คู่ชะตาบันดาลรัก 289 ปฏิภาณ

Now you are reading คู่ชะตาบันดาลรัก Chapter 289 ปฏิภาณ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวก่อให้เกิดความเกลียดชัง

ฟู่จินถอนหายใจ

เขาออกจะสง่างามถึงเพียงนี้ ได้กราบไหว้อาจารย์ ศึกษาเล่าเรียนจนกลายเป็นผู้มีความรู้ที่มีชื่อเสียง ฮ่องเต้ออกพระราชโองการซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ทุกคนในใต้หล้าศรัทธาในภาพลักษณ์ที่ดีของเขาอย่างที่ไม่เคยเห็น และนี่คือชีวิตของเขา

แล้วตอนนี้เล่ากลายเป็นเช่นไร

เมื่อมายังสถานศึกษาซานไถกลายเป็นว่าเขาไม่สามารถออกไปไหนได้ เพราะที่นี่อยู่ห่างจากเมืองหลวงเพียงเล็กน้อยถือว่าไม่ไกลมากนัก สามารถจับตาดูสถานการณ์ได้เสมอ

ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมาเขาแสร้งทำเป็นเป็นคนสุภาพเรียบร้อยอ่อนโยน และทำตัวกลมกลืนกับนักวิชาการที่น่าเบื่อเหล่านี้ คอยจับตามองเด็กเมื่อวานซืนคนนั้นเป็นครั้งคราว สังเกตว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่และเขาเป็นอย่างไร

จนกระทั่งเมื่อสามปีที่แล้วเด็กคนนั้นอายุสิบหกปี เขาคิดว่าเรื่องนี้อาจจบลงแล้ว

ฮ่องเต้คนใหม่ขึ้นครองบัลลังก์มาสิบห้าปี ใต้หล้าอยู่ในความสงบสุขมากมานานแล้ว แม้ว่าเขาจะเป็นบุตรของทายาทคนโตเป็นทายาทที่ถูกต้องเหมาะสม แต่เมื่อถึงเวลานั้นก็ไม่อาจยอมรับได้ไม่มีโอกาสแล้ว

สายเลือดโดยตรงเป็นที่ยอมรับในใต้หล้ามากกว่า

ฮ่องเต้ทรงมีพระเมตตา พระองค์ตามรอยราชกิจที่ไท่จู่ทรงทิ้งไว้ทุกคนจึงให้ความเชื่อถือเป็นอย่างมาก ดังนั้นสายเลือดโดยตรงจึงตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น

ผู้สืบทอดของเขาที่ไม่สามารถแสดงความสามารถได้ถือเป็นชะตาของต้าฉีตนจึงนำหลักฐานยืนยันไปพบองค์หญิงหมิงเฉิงและสามี ทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกันว่าความลับนี้จะกลายเป็นความลับตลอดไป

อย่างไรก็ตามตนไม่คาดคิดว่าหลังจากกลับมาที่สถานศึกษาซานไถไม่นาน ก็มีข่าวว่าองค์หญิงหมิงเฉิงทรงพระประชวรหนัก

เดิมทีตนวางแผนไว้ว่าจะเก็บของออกเดินทางไปทั่วหล้าต่อกลับไปใช้ชีวิตตามใจตนเอง แต่แผนนี้ก็ถูกระงับอีกครั้ง

เวลาผ่านไปไม่นานองค์หญิงหมิงเฉิงและนายท่านผู้เฒ่าก็เสียชีวิตลง

ฟู่จินเชื่อว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ตนไม่สามารถติดต่อเด็กคนนั้นได้

หากเรื่องที่ตนไปเข้าพบองค์หญิงหมิงเฉิงถูกเปิดเผยขึ้นมาละก็ ชีวิตตนก็ตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน เพียงแต่เขาซ่อนตัวเป็นอย่างดีจึงไม่ถูกค้นพบ ความรู้สึกนี้ทำให้ตนไม่พอใจอย่างมาก

