คู่ชะตาบันดาลรัก 228 เสวียนตู

Now you are reading คู่ชะตาบันดาลรัก Chapter 228 เสวียนตู at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

วันที่เก้าเดือนเก้า เทศกาลฉงหยางรถม้าวิ่งบนถนนมากมาย ผู้คนนับร้อยจำนวนนับไม่ถ้วนแห่กันไปที่เสวียนตูกวัน

ตระกูลจี้แบ่งรถม้าออกเป็นสามคันเดินทางออกนอกเมืองพร้อมกับฝูงชน

หมิงเวยนั่งฟังการสนทนาเรื่องขอพรระหว่างจี้ฮูหยินกับสะใภ้ใหญ่อยู่ในรถม้า สติของนางไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ด้วยความที่รถม้ามีจำนวนมากเกินไปจึงเคลื่อนๆ หยุดๆ ผ่านไปนานกว่าจะใกล้ถึงบริเวณใกล้เคียงกับเสวียนตูกวัน

ทันทีที่พวกเขาลงจากรถก็ได้ยินเสียงแส้จากท้องถนนกับกองกำลังรักษาพระองค์กลุ่มเล็กที่เดินไปๆ มาๆ เหมือนสั่งการอะไรสักอย่าง หมิงเวยไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สีหน้าของนายท่านจี้กับจี้ฮูหยินดูเป็นกังวล

“เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” นางถาม

จี้หลิงระงับความตื่นเต้นแล้วตอบไปว่า “รถม้าพระที่นั่งจะเสด็จมาที่เสวียนตูกวัน”

หมิงเวยตกใจ “ไม่มีพระราชโองการล่วงหน้าหรือเจ้าคะ”

นายท่านจี้ลูบเคราพลางพูดว่า “ฝ่าบาทมักจะเสด็จโดยเรียบง่าย หากต้องประกาศราชโองการก่อนสิ่งที่ต้องเตรียมตัวค่อนข้างมากพระองค์ไม่ต้องการความยุ่งยาก”

หมิงเวยพยักหน้า “เป็นเช่นนี้นี่เอง”

จี้หลิงตอบ “ฝ่าบาทไม่เสด็จออกจากพระราชวังมานานแล้ว เหตุใดจู่ๆ วันนี้ถึงออกมาร่วมพิธีกันได้ เสวียนตูกวันช่างยิ่งใหญ่จริงๆ!”

จี้เสียวอู่พูดต่ออย่างไร้ชีวิตชีวา “ตำแหน่งเจ้าสำนักเสวียนตูกวันว่างมาหนึ่งปีแล้ว ถึงเวลาที่ต้องแต่งตั้งเจ้าสำนักคนใหม่ คิดว่าคงเป็นเพราะเรื่องนี้ฝ่าบาทถึงเสด็จมาด้วยตนเอง”

ตั้งแต่เขาได้รับตำแหน่งและถูกบังคับให้เข้าทำงานราชการ ความคิดของทุกคนในตระกูลก็เป็นเช่นนี้ หากมีตำแหน่งทางราชการไม่ทำงานไม่ได้ไม่อย่างนั้นก็เป็นคนไร้ความสามารถถึงแม้ขุนนางอิสระก็เป็นคนไร้ความสามารถก็เถอะ…

แม้จี้เสียวอู่จะลอยชาย แต่เขาก็เป็นคนตระกูลจี้ ปากบอกไม่ต้องการไป แต่เขาก็ไปช่วยงานหวงเฉิงซือเป็นครั้งคราวดังนั้นเขาจึงทราบข่าวคราวนี้มากกว่าผู้อื่น

ถนนใหญ่ถูกเปิดทางให้อย่างรวดเร็วเมื่อกองกำลังรักษาพระองค์เปิดทางให้ แล้วรถม้าก็เคลื่อนที่มาช้าๆ ถึงบอกว่าเป็นการเสด็จส่วนพระองค์ แต่การเสด็จของฮ่องเต้จะไปง่ายได้อย่างไรหลังจากรอเกือบครึ่งชั่วยามรถม้าพระที่นั่งก็เดินทางเข้าไปในเสวียนตูกวัน

หมิงเวยพบมุมอับสายตานางเงยหน้าต้อนรับขบวนเสด็จเงียบๆ แต่เมื่อม่านรถม้าเลิกขึ้นเล็กน้อยทำให้มองเห็นเงาร่างหนึ่งซึ่งมองไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง นับประสาอะไรกับรูปร่างหน้าตา

