได้ถึงเก้าสิบสองคะแนน ตอนนี้อยู่อันดับห้าในชาร์ตอันดับรวม ควรบ่มเพาะให้ดีครับ”
ถึงแม้คณะวิศวกรรมศาสตร์กับคณะพันธุศาสตร์จะเป็นสองคณะใหญ่ที่ทัดเทียมกัน
แต่ชาวเมืองแห่งโลกต่างรู้ว่า คณะพันธุศาสตร์มีสองผู้วิเศษหนุนหลังอยู่
ขอแค่สอบได้คะแนนสูงหรือมีผลงานโดดเด่นก็จะได้เข้าพบผู้วิเศษ
นี่เป็นเรื่องที่เกินกว่าจะฝัน
ด้วยเหตุนี้จำนวนคนเข้าสอบคณะพันธุศาสตร์จึงมากกว่าคณะวิศวกรรมอยู่เสมอ
เสียงของนักมายากลดังขึ้นอีกครั้ง ขรึมลงเล็กน้อย “คณะวิศวะล่ะ”
“มีคนผ่านเข้าคณะวิศวะทั้งหมดสามสิบคน คะแนนสูงสุดอยู่ที่แปดสิบแปดคะแนน ต่ำสุดหกสิบคะแนนครับ” คนดูแลพูดต่อ “นี่คือรายชื่อ เชิญท่านตรวจดูครับ”
“ไม่ต้องแล้ว” พอฟังคะแนนจบนักมายากลก็พูดขึ้น “ฉันกำลังคิดค้นยาชนิดใหม่ นายออกไปเถอะ ไม่ต้องมารบกวนแล้ว”
ไม่ถึงเก้าสิบคะแนนก็ไม่มีคุณสมบัติให้เขาต้องสนใจ
คนดูแลโค้งตัวทำความเคารพแล้วรีบร้อนออกไป
ประตูปิดอัตโนมัติ
คนดูแลเหงื่อแตก กำลังเดินลง
พอหันไปกลับเห็นผู้ชายคนหนึ่ง
คนดูแลตะลึงหลังจากเห็นใบหน้าชัดๆ รีบคุกเข่าลง “ท่านผู้บัญชาการ”
คนรับใช้ที่อยู่ข้างกายผู้วิเศษจะต้องจดจำใบหน้าของคนสำคัญๆ ให้ได้
ฟู่อวิ๋นเซินเหลือบมองบานประตูที่คนดูแลเพิ่งออกมาด้วยสีหน้ากึ่งยิ้ม เขาพูดขึ้น “ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้น”
คนดูแลทำความเคารพเสร็จถึงยืนขึ้น เหงื่อไหลไม่หยุด “ท่านผู้บัญชาการมีธุระต้องการพบท่านนักมายากลเหรอครับ ผมจะไปรายงานให้เดี๋ยวนี้”
“แค่เดินเล่น” ฟู่อวิ๋นเซินตอบ “ไปก่อนนะ”
วันนี้เขาไปพบผู้วิเศษสังฆราชมา
บอกว่าพบ แต่ในความเป็นจริงไม่เจอตัวสังฆราช แค่ได้ยินเสียง
พอฟู่อวิ๋นเซินไปแล้ว คนดูแลก็แข้งขาอ่อนแรง ทรุดลงไปคุกเข่าอีกครั้ง
ครั้งนี้เพราะตกใจขวัญหาย
คนดูแลเช็ดเหงื่อบนศีรษะ ยังผวาไม่หาย
ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงทำให้รู้สึกกดดันยิ่งว่าผู้วิเศษอีก
เขาเจอผู้วิเศษนักมายากลมาตั้งหลายครั้งยังไม่เคยกลัวขนาดนี้
อีกทั้งนิสัยของนักมายากลก็แปรปรวนเอาแน่เอานอนไม่ได้มาตลอด ทั้งยังเคยใช้เขาทดลองยา
แล้วทำไมผู้บัญชาการหน่วยอัศวินดาบอาญาสิทธิ์ที่เพิ่งมาใหม่กลับทำให้เขารู้สึกแบบนี้
คนดูแลมองไปทางที่ฟู่อวิ๋นเซินเดินออกอีกครั้ง
เงาสีดำด้านหลังของเขาชวนให้รู้สึกหวาดกลัว
คล้ายกับจะมีปีศาจจากหุบเหวลึกที่ถูกผนึกมานานลงมาสู่โลก
ด้านนอก
ฟู่อวิ๋นเซินไม่ได้เดินตามทางปกติ เขากระโดดลงตรงขอบ
กำลังภายในของจอมยุทธ์เพียงพอช่วยให้เขาลงสู่พื้นอย่างปลอดภัย
ชั้นเมฆหนาทึบ เสียงลมพัดผ่าน
ฟู่อวิ๋นเซินปัดฝุ่นตรงอกเสื้อ ล้วงกุญแจรถออกมา