ข้าต้องการปลีกตัวหนีออกไป แต่ท่านมาขับไล่นี่ไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว

ครั้งนี้ฟู่จินได้ตัดสินใจ ตนจะรออยู่ที่นี่เพื่อรอว่าผู้ใดจะเดินทางมาหาตนก่อน

หากเด็กคนนั้นมาหาตน หมายความว่าสวรรค์มอบโอกาสนี้ให้แก่เขา

ไท่จื่อและองค์ชายองค์อื่นๆ ในตอนนี้ไม่สามารถแบกรับใต้หล้านี้ไว้ได้

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ตนจะช่วยให้เขากลับคืนสู่สายเลือดโดยตรง

เหมือนอย่างที่ตนมุ่งมั่นที่จะทำให้ใต้หล้าเคารพนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ หากฝืนยอมจำนนต่ออำนาจฮ่องเต้ทำให้สูญเสียตัวตนของตนเองไป ถ้าอย่างนั้นสนับสนุนอำนาจฮ่องเต้ด้วยตนเองก็คงจะดีไม่แพ้กัน

ตนตัดสินใจเช่นนั้น!

ฟู่จินดีใจมาก แต่เจี่ยงเหวินเฟิงไม่ดีใจเลยสักนิด เขาไม่ได้โง่ที่จะไม่รู้ว่าทายาทของซือฮว๋ายไท่จื่อที่ฟู่จินพูดถึงหมายถึงใคร! หมายความว่าการเสียชีวิตขององค์หญิงหมิงเฉิงก็เพื่อปกปิดความลับนี้งั้นหรือ

ไม่ๆๆ ความลับนี้อาจถูกค้นพบแล้ว

นี่เป็นการต่อรองชีวิตของพวกเขาสองคนแลกกับชีวิตของเด็กคนนั้น

เจี่ยงเหวินเฟิงไม่รู้ว่าต้องทำอะไรอยู่พักหนึ่ง สติปัญญาบอกเขาว่าไม่สามารถลงไปในโคลนนี้ได้ เพราะหากเข้าไปแล้วจะไม่สามารถออกมาได้อีก

แต่ในส่วนของความรู้สึกเขาก็ไม่สามารถพูดปฏิเสธได้

“เชี่ยนเหนียง” จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมา เชี่ยนเหนียงตอบรับข้างหู

“หากข้าไม่สามารถออกไปตามหาเจ้าได้ เจ้าจะเกลียดข้าหรือไม่”

เชี่ยนเหนียงเงียบไปครู่หนึ่งและพูดเบาๆ ว่า “ท่านพี่คิดจะทำอะไรก็ทำเถิดเจ้าค่ะ เดิมทีวันของพวกเราก็ถูกขโมยไปแล้ว” เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้าและถอนหายใจยาว

ฟู่จินไม่ได้ยินเสียงพูดของเชี่ยนเหนียงเขาเห็นเจี่ยงเหวินเฟิงพูดกับตัวเองแล้วเลิกคิ้วจากนั้นก็สงบลง

“เห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ข้าคงไม่ต้องเกลี้ยกล่อมเจ้าแล้วกระมัง”

เจี่ยงเหวินเฟิงส่ายหัว “ศิษย์ยังคงพูดว่าศิษย์ไม่อยากก่อกบฏ”

ฟู่จินยิ้มแล้วพยักหน้า “อาจารย์เองก็ไม่อยากก่อกบฏเช่นกัน”

ทั้งสองมองหน้ากันแล้วฟู่จินก็พูดว่า “บอกได้หรือยังว่าผู้ใดส่งเจ้ามา”

