คู่ชะตาบันดาลรัก 233 ผ่านด่าน

Now you are reading คู่ชะตาบันดาลรัก Chapter 233 ผ่านด่าน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของเขาก็มีคนบ่นขึ้นมาว่า “เหตุใดถึงดูคุ้นเคยขนาดนั้น”

บุตรชายของเขาพูดขึ้นมาว่า “ท่านพ่อ นั่นไม่ใช่เขย่าลูกเต๋าหรือ”

อีกฝ่ายตกใจ “จริงด้วย!”

คำพูดนั้นทำให้ผู้เป็นฮูหยินจ้องเขม็ง “พวกเจ้าไปเล่นพนันมาหรือ”

ฮ่องเต้เห็นดังนั้นก็หุบยิ้ม “เด็กคนนี้นี่ หลายปีมานี้ไปขลุกอยู่กับอะไรแบบนั้นงั้นหรือ”

เผยกุ้ยเฟยเม้มปากแล้วหัวเราะ “เขาชื่นชอบการก่อเรื่อง”

เจียงเชิ่งเลิกคิ้วหลังจากคิดซ้ำไปซ้ำมาเขาก็พูดขึ้นมาว่า “เสด็จพ่อ น้องสามเป็นผู้ใหญ่แล้วยังก่อเรื่องเช่นนี้อีกดูไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไร…”

ฮ่องเต้ไม่ใส่ใจ “มีผู้ใดบ้างที่ไม่เคยผ่านช่วงนี้มาตอนเจิ้นยังเด็กก็เคยทำเรื่องไร้สาระเหมือนกัน”

พูดถึงเรื่องนี้เผยกุ้ยเฟยก็หัวเราะขึ้นมา “ฝ่าบาทในตอนนั้นเคยทะเลาะกับเวินกั๋วกงซื่อจื่อที่เจ๋อกุ้ยโหลว วีรกรรมในครั้งนั้นเป็นที่จดจำของผู้อาวุโสทั้งหลาย”

ฮ่องเต้หัวเราะ “สนมรักยังจำเรื่องนี้ได้ ยี่สิบปีนี่ผ่านไปเร็วจริงๆ”

“นั่นเป็นครั้งแรกที่หม่อมฉันได้พบฝ่าบาทจะจำไม่ได้ได้อย่างไรกันเพคะ”

คำพูดนั้นทำให้ฮ่องเต้ส่งยิ้มอบอุ่นให้กับนางทั้งสองมองหน้ากันด้วยความเสน่หา เจียงเชิ่งเห็นฉากนั้นก็กัดฟันแน่น

สิ่งที่เสด็จแม่พูดมานั้นถูกต้อง หากเขาชอบจะอะไรก็ดีไปหมดทุกอย่าง แม้แต่เรื่องไร้สาระก็กลายเป็นเหมือนเขาไปแล้ว

ทางด้านหยางชูนำกว้าถ่งกลับวางบนหินเหมือนเดิม เขากวาดสายตามองทุกคน “ข้าเปิดล่ะ!” แค่ประโยคเดียวดูราวกับลุ้นผลได้เสีย

หมิงเวยหุบยิ้ม การพยากรณ์โชคชะตาถูกเขาทำให้กลายเป็นการพนันไปได้ น่าขายหน้าจริงๆ

ผู้อาวุโสยิ้มแล้วผายมือ “เชิญคุณชายขอรับ”

หยางชูเปิดกว้าถ่งอย่างคล่องแคล่วและเหรียญทองแดงทั้งเจ็ดก็เปิดออกทีละอัน ผู้อาวุโสหยิบเหรียญทองแดงปากว้าออกจากอกเสื้อแล้วโยนให้เขา “ยินดีด้วยคุณชายผ่านด่านแรกแล้ว”

ทุกคนถอนหายใจโดยพร้อมเพรียงกัน บางคนตื่นเต้น บางคนเสียดาย บางคนกระตือรือร้นที่จะลอง

ที่แท้ต้องทำเช่นนี้! การเขย่าลูกเต๋าไม่มีอะไรมากไปกว่าการฟังเสียงเพื่อแยกแยะตัวเลข สำหรับผู้ที่ฝึกฝนวรยุทธ์หากพิจารณาดีๆ ก็สามารถทำได้

เหรียญทองแดงเจ็ดเหรียญถูกใส่เข้าไปในกว้าถ่งอีกครั้ง และก็มีคนพูดขึ้นมาว่า “ข้าเอง!”

