คู่ชะตาบันดาลรัก 296 เคียงข้าง

Now you are reading คู่ชะตาบันดาลรัก Chapter 296 เคียงข้าง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หยางชูจ้อง ‘คน’ ที่อยู่ตรงหน้าเขม็ง

ในชั่วพริบตากระดาษคนก็เปลี่ยนรูปร่าง นอกจากความสูงเท่าฝ่ามือนั้น รูปร่างหน้าตาเหมือนกันกับหมิงเวยทุกประการ แม้แต่รอยยิ้มก็เหมือนจนแยกไม่ออก

‘นาง’ สำรวจหยางชูตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วพูดว่า “ไม่เจอกันแค่สองวันก็โง่แล้วหรือ ท่านจำไม่ได้แล้วหรือว่าข้าคือผู้ใด”

หยางชูขยับริมฝีปาก “ท่านมาได้อย่างไร”

หมิงเวยไม่เคยเห็นเขาดูไร้ชีวิตชีวาถึงเพียงนี้มาก่อนนางจึงถามเขาว่า “ท่านอยากบินสักรอบหรือไม่”

หยางชูยิ้มเล็กน้อยในที่สุดเขาก็พยักหน้าและพูดด้วยท่าทีสบายๆ “ได้!”

เขาคิดในใจ บินอย่างไร ที่นี่คือคุกหลวงที่มีการป้องกันแน่นหนา แค่นางแอบส่งข้อความมาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแล้วจะพาเขาออกไปได้อย่างไร

แต่เขาก็เห็นว่าท่อนเหล็กตรงหน้าต่างถูกบิดออกมือเล็กๆ ของหมิงเวยเอื้อมมาหาเขา แล้วจู่ๆ ตัวเขาก็ลอยขึ้น

เห็นได้ชัดว่าหน้าต่างเล็กมากดูจากรูปร่างของเขาสามารถโผล่ออกไปได้แค่ศีรษะเท่านั้น แต่เมื่อเขาได้สัมผัสมันโดยไม่มีอะไรกีดขวางเลยได้ลอดผ่านออกไปแบบนั้นราวกับฝัน

หยางชูก้มหน้าลงแล้วเห็นว่าหมิงเวยในร่างเล็กค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่างเป็นตัวเขาเอง จากนั้นก็นั่งอยู่ในคุกอย่างปกติ แล้วมือของเขาก็ถูกคว้าไว้

นี่เป็นมือจริงๆ ทั้งเรียวและนุ่ม อบอุ่นและมั่นคง

หยางชูพบว่าตัวเองล้มทับอะไรบางอย่าง และเมื่อเขาจ้องมอง มันก็กลายเป็นนกขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้หมิงเวยนั่งข้างกายเขาและส่งยิ้มให้

เมื่อเห็นรอยยิ้มของนางเขาก็สัมผัสได้ว่ามันคือความจริง

เขาออกมาแล้ว

เขาอยู่บนฟ้า

เขากำลังบินกับนาง

“มีเรื่องเล่าในบันทึกตำนานเหล่าเทพ บุตรสาวของฉินมู่กงนามน่งอวี้ ฝันถึงชายหนุ่มรูปงามที่เชี่ยวชาญในการเป่าขลุ่ย นางชื่นชมเขา ฉินมู่กงส่งคนไปตามหาเขาที่เขาฮว๋าชานแล้วเขาก็ได้พบกับเซียนนามเซียวฉื่อ ซึ่งเหมาะสมที่จะเป็นสามีของบุตรสาว หลายปีต่อมาทั้งสองสามีภรรยาค่อยๆ ฝึกฝนจนประสบความสำเร็จได้เป็นเซียน”

หมิงเวยหันศีรษะกลับมามองเขาด้วยรอยยิ้ม “ท่านเป็นลูกหลานราชวงศ์ ไม่ต่างอะไรกับน่งอวี้ ข้าหรือเล่นขลุ่ยเป็นพอดีเลย น่าเสียดายที่ข้าหาหงส์ไม่พบจึงใช้นกทำจากไม้แทน วันนี้พวกเรามาเลียนแบบคนโบราณกันเถิด เป็นคู่รักที่ร่อนเร่ไปทั่ว เป็นคู่สามีภรรยาที่ไม่แยกจากกันท่านว่าอย่างไร”

เมื่อเผชิญกับรอยยิ้มที่สดใสของนางริมฝีปากหยางชูสั่นอยู่นานในที่สุดเขาก็พูดขึ้นว่า “ข้าไม่ใช่สตรี…”