เจี่ยงเหวินเฟิงเรียกกำลังใจจากตนเอง พยายามนึกถึงผลที่ตามมาเขารู้ว่าตนจำเป็นต้องยื่นมือเข้าไปแทรกแซงเรื่องนี้เพราะหากเพิกเฉยไม่สนใจ ผู้ใดจะรู้ว่าพวกเขาจะทำอะไรอีก และหากให้เขาไปรายงานความผิดต่อหน่วยงานราชการเขาก็ทำไม่ได้ เมื่อคิดไตร่ตรองดูแล้วมีเพียงต้องเอาตนเองไปเป็นอาหารเสือเท่านั้นและคอยสังเกตสถานการณ์ หากมีอะไรผิดปกติอะไรควรห้ามก็ห้าม อะไรควรช่วยก็ช่วย

“เป็นแม่นางผู้หนึ่ง แซ่หมิงขอรับ” ฟู่จินเลิกคิ้วขึ้น

…………

หมิงเวยกำลังคิดด้วยความสงบ ยาของพ่อมดผู้นี้แก้ไขได้ไม่ยาก แต่ปัญหาคือพ่อมดอยู่ที่ไหนกันแน่ แล้วยังฮ่องเต้อีกถูกลักพาตัวหรือว่าหนีไปที่อื่นด้วยตนเองกัน

“คุณหนู คุณชายใหญ่!” เสียงของตัวฝูเรียกสตินางเอาไว้

หมิงเวยมองตามทิศทางที่นางชี้แล้วก็เห็นจี้หลิงที่กำลังมองไปรอบๆ

“พี่ใหญ่!” จี้หลิงเห็นนางก็ดีใจและรีบเดินเข้ามาหา

“เมื่อครู่พี่ไปสอบถามข่าวมา แต่ไม่คิดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ”

หมิงเวยตอบ “เรื่องค่อนข้างซับซ้อน พี่ใหญ่ ท่านไปสอบถามอะไรมาบ้าง มีอะไรผิดปกติหรือไม่”

จี้หลิงมีเครือข่ายที่ดีเป็นตัวเลือกที่ดีในการสอบถามข้อมูล หมิงเวยจึงขอให้เขาตรวจสอบเรื่องราวภายในเกี่ยวกับการที่พระองค์อยู่ๆ ก็พระราชทานสมรสกะทันหัน

“ที่น้องเดามานั้นไม่ผิด กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงทราบเรื่องที่คุณชายหยางก่อเรื่องแล้ว แต่พระนางไม่ได้โกรธ” หมายความว่าเหตุผลอยู่ที่ฮ่องเต้จริงๆ

จี้หลิงถามอีกว่า “น้องหญิง เรื่องนี้มีบางอย่างไม่ถูกต้อง จู่ๆ กองทหารรักษาพระองค์เป็นเช่นนี้อีกทั้งไม่มีคนใช้อำนาจควบคุม…”

หมิงเวยตัวสั่น นางได้สติขึ้นมาทันที

ไม่มีคนใช้อำนาจควบคุม! เหตุใดกองทหารรักษาพระองค์ของฮ่องเต้ถึงได้ไร้ประโยชน์เช่นนี้ หมายความว่าที่นี่ถูกทอดทิ้งเสียแล้ว เป็นฮ่องเต้ทรงมีพระราชดำริเคลื่อนย้าย

ที่หยางชูไม่ได้รับข่าว หากไม่เป็นเพราะเขาหมดสิ้นความไว้เนื้อเชื่อใจก็เป็นเพราะมีการเปลี่ยนแผนชั่วคราว หมิงเวยไม่ต้องการบอกเรื่องนี้กับหยางชูเกรงว่าเขาจะคิดมากเกินไป

นางไม่คิดยุ่งกับเรื่องนี้มากเกินไปในเมื่อฮ่องเต้มีการเตรียมพร้อมอยู่แล้ว แสดงว่าข้างกายต้องมีคนคอยปกป้อง พ่อมดคนเดียวไม่น่าแตะต้องเขาได้

แล้วนางก็ได้ยินจี้หลิงพูดว่า “น้องหญิง นั่นไท่จื่อใช่หรือไม่”