เหล่าคุณชายทั้งหลายล้อมรอบผู้อาวุโส แต่เหล่าผู้เข้าแข่งขันหลักกลับยืนอยู่ด้านนอกเงียบๆ รอให้พวกเขาทดสอบเสร็จก่อนแล้วค่อยตามไป

จวินโม่หลีเห็นภาพนี้ก็รู้สึกไม่สบายใจ “พวกเขาตั้งใจมาสร้างปัญหาหรือไม่ การแข่งคัดเลือกเจ้าสำนักกลายเป็นเช่นนี้ไม่เหมาะสมเสียเลย!”

เดิมทีเขาเป็นแค่ผู้เฝ้าดู แต่เมื่อหยางชูเสนอขึ้นมาว่าอนุญาตให้ศิษย์คนอื่นเข้าร่วมการแข่งได้ มีศิษย์คนหนึ่งที่สนิทสนมกับอวี้หยางเดินออกไป จวินโม่หลีเห็นดังนั้นก็รีบตามไปด้วย หากอีกฝ่ายใช้ประโยชน์จากความวุ่นวาย ศิษย์พี่ของเขาจะไม่ตกที่นั่งลำบากหรือ

เสวียนเฟยหัวเราะ “อย่าใจร้อนนักเลย” เขาเองก็รู้สึกสับสนเล็กน้อยไม่เข้าใจเจตนาของหยางชู หากเขาเล็งเป้าหมายมาที่ตน เขาไม่คิดไม่ใส่ใจมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว หรือเขาต้องการแค่ไม้บรรเทาจิตใจจริงๆ หรือ

เหตุใดถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาควรทำท่าทีสงบไว้ก่อนจะดีกว่า

อวี้หยางกับพวกเขาอยู่ห่างกันหนึ่งจั้งคล้ายกับว่าจะตักเตือนบางอย่าง “ศิษย์น้องจวิน การแข่งขันครั้งนี้ฝ่าบาทเป็นคนออกคำสั่งเจ้าควรระมัดระวังคำพูดหน่อย หลีกเลี่ยงการหาเรื่องใส่ตัวจะดีกว่า”

จวินโม่หลีแค่นหัวเราะ “ที่ศิษย์พี่อวี้หยางตักเตือนมาก็ถูกข้าไม่เหมือนท่าน ขบคิดเรื่องนี้อยู่ทั้งวันเพราะกลัวว่าจะไปทำให้ใครขุ่นเคืองเข้าได้”

อวี้หยางขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ศิษย์น้องที่อยู่ข้างกายตนตะโกนออกไปว่า “จวินโม่หลี เจ้าทำตัวเช่นนี้ต่อหน้าศิษย์พี่ลำดับผู้อาวุโส นี่เจ้าไม่รู้มารยาทงั้นหรือ”

จวินโม่หลีกลอกตาไม่คิดเสวนากับเขาทำให้อีกฝ่ายโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

โชคดีที่อวี้หยางห้ามทัพได้ทัน “ศิษย์น้องจวินเป็นคนตรงไปตรงมาเสมอ เขาไม่มีเจตนาไม่ดี เจ้าอย่าไปโต้เถียงกับเขาเลย”

จวินโม่หลีแค่นหัวเราะไม่หยุด เสแสร้ง ช่างเสแสร้งจริงๆ! ไม่แปลกใจจริงๆ ที่อาจารย์ลุง อาจารย์อาทั้งหลายจะโดนเขาหลอกมาดูกันว่าเขาจะเสแสร้งได้นานแค่ไหนกัน!