รถม้าพระที่นั่งผ่านไปสักพักบนถนนก็เปิดให้แล่นผ่านไปได้อีกครั้ง นางและทุกคนในตระกูลจี้เดินเข้าไปในเสวียนตูกวัน นางเคยติดตามท่านอาจารย์เข้ามาในวัดอารามแห่งนี้ แต่ครั้งนั้นนางไม่ได้มาเข้าร่วมพิธีอะไร แต่มาเพื่อท้าประลอง

หมิงเวยนึกถึงเรื่องเก่าๆ นางก็เบะปาก

ท่านอาจารย์ดูเป็นคนใจดี แต่จริงๆ แล้วเป็นคนที่อารมณ์แข็งกร้าว เพราะเสวียนตูกวันทำให้อาจารย์ของท่านอาจารย์เสียใจ ท่านอาจารย์จึงพานางมาท้าประลอง

ครั้งนั้นเสวียนตูกวันถูกพวกเขาอาจารย์และลูกศิษย์ไม่ไว้หน้าจนไม่มีผู้ใดสงสัยนามของปรมาจารย์แห่งชีวิตอีก เมื่อนับดูแล้วคงเป็นเรื่องในห้าสิบปีหลังจากนี้

เสวียนตูกวันในตอนนั้น แม้จะเจริญรุ่งเรืองมากแต่ก็ยังไม่เชี่ยวชาญเท่าในปัจจุบัน เสวียนเฟยผู้นั้นผลักดันชื่อเสียงไปถึงจุดสูงสุด แต่ก็เป็นผู้ทำลายมรดกอันเก่าแก่หลายร้อยปีไปด้วย

นางบอกกับหยางชูว่าเสวียนตูกวันเป็นศัตรูกับท่านอาจารย์ แต่หากถามตัวเองนางก็ไม่ได้จงเกลียดจงชังเสวียนตูกวันแต่อย่างใด ความแค้นเก่าได้รับการสะสางไปแล้ว ผู้คนก็เปลี่ยนไปเสวียนตูกวันเป็นอย่างไรล้วนไม่เกี่ยวกับนางเลยสักนิด

แต่หากทำให้เสวียนเฟยได้รับตำแหน่งราชครูได้นางจะมีความสุขมาก

คนผู้นี้มีอิทธิพลโดยตรงต่อโชคชะตาของฉีเหนือ หากเขาไม่ได้สร้างความปั่นป่วนก็คงไม่เกิดความวุ่นวายได้เร็วเพียงนั้น

หลักสัจธรรมไม่สำคัญ ผู้คนถูกแบ่งเป็นระดับชั้นต่างๆ ที่มากมายหลากหลาย แม้เสวียนตูกวันจะจัดพิธีกรรม แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเข้าได้ ประชาชนธรรมดาสามารถชมได้จากด้านนอกเท่านั้นส่วนด้านในหากมีเงินมากพอก็เข้ามาได้ มีเพียงชนชั้นสูงเท่านั้นที่สามารถเป็นแขกของที่นี่ได้

นายท่านจี้ได้เลื่อนขั้นและไม่ได้ขาดแคลนเรื่องเงินอะไร ท่านจึงควักเงินบริจาคให้ทุกคนในครอบครัวได้เข้าร่วมพิธี เมื่อเข้ามาด้านในก็มีองครักษ์นางหนึ่งเข้ามาขวาง

“ไม่ทราบว่าท่านคือใต้เท้าจี้ชูใช่หรือไม่ขอรับ”

นายท่านจี้พยักหน้า “ใช่ มีอะไรงั้นหรือ”

องครักษ์ยิ้ม “เราได้จัดที่นั่งด้านหน้าให้ครอบครัวของท่านแล้วเชิญตามข้าน้อยมาขอรับ”

นายท่านจี้ถามด้วยความประหลาดใจ “ด้านหน้าหมายถึง…”

“หอเหวินเต้าขอรับ”

ทุกคนในตระกูลจี้ตกใจ หอเหวินเต้าคือสถานที่จัดพิธีกรรมซึ่งเป็นที่นั่งชั้นพิเศษ หากเป็นช่วงเวลาอื่นคงไม่เป็นไร แต่วันนี้ฮ่องเต้เสด็จมาที่นี่หากไปที่นั่งชั้นพิเศษก็จะได้พบพระพักตร์ฝ่าบาทงั้นหรือ

