คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ 769 ตบหน้า! ระวังจะถูกแฉ
ตอนที่ 769 ตบหน้า! ระวังจะถูกแฉ
“…”
ทันใดนั้นได้เกิดความเงียบขึ้นภายในห้องโถงใหญ่
ถึงแม้ความทรงจำกับพลังของฉินหลิงอวี๋จะฟื้นกลับมาแล้ว แต่อย่างไรเสียเธอก็เป็นนักฆ่ามานานหลายปี ร่างกายไหวตัวได้เร็ว
ไม่มีใครสามารถเข้าใกล้เธอได้
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระยะประชิดขนาดนี้
ร่างกายของฉินหลิงอวี๋หดเกร็งเล็กน้อย หัวใจก็เต้นแรง ‘ตึกตัก’ ในเวลานี้
หรือว่าจะเป็น…
มือที่วางอยู่บนไหล่เธอค่อยๆ เลื่อนลงจนสุดท้ายจับมือเธอไว้แล้วสอดนิ้วประสาน
ท่าทางคล่องแคล่ว ไม่ดูขัดเขิน
ฉินหลิงอวี๋มือสั่น
มือที่อบอุ่นแบบนี้เหมือนดวงอาทิตย์
ความรู้สึกแย่ๆ ที่ซาโรห์ให้เธอมาเมื่อครู่ได้หายไปหมด
มือของซาโรห์กำคฑาแน่น คราวนี้ถึงตาเธอสีหน้าเปลี่ยน “เหยียน!”
ผู้วิเศษลำดับที่ยี่สิบจากยี่สิบสองคน ผู้วิเศษพระอาทิตย์ เหยียน
“ไม่เจอกันนาน” ชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบง่าย ดูสะอาดบริสุทธิ์ “ผมเองก็เปลี่ยนชื่อแล้ว ระหว่างพวกเราไม่สนิทถึงขั้นต้องเรียกด้วยชื่อ”
ซาโรห์สีหน้าเปลี่ยนอีกครั้ง
ระหว่างผู้วิเศษด้วยกันจะเรียกฉายาแทนตัว
แต่เธอกับพระอาทิตย์อย่างน้อยก็เคยเป็นสหายร่วมรบ
แค่เปลี่ยนภพ สายสัมพันธ์แต่ก่อนก็หายไปด้วยอย่างนั้นเหรอ
ร่างกายของนักมายากลที่เพิ่งเริ่มรู้สึกดีขึ้นมาบ้างได้หดเกร็งอีกครั้ง
ผู้วิเศษพระอาทิตย์ทำไมถึงกลับมาตอนนี้
นักมายากลไม่กล้าพูด
เขาควรจะรู้ก่อนแล้ว
พระจันทร์กับพระอาทิตย์รู้ใจกัน ร่างกายและจิตใจรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
ต่อให้ดับสูญเปลี่ยนภพ ต่อให้อยู่ไกลกันแค่ไหนก็จะมีแรงดึงดูดเข้าหากัน
นี่คือชะตาฟ้าลิขิต
ในเมื่อพระจันทร์กลับคืนสถานะผู้วิเศษ พระอาทิตย์ก็คงอีกไม่นาน
ฉินหลิงอวี๋ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น พอเห็นใบหน้าของผู้ชายคนนี้ สมองก็หยุดทำงานไปชั่วขณะ
เธอยังไม่ทันตั้งตัวก็มีมือมาลูบศีรษะของเธอ เขาดึงเธอเข้าไปกอด
อวี้เสวี่ยเซิงยังคงยิ้มบาง “ผมเองก็นึกไม่ถึงว่าพอกลับมาก็ได้เห็นคุณรังแกคนของผม”
ซาโรห์สูดลมหายใจเข้าลึก มือจับคฑาแน่นด้วยความโมโหจนปลายนิ้วขาวซีด
ถ้าแค่ผู้วิเศษพระจันทร์คนเดียว เธอไม่จำเป็นต้องถือสาเรื่องไหนทั้งนั้น
แต่ผู้วิเศษพระอาทิตย์กับพระจันทร์เป็นคู่กันมาหลายสิบศตวรรษ รู้ใจกันดี เธอไม่ใช่คู่ต่อสู้
และเรื่องที่ทำให้ซาโรห์รู้สึกทนไม่ไหวมากที่สุดคือ สองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอยังเป็นคู่รักกันด้วย
ไม่เหมือนเธอที่ต้องทนโดดเดี่ยวอย่างไร้จุดหมายท่ามกลางวันเวลาอันยาวนาน
ต่อให้เป็นผู้วิเศษก็ปรารถนาที่จะมีความรักเป็นของตัวเองเช่นกัน
อวี้เสวี่ยเซิงไม่สนใจซาโรห์ กวาดตามองนักมายากล ยิ้มพลางพูด “ยังไม่ลงมืออีกเหรอ”
พอได้ยินแบบนี้นักมายากลก็สะดุ้งตกใจกลัว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคณบดีคณะพันธุศาสตร์ที่งงไปหมดแล้ว
วันนี้มันวันอะไรกันแน่ มีผู้วิเศษมารวมตัวกันตั้งมากขนาดนี้
“พระจันทร์ เหยียน ขอโทษด้วย เรื่องนี้เป็นความผิดของผมเอง” นักมายากลกัดฟันอดทน “ผมจะจัดการคนของผมเดี๋ยวนี้!”
