คู่ชะตาบันดาลรัก 384 สอนท่าน

Now you are reading คู่ชะตาบันดาลรัก Chapter 384 สอนท่าน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เส้นทางขากลับนั้นเงียบสงบมาก นอกจากแม่ทัพเซี่ยงที่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วเขามักจะหาข้ออ้างคุยกับหยางชู หนึ่งหรือสองครั้งก็ช่างมัน แต่หลังจากนั้นหยางชูคิดว่าเขามารบกวนจึงพูดออกไป “ท่านอยากถามเรื่องค่ายกลห่วงคู่ใช่หรือไม่” แม่ทัพเซี่ยงเกาหัวแล้วยิ้มอย่างเขินอาย

หยางชูพูด “ค่ายกลห่วงคู่จัดกระบวนแถวไม่ยาก แต่การใช้แรงต่อสู้นั้นทำไม่ได้ในชั่วข้ามคืน ข้าแค่ยืมพวกท่านจัดกระบวนแถว แต่ถ้าต้องต่อสู้ขึ้นมาจริงๆ คาดว่าพวกท่านคงสามารถจัดการหูเหรินได้มากถึงครึ่งหนึ่ง”

“ครึ่งหนึ่งเลยหรือ!” แม่ทัพเซี่ยงตื่นเต้นมาก

หยางชูไม่เข้าใจว่าความตื่นเต้นของเขามาจากไหนกัน “ดูจากคุณสมบัติของผู้ใต้บังคับบัญชาของท่าน ก็คงจะครึ่งหนึ่งฝีมือของพวกเขาไม่เลวเลยทีเดียว”

แม่ทัพเซี่ยงรีบพูด “คุณชายหยางอย่าเข้าใจผิดข้าเพียงแต่ประหลาดใจมากก็เท่านั้น เมื่อก่อนพวกเราเคยเจอพวกหูเหรินต้องมีจำนวนอย่างน้อยสามเท่าของศัตรูถึงจะกล้าต่อสู้ด้วย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะชนะ”

“อ้อ..” หยางชูขบเม้มริมฝีปาก “ขยะจริงๆ” แม่ทัพเซี่ยงยิ้มเจื่อนทันที

“ข้าไม่ได้หมายถึงท่าน” หยางชูพูดเสริมอย่างใจดี “ข้าหมายถึงกองทัพขวาของพวกท่าน ตั้งแต่เหลียงจางลงไปจนถึงทหารระดับล่างล้วนเป็นขยะ”

“….”

อาสวนกระแอมแล้วกล่าวเตือน “คุณชายขอรับ”

ดูเป็นการหยาบคายเกินไปที