คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ 730 สติแตก ผมนามสกุลเรนเกล!
ตอนที่ 730 สติแตก ผมนามสกุลเรนเกล!
ฟันฉับนี้ทำเอาใบหน้าด้านขวาของจูซาแหว่งลึกจนเห็นกระดูก
เลเซอร์ไม่เหมือนมีดที่จับต้องได้ ความรุนแรงมีมากกว่า
อีกทั้งยังมีรังสีกัดกร่อนในตัว ต่อให้ใช้ยาก็คืนสภาพไม่ได้
“โอ๊ยยย!”
เสียงกรีดร้องด้วยความทุกข์ทรมานดังทะลุไปถึงชั้นฟ้า
ฉับ ฉับ!
เสียงเลเซอร์ตัดอีกหลายครั้ง ยังคงทำที่ใบหน้า
เลือดไหลบดบังสายตา เจ็บจนแทบขาดใจ
เวลานี้ทรมานแสนสาหัสไม่สู้ตายไปเสียดีกว่า
ฟู่อวิ๋นเซินยกมือขึ้น “หยุดก่อน”
ผู้พิพากษาขมวดคิ้ว “นี่ไม่ถูกต้องตามกฎ”
เซ่าอวิ๋นพูดเสียงเย็นชา “ทำตามที่เขาบอก”
ผู้พิพากษาชะงัก สุดท้ายก็สั่งให้หยุดก่อน
ฟู่อวิ๋นเซินค่อยๆ เดินขึ้นบันไดไปยืนตรงหน้าจูซา
เขาหยิบกระจกแบบพับออกมา พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ลองดูหน้าตัวเองสิ”
จูซาหันไปมองตามสัญชาตญาณ จากนั้นก็กรีดร้องเสียงดัง “นี่ไม่ใช่ฉัน…ไม่ใช่ฉัน!”
หน้าของเธอ หน้าเธอเละแล้ว!
“สวยจริงๆ” ฟู่อวิ๋นเซินหัวเราะ “แบบนี้แหละเข้ากับแกดี”
จูซาเสียสติ “ฟะ…ฟู่อวิ๋นเซิน! ฟู่อวิ๋นเซิน!”
จุดเริ่มต้นของทั้งหมดล้วนเป็นเพราะฟู่อวิ๋นเซินทั้งนั้น
ฟู่อวิ๋นเซินไม่สนใจเธออีก เขาหันไปทางชาวเมืองเรือนแสนที่อยู่ด้านล่าง
ด้านหลังของเขาคือจูซาที่รับโทษชำแหละต่อ
“ฟู่หลิวอิ๋งคือคุณแม่ของผม วันนี้ผมทำเพื่อเธอ” ฟู่อวิ๋นเซินเหลือบตาขึ้น “ผมไม่รู้ว่าควรใช้คำไหนมาบรรยายเธอ แต่อยากพูดไว้ว่า…”
“ผมจะไม่มีทางปล่อยคนที่รังแกและทำร้ายเธอไว้”
นิ้วเรียวยาวของฟู่อวิ๋นเซินชี้อย่างไม่รีบร้อน “จุดจบจะเหมือนผู้หญิงคนนี้”
“…”
เงียบสงัด
ไม่มีใครกล้าพูดแม้แต่คนเดียว
จูซาก็ได้ยินทั้งหมดแล้ว เธอพยายามยกมุมปาก เผยให้เห็นรอยยิ้มที่น่าเกลียด
แพ้แล้ว
เธอแพ้อย่างสิ้นเชิงแล้ว
ฟู่หลิวอิ๋ง ลูกชายเธอมันเก่งจริงๆ
ยกเธอขึ้นสวรรค์ แต่เหยียบฉันให้จมดิน
ทุกอย่างกลับตาลปัตรไม่มีเหลือ
สายตาของจูซาค่อยๆ ดับมืดลง สมองก็เริ่มหยุดทำงาน
จนกระทั่งไม่หลงเหลือความรู้สึกอีก
“กินสิ หวานๆ ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น” อิ๋งจื่อจินยื่นอมยิ้มให้ “ล่อเสือออกจากถ้ำเหรอ”
“ยาก” ฟู่อวิ๋นเซินฉีกกระดาษห่อออก ดอกตาดอกท้อหรี่ลง “คนกลุ่มนั้นเคยปรากฏที่เมืองมหาวิทยาลัย ไม่มีทางไม่รู้จักพี่ชาย แต่พวกเขาไม่ได้ลงมือ”