เขาหันไปบีบคอคณบดีคณะพันธุศาสตร์
หยิบยาที่เพิ่งทำขึ้นมาใหม่ยัดเข้าไปหนึ่งเม็ด
เพียงชั่วพริบตาความเจ็บปวดอย่างรุนแรงแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกาย กระดูกแทบถูกบดละเอียด
“ท่านพระจันทร์ไว้ชีวิตด้วย! ท่านเหยียนไว้ชีวิตด้วยครับ!” คณบดีคณะพันธุศาสตร์ร้องด้วยความทุกข์ทรมาน “ผมก็แค่ทำตามคำสั่ง ผมไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายทั้งสองท่านเลยนะครับ ไม่มีเลย!”
ริมฝีปากของอวี้เสวี่ยเซิงยิ้มบางอยู่ตลอด ให้ความรู้สึกดุจสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
เขายกมือข้างหนึ่งปิดตาของฉินหลิงอวี๋ พูดด้วยเสียงอ่อนโยน “อุจาดเกินไป อย่าดูเลย”
ฉินหลิงอวี๋จับมือของเขาแน่น
นี่คือดวงอาทิตย์ของเธอ
คณบดีคณะพันธุศาสตร์หมดลมหายใจไปอย่างรวดเร็ว
บนพื้นก็ไม่มีซากศพหลงเหลือ ร่องรอยทุกอย่างถูกลบทิ้งไปหมด
นักมายากลรู้สึกไม่ยอม
นี่เป็นลูกน้องที่เขาบ่มเพาะมาอย่างยากลำบาก ต้องหาหมากตัวใหม่มาควบคุมคณะชีววิทยาและพันธุศาสตร์ ต้องลงแรงอีกไม่น้อย
ให้ตายเถอะ!
“ระยะนี้พวกคุณจะได้ ‘ฝันหวาน’” อวี้เสวี่ยเซิงยิ้มบาง “ใช่ไหม เสี่ยวอวี๋”
ซาโรห์ตัวสั่นเล็กน้อย
เธอโกรธมาก
เนื่องจากเป็นผู้วิเศษเหมือนกัน พลังควบคุมความฝันของฉินหลิงอวี๋จึงใช้ไม่ได้กับเธอ
แต่ถ้ามีอวี้เสวี่ยเซิงอีกคน สองผู้วิเศษผนึกกำลังกัน เธอก็ต้องโดนฝันร้ายไปด้วย
“ไม่ขอรบกวนแล้ว” อวี้เสวี่ยเซิงพูด เอามือโอบบ่าฉินหลิงอวี๋ พาเธอเดินออกไปด้วยกัน
ฉินหลิงอวี๋ถูกเขาจูงไป สมองกำลังสับสน
ก่อนหน้านี้เธอพูดไว้ว่ายังไง
อ๋อ
เธอบอกว่าเธอไม่รู้จักเขา
อยู่ๆ อวี้เสวี่ยเซิงก็หยุดลง
ฉินหลิงอวี๋ไม่ทันได้สังเกต หัวเธอเลยชนกับหลังของเขา “ทำอะไร”
เธอเงยหน้าถึงได้สังเกตเห็นว่าอวี้เสวี่ยเซิงพาเธอเข้ามาด้านในประตูบานที่ยี่สิบ หรือก็คือห้องส่วนตัวของผู้วิเศษพระอาทิตย์
ฉินหลิงอวี๋ถูจมูก มีเสียงประตูถูกล็อกดัง ‘คลิก’ ในเวลานี้
เธอกำลังเรียบเรียงความคิดว่าควรพูดอย่างไรดี วินาทีถัดมากลับถูกดันเข้าไปแนบกับประตูที่เย็นเฉียบ
ชายหนุ่มตรงหน้าเข้ามาประชิด ใช้ริมฝีปากประกบถึงขั้นที่เรียกได้ว่าป่าเถื่อน
มือของเขาล็อกเอวเธอ ขาเรียวยาวก็กดเธอไว้ไม่ให้ขยับ
รุกเร้าเต็มที่ ไม่อาจขัดขืน
ราวกับเรี่ยวแรงถูกสูบจนหมดในเวลานี้