หมิงเวยเห็นฉากนั้นก็คิดในใจ เดิมทีนางคิดว่าหากสามารถหยุดยั้งได้ก็ทำให้เสวียนเฟยไม่ได้ขึ้นเป็นเจ้าสำนัก แต่ดูแล้วอวี้หยางผู้นี้ก็ไม่ได้ดีไปกว่าอีกฝ่ายเท่าไร

ตอนที่เขาคุยกับจวินโม่หลีเมื่อครู่ แขนเสื้อของเขาขยับเผยให้เห็นไอสังหาร เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีเจตนาฆ่าอย่างชัดเจน หากมีเจตนาฆ่าศิษย์น้องร่วมสำนักตนเองจะเป็นคนดีได้อย่างไร

แม้ว่าจวินโม่หลีจะมีบุคลิกหุนหันพลันแล่น ชอบทำตัวโดดเด่นและไม่มีเหตุผลเล็กน้อย แต่การเผชิญหน้าไม่กี่ครั้งนี้นางก็พอเข้าใจนิสัยของเขาได้ เขามีอุบายที่ไม่ลึกซึ้งและมีจิตใจที่กล้าหาญ หากทำให้จวินโม่หลีเกลียดชังขนาดนี้ ต้องมีอะไรบางอย่างซ่อนไว้เป็นแน่ เพราะเวลาที่มีไม่มากไม่เช่นนั้นนางคงสำรวจรายละเอียดของอวี้หยางได้มากกว่านี้

เมื่อมีตัวอย่างจากหยางชูใช้เวลาไม่นานก็มีคนผ่านด่านแรกไปแล้วห้าคน

คนที่เหลือส่วนใหญ่ไม่เคยฝึกวรยุทธ์มาก่อนจึงได้แต่ฝืนลองไป

ดวงของสองคนในนั้นไม่เลวเลย ผู้อาวุโสเองก็ไม่ได้ว่าอะไร เขามอบเหรียญทองแดงให้พวกเขาทุกคน

เมื่อเห็นว่าคนอื่นโยนเสร็จแล้วหมิงเวยยิ้มแล้วผลักจี้เสียวอู่ “พี่ห้า ถึงตาท่านแล้ว”

จี้เสียวอู่สับสนเล็กน้อย “ข้าทำได้หรือ”

“ท่านพยากรณ์โชคชะตาได้มิใช่หรือ” หมิงเวยยิ้มแล้วยัดผ้าเช็ดหน้าใส่มือ “วางใจเถอะ”

จี้เสียวอู่ยืนอยู่ตรงหน้าผู้อาวุโสเขาใช้ผ้าเช็ดหน้าของนางเช็ดเหงื่อแล้วคารวะอีกฝ่าย “ท่านนักพรต ข้าน้อยอยากลองดูขอรับ”

ผู้อาวุโสมองผ้าเช็ดหน้าของเขาแล้วพยักหน้า “คุณชาย เชิญ”

จี้เสียวอู่ยกกว้าถ่งขึ้นมา ตั้งสมาธิ นึกถึงขั้นตอนของการทำนายดวงชะตาที่ตัวฝูสอนมา เขาตั้งจิตไปที่กว้าถ่งจดจ่อกับการถ่ายพลัง

เสวียนเฟยและคนอื่นๆ ที่เฝ้าดูอยู่ห่างๆ เห็นฉากนี้พวกเขาต่างก็แสดงความประหลาดใจและจ้องมองไปที่จี้เสียวอู่

คนที่ผ่านด่านนี้มีมากมายซึ่งคนก่อนหน้านั้นใช้วิธีเขย่าลูกเต๋า สองคนหลังรู้วิชาทำนายเล็กน้อยแต่ผ่านด่านไปได้เพราะโชคช่วย ในทางกลับกันจี้เสียวอู่รวบรวมพลังและตั้งสมาธิ นี่คือการทำนายโชคชะตาด้วยเคล็ดวิชาที่แท้จริง

นี่เป็นคนในแวดวงที่รู้เคล็ดวิชาอย่างลึกซึ้ง! แต่ดูจากท่าทางของเขาน่าจะเป็นผู้เริ่มเรียนไม่น่าจะผ่านด่านนี้ไปได้หรือเปล่า

ต้องเข้าใจว่าจุดสำคัญของด่านนี้คือการทำนายที่ผิด เขาเป็นผู้เริ่มเรียนเบื้องต้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำนายได้อย่างแม่นยำ ยิ่งไปกว่านั้นการทำนายกว้าที่เฉพาะเจาะจงจำเป็นต้อง…