“แล้วอย่างไรเล่า ถ้าท่านเป็นหญิงข้าคงไม่ต้องการ” ไม่รอให้เขาเปิดปากอีก นางยกนิ้วขึ้นทำสัญญาณให้อีกฝ่ายเงียบ “อย่าทำให้เวลาดีๆ เสียเปล่าเลย”

พูดจบนางก็หยิบขลุ่ยมาจ่อที่ริมฝีปาก เสียงขลุ่ยเงียบสงัดปลิวไสวไปตามสายลมในฤดูใบไม้ร่วง หยางชูเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์สว่างราวกับน้ำค้างแข็ง และเห็นความเงียบสงบของสวรรค์และพิภพ

…………

นกไม้ตัวใหญ่ตกลงบนที่สูงที่คุ้นเคย และหยางชูก็เห็นเสวียนเฟยในชุดนักพรตเดินเข้ามา

หมิงเวยดึงเขาให้ลงจากนกไม้ตัวใหญ่ และพูดกับเสวียนเฟยว่า “ขอบคุณ!”

เสวียนเฟยชี้ไปที่นกตัวใหญ่ “ของข้า”

“ได้ๆๆ คืนให้ท่าน” หมิงเวยเตือนเขาอีกครั้ง “ยันต์นี้ใช้ได้แค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น ท่านอย่าได้หลงระเริงล่ะ ตกลงมาจากฟ้ามันไม่สนุกเลย”

“คิดว่าข้าโง่งั้นหรือ” เสวียนเฟยพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เขากอดนกตัวใหญ่แล้วเดินจากไป หยางชูหันศีรษะและมองไปรอบ ๆ และพบว่าที่นี่คือหอดูดาวของเสวียนตูกวัน

“เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่กับเขาที่นี่ได้” หยางชูถาม

หมิงเวยยิ้ม “วันนี้ข้าสามารถไปรับท่านมาได้อย่างราบรื่นต้องขอบคุณเขา”

คุกหลวงมีอะไรให้น่าปล้นกัน แอบออกมาโดยไม่มีผู้ใดรู้เช่นนี้ เสวียนเฟยต้องใช้ความพยายามอย่างมาก คุกหลวงนอกจากมีการป้องกันที่แน่นหนาแล้ว ยังมีข่ายพลังที่เสวียนตูกวันลงไว้ เขาค่อยๆ เปิดช่องโหว่จากนั้นก็ให้หมิงเวยอาศัยโอกาสนี้พาเขาออกมา พูดตามตรงเรียกได้ว่าขโมยสิ่งที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนเองนั่นเอง

“อ้อ” หยางชูพยักหน้า

หมิงเวยดึงเขาให้มานั่งที่ขอบหอดูดาว ความสูงหลายสิบจั้งก็เพียงพอแล้วที่จะนำแสงสว่างของชานเมืองเข้ามาสู่สายตา

“อารมณ์ดีขึ้นหรือไม่”

ได้ยินนางถามเช่นนั้นหยางชูก็อดไม่ได้ที่จะโกรธ “ข้าดูอารมณ์ไม่ดีตรงไหนกัน”

“ไม่งั้นหรือ”

“ไม่”

“ไม่ก็ดี”

หลังเงียบไปสักพักหยางชูก็อารมณ์ไม่ดีอีกครั้ง “แค่นี้หรือ”

หมิงเวยไหวไหล่ “ท่านอยากให้ข้าง้อหรือ”

หยางชูหน้าร้อนเขาหันไปทางอื่น “ผู้ใดอยากให้ท่านง้อกัน!”

“หากท่านไม่พูดข้าก็ไม่ง้อหรอกนะ!”

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งหยางชูพูดขึ้นว่า “ท่านช่วยพูดอะไรให้ข้ามีความสุขได้หรือไม่”

รอยยิ้มของหมิงเวยหายไป “ท่านต้องการยังไม่ยอมรับอีก”

ทั้งสองคนคุยกันเรื่องไร้สาระมากมาย และในที่สุดหยางชูก็รู้สึกว่าเขายังมีชีวิตอยู่

เขามองไปที่ชานเมืองที่สว่างไสวแล้วพูดเสียงเบา “ท่านพาข้าออกมามีเรื่องอยากถามหรือ”

“เปล่า” รอยยิ้มของนางหายไปแทนด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้ามีบางอย่างอยากจะบอกท่าน”