ฉินหลิงอวี๋ไม่ทันตั้งตัว อดเอามือดันตัวเขาไม่ได้
แต่ก็ไม่เป็นผล
ทำได้เพียงเงยหน้า ถูกบังคับให้ต้องยอมรับการจูบอันดุเดือดนี้
หลังจากผ่านไปนานมาก บรรยากาศก็เริ่มสงบลง
ในที่สุดฉินหลิงอวี๋ก็ได้พักหายใจ สมองยังมึนงงอยู่
เขาคลอเคลียอยู่ตรงหูเธอ พูดเสียงเบาด้วยน้ำเสียงกึ่งหยอกเย้า “ห้ามใจไม่อยู่”
สี่คำนี้ทำให้อยู่ๆ ฉินหลิงอวี๋ก็นึกถึงตอนพวกเขาเจอกันครั้งแรกในชาตินี้
เขาจับเอวเธอและก็พูดแบบนี้เหมือนกัน
นี่ก็คือแรงดึงดูดที่พวกเขามีต่อกัน
ฉินหลิงอวี๋มองใบหน้าขาวใสของผู้ชายตรงหน้า ออกอาการเหม่อเล็กน้อย
อวี้เสวี่ยเซิงก้มมอง “คิดอะไรอยู่”
“คิดว่า…” ฉินหลิงอวี๋เบือนหน้าเล็กน้อย “คิดว่าปกติคุณดูสุขุมเย็นชา ไม่นึกว่าจะ…”
หลังจากพวกเขาเปลี่ยนภพ นิสัยก็เปลี่ยนไปด้วย
“แอบมองผมเหรอ”
“ฉันไม่ได้เหลวไหลแบบนั้นนะ”
อวี้เสวี่ยเซิงแค่ยิ้มพลางลูบศีรษะเธอ “เข้าใจแล้ว”
ฉินหลิงอวี๋ “…”
เธอโมโหชะมัด
อย่างไรเสียทั้งสองคนก็เป็นคู่รักกันมานานหลายปี ไม่ได้เพิ่งเปลี่ยนภพครั้งแรก
ต่อมาสภาพอารมณ์ก็เป็นปกติ
ทันใดนั้นฉินหลิงอวี๋ก็นึกขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง “ทำไมครั้งนี้เป็นนักสะกดจิตล่ะ”
“ตอนความทรงจำยังไม่กลับมาแค่รู้สึกว่าอาชีพนี้น่าสนใจดี” อวี้เสวี่ยเซิงตอบ “แต่ดูจากตอนนี้น่าจะเป็นเพราะคุณ”
ฉินหลิงอวี๋อึ้ง “ความทรงจำของคุณกลับมาเร็วกว่าฉันอีกเหรอ”
“เปล่า” อวี้เสวี่ยเซิงส่ายหน้าเล็กน้อย ยิ้มบาง “ก็แค่รักแรกพบ”
ฉินหลิงอวี๋เลิกคิ้ว “รักแรกพบมันก็เกิดจากความสนใจด้านรูปลักษณ์ทั้งนั้น”
“ในมุมมองทางจิตวิทยา รักแรกพบใช้เวลาแค่สามสิบวินาที เป็นปรากฏการณ์ทางด้านจิตใจที่มหัศจรรย์มาก” อวี้เสวี่ยเซิงยิ้ม “แต่ในมุมของผม มันเกิดจากความสวยของคุณ”
เขายกมือ ค่อยๆ เกี่ยวผมทัดหูให้เธออย่างอ่อนโยน “เมื่อนานมาแล้วด้วย”
ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันสักพักก็ออกไป
เมื่อก่อนพวกเขาก็ไม่ค่อยได้อยู่ประจำที่สำนักผู้วิเศษ แต่เลือกที่จะไปท่องเที่ยวตามที่ต่างๆ ของโลก
“เดี๋ยวก่อน”
มีเสียงพูดอย่างเนือยๆ ดังขึ้น
ชายหนุ่มผมสั้นสีดอกเลาปรากฏตัวขึ้นตรงบันไดวน ต่างหูสีดำสะท้อนแสงเป็นประกายอ่อนๆ โดดเด่นสะดุดตา
ฉินหลิงอวี๋เริ่มระแวง