ทั้งสี่คนยังไม่ทันได้คาดเดาจบ จี้เสียวอู่ก็เปิดกว้าถ่งเสียแล้ว ผู้อาวุโสมองดูจากนั้นก็ยื่นเหรียญทองแดงให้แก่เขา “ยินดีด้วยคุณชาย”

จี้เสียวอู่โล่งใจและหยิบเหรียญทองแดง “ขอบคุณท่านนักพรตขอรับ”

จวินโม่หลีรู้สึกประหลาดใจ “เขาทำนายได้ด้วยหรือ” เสวียนเฟยและอวี้หยางเลิกคิ้วแต่ไม่พูดอะไร เรื่องนี้แน่นอนว่าต้องมีกลไกเพียงแต่ตอนนี้พวกเขายังมองไม่ออก เหตุผลอยู่ตรงไหนกัน

หมิงเวยมองพวกเขาแล้วถามออกไป “หากท่านนักพรตยังไม่แข่ง ถ้าอย่างนั้นข้าขอไปก่อนได้หรือไม่”

ครั้งนี้นางไม่ได้สวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้า เสื้อผ้าก็เปลี่ยนไป จวินโม่หลีจึงจำไม่ได้ เสวียนเฟยกลับมองนางอยู่นานแล้วเขาก็พยักหน้าช้าๆ

“เชิญแม่นางก่อนเลย”

หมิงเวยพยักหน้าด้วยรอยยิ้มแล้วเดินไปหยุดต่อหน้าผู้อาวุโส “คารวะท่านนักพรตเจ้าค่ะ”

ผู้อาวุโสลูบเคราแล้วถามออกไปเป็นครั้งแรกว่า “อาจารย์ของท่านมาจากสำนักใดหรือ”

หมิงเวยยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “เป็นแค่สำนักเล็กๆ ไม่มีอะไรให้น่าพูดถึงหรอกเจ้าค่ะ”

ผู้อาวุโสจ้องมองนางสักพักแล้วพยักหน้า “เชิญ”

…………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

คู่ชะตาบันดาลรัก 233 ผ่านด่าน

Now you are reading คู่ชะตาบันดาลรัก Chapter 233 ผ่านด่าน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของเขาก็มีคนบ่นขึ้นมาว่า “เหตุใดถึงดูคุ้นเคยขนาดนั้น”

บุตรชายของเขาพูดขึ้นมาว่า “ท่านพ่อ นั่นไม่ใช่เขย่าลูกเต๋าหรือ”

อีกฝ่ายตกใจ “จริงด้วย!”

คำพูดนั้นทำให้ผู้เป็นฮูหยินจ้องเขม็ง “พวกเจ้าไปเล่นพนันมาหรือ”

ฮ่องเต้เห็นดังนั้นก็หุบยิ้ม “เด็กคนนี้นี่ หลายปีมานี้ไปขลุกอยู่กับอะไรแบบนั้นงั้นหรือ”

เผยกุ้ยเฟยเม้มปากแล้วหัวเราะ “เขาชื่นชอบการก่อเรื่อง”

เจียงเชิ่งเลิกคิ้วหลังจากคิดซ้ำไปซ้ำมาเขาก็พูดขึ้นมาว่า “เสด็จพ่อ น้องสามเป็นผู้ใหญ่แล้วยังก่อเรื่องเช่นนี้อีกดูไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไร…”

ฮ่องเต้ไม่ใส่ใจ “มีผู้ใดบ้างที่ไม่เคยผ่านช่วงนี้มาตอนเจิ้นยังเด็กก็เคยทำเรื่องไร้สาระเหมือนกัน”

พูดถึงเรื่องนี้เผยกุ้ยเฟยก็หัวเราะขึ้นมา “ฝ่าบาทในตอนนั้นเคยทะเลาะกับเวินกั๋วกงซื่อจื่อที่เจ๋อกุ้ยโหลว วีรกรรมในครั้งนั้นเป็นที่จดจำของผู้อาวุโสทั้งหลาย”

ฮ่องเต้หัวเราะ “สนมรักยังจำเรื่องนี้ได้ ยี่สิบปีนี่ผ่านไปเร็วจริงๆ”