หยางชูรู้สึกสับสนเล็กน้อยและหันไปมองนาง

หมิงเวยมองเข้าไปในดวงตาของเขาและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “มีเรื่องที่ข้าไม่สามารถยืนยันได้ก่อนหน้านี้ข้าเลยไม่ได้บอกท่าน ตอนนี้เรื่องนี้ในที่สุดก็สามารถยืนยันได้แล้วข้าจึงอยากบอกท่าน”

“เรื่องอะไรหรือ”

“ชาติกำเนิดของท่าน” รอยยิ้มของหยางชูแข็งค้าง

หมิงเวยสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง “ท่านไม่อยากฟังหรือ”

หลังจากนั้นไม่นานหยางชูก็ตอบเสียงเบา “เมื่อก่อนข้าอยากรู้เรื่องนี้อยู่เสมอ แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมาข้าได้พบว่าไม่รู้เสียจะดีกว่า ข้าคาดหวังอะไรได้บ้าง บิดาที่ไม่สามารถปฏิบัติต่อบุตรของตนเองเช่นนั้นได้ ท่านย่าที่ไม่มีทางโกหกข้าโดยไม่มีเหตุผลที่ท่านทำเช่นนั้นคงเพราะมีปัญหาจนไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ข้าคิดว่าบางทีมันอาจจะดีที่สุดที่จะใช้ชีวิตตามที่ท่านย่าต้องการ”

“พูดเช่นนี้หมายความว่าท่านไม่อยากฟังใช่หรือไม่” หยางชูเม้มปากไม่พูดอะไร

“ท่านไม่อยากฟังก็ไม่เป็นไร” หมิงเวยพูด “ตราบใดที่ท่านบอกข้าด้วยตนเอง เรื่องนี้ข้าจะไม่พูดถึงอีก”

…………

เวลาดึกดื่นเผยกุ้ยเฟยยังคงนั่งอยู่ในตำหนักหลิงติงโดยที่ยังไม่ได้ชำระกายหรือเปลี่ยนเสื้อผ้า นางไม่ทำอะไร เพียงแค่นั่งอยู่ที่นั่นอย่างสงบ และลูบแหวนหยกในมือของตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“เหนียงเหนียง ดึกแล้วพักผ่อนเถิดเพคะ” นางในถามอย่างเป็นกังวล

เผยกุ้ยเฟยส่ายหน้าแล้วถามนาง “ฝ่าบาทเสด็จไปที่ใดหรือ”

นางในก้มหน้าแล้วตอบเสียงแผ่วเบา “ที่ตำหนักยุ่นซิ่วเพคะ”

ตำหนักยุ่นซิ่ว ตำหนักของฮุ่ยเฟย

ถึงฮุ่ยเฟยจะไม่ได้รับความโปรดปราน แต่ฮ่องเต้ก็เสด็จไปเยี่ยมนางอยู่เสมอ พระองค์แค่เสด็จไปพูดคุยกับนางไม่ได้พักที่ตำหนักด้วย

เผยกุ้ยเฟยยิ้มบางแล้วสั่งการว่า “เอาพู่กันมา”

นางในลังเล “แต่ดึกดื่นเช่นนี้…”

“หากข้าวาดภาพอาจเกิดความรู้สึกอยากนอนก็เป็นได้”

“เพคะ…”

พู่กัน หมึก และกระดาษถูกนำมาวางตรงหน้า เผยกุ้ยเฟยยกพู่กันจุ่มหมึก

หลังวาดเค้าโครงไปสักพักไม่ช้าฉากต้นหลิวพลิ้วไหวตามสายลมในฤดูใบไม้ผลิก็ปรากฏขึ้น นางวาดทีละแผ่น วาดอย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่นานบนพื้นก็เต็มไปด้วยกระดาษ

ในที่สุดนางก็โยนพู่กันออกไปแล้วพูดว่า “เตรียมน้ำ เปิ่นกงอยากชำระกาย”

เมื่อเห็นนางกลับมาเป็นปกตินางในก็ดีใจมาก “หม่อมฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้เพคะ”

เมื่อไม่มีผู้ใดอยู่ตรงหน้าแล้วเผยกุ้ยเฟยหยิบแหวนหยกขึ้นมามองด้วยรอยยิ้มที่อธิบายไม่ถูก ไม่เหมือนคนกำลังเศร้า แต่เหมือนคนรู้สึกโล่งใจมากกว่า