“แสดงว่าพวกเขายังมีภารกิจที่สำคัญกว่า” อิ๋งจื่อจินพยักหน้าเบาๆ “หรือบางทีเป้าหมายของพวกเขาอาจมีแค่คุณป้าคนเดียว”
“เอาเป็นว่าลองดู” ฟู่อวิ๋นเซินพูด “พี่ชายเอาตัวเองเป็นเหยื่อล่อ ลองดูว่าพวกเขาจะอยากตะครุบหรือเปล่า”
การตัดสินต่อหน้าสาธารณชนปิดฉากลงอย่างรวดเร็ว แต่วันนี้ได้ถูกกำหนดเป็นวันที่ต้องสะเทือนฟ้าสะเทือนดินไว้แล้ว
ลูน่าสงบจิตสงบใจ รีบเข้าไปหาเด็กหนุ่มทันที พูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เธอชื่อเซ่าอิ่งใช่ไหม”
เซ่าอิ่งชะงัก
เขามองลูน่า ริมฝีปากบางขยับ แต่กลับพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบร้อน” ลูน่าเช็ดน้ำตา ยิ้มพลางพูด “เธอไม่ชิน ฉันเข้าใจ ฉันไม่บังคับ ฉันเห็นเธอปลอดภัยก็พอใจแล้ว”
หลังที่หดเกร็งของเซ่าอิ่งเริ่มผ่อนคลายลง เขาตอบ “อืม ผมจะกลับไปเก็บของที่บ้านตระกูลอวี้”
“อ่อ จ้ะ” ลูน่าดีใจ “งั้นแม่…ฉันจะรอเธอที่บ้านนะ”
สิบแปดปีที่แยกจาก เธอไม่ร้องขออะไรมากแล้ว
ต่อให้เซ่าอิ่งเลือกที่จะอยู่บ้านตระกูลอวี้ต่อ เธอก็จะไม่ว่าอะไร
ฟู่อวิ๋นเซินมองแผ่นหลังที่เหยียดตรงของเด็กหนุ่ม ดวงตาดอกท้อโค้งเล็กน้อย “คราวนี้คุณไม่เหลือทายาทจริงๆ แล้ว”
“ก็ดีเหมือนกัน” เซ่าอวิ๋นยิ้มเหมือนยกภูเขาออกจากอก “เพราะผู้หญิงคนนั้นทำพ่อขยะแขยงมาก พ่อดีกับเด็กคนนี้ก็แค่เพราะความรับผิดชอบของคนเป็นพ่อ ความรู้สึกผูกพันมีไม่เท่าไร ครอบครัวแบบนี้ไม่อบอุ่นหรอก กลับไปก็ดีแล้ว”
เขาก้มหน้าลง กำมือแน่น “ถ้า…”
“ไปกินข้าวเถอะ” มือข้างหนึ่งของฟู่อวิ๋นเซินล้วงกระเป๋า เขาหันตัวออก “วันนี้ผมอารมณ์ไม่ค่อยดี คุณเลี้ยงแล้วกัน”
เซ่าอวิ๋นเงยหน้าทันที “เจ้าเจ็ด!”
ฟู่อวิ๋นเซินไม่ตอบอีก เดินไปหาอิ๋งจื่อจิน เอามือขยี้หัวเธอ “ตอนเย็นค้างที่โรงแรมนะ”
อิ๋งจื่อจินหาว “ทำไม คิดถึงฉันเหรอ”
สีหน้าของฟู่อวิ๋นเซินชะงัก “เด็กน้อย ไปเอาน้ำเสียงแบบนี้มาจากไหน แกล้งพี่ชายเหรอ”
“ก็เลียนแบบคุณนั่นแหละ”
“…”
จบ
ย้อนเข้าตัวเองหมด
“อืม คิดถึง” ฟู่อวิ๋นเซินยอมจำนน ยิ้มพลางพูด “พี่ชายก็รู้สึกว่านอนกอดเธอแล้วหลับสบายกว่า”
อิ๋งจื่อจินเตือนเขา “วันมะรืนฉันจะมีโปรเจ็กต์ใหม่แล้ว”
ฟู่อวิ๋นเซินกระแอม น้ำเสียงเรื่อยเปื่อย “งั้นเดี๋ยวพี่ชายย้ายไปอยู่สำนักวิจัย”
อยู่กับแฟนตัวเองต้องอายอะไร
“พี่สะใภ้ใหญ่ ฉันกลับบ้านก่อนนะคะ” ลูน่าลังเล “พี่สะใภ้ใหญ่ บางทีพี่อาจจะลอง…”
เธอยังไม่ทันพูดจบเบื้องหน้าก็มืดลง วูบหมดสติไป
ซู่เวิ่นสีหน้าเปลี่ยน “น้องสี่!”