“นั่นเป็นครั้งแรกที่หม่อมฉันได้พบฝ่าบาทจะจำไม่ได้ได้อย่างไรกันเพคะ”

คำพูดนั้นทำให้ฮ่องเต้ส่งยิ้มอบอุ่นให้กับนางทั้งสองมองหน้ากันด้วยความเสน่หา เจียงเชิ่งเห็นฉากนั้นก็กัดฟันแน่น

สิ่งที่เสด็จแม่พูดมานั้นถูกต้อง หากเขาชอบจะอะไรก็ดีไปหมดทุกอย่าง แม้แต่เรื่องไร้สาระก็กลายเป็นเหมือนเขาไปแล้ว

ทางด้านหยางชูนำกว้าถ่งกลับวางบนหินเหมือนเดิม เขากวาดสายตามองทุกคน “ข้าเปิดล่ะ!” แค่ประโยคเดียวดูราวกับลุ้นผลได้เสีย

หมิงเวยหุบยิ้ม การพยากรณ์โชคชะตาถูกเขาทำให้กลายเป็นการพนันไปได้ น่าขายหน้าจริงๆ

ผู้อาวุโสยิ้มแล้วผายมือ “เชิญคุณชายขอรับ”

หยางชูเปิดกว้าถ่งอย่างคล่องแคล่วและเหรียญทองแดงทั้งเจ็ดก็เปิดออกทีละอัน ผู้อาวุโสหยิบเหรียญทองแดงปากว้าออกจากอกเสื้อแล้วโยนให้เขา “ยินดีด้วยคุณชายผ่านด่านแรกแล้ว”

ทุกคนถอนหายใจโดยพร้อมเพรียงกัน บางคนตื่นเต้น บางคนเสียดาย บางคนกระตือรือร้นที่จะลอง

ที่แท้ต้องทำเช่นนี้! การเขย่าลูกเต๋าไม่มีอะไรมากไปกว่าการฟังเสียงเพื่อแยกแยะตัวเลข สำหรับผู้ที่ฝึกฝนวรยุทธ์หากพิจารณาดีๆ ก็สามารถทำได้

เหรียญทองแดงเจ็ดเหรียญถูกใส่เข้าไปในกว้าถ่งอีกครั้ง และก็มีคนพูดขึ้นมาว่า “ข้าเอง!”

เหล่าคุณชายทั้งหลายล้อมรอบผู้อาวุโส แต่เหล่าผู้เข้าแข่งขันหลักกลับยืนอยู่ด้านนอกเงียบๆ รอให้พวกเขาทดสอบเสร็จก่อนแล้วค่อยตามไป

จวินโม่หลีเห็นภาพนี้ก็รู้สึกไม่สบายใจ “พวกเขาตั้งใจมาสร้างปัญหาหรือไม่ การแข่งคัดเลือกเจ้าสำนักกลายเป็นเช่นนี้ไม่เหมาะสมเสียเลย!”

เดิมทีเขาเป็นแค่ผู้เฝ้าดู แต่เมื่อหยางชูเสนอขึ้นมาว่าอนุญาตให้ศิษย์คนอื่นเข้าร่วมการแข่งได้ มีศิษย์คนหนึ่งที่สนิทสนมกับอวี้หยางเดินออกไป จวินโม่หลีเห็นดังนั้นก็รีบตามไปด้วย หากอีกฝ่ายใช้ประโยชน์จากความวุ่นวาย ศิษย์พี่ของเขาจะไม่ตกที่นั่งลำบากหรือ

เสวียนเฟยหัวเราะ “อย่าใจร้อนนักเลย” เขาเองก็รู้สึกสับสนเล็กน้อยไม่เข้าใจเจตนาของหยางชู หากเขาเล็งเป้าหมายมาที่ตน เขาไม่คิดไม่ใส่ใจมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว หรือเขาต้องการแค่ไม้บรรเทาจิตใจจริงๆ หรือ

เหตุใดถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาควรทำท่าทีสงบไว้ก่อนจะดีกว่า