หมิงเวยหันไปมองแล้วก็เห็นว่าเป็นไท่จื่อเจียงเชิ่งเดินนำทหารรักษาพระองค์มาที่นี่อย่างรวดเร็ว

“พระองค์มาคุ้มกันฝ่าบาทหรือ”

ไม่เพียงแต่ไท่จื่อเท่านั้นเหล่าขุนนางและทหารก็มีปฏิกิริยาเช่นเดียวกัน พวกเขาจัดคนของตนเองให้ไปคุ้มกันฝ่าบาทและแบ่งคนมาคุ้มกันตนเองด้วย

หมิงเวยครุ่นคิด “พี่ใหญ่ พวกเราไปดูกันเถอะ”

ไท่จื่อรีบไปที่กระโจมกลางพร้อมกับทหาร แต่กลับเห็นว่าบริเวณโดยรอบนั้นเงียบสงบ กองทหารรักษาพระองค์พวกนั้นรวมกลุ่มก่อเรื่องอยู่รอบนอก แต่บริเวณรอบกระโจมกลับไม่มีผู้ใดเลย

หัวหน้าทหารรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเขาจึงสั่งหยุดเคลื่อนไหวและขอคำแนะนำจากเจียงเชิ่ง เจียงเชิ่งครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะก้าวไปข้างหน้าภายใต้การคุ้มครองของทหาร

“เสด็จพ่อ ท่านอยู่ข้างในหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

แต่ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ภายในกระโจม สายลมยามกลางคืนก็พัดม่านขึ้นและแกว่งไปมาอย่างแผ่วเบา เจียงเชิ่งตะโกนอยู่สองครั้งแต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับ

ผ่านไปสักพักก็มีคนอื่นรีบเดินทางมาที่นี่เช่นกัน

“พี่ใหญ่!”

เจียงเชิ่งเห็นอันอ๋องที่เหงื่อผุดเต็มหน้าผากจึงตอบรับอย่างไม่ใส่ใจ ไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตาอีก เขากำลังคิดว่าจะเข้าไปในกระโจมดีหรือไม่

“ไท่จื่อ!” ครั้งนี้เป็นขุนนางสำคัญหลายคนที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้เดินทางมาถึง

เจียงเชิ่งพยักหน้าให้พวกเขาและพูดว่า “ใต้เท้าทั้งหลายดูจากสถานการณ์แล้วมีผู้ไม่หวังดีก่อความวุ่นวาย ข้าเป็นห่วงเสด็จพ่อจึงเดินทางมาเพื่อคุ้มกัน แต่สถานการณ์ดูไม่ปกติ พวกท่านเห็นว่าควรทำอย่างไร”

หลู่เชียนมีอายุมากแล้วจึงไม่สะดวกเคลื่อนไหวครั้งนี้จึงไม่ได้ตามมาด้วย ผู้ที่มีตำแหน่งสูงสุดในตอนนี้จึงเป็นกัวสู่ ผู้อาวุโสอีกคนในราชสำนัก

ทันทีที่เขาพูดจบแม่ทัพใหญ่หลางอวี่ที่ตามมาคุ้มกันด้วยทนไม่ไหวจึงเอ่ย

“ไท่จื่อตะโกนเรียกอยู่นานแล้วแต่ไม่มีเสียงตอบรับจากด้านในเป็นไปได้ว่าอาจเกิดเรื่องขึ้น หากยังยืดเยื้อต่อไปฝ่าบาทอาจตกอยู่ในอันตรายได้”

กัวสู่ที่ดูถูกทหารอยู่เสมอได้ยินคำพูดนี้เขาก็ขมวดคิ้วทันที “เราไม่ควรบุกเข้าไป หากเกิดอะไรขึ้นมาท่านรับผิดชอบไหวหรือ”

หลางอวี่ไม่พอใจ “จะให้รอจนกว่าจะเกิดเรื่องขึ้นหรืออย่างไร!”