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

คู่ชะตาบันดาลรัก 296 เคียงข้าง

Now you are reading คู่ชะตาบันดาลรัก Chapter 296 เคียงข้าง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หยางชูจ้อง ‘คน’ ที่อยู่ตรงหน้าเขม็ง

ในชั่วพริบตากระดาษคนก็เปลี่ยนรูปร่าง นอกจากความสูงเท่าฝ่ามือนั้น รูปร่างหน้าตาเหมือนกันกับหมิงเวยทุกประการ แม้แต่รอยยิ้มก็เหมือนจนแยกไม่ออก

‘นาง’ สำรวจหยางชูตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วพูดว่า “ไม่เจอกันแค่สองวันก็โง่แล้วหรือ ท่านจำไม่ได้แล้วหรือว่าข้าคือผู้ใด”

หยางชูขยับริมฝีปาก “ท่านมาได้อย่างไร”

หมิงเวยไม่เคยเห็นเขาดูไร้ชีวิตชีวาถึงเพียงนี้มาก่อนนางจึงถามเขาว่า “ท่านอยากบินสักรอบหรือไม่”

หยางชูยิ้มเล็กน้อยในที่สุดเขาก็พยักหน้าและพูดด้วยท่าทีสบายๆ “ได้!”

เขาคิดในใจ บินอย่างไร ที่นี่คือคุกหลวงที่มีการป้องกันแน่นหนา แค่นางแอบส่งข้อความมาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแล้วจะพาเขาออกไปได้อย่างไร

แต่เขาก็เห็นว่าท่อนเหล็กตรงหน้าต่างถูกบิดออกมือเล็กๆ ของหมิงเวยเอื้อมมาหาเขา แล้วจู่ๆ ตัวเขาก็ลอยขึ้น

เห็นได้ชัดว่าหน้าต่างเล็กมากดูจากรูปร่างของเขาสามารถโผล่ออกไปได้แค่ศีรษะเท่านั้น แต่เมื่อเขาได้สัมผัสมันโดยไม่มีอะไรกีดขวางเลยได้ลอดผ่านออกไปแบบนั้นราวกับฝัน

หยางชูก้มหน้าลงแล้วเห็นว่าหมิงเวยในร่างเล็กค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่างเป็นตัวเขาเอง จากนั้นก็นั่งอยู่ในคุกอย่างปกติ แล้วมือของเขาก็ถูกคว้าไว้

นี่เป็นมือจริงๆ ทั้งเรียวและนุ่ม อบอุ่นและมั่นคง

หยางชูพบว่าตัวเองล้มทับอะไรบางอย่าง และเมื่อเขาจ้องมอง มันก็กลายเป็นนกขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้หมิงเวยนั่งข้างกายเขาและส่งยิ้มให้

เมื่อเห็นรอยยิ้มของนางเขาก็สัมผัสได้ว่ามันคือความจริง

เขาออกมาแล้ว

เขาอยู่บนฟ้า

เขากำลังบินกับนาง

“มีเรื่องเล่าในบันทึกตำนานเหล่าเทพ บุตรสาวของฉินมู่กงนามน่งอวี้ ฝันถึงชายหนุ่มรูปงามที่เชี่ยวชาญในการเป่าขลุ่ย นางชื่นชมเขา ฉินมู่กงส่งคนไปตามหาเขาที่เขาฮว๋าชานแล้วเขาก็ได้พบกับเซียนนามเซียวฉื่อ ซึ่งเหมาะสมที่จะเป็นสามีของบุตรสาว หลายปีต่อมาทั้งสองสามีภรรยาค่อยๆ ฝึกฝนจนประสบความสำเร็จได้เป็นเซียน”

หมิงเวยหันศีรษะกลับมามองเขาด้วยรอยยิ้ม “ท่านเป็นลูกหลานราชวงศ์ ไม่ต่างอะไรกับน่งอวี้ ข้าหรือเล่นขลุ่ยเป็นพอดีเลย น่าเสียดายที่ข้าหาหงส์ไม่พบจึงใช้นกทำจากไม้แทน วันนี้พวกเรามาเลียนแบบคนโบราณกันเถิด เป็นคู่รักที่ร่อนเร่ไปทั่ว เป็นคู่สามีภรรยาที่ไม่แยกจากกันท่านว่าอย่างไร”

เมื่อเผชิญกับรอยยิ้มที่สดใสของนางริมฝีปากหยางชูสั่นอยู่นานในที่สุดเขาก็พูดขึ้นว่า “ข้าไม่ใช่สตรี…”