“พวกเราจะไปที่นั่นได้อย่างไรเกิดความเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า”

องครักษ์ยิ้มแต่ไม่ตอบอะไรเขาเพียงพูดออกไปว่า “ตามข้าน้อยมาขอรับ”

จี้เสียวอู่หมดความอดทนเขาพูดโพล่งออกไปว่า “ไปกันได้แล้ว! ได้ที่นั่งพวกเรายังไม่ไปอีก ที่นั่งถูกๆ แบบนั้นจะมาให้พวกเราได้อย่างไรไม่ผิดหรอก”

ตระกูลจี้ทุกคนคิดตามก็รู้สึกว่ามีเหตุผลแล้วเดินไปทั้งๆ ที่ยังตกใจไม่หาย

จี้เสียวอู่ก้มหน้าสะกิดหมิงเวย “เป็นฝีมือคนผู้นั้นอีกแล้วใช่หรือไม่”

หมิงเวยเหลือบมองเขา “พี่ห้าพูดอะไร ผู้ใดกันหรือ ข้าไม่เข้าใจ”

จี้เสียวอู่เบะปาก “อย่ามาไม้นี้! นอกจากคนแซ่หยางผู้นั้นจะมีใครได้อีก”

หมิงเวยหัวเราะ “ท่านไม่ได้ทำงานให้หวงเฉิงซือหรอกหรือ เขาก็เหมือนเจ้านายของท่าน! เรียกเจ้านายตนเองเช่นนั้นจะดีหรือ”

จี้เสียวอู่แค่นหัวเราะ “หยุดพูดเรื่องนี้เถอะ ข้าถามจริงๆ พวกเจ้าทำเช่นนี้สนุกนักหรืออย่างไร”

“สนุกอะไรหรือ”

เส้นเลือดปูดขึ้นบนหน้าผากของจี้เสียวอู่เขาถามเสียงกระซิบ “เมื่อไหร่เจ้าจะถอนหมั้นเสียที”

หมิงเวยกะพริบตา “พี่ห้าไม่ต้องการข้าหรือ ข้ามีตรงไหนไม่คู่ควรกับท่านกันถึงต้องบังคับให้ข้าถอนหมั้นด้วย ช่างโหดร้ายมาก!”

จี้เสียวอู่อยากจะฉีกหน้ากากนางออกมา “มากเกินไปแล้ว!”

หมิงเวยยิ้มตาหยี “ข้าคิดว่าไม่ถอนหมั้นคงดีกว่า พี่ห้าลองคิดดูสิข้ามีดีใช่หรือไม่ เรียนก็เก่งกว่าท่าน ความสามารถเก่งกว่าท่าน เหตุใดท่านต้องไม่ชอบข้าด้วย แต่งกับผู้อื่นก็ไม่มีผู้ใดดีไปกว่าข้าจริงหรือไม่”

จี้เสียวอู่ตะลึงกับสิ่งที่นางพูด “ก็…มีเหตุผลอยู่นิดหน่อย”

“ถ้าเช่นนั้นท่านแต่งงานกับข้าไม่มีอะไรไม่ดี ถูกหรือไม่”

จี้เสียวอู่กลอกตา “พอสักที! ข้าไม่สามารถยอมรับเจ้าที่เป็นเช่นนี้ได้หรอก คนแซ่หยางผู้นั้นไม่ได้ปรารถนาในตัวเจ้ามาตลอดงั้นหรือ พวกเจ้ารีบแก้ไขเรื่องนี้ให้เสร็จเสียที ควรถอนก็รีบถอน ควรพูดก็รีบพูด ไม่อย่างนั้นท่านพ่อท่านแม่คงให้เจ้ามาสั่งสอนข้า…”

หมิงเวยพูดอย่างเฉยเมย “พี่ห้าไม่ควรกล่าวหาข้า ข้ากับเขาไม่ได้เป็นอะไรกัน”

จี้เสียวอู่ประหลาดใจ “ไม่เป็นอะไรกัน แต่เขามาหาเจ้าทุกวัน…”

“แล้วอย่างไร”

จี้เสียวอู่พูดด้วยความสัตย์จริง “มันไม่ดีเลยที่เจ้าเล่นกับความรู้สึกของผู้อื่นเช่นนี้ ถึงข้าจะไม่ชอบเขามากแค่ไหน แต่กับเจ้าเขาก็…”