อวี้หยางกับพวกเขาอยู่ห่างกันหนึ่งจั้งคล้ายกับว่าจะตักเตือนบางอย่าง “ศิษย์น้องจวิน การแข่งขันครั้งนี้ฝ่าบาทเป็นคนออกคำสั่งเจ้าควรระมัดระวังคำพูดหน่อย หลีกเลี่ยงการหาเรื่องใส่ตัวจะดีกว่า”

จวินโม่หลีแค่นหัวเราะ “ที่ศิษย์พี่อวี้หยางตักเตือนมาก็ถูกข้าไม่เหมือนท่าน ขบคิดเรื่องนี้อยู่ทั้งวันเพราะกลัวว่าจะไปทำให้ใครขุ่นเคืองเข้าได้”

อวี้หยางขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ศิษย์น้องที่อยู่ข้างกายตนตะโกนออกไปว่า “จวินโม่หลี เจ้าทำตัวเช่นนี้ต่อหน้าศิษย์พี่ลำดับผู้อาวุโส นี่เจ้าไม่รู้มารยาทงั้นหรือ”

จวินโม่หลีกลอกตาไม่คิดเสวนากับเขาทำให้อีกฝ่ายโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

โชคดีที่อวี้หยางห้ามทัพได้ทัน “ศิษย์น้องจวินเป็นคนตรงไปตรงมาเสมอ เขาไม่มีเจตนาไม่ดี เจ้าอย่าไปโต้เถียงกับเขาเลย”

จวินโม่หลีแค่นหัวเราะไม่หยุด เสแสร้ง ช่างเสแสร้งจริงๆ! ไม่แปลกใจจริงๆ ที่อาจารย์ลุง อาจารย์อาทั้งหลายจะโดนเขาหลอกมาดูกันว่าเขาจะเสแสร้งได้นานแค่ไหนกัน!

หมิงเวยเห็นฉากนั้นก็คิดในใจ เดิมทีนางคิดว่าหากสามารถหยุดยั้งได้ก็ทำให้เสวียนเฟยไม่ได้ขึ้นเป็นเจ้าสำนัก แต่ดูแล้วอวี้หยางผู้นี้ก็ไม่ได้ดีไปกว่าอีกฝ่ายเท่าไร

ตอนที่เขาคุยกับจวินโม่หลีเมื่อครู่ แขนเสื้อของเขาขยับเผยให้เห็นไอสังหาร เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีเจตนาฆ่าอย่างชัดเจน หากมีเจตนาฆ่าศิษย์น้องร่วมสำนักตนเองจะเป็นคนดีได้อย่างไร

แม้ว่าจวินโม่หลีจะมีบุคลิกหุนหันพลันแล่น ชอบทำตัวโดดเด่นและไม่มีเหตุผลเล็กน้อย แต่การเผชิญหน้าไม่กี่ครั้งนี้นางก็พอเข้าใจนิสัยของเขาได้ เขามีอุบายที่ไม่ลึกซึ้งและมีจิตใจที่กล้าหาญ หากทำให้จวินโม่หลีเกลียดชังขนาดนี้ ต้องมีอะไรบางอย่างซ่อนไว้เป็นแน่ เพราะเวลาที่มีไม่มากไม่เช่นนั้นนางคงสำรวจรายละเอียดของอวี้หยางได้มากกว่านี้

เมื่อมีตัวอย่างจากหยางชูใช้เวลาไม่นานก็มีคนผ่านด่านแรกไปแล้วห้าคน

คนที่เหลือส่วนใหญ่ไม่เคยฝึกวรยุทธ์มาก่อนจึงได้แต่ฝืนลองไป

ดวงของสองคนในนั้นไม่เลวเลย ผู้อาวุโสเองก็ไม่ได้ว่าอะไร เขามอบเหรียญทองแดงให้พวกเขาทุกคน

เมื่อเห็นว่าคนอื่นโยนเสร็จแล้วหมิงเวยยิ้มแล้วผลักจี้เสียวอู่ “พี่ห้า ถึงตาท่านแล้ว”

จี้เสียวอู่สับสนเล็กน้อย “ข้าทำได้หรือ”

“ท่านพยากรณ์โชคชะตาได้มิใช่หรือ” หมิงเวยยิ้มแล้วยัดผ้าเช็ดหน้าใส่มือ “วางใจเถอะ”