แล้วทั้งสองคนก็เริ่มมีปากเสียงกัน

………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

คู่ชะตาบันดาลรัก 289 ปฏิภาณ

Now you are reading คู่ชะตาบันดาลรัก Chapter 289 ปฏิภาณ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวก่อให้เกิดความเกลียดชัง

ฟู่จินถอนหายใจ

เขาออกจะสง่างามถึงเพียงนี้ ได้กราบไหว้อาจารย์ ศึกษาเล่าเรียนจนกลายเป็นผู้มีความรู้ที่มีชื่อเสียง ฮ่องเต้ออกพระราชโองการซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ทุกคนในใต้หล้าศรัทธาในภาพลักษณ์ที่ดีของเขาอย่างที่ไม่เคยเห็น และนี่คือชีวิตของเขา

แล้วตอนนี้เล่ากลายเป็นเช่นไร

เมื่อมายังสถานศึกษาซานไถกลายเป็นว่าเขาไม่สามารถออกไปไหนได้ เพราะที่นี่อยู่ห่างจากเมืองหลวงเพียงเล็กน้อยถือว่าไม่ไกลมากนัก สามารถจับตาดูสถานการณ์ได้เสมอ

ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมาเขาแสร้งทำเป็นเป็นคนสุภาพเรียบร้อยอ่อนโยน และทำตัวกลมกลืนกับนักวิชาการที่น่าเบื่อเหล่านี้ คอยจับตามองเด็กเมื่อวานซืนคนนั้นเป็นครั้งคราว สังเกตว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่และเขาเป็นอย่างไร

จนกระทั่งเมื่อสามปีที่แล้วเด็กคนนั้นอายุสิบหกปี เขาคิดว่าเรื่องนี้อาจจบลงแล้ว

ฮ่องเต้คนใหม่ขึ้นครองบัลลังก์มาสิบห้าปี ใต้หล้าอยู่ในความสงบสุขมากมานานแล้ว แม้ว่าเขาจะเป็นบุตรของทายาทคนโตเป็นทายาทที่ถูกต้องเหมาะสม แต่เมื่อถึงเวลานั้นก็ไม่อาจยอมรับได้ไม่มีโอกาสแล้ว

สายเลือดโดยตรงเป็นที่ยอมรับในใต้หล้ามากกว่า

ฮ่องเต้ทรงมีพระเมตตา พระองค์ตามรอยราชกิจที่ไท่จู่ทรงทิ้งไว้ทุกคนจึงให้ความเชื่อถือเป็นอย่างมาก ดังนั้นสายเลือดโดยตรงจึงตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น

ผู้สืบทอดของเขาที่ไม่สามารถแสดงความสามารถได้ถือเป็นชะตาของต้าฉีตนจึงนำหลักฐานยืนยันไปพบองค์หญิงหมิงเฉิงและสามี ทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกันว่าความลับนี้จะกลายเป็นความลับตลอดไป

อย่างไรก็ตามตนไม่คาดคิดว่าหลังจากกลับมาที่สถานศึกษาซานไถไม่นาน ก็มีข่าวว่าองค์หญิงหมิงเฉิงทรงพระประชวรหนัก

เดิมทีตนวางแผนไว้ว่าจะเก็บของออกเดินทางไปทั่วหล้าต่อกลับไปใช้ชีวิตตามใจตนเอง แต่แผนนี้ก็ถูกระงับอีกครั้ง

เวลาผ่านไปไม่นานองค์หญิงหมิงเฉิงและนายท่านผู้เฒ่าก็เสียชีวิตลง

ฟู่จินเชื่อว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ตนไม่สามารถติดต่อเด็กคนนั้นได้

หากเรื่องที่ตนไปเข้าพบองค์หญิงหมิงเฉิงถูกเปิดเผยขึ้นมาละก็ ชีวิตตนก็ตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน เพียงแต่เขาซ่อนตัวเป็นอย่างดีจึงไม่ถูกค้นพบ ความรู้สึกนี้ทำให้ตนไม่พอใจอย่างมาก