เธอกับอัศวินรถม้าไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไร
เมื่อก่อนมีประชุมผู้วิเศษ อัศวินรถม้าก็ไปไหนมาไหนคนเดียว ไม่เคยเห็นเขาสนิทกับใคร
ถึงแม้เธอจะรู้ว่าเขารู้จักกับอิ๋งจื่อจิน แต่ก็ยังมีความระแวงอยู่ในใจ
“เอ่อคือ ถามหน่อยสิ” นอร์ตันพิงกำแพง ใช้คางชี้อย่างขี้เกียจ ชี้ไปตรงอวัยวะส่วนหนึ่ง “คุณกินอะไรทำไมมันถึงได้ใหญ่ขนาดนั้น มีสูตรเด็ดไหม”
ฉินหลิงอวี๋ “…”
ที่แท้ตอนนี้อัศวินรถม้าก็เป็นพ่อครัวเหรอ
…
อีกด้านหนึ่ง
หลังจากบิลแน่ใจแล้วว่าผลงานที่อิ๋งจื่อจินเอาไปส่งเหมือนกับสิ่งประดิษฐ์ที่เอสวายเพิ่งคิดค้นแบบทุกกระเบียดนิ้ว เธอก็ไปหามั่วเฟิงทันที
“เธอบอกว่าอิ๋งจื่อจินซื้อสิ่งประดิษฐ์ของเอสวายเอามาส่งเหรอ” มั่วเฟิงขมวดคิ้ว “อิ๋งจื่อจินจะกล้าขนาดนั้นเลยเหรอ”
“อาจารย์คะ อาจารย์อาจไม่รู้ว่าตระกูลเรนเกลกำลังจะเลือกหัวหน้าตระกูลคนใหม่แล้ว” บิลพูด “อาหกของหนูที่ชื่อไชโลห์เป็นอัจฉริยะที่ผู้วิเศษสามคนปลุกปั้นขึ้นมาเอง มีใครในเมืองแห่งโลกสู้ได้ด้วยเหรอคะ”
เธอเกลียดไชโลห์ แต่กลับต้องยอมรับว่าไชโลห์เป็นบุคคลที่ใครก็อาจเอื้อมไม่ถึง
อิ๋งจื่อจินเทียบไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
มั่วเฟิงตะลึง “ผู้วิเศษสามคนเหรอ!”
ปกติแค่ได้เจอผู้วิเศษคนเดียวก็ถือเป็นเกียรติอย่างใหญ่หลวงแล้ว
ยังมีคนที่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากผู้วิเศษโดยตรงด้วยเหรอ
“อิ๋งจื่อจินก็ต้องการลงคัดเลือกด้วย ถ้าเธอได้เลื่อนเป็นนักวิจัยระดับเอส นั่นก็จะช่วยเธอได้มากทีเดียว” บิลพูด “อาจารย์ว่าเธอจะไม่ลองเสี่ยงดูเหรอคะ”
มั่วเฟิงขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม “ไป ไปหาคณะประเมินเดี๋ยวนี้เลย!”
เขาย่อมรู้จักเอสวาย
นักไลฟ์สดสายวิศวกรรมที่กำลังร้อนแรงในเว็บดับบลิว
ความรู้เพียงพอที่จะเทียบเคียงได้กับอาจารย์ชั้นแนวหน้าของคณะวิศวกรรมศาสตร์
อาจารย์ผู้หญิงของคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่ปลดเกษียณไปแล้วก็มีอยู่ไม่น้อย แต่มั่วเฟิงก็ยังหาคนที่สอดคล้องกันไม่เจอ
แต่ไม่ว่าอย่างไร อิ๋งจื่อจินเอาผลงานที่คนอื่นคิดค้นมาส่งเป็นของตัวเอง เรื่องโสมมแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นในคณะวิศวกรรมศาสตร์
ต้องจัดการ!
Comments