โทรศัพท์มือถือดังขึ้นในเวลานี้
แฟนสาวที่น่ารัก : [ผู้บัญชาการ ฉันเจอหนุ่มหน้าเด็กแล้ว]
แฟนสาวที่น่ารัก : [ตอนนี้เขาเป็นนายน้อยของสมาพันธ์แฮกเกอร์]
สีหน้าของฟู่อวิ๋นเซินชะงัก แววตาเริ่มขรึมลง
เขาแน่ใจว่าการหายตัวไปของฉินหลิงเยี่ยนเกี่ยวข้องกับเมืองแห่งโลก
แต่ทำไมอยู่ๆ หมอนี่ถึงกลายเป็นนายน้อยสมาพันธ์แฮกเกอร์ได้
ฟู่อวิ๋นเซินก็รู้จักสมาพันธ์แฮกเกอร์ เป็นอิทธิพลที่อยู่อันดับต้นๆ ของเมืองแห่งโลก
ประธานสมาพันธ์อายุเจ็ดสิบกว่าแล้ว กำลังหาผู้สืบทอด
[รอก่อน]
…
ทางด้านสำนักวิจัย
คณะวิศวกรรมศาสตร์กับสมาพันธ์แฮกเกอร์ยืนยันร่วมงานกัน
คณบดีนอร์แมนยกเรื่องนี้ให้มั่วเฟิงจัดการแล้วรีบออกไป
เขายังต้องเตรียมเรื่องรับลูกศิษย์อีก ไม่ว่างเสียเวลาอยู่ที่นี่
บิลหันหน้ามา “อาจารย์คะ ท่านคณบดีเป็นอะไรเหรอคะ”
“ถ้าไม่เหนือความคาดหมาย สงสัยเกิดแรงบันดาลใจอะไรเข้าแล้ว” มั่วเฟิงตอบ “ไปเถอะ พวกเราไปที่สำนักงานใหญ่สมาพันธ์แฮกเกอร์กัน”
บิลพยักหน้า
รอบตัวมีเสียงซุบซิบดังขึ้น
“อิจฉาคุณหนูบิลจริงๆ นะ ได้ไปสำนักงานใหญ่สมาพันธ์แฮกเกอร์ด้วย”
“อันที่จริงหน้าตากับสถานะของนายน้อยคนนั้นดูเหมาะสมกับคุณหนูบิลดีนะ”
“ไม่ๆๆ อีกหน่อยคุณหนูบิลต้องแต่งเข้าสำนักผู้วิเศษแน่ ไม่แน่อาจแต่งกับผู้วิเศษคนไหนก็ได้”
บิลแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ตอนเธอเดินผ่านอิ๋งจื่อจินกับปิงหลาน เท้าหยุดชะงักเล็กน้อย
จากนั้นก็กวาดตามองอิ๋งจื่อจินเบาๆ ไม่แสดงอารมณ์ส่วนเกินบนใบหน้า ราวกับไม่คู่ควรเข้ามาในสายตาเธอ
บิลไม่รู้ว่าอิ๋งจื่อจินได้คะแนนเท่าไร แต่ไม่มีทางมากไปกว่าเธอแน่นอน
ที่เธอสังเกตเห็นอิ๋งจื่อจินเป็นเพราะอิ๋งจื่อจินหน้าตาดีมาก
แต่ที่มากกว่านั้นคือความรู้สึกคุ้นเคย ซึ่งความรู้สึกแบบนี้ทำให้เธอหงุดหงิดใจ
มั่วเฟิงหันไป “บิล?”
บิลข่มความสงสัยในใจไว้ “ไม่มีอะไรค่ะอาจารย์ พวกเราไปกันเถอะค่ะ”
เธอต้องไปพบประธานกับนายน้อยของสมาพันธ์แฮกเกอร์ ไม่จำเป็นต้องสนใจชาวบ้านธรรมดาที่เพิ่งเข้าคณะวิศวะ
ปิงหลานอยู่ด้านหลังอิ๋งจื่อจิน พอไปถึงร้านอาหารด้านนอกเธอก็อึ้ง “เอ๊ะอาอิ๋ง ทำไมเลือกโต๊ะสี่ที่นั่งล่ะ”
“ยังมีอีกสองคน” อิ๋งจื่อจินมองเมนู “พวกเราสั่งอาหารกันก่อนเถอะ”
เธอรู้ดีว่าฟู่อวิ๋นเซินกินอะไร ฉินหลิงเยี่ยนก็กินง่าย
ให้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหนึ่งห่อยังดีใจได้นานสองนาน
ปิงหลานสงสัย “ยังมีใครอีกเหรอ”
สิบนาทีต่อมาประตูร้านอาหารก็เปิดออกอีกครั้ง
ฉินหลิงเยี่ยนสวมหมวกกับผ้าปิดปาก ห่อตัวเองมิดชิดเหมือนบ๊ะจ่าง
Comments