ข้าต้องการปลีกตัวหนีออกไป แต่ท่านมาขับไล่นี่ไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว

ครั้งนี้ฟู่จินได้ตัดสินใจ ตนจะรออยู่ที่นี่เพื่อรอว่าผู้ใดจะเดินทางมาหาตนก่อน

หากเด็กคนนั้นมาหาตน หมายความว่าสวรรค์มอบโอกาสนี้ให้แก่เขา

ไท่จื่อและองค์ชายองค์อื่นๆ ในตอนนี้ไม่สามารถแบกรับใต้หล้านี้ไว้ได้

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ตนจะช่วยให้เขากลับคืนสู่สายเลือดโดยตรง

เหมือนอย่างที่ตนมุ่งมั่นที่จะทำให้ใต้หล้าเคารพนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ หากฝืนยอมจำนนต่ออำนาจฮ่องเต้ทำให้สูญเสียตัวตนของตนเองไป ถ้าอย่างนั้นสนับสนุนอำนาจฮ่องเต้ด้วยตนเองก็คงจะดีไม่แพ้กัน

ตนตัดสินใจเช่นนั้น!

ฟู่จินดีใจมาก แต่เจี่ยงเหวินเฟิงไม่ดีใจเลยสักนิด เขาไม่ได้โง่ที่จะไม่รู้ว่าทายาทของซือฮว๋ายไท่จื่อที่ฟู่จินพูดถึงหมายถึงใคร! หมายความว่าการเสียชีวิตขององค์หญิงหมิงเฉิงก็เพื่อปกปิดความลับนี้งั้นหรือ

ไม่ๆๆ ความลับนี้อาจถูกค้นพบแล้ว

นี่เป็นการต่อรองชีวิตของพวกเขาสองคนแลกกับชีวิตของเด็กคนนั้น

เจี่ยงเหวินเฟิงไม่รู้ว่าต้องทำอะไรอยู่พักหนึ่ง สติปัญญาบอกเขาว่าไม่สามารถลงไปในโคลนนี้ได้ เพราะหากเข้าไปแล้วจะไม่สามารถออกมาได้อีก

แต่ในส่วนของความรู้สึกเขาก็ไม่สามารถพูดปฏิเสธได้

“เชี่ยนเหนียง” จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมา เชี่ยนเหนียงตอบรับข้างหู

“หากข้าไม่สามารถออกไปตามหาเจ้าได้ เจ้าจะเกลียดข้าหรือไม่”

เชี่ยนเหนียงเงียบไปครู่หนึ่งและพูดเบาๆ ว่า “ท่านพี่คิดจะทำอะไรก็ทำเถิดเจ้าค่ะ เดิมทีวันของพวกเราก็ถูกขโมยไปแล้ว” เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้าและถอนหายใจยาว

ฟู่จินไม่ได้ยินเสียงพูดของเชี่ยนเหนียงเขาเห็นเจี่ยงเหวินเฟิงพูดกับตัวเองแล้วเลิกคิ้วจากนั้นก็สงบลง

“เห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ข้าคงไม่ต้องเกลี้ยกล่อมเจ้าแล้วกระมัง”

เจี่ยงเหวินเฟิงส่ายหัว “ศิษย์ยังคงพูดว่าศิษย์ไม่อยากก่อกบฏ”

ฟู่จินยิ้มแล้วพยักหน้า “อาจารย์เองก็ไม่อยากก่อกบฏเช่นกัน”

ทั้งสองมองหน้ากันแล้วฟู่จินก็พูดว่า “บอกได้หรือยังว่าผู้ใดส่งเจ้ามา”