ซู่เวิ่นร้อนรนแบบที่เห็นได้ยาก “เยาเยา เยาเยามาดูหน่อย”
“ใจเย็นๆ ค่ะคุณป้า” อิ๋งจื่อจินย่อตัวนั่งลง จับข้อมือลูน่าเพื่อตรวจชีพจร “ไม่มีอะไรค่ะ แค่ดีใจมากเกินไปหน่อย เดี๋ยวหนูสั่งยาให้กินสองสามวันก็ดีขึ้นค่ะ”
“ยาแผนจีนช่วยบำรุงร่างกาย ไม่จำเป็นต้องไปเอายาที่คณะชีววิทยาและพันธุศาสตร์ ไม่อย่างนั้นจะมีผลข้างเคียงค่ะ”
ขณะพูดเธอก็ล้วงเข็มเงินออกมาจากในแขนเสื้อหนึ่งเล่ม ค่อยๆ ทิ่มเข้าไปในจุดลมปราณตรงข้อมือของลูน่า
สิบกว่าวินาทีต่อมาลูน่าก็เริ่มฟื้น
เธอมองอิ๋งจื่อจิน จากนั้นก็มองเข็มเงินที่อยู่บนมือตัวเอง สายตาตกใจ “อ๊ะ หรือว่าเธอคือ…”
ซู่เวิ่นส่ายหน้าให้เธอเบาๆ “คนนี้เยาเยา แซ่อิ๋ง”
ลูน่าเข้าใจทันที
เหตุระเบิดในครั้งนั้นได้ประกาศแก่ภายนอกไปแล้วว่าหมอเทวดาที่รักษาให้ซู่เวิ่นตายแล้ว
พันธุกรรมของตระกูลเรนเกลไม่ด้อย ลูน่าย่อมเดาหลายเรื่องได้
ไม่รู้ว่ายังมีคนอีกเท่าไรที่จับตาดูตระกูลเรนเกลอยู่
“คุณป้าลูน่าสุขภาพอ่อนแอมาหลายปี ต้องกินยาตามเวลานะคะ” อิ๋งจื่อจินยื่นใบสั่งยาที่เขียนเสร็จแล้วให้ “กินก่อนนอนทุกวันจะช่วยให้กลับมาสดชื่นกระปรี้กระเปร่าได้เร็วขึ้นค่ะ”
“ขอบคุณคุณอิ๋งมากนะจ๊ะ” ลูน่าพูดขอบคุณต่อเนื่อง “วันนี้คุณอิ๋งว่างไหม ไม่อย่างนั้นมาเป็นแขกที่บ้านสิจ๊ะ”
ซู่เวิ่นยิ้มพลางแกล้งแซว “น้องสี่ เยาเยาเป็นเด็กสาววัยรุ่น ไม่ได้กินข้าวกับแฟนหลายวันแล้ว พวกเราอย่าไปรบกวนหนุ่มสาวเลยนะ”
“ใช่ๆๆ ฉันคิดไม่รอบคอบเอง” ลูน่ายิ้ม “งั้นไว้วันหลังฉันค่อยเลี้ยงข้าวคุณอิ๋งแล้วกัน”
“ได้ค่ะ” อิ๋งจื่อจินพยักหน้าเบาๆ “คุณป้า คุณป้าลูน่า ไว้เจอกันนะคะ”
ซู่เวิ่นมองส่งอิ๋งจื่อจิน จากนั้นก็ถอนหายใจ “ไปเถอะน้องสี่”
“ไปๆ” พอลูน่าก้าวออก สายตาก็หยุดชะงัก
บนพื้นมีเส้นผมดำยาวเส้นหนึ่งตกอยู่ตรงที่อิ๋งจื่อจินยืนเมื่อครู่
ลูน่าขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด สุดท้ายก็ก้มลงเก็บผมเส้นนั้นขึ้นมาแล้วถึงเดินตามซู่เวิ่นไป
…
อีกด้านหนึ่ง
ระหว่างทางที่เซ่าอิ่งกลับตระกูลอวี้ มีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยคอยหันมามองเขา
เซ่าอิ่งรูปร่างสูงผึ่งผาย สีหน้าเย็นชา ให้ความรู้สึกห่างเหิน
แต่กลับมีเสน่ห์เย้ายวนใจ
ในวงการชนชั้นสูงของเมืองแห่งโลก อวี้เซ่าอิ่งอยู่ในกลุ่มคนชั้นแนวหน้ามาตลอด มีหลายคนที่ชื่นชอบเขา
เพียงแต่ด้วยนิสัยของเขาที่เย็นชา จึงไม่ค่อยมีสาวไฮโซกล้าเข้าไปจีบเขา
เดิมทีหลายคนคิดว่าอวี้เซ่าอิ่งจะถูกไล่ออกจากตระกูลอวี้ ปรากฏว่าเหตุการณ์กลับตาลปัตร กลายเป็นทายาทของตระกูลเรนเกล
พวกสาวไฮโซก็เลยต้องเก็บความคิดที่จะเข้าหาเขา
เซ่าอิ่งทำเป็นมองไม่เห็นสายตาเหล่านั้น เดินตรงขึ้นชั้นบนกลับห้องตัวเองแล้วเริ่มเก็บของ
คุณนายผู้เฒ่าอวี้เห็นเซ่าอิ่งยกกระเป๋าเดินทางลงมา อดตกใจไม่ได้ “เซ่าอิ่ง?”
เธอไปขอร้องที่ศาลตัดสิน แต่กลับถูกไล่ออกมา
คุณนายผู้เฒ่าอวี้ไม่อยากขายหน้าอีกก็เลยต้องกลับบ้าน จึงถือโอกาสไม่ยุ่งเรื่องจูซาแล้ว
จูซาไม่ได้สำคัญสำหรับเธอ หลานชายต่างหากที่สำคัญที่สุด
เธอไม่ได้ดูการตัดสินต่อหน้าสาธารณชน นั่นมีแต่จะทำให้เธอขายหน้า
แต่ตอนนี้?
“เซ่าอิ่ง!” คุณนายผู้เฒ่าอวี้ร้อนใจ “เซ่าอิ่งหลานจะทำอะไร ย่าไม่ได้ต้องการไล่เราออกไปนะ สำหรับย่า หลานก็คือทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลอวี้”
“ลูกนอกคอกนั่นไม่มีทางเป็นภัยต่อสถานะของหลานได้ หลานไปแล้วย่าจะทำยังไง”
อวี้เซ่าอิ่งก็เป็นหลานที่เธอกับผู้เฒ่าอวี้ตั้งใจฟูมฟักมาเป็นอย่างดี
ตอนแรกสุดหลานชายคนนี้สนใจเรื่องเทคโนโลยี แต่ถูกเธอดุไปยกใหญ่
คนตระกูลอวี้จะคลุกคลีเรื่องพวกนั้นได้อย่างไร
หลายปีมานี้ที่เธอบังคับ ในที่สุดก็ทำให้อวี้เซ่าอิ่งล้มเลิกความคิดเรียนด้านเทคโนโลยีได้ คุณนายผู้เฒ่าอวี้พอใจมาก
“เซ่าอิ่ง หลานเกลียดลูกนอกคอกนั่นมากใช่ไหม” คุณนายผู้เฒ่าอวี้ร้อนใจยิ่งกว่าเดิม ให้คำมั่นสัญญา “วางใจได้ เขาก็เป็นแค่เครื่องมือเกี่ยวดองด้วยการแต่งงาน ย่าไม่มีทางยกตระกูลอวี้ให้เขาหรอก”
“ทำไม ยังไม่รู้อีกเหรอ” เซ่าอิ่งหยุด เป็นครั้งแรกที่เขายิ้มอย่างสง่างามให้คุณนายผู้เฒ่าอวี้ “คุณนายผู้เฒ่า ผมไม่ได้นามสกุลอวี้ ผมนามสกุลเรนเกล”
Comments