“แล้วอย่างไรเล่า ถ้าท่านเป็นหญิงข้าคงไม่ต้องการ” ไม่รอให้เขาเปิดปากอีก นางยกนิ้วขึ้นทำสัญญาณให้อีกฝ่ายเงียบ “อย่าทำให้เวลาดีๆ เสียเปล่าเลย”

พูดจบนางก็หยิบขลุ่ยมาจ่อที่ริมฝีปาก เสียงขลุ่ยเงียบสงัดปลิวไสวไปตามสายลมในฤดูใบไม้ร่วง หยางชูเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์สว่างราวกับน้ำค้างแข็ง และเห็นความเงียบสงบของสวรรค์และพิภพ

…………

นกไม้ตัวใหญ่ตกลงบนที่สูงที่คุ้นเคย และหยางชูก็เห็นเสวียนเฟยในชุดนักพรตเดินเข้ามา

หมิงเวยดึงเขาให้ลงจากนกไม้ตัวใหญ่ และพูดกับเสวียนเฟยว่า “ขอบคุณ!”

เสวียนเฟยชี้ไปที่นกตัวใหญ่ “ของข้า”

“ได้ๆๆ คืนให้ท่าน” หมิงเวยเตือนเขาอีกครั้ง “ยันต์นี้ใช้ได้แค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น ท่านอย่าได้หลงระเริงล่ะ ตกลงมาจากฟ้ามันไม่สนุกเลย”

“คิดว่าข้าโง่งั้นหรือ” เสวียนเฟยพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เขากอดนกตัวใหญ่แล้วเดินจากไป หยางชูหันศีรษะและมองไปรอบ ๆ และพบว่าที่นี่คือหอดูดาวของเสวียนตูกวัน

“เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่กับเขาที่นี่ได้” หยางชูถาม

หมิงเวยยิ้ม “วันนี้ข้าสามารถไปรับท่านมาได้อย่างราบรื่นต้องขอบคุณเขา”

คุกหลวงมีอะไรให้น่าปล้นกัน แอบออกมาโดยไม่มีผู้ใดรู้เช่นนี้ เสวียนเฟยต้องใช้ความพยายามอย่างมาก คุกหลวงนอกจากมีการป้องกันที่แน่นหนาแล้ว ยังมีข่ายพลังที่เสวียนตูกวันลงไว้ เขาค่อยๆ เปิดช่องโหว่จากนั้นก็ให้หมิงเวยอาศัยโอกาสนี้พาเขาออกมา พูดตามตรงเรียกได้ว่าขโมยสิ่งที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนเองนั่นเอง

“อ้อ” หยางชูพยักหน้า

หมิงเวยดึงเขาให้มานั่งที่ขอบหอดูดาว ความสูงหลายสิบจั้งก็เพียงพอแล้วที่จะนำแสงสว่างของชานเมืองเข้ามาสู่สายตา

“อารมณ์ดีขึ้นหรือไม่”

ได้ยินนางถามเช่นนั้นหยางชูก็อดไม่ได้ที่จะโกรธ “ข้าดูอารมณ์ไม่ดีตรงไหนกัน”

“ไม่งั้นหรือ”

“ไม่”

“ไม่ก็ดี”

หลังเงียบไปสักพักหยางชูก็อารมณ์ไม่ดีอีกครั้ง “แค่นี้หรือ”

หมิงเวยไหวไหล่ “ท่านอยากให้ข้าง้อหรือ”

หยางชูหน้าร้อนเขาหันไปทางอื่น “ผู้ใดอยากให้ท่านง้อกัน!”

“หากท่านไม่พูดข้าก็ไม่ง้อหรอกนะ!”

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งหยางชูพูดขึ้นว่า “ท่านช่วยพูดอะไรให้ข้ามีความสุขได้หรือไม่”

รอยยิ้มของหมิงเวยหายไป “ท่านต้องการยังไม่ยอมรับอีก”

ทั้งสองคนคุยกันเรื่องไร้สาระมากมาย และในที่สุดหยางชูก็รู้สึกว่าเขายังมีชีวิตอยู่

เขามองไปที่ชานเมืองที่สว่างไสวแล้วพูดเสียงเบา “ท่านพาข้าออกมามีเรื่องอยากถามหรือ”

“เปล่า” รอยยิ้มของนางหายไปแทนด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้ามีบางอย่างอยากจะบอกท่าน”

หยางชูรู้สึกสับสนเล็กน้อยและหันไปมองนาง

หมิงเวยมองเข้าไปในดวงตาของเขาและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “มีเรื่องที่ข้าไม่สามารถยืนยันได้ก่อนหน้านี้ข้าเลยไม่ได้บอกท่าน ตอนนี้เรื่องนี้ในที่สุดก็สามารถยืนยันได้แล้วข้าจึงอยากบอกท่าน”

“เรื่องอะไรหรือ”

“ชาติกำเนิดของท่าน” รอยยิ้มของหยางชูแข็งค้าง

หมิงเวยสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง “ท่านไม่อยากฟังหรือ”

หลังจากนั้นไม่นานหยางชูก็ตอบเสียงเบา “เมื่อก่อนข้าอยากรู้เรื่องนี้อยู่เสมอ แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมาข้าได้พบว่าไม่รู้เสียจะดีกว่า ข้าคาดหวังอะไรได้บ้าง บิดาที่ไม่สามารถปฏิบัติต่อบุตรของตนเองเช่นนั้นได้ ท่านย่าที่ไม่มีทางโกหกข้าโดยไม่มีเหตุผลที่ท่านทำเช่นนั้นคงเพราะมีปัญหาจนไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ข้าคิดว่าบางทีมันอาจจะดีที่สุดที่จะใช้ชีวิตตามที่ท่านย่าต้องการ”

“พูดเช่นนี้หมายความว่าท่านไม่อยากฟังใช่หรือไม่” หยางชูเม้มปากไม่พูดอะไร

“ท่านไม่อยากฟังก็ไม่เป็นไร” หมิงเวยพูด “ตราบใดที่ท่านบอกข้าด้วยตนเอง เรื่องนี้ข้าจะไม่พูดถึงอีก”

…………

เวลาดึกดื่นเผยกุ้ยเฟยยังคงนั่งอยู่ในตำหนักหลิงติงโดยที่ยังไม่ได้ชำระกายหรือเปลี่ยนเสื้อผ้า นางไม่ทำอะไร เพียงแค่นั่งอยู่ที่นั่นอย่างสงบ และลูบแหวนหยกในมือของตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“เหนียงเหนียง ดึกแล้วพักผ่อนเถิดเพคะ” นางในถามอย่างเป็นกังวล

เผยกุ้ยเฟยส่ายหน้าแล้วถามนาง “ฝ่าบาทเสด็จไปที่ใดหรือ”

นางในก้มหน้าแล้วตอบเสียงแผ่วเบา “ที่ตำหนักยุ่นซิ่วเพคะ”

ตำหนักยุ่นซิ่ว ตำหนักของฮุ่ยเฟย

ถึงฮุ่ยเฟยจะไม่ได้รับความโปรดปราน แต่ฮ่องเต้ก็เสด็จไปเยี่ยมนางอยู่เสมอ พระองค์แค่เสด็จไปพูดคุยกับนางไม่ได้พักที่ตำหนักด้วย

เผยกุ้ยเฟยยิ้มบางแล้วสั่งการว่า “เอาพู่กันมา”

นางในลังเล “แต่ดึกดื่นเช่นนี้…”

“หากข้าวาดภาพอาจเกิดความรู้สึกอยากนอนก็เป็นได้”

“เพคะ…”

พู่กัน หมึก และกระดาษถูกนำมาวางตรงหน้า เผยกุ้ยเฟยยกพู่กันจุ่มหมึก

หลังวาดเค้าโครงไปสักพักไม่ช้าฉากต้นหลิวพลิ้วไหวตามสายลมในฤดูใบไม้ผลิก็ปรากฏขึ้น นางวาดทีละแผ่น วาดอย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่นานบนพื้นก็เต็มไปด้วยกระดาษ

ในที่สุดนางก็โยนพู่กันออกไปแล้วพูดว่า “เตรียมน้ำ เปิ่นกงอยากชำระกาย”

เมื่อเห็นนางกลับมาเป็นปกตินางในก็ดีใจมาก “หม่อมฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้เพคะ”

เมื่อไม่มีผู้ใดอยู่ตรงหน้าแล้วเผยกุ้ยเฟยหยิบแหวนหยกขึ้นมามองด้วยรอยยิ้มที่อธิบายไม่ถูก ไม่เหมือนคนกำลังเศร้า แต่เหมือนคนรู้สึกโล่งใจมากกว่า

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+