จี้เสียวอู่ยืนอยู่ตรงหน้าผู้อาวุโสเขาใช้ผ้าเช็ดหน้าของนางเช็ดเหงื่อแล้วคารวะอีกฝ่าย “ท่านนักพรต ข้าน้อยอยากลองดูขอรับ”

ผู้อาวุโสมองผ้าเช็ดหน้าของเขาแล้วพยักหน้า “คุณชาย เชิญ”

จี้เสียวอู่ยกกว้าถ่งขึ้นมา ตั้งสมาธิ นึกถึงขั้นตอนของการทำนายดวงชะตาที่ตัวฝูสอนมา เขาตั้งจิตไปที่กว้าถ่งจดจ่อกับการถ่ายพลัง

เสวียนเฟยและคนอื่นๆ ที่เฝ้าดูอยู่ห่างๆ เห็นฉากนี้พวกเขาต่างก็แสดงความประหลาดใจและจ้องมองไปที่จี้เสียวอู่

คนที่ผ่านด่านนี้มีมากมายซึ่งคนก่อนหน้านั้นใช้วิธีเขย่าลูกเต๋า สองคนหลังรู้วิชาทำนายเล็กน้อยแต่ผ่านด่านไปได้เพราะโชคช่วย ในทางกลับกันจี้เสียวอู่รวบรวมพลังและตั้งสมาธิ นี่คือการทำนายโชคชะตาด้วยเคล็ดวิชาที่แท้จริง

นี่เป็นคนในแวดวงที่รู้เคล็ดวิชาอย่างลึกซึ้ง! แต่ดูจากท่าทางของเขาน่าจะเป็นผู้เริ่มเรียนไม่น่าจะผ่านด่านนี้ไปได้หรือเปล่า

ต้องเข้าใจว่าจุดสำคัญของด่านนี้คือการทำนายที่ผิด เขาเป็นผู้เริ่มเรียนเบื้องต้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำนายได้อย่างแม่นยำ ยิ่งไปกว่านั้นการทำนายกว้าที่เฉพาะเจาะจงจำเป็นต้อง…

ทั้งสี่คนยังไม่ทันได้คาดเดาจบ จี้เสียวอู่ก็เปิดกว้าถ่งเสียแล้ว ผู้อาวุโสมองดูจากนั้นก็ยื่นเหรียญทองแดงให้แก่เขา “ยินดีด้วยคุณชาย”

จี้เสียวอู่โล่งใจและหยิบเหรียญทองแดง “ขอบคุณท่านนักพรตขอรับ”

จวินโม่หลีรู้สึกประหลาดใจ “เขาทำนายได้ด้วยหรือ” เสวียนเฟยและอวี้หยางเลิกคิ้วแต่ไม่พูดอะไร เรื่องนี้แน่นอนว่าต้องมีกลไกเพียงแต่ตอนนี้พวกเขายังมองไม่ออก เหตุผลอยู่ตรงไหนกัน

หมิงเวยมองพวกเขาแล้วถามออกไป “หากท่านนักพรตยังไม่แข่ง ถ้าอย่างนั้นข้าขอไปก่อนได้หรือไม่”

ครั้งนี้นางไม่ได้สวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้า เสื้อผ้าก็เปลี่ยนไป จวินโม่หลีจึงจำไม่ได้ เสวียนเฟยกลับมองนางอยู่นานแล้วเขาก็พยักหน้าช้าๆ

“เชิญแม่นางก่อนเลย”

หมิงเวยพยักหน้าด้วยรอยยิ้มแล้วเดินไปหยุดต่อหน้าผู้อาวุโส “คารวะท่านนักพรตเจ้าค่ะ”

ผู้อาวุโสลูบเคราแล้วถามออกไปเป็นครั้งแรกว่า “อาจารย์ของท่านมาจากสำนักใดหรือ”

หมิงเวยยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “เป็นแค่สำนักเล็กๆ ไม่มีอะไรให้น่าพูดถึงหรอกเจ้าค่ะ”

ผู้อาวุโสจ้องมองนางสักพักแล้วพยักหน้า “เชิญ”

…………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+