เจี่ยงเหวินเฟิงเรียกกำลังใจจากตนเอง พยายามนึกถึงผลที่ตามมาเขารู้ว่าตนจำเป็นต้องยื่นมือเข้าไปแทรกแซงเรื่องนี้เพราะหากเพิกเฉยไม่สนใจ ผู้ใดจะรู้ว่าพวกเขาจะทำอะไรอีก และหากให้เขาไปรายงานความผิดต่อหน่วยงานราชการเขาก็ทำไม่ได้ เมื่อคิดไตร่ตรองดูแล้วมีเพียงต้องเอาตนเองไปเป็นอาหารเสือเท่านั้นและคอยสังเกตสถานการณ์ หากมีอะไรผิดปกติอะไรควรห้ามก็ห้าม อะไรควรช่วยก็ช่วย

“เป็นแม่นางผู้หนึ่ง แซ่หมิงขอรับ” ฟู่จินเลิกคิ้วขึ้น

…………

หมิงเวยกำลังคิดด้วยความสงบ ยาของพ่อมดผู้นี้แก้ไขได้ไม่ยาก แต่ปัญหาคือพ่อมดอยู่ที่ไหนกันแน่ แล้วยังฮ่องเต้อีกถูกลักพาตัวหรือว่าหนีไปที่อื่นด้วยตนเองกัน

“คุณหนู คุณชายใหญ่!” เสียงของตัวฝูเรียกสตินางเอาไว้

หมิงเวยมองตามทิศทางที่นางชี้แล้วก็เห็นจี้หลิงที่กำลังมองไปรอบๆ

“พี่ใหญ่!” จี้หลิงเห็นนางก็ดีใจและรีบเดินเข้ามาหา

“เมื่อครู่พี่ไปสอบถามข่าวมา แต่ไม่คิดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ”

หมิงเวยตอบ “เรื่องค่อนข้างซับซ้อน พี่ใหญ่ ท่านไปสอบถามอะไรมาบ้าง มีอะไรผิดปกติหรือไม่”

จี้หลิงมีเครือข่ายที่ดีเป็นตัวเลือกที่ดีในการสอบถามข้อมูล หมิงเวยจึงขอให้เขาตรวจสอบเรื่องราวภายในเกี่ยวกับการที่พระองค์อยู่ๆ ก็พระราชทานสมรสกะทันหัน

“ที่น้องเดามานั้นไม่ผิด กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงทราบเรื่องที่คุณชายหยางก่อเรื่องแล้ว แต่พระนางไม่ได้โกรธ” หมายความว่าเหตุผลอยู่ที่ฮ่องเต้จริงๆ

จี้หลิงถามอีกว่า “น้องหญิง เรื่องนี้มีบางอย่างไม่ถูกต้อง จู่ๆ กองทหารรักษาพระองค์เป็นเช่นนี้อีกทั้งไม่มีคนใช้อำนาจควบคุม…”

หมิงเวยตัวสั่น นางได้สติขึ้นมาทันที

ไม่มีคนใช้อำนาจควบคุม! เหตุใดกองทหารรักษาพระองค์ของฮ่องเต้ถึงได้ไร้ประโยชน์เช่นนี้ หมายความว่าที่นี่ถูกทอดทิ้งเสียแล้ว เป็นฮ่องเต้ทรงมีพระราชดำริเคลื่อนย้าย

ที่หยางชูไม่ได้รับข่าว หากไม่เป็นเพราะเขาหมดสิ้นความไว้เนื้อเชื่อใจก็เป็นเพราะมีการเปลี่ยนแผนชั่วคราว หมิงเวยไม่ต้องการบอกเรื่องนี้กับหยางชูเกรงว่าเขาจะคิดมากเกินไป

นางไม่คิดยุ่งกับเรื่องนี้มากเกินไปในเมื่อฮ่องเต้มีการเตรียมพร้อมอยู่แล้ว แสดงว่าข้างกายต้องมีคนคอยปกป้อง พ่อมดคนเดียวไม่น่าแตะต้องเขาได้

แล้วนางก็ได้ยินจี้หลิงพูดว่า “น้องหญิง นั่นไท่จื่อใช่หรือไม่”

หมิงเวยหันไปมองแล้วก็เห็นว่าเป็นไท่จื่อเจียงเชิ่งเดินนำทหารรักษาพระองค์มาที่นี่อย่างรวดเร็ว

“พระองค์มาคุ้มกันฝ่าบาทหรือ”

ไม่เพียงแต่ไท่จื่อเท่านั้นเหล่าขุนนางและทหารก็มีปฏิกิริยาเช่นเดียวกัน พวกเขาจัดคนของตนเองให้ไปคุ้มกันฝ่าบาทและแบ่งคนมาคุ้มกันตนเองด้วย

หมิงเวยครุ่นคิด “พี่ใหญ่ พวกเราไปดูกันเถอะ”

ไท่จื่อรีบไปที่กระโจมกลางพร้อมกับทหาร แต่กลับเห็นว่าบริเวณโดยรอบนั้นเงียบสงบ กองทหารรักษาพระองค์พวกนั้นรวมกลุ่มก่อเรื่องอยู่รอบนอก แต่บริเวณรอบกระโจมกลับไม่มีผู้ใดเลย

หัวหน้าทหารรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเขาจึงสั่งหยุดเคลื่อนไหวและขอคำแนะนำจากเจียงเชิ่ง เจียงเชิ่งครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะก้าวไปข้างหน้าภายใต้การคุ้มครองของทหาร

“เสด็จพ่อ ท่านอยู่ข้างในหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

แต่ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ภายในกระโจม สายลมยามกลางคืนก็พัดม่านขึ้นและแกว่งไปมาอย่างแผ่วเบา เจียงเชิ่งตะโกนอยู่สองครั้งแต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับ

ผ่านไปสักพักก็มีคนอื่นรีบเดินทางมาที่นี่เช่นกัน

“พี่ใหญ่!”

เจียงเชิ่งเห็นอันอ๋องที่เหงื่อผุดเต็มหน้าผากจึงตอบรับอย่างไม่ใส่ใจ ไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตาอีก เขากำลังคิดว่าจะเข้าไปในกระโจมดีหรือไม่

“ไท่จื่อ!” ครั้งนี้เป็นขุนนางสำคัญหลายคนที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้เดินทางมาถึง

เจียงเชิ่งพยักหน้าให้พวกเขาและพูดว่า “ใต้เท้าทั้งหลายดูจากสถานการณ์แล้วมีผู้ไม่หวังดีก่อความวุ่นวาย ข้าเป็นห่วงเสด็จพ่อจึงเดินทางมาเพื่อคุ้มกัน แต่สถานการณ์ดูไม่ปกติ พวกท่านเห็นว่าควรทำอย่างไร”

หลู่เชียนมีอายุมากแล้วจึงไม่สะดวกเคลื่อนไหวครั้งนี้จึงไม่ได้ตามมาด้วย ผู้ที่มีตำแหน่งสูงสุดในตอนนี้จึงเป็นกัวสู่ ผู้อาวุโสอีกคนในราชสำนัก

ทันทีที่เขาพูดจบแม่ทัพใหญ่หลางอวี่ที่ตามมาคุ้มกันด้วยทนไม่ไหวจึงเอ่ย

“ไท่จื่อตะโกนเรียกอยู่นานแล้วแต่ไม่มีเสียงตอบรับจากด้านในเป็นไปได้ว่าอาจเกิดเรื่องขึ้น หากยังยืดเยื้อต่อไปฝ่าบาทอาจตกอยู่ในอันตรายได้”

กัวสู่ที่ดูถูกทหารอยู่เสมอได้ยินคำพูดนี้เขาก็ขมวดคิ้วทันที “เราไม่ควรบุกเข้าไป หากเกิดอะไรขึ้นมาท่านรับผิดชอบไหวหรือ”

หลางอวี่ไม่พอใจ “จะให้รอจนกว่าจะเกิดเรื่องขึ้นหรืออย่างไร!”

แล้วทั้งสองคนก็เริ่มมีปากเสียงกัน

………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+