หมิงเวยยิ้ม “ท่านเข้าใจถึงการเล่นกับความรู้สึกของผู้อื่นด้วยหรือ! หรือว่าพี่ห้าก็เล่นกับความรู้สึกของข้าด้วย”

“….” จี้เสียวอู่คำราม “เสี่ยวชี พอได้แล้ว!”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายโกรธมากหมิงเวยจึงหุบยิ้ม “พี่ห้า ท่านไม่คิดที่จะแต่งงานในตอนนี้ ข้าก็ไม่คิดที่จะออกเรือนเช่นกัน พวกเราก็ถูไถกันไปก่อน ว่าอย่างไร ข้าเข้าใจความคิดของท่าน แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะพูดถึงเรื่องนี้ เขามีปัญหามากมายที่ต้องแก้ไข ข้าเองก็มีหลายอย่างที่ต้องทำคงไม่สมเหตุสมผลที่จะพูดถึงเรื่องนี้ในตอนนี้ ท่านเข้าใจหรือไม่” จี้เสียวอู่งงงวยเขาไม่เข้าใจ

ไม่เข้าใจไม่เป็นไรหมิงเวยตบไหล่เขา “อย่างไรก็ตามข้าไม่สามารถถอนหมั้นได้ หากพี่ห้าต้องการถอนหมั้น ท่านไปพูดกับท่านลุงด้วยตนเองเถอะ!”

“นี่เจ้า!” จี้เสียวอู่โกรธมากหากเขากล้าพูดออกไปคงไม่อาจรักษาขาของตนเองไว้ได้ หมิงเวยยิ้มให้เขาแล้วเดินนำหน้าไป

ก่อนที่จะได้พบกับจี้เสียวอู่ นางวางแผนเรื่องถอนหมั้นไว้แล้ว แต่เมื่อได้พบจี้เสียวอู่จริงๆ นางคิดว่าไม่ถอนหมั้นก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร สัญญาหมั้นหมายนี้ช่วยอะไรได้มากมายเลยทีเดียว!

…………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

คู่ชะตาบันดาลรัก 228 เสวียนตู

Now you are reading คู่ชะตาบันดาลรัก Chapter 228 เสวียนตู at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

วันที่เก้าเดือนเก้า เทศกาลฉงหยางรถม้าวิ่งบนถนนมากมาย ผู้คนนับร้อยจำนวนนับไม่ถ้วนแห่กันไปที่เสวียนตูกวัน

ตระกูลจี้แบ่งรถม้าออกเป็นสามคันเดินทางออกนอกเมืองพร้อมกับฝูงชน

หมิงเวยนั่งฟังการสนทนาเรื่องขอพรระหว่างจี้ฮูหยินกับสะใภ้ใหญ่อยู่ในรถม้า สติของนางไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ด้วยความที่รถม้ามีจำนวนมากเกินไปจึงเคลื่อนๆ หยุดๆ ผ่านไปนานกว่าจะใกล้ถึงบริเวณใกล้เคียงกับเสวียนตูกวัน

ทันทีที่พวกเขาลงจากรถก็ได้ยินเสียงแส้จากท้องถนนกับกองกำลังรักษาพระองค์กลุ่มเล็กที่เดินไปๆ มาๆ เหมือนสั่งการอะไรสักอย่าง หมิงเวยไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สีหน้าของนายท่านจี้กับจี้ฮูหยินดูเป็นกังวล

“เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” นางถาม

จี้หลิงระงับความตื่นเต้นแล้วตอบไปว่า “รถม้าพระที่นั่งจะเสด็จมาที่เสวียนตูกวัน”

หมิงเวยตกใจ “ไม่มีพระราชโองการล่วงหน้าหรือเจ้าคะ”

นายท่านจี้ลูบเคราพลางพูดว่า “ฝ่าบาทมักจะเสด็จโดยเรียบง่าย หากต้องประกาศราชโองการก่อนสิ่งที่ต้องเตรียมตัวค่อนข้างมากพระองค์ไม่ต้องการความยุ่งยาก”

หมิงเวยพยักหน้า “เป็นเช่นนี้นี่เอง”

จี้หลิงตอบ “ฝ่าบาทไม่เสด็จออกจากพระราชวังมานานแล้ว เหตุใดจู่ๆ วันนี้ถึงออกมาร่วมพิธีกันได้ เสวียนตูกวันช่างยิ่งใหญ่จริงๆ!”

จี้เสียวอู่พูดต่ออย่างไร้ชีวิตชีวา “ตำแหน่งเจ้าสำนักเสวียนตูกวันว่างมาหนึ่งปีแล้ว ถึงเวลาที่ต้องแต่งตั้งเจ้าสำนักคนใหม่ คิดว่าคงเป็นเพราะเรื่องนี้ฝ่าบาทถึงเสด็จมาด้วยตนเอง”

ตั้งแต่เขาได้รับตำแหน่งและถูกบังคับให้เข้าทำงานราชการ ความคิดของทุกคนในตระกูลก็เป็นเช่นนี้ หากมีตำแหน่งทางราชการไม่ทำงานไม่ได้ไม่อย่างนั้นก็เป็นคนไร้ความสามารถถึงแม้ขุนนางอิสระก็เป็นคนไร้ความสามารถก็เถอะ…

แม้จี้เสียวอู่จะลอยชาย แต่เขาก็เป็นคนตระกูลจี้ ปากบอกไม่ต้องการไป แต่เขาก็ไปช่วยงานหวงเฉิงซือเป็นครั้งคราวดังนั้นเขาจึงทราบข่าวคราวนี้มากกว่าผู้อื่น

ถนนใหญ่ถูกเปิดทางให้อย่างรวดเร็วเมื่อกองกำลังรักษาพระองค์เปิดทางให้ แล้วรถม้าก็เคลื่อนที่มาช้าๆ ถึงบอกว่าเป็นการเสด็จส่วนพระองค์ แต่การเสด็จของฮ่องเต้จะไปง่ายได้อย่างไรหลังจากรอเกือบครึ่งชั่วยามรถม้าพระที่นั่งก็เดินทางเข้าไปในเสวียนตูกวัน

หมิงเวยพบมุมอับสายตานางเงยหน้าต้อนรับขบวนเสด็จเงียบๆ แต่เมื่อม่านรถม้าเลิกขึ้นเล็กน้อยทำให้มองเห็นเงาร่างหนึ่งซึ่งมองไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง นับประสาอะไรกับรูปร่างหน้าตา

รถม้าพระที่นั่งผ่านไปสักพักบนถนนก็เปิดให้แล่นผ่านไปได้อีกครั้ง นางและทุกคนในตระกูลจี้เดินเข้าไปในเสวียนตูกวัน นางเคยติดตามท่านอาจารย์เข้ามาในวัดอารามแห่งนี้ แต่ครั้งนั้นนางไม่ได้มาเข้าร่วมพิธีอะไร แต่มาเพื่อท้าประลอง

หมิงเวยนึกถึงเรื่องเก่าๆ นางก็เบะปาก

ท่านอาจารย์ดูเป็นคนใจดี แต่จริงๆ แล้วเป็นคนที่อารมณ์แข็งกร้าว เพราะเสวียนตูกวันทำให้อาจารย์ของท่านอาจารย์เสียใจ ท่านอาจารย์จึงพานางมาท้าประลอง

ครั้งนั้นเสวียนตูกวันถูกพวกเขาอาจารย์และลูกศิษย์ไม่ไว้หน้าจนไม่มีผู้ใดสงสัยนามของปรมาจารย์แห่งชีวิตอีก เมื่อนับดูแล้วคงเป็นเรื่องในห้าสิบปีหลังจากนี้

เสวียนตูกวันในตอนนั้น แม้จะเจริญรุ่งเรืองมากแต่ก็ยังไม่เชี่ยวชาญเท่าในปัจจุบัน เสวียนเฟยผู้นั้นผลักดันชื่อเสียงไปถึงจุดสูงสุด แต่ก็เป็นผู้ทำลายมรดกอันเก่าแก่หลายร้อยปีไปด้วย

นางบอกกับหยางชูว่าเสวียนตูกวันเป็นศัตรูกับท่านอาจารย์ แต่หากถามตัวเองนางก็ไม่ได้จงเกลียดจงชังเสวียนตูกวันแต่อย่างใด ความแค้นเก่าได้รับการสะสางไปแล้ว ผู้คนก็เปลี่ยนไปเสวียนตูกวันเป็นอย่างไรล้วนไม่เกี่ยวกับนางเลยสักนิด

แต่หากทำให้เสวียนเฟยได้รับตำแหน่งราชครูได้นางจะมีความสุขมาก

คนผู้นี้มีอิทธิพลโดยตรงต่อโชคชะตาของฉีเหนือ หากเขาไม่ได้สร้างความปั่นป่วนก็คงไม่เกิดความวุ่นวายได้เร็วเพียงนั้น

หลักสัจธรรมไม่สำคัญ ผู้คนถูกแบ่งเป็นระดับชั้นต่างๆ ที่มากมายหลากหลาย แม้เสวียนตูกวันจะจัดพิธีกรรม แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเข้าได้ ประชาชนธรรมดาสามารถชมได้จากด้านนอกเท่านั้นส่วนด้านในหากมีเงินมากพอก็เข้ามาได้ มีเพียงชนชั้นสูงเท่านั้นที่สามารถเป็นแขกของที่นี่ได้

นายท่านจี้ได้เลื่อนขั้นและไม่ได้ขาดแคลนเรื่องเงินอะไร ท่านจึงควักเงินบริจาคให้ทุกคนในครอบครัวได้เข้าร่วมพิธี เมื่อเข้ามาด้านในก็มีองครักษ์นางหนึ่งเข้ามาขวาง

“ไม่ทราบว่าท่านคือใต้เท้าจี้ชูใช่หรือไม่ขอรับ”

นายท่านจี้พยักหน้า “ใช่ มีอะไรงั้นหรือ”

องครักษ์ยิ้ม “เราได้จัดที่นั่งด้านหน้าให้ครอบครัวของท่านแล้วเชิญตามข้าน้อยมาขอรับ”

นายท่านจี้ถามด้วยความประหลาดใจ “ด้านหน้าหมายถึง…”

“หอเหวินเต้าขอรับ”

ทุกคนในตระกูลจี้ตกใจ หอเหวินเต้าคือสถานที่จัดพิธีกรรมซึ่งเป็นที่นั่งชั้นพิเศษ หากเป็นช่วงเวลาอื่นคงไม่เป็นไร แต่วันนี้ฮ่องเต้เสด็จมาที่นี่หากไปที่นั่งชั้นพิเศษก็จะได้พบพระพักตร์ฝ่าบาทงั้นหรือ

“พวกเราจะไปที่นั่นได้อย่างไรเกิดความเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า”

องครักษ์ยิ้มแต่ไม่ตอบอะไรเขาเพียงพูดออกไปว่า “ตามข้าน้อยมาขอรับ”

จี้เสียวอู่หมดความอดทนเขาพูดโพล่งออกไปว่า “ไปกันได้แล้ว! ได้ที่นั่งพวกเรายังไม่ไปอีก ที่นั่งถูกๆ แบบนั้นจะมาให้พวกเราได้อย่างไรไม่ผิดหรอก”

ตระกูลจี้ทุกคนคิดตามก็รู้สึกว่ามีเหตุผลแล้วเดินไปทั้งๆ ที่ยังตกใจไม่หาย

จี้เสียวอู่ก้มหน้าสะกิดหมิงเวย “เป็นฝีมือคนผู้นั้นอีกแล้วใช่หรือไม่”

หมิงเวยเหลือบมองเขา “พี่ห้าพูดอะไร ผู้ใดกันหรือ ข้าไม่เข้าใจ”

จี้เสียวอู่เบะปาก “อย่ามาไม้นี้! นอกจากคนแซ่หยางผู้นั้นจะมีใครได้อีก”

หมิงเวยหัวเราะ “ท่านไม่ได้ทำงานให้หวงเฉิงซือหรอกหรือ เขาก็เหมือนเจ้านายของท่าน! เรียกเจ้านายตนเองเช่นนั้นจะดีหรือ”

จี้เสียวอู่แค่นหัวเราะ “หยุดพูดเรื่องนี้เถอะ ข้าถามจริงๆ พวกเจ้าทำเช่นนี้สนุกนักหรืออย่างไร”

“สนุกอะไรหรือ”

เส้นเลือดปูดขึ้นบนหน้าผากของจี้เสียวอู่เขาถามเสียงกระซิบ “เมื่อไหร่เจ้าจะถอนหมั้นเสียที”

หมิงเวยกะพริบตา “พี่ห้าไม่ต้องการข้าหรือ ข้ามีตรงไหนไม่คู่ควรกับท่านกันถึงต้องบังคับให้ข้าถอนหมั้นด้วย ช่างโหดร้ายมาก!”

จี้เสียวอู่อยากจะฉีกหน้ากากนางออกมา “มากเกินไปแล้ว!”

หมิงเวยยิ้มตาหยี “ข้าคิดว่าไม่ถอนหมั้นคงดีกว่า พี่ห้าลองคิดดูสิข้ามีดีใช่หรือไม่ เรียนก็เก่งกว่าท่าน ความสามารถเก่งกว่าท่าน เหตุใดท่านต้องไม่ชอบข้าด้วย แต่งกับผู้อื่นก็ไม่มีผู้ใดดีไปกว่าข้าจริงหรือไม่”

จี้เสียวอู่ตะลึงกับสิ่งที่นางพูด “ก็…มีเหตุผลอยู่นิดหน่อย”

“ถ้าเช่นนั้นท่านแต่งงานกับข้าไม่มีอะไรไม่ดี ถูกหรือไม่”

จี้เสียวอู่กลอกตา “พอสักที! ข้าไม่สามารถยอมรับเจ้าที่เป็นเช่นนี้ได้หรอก คนแซ่หยางผู้นั้นไม่ได้ปรารถนาในตัวเจ้ามาตลอดงั้นหรือ พวกเจ้ารีบแก้ไขเรื่องนี้ให้เสร็จเสียที ควรถอนก็รีบถอน ควรพูดก็รีบพูด ไม่อย่างนั้นท่านพ่อท่านแม่คงให้เจ้ามาสั่งสอนข้า…”

หมิงเวยพูดอย่างเฉยเมย “พี่ห้าไม่ควรกล่าวหาข้า ข้ากับเขาไม่ได้เป็นอะไรกัน”

จี้เสียวอู่ประหลาดใจ “ไม่เป็นอะไรกัน แต่เขามาหาเจ้าทุกวัน…”

“แล้วอย่างไร”

จี้เสียวอู่พูดด้วยความสัตย์จริง “มันไม่ดีเลยที่เจ้าเล่นกับความรู้สึกของผู้อื่นเช่นนี้ ถึงข้าจะไม่ชอบเขามากแค่ไหน แต่กับเจ้าเขาก็…”

หมิงเวยยิ้ม “ท่านเข้าใจถึงการเล่นกับความรู้สึกของผู้อื่นด้วยหรือ! หรือว่าพี่ห้าก็เล่นกับความรู้สึกของข้าด้วย”

“….” จี้เสียวอู่คำราม “เสี่ยวชี พอได้แล้ว!”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายโกรธมากหมิงเวยจึงหุบยิ้ม “พี่ห้า ท่านไม่คิดที่จะแต่งงานในตอนนี้ ข้าก็ไม่คิดที่จะออกเรือนเช่นกัน พวกเราก็ถูไถกันไปก่อน ว่าอย่างไร ข้าเข้าใจความคิดของท่าน แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะพูดถึงเรื่องนี้ เขามีปัญหามากมายที่ต้องแก้ไข ข้าเองก็มีหลายอย่างที่ต้องทำคงไม่สมเหตุสมผลที่จะพูดถึงเรื่องนี้ในตอนนี้ ท่านเข้าใจหรือไม่” จี้เสียวอู่งงงวยเขาไม่เข้าใจ

ไม่เข้าใจไม่เป็นไรหมิงเวยตบไหล่เขา “อย่างไรก็ตามข้าไม่สามารถถอนหมั้นได้ หากพี่ห้าต้องการถอนหมั้น ท่านไปพูดกับท่านลุงด้วยตนเองเถอะ!”

“นี่เจ้า!” จี้เสียวอู่โกรธมากหากเขากล้าพูดออกไปคงไม่อาจรักษาขาของตนเองไว้ได้ หมิงเวยยิ้มให้เขาแล้วเดินนำหน้าไป

ก่อนที่จะได้พบกับจี้เสียวอู่ นางวางแผนเรื่องถอนหมั้นไว้แล้ว แต่เมื่อได้พบจี้เสียวอู่จริงๆ นางคิดว่าไม่ถอนหมั้นก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร สัญญาหมั้นหมายนี้ช่วยอะไรได้มากมายเลยทีเดียว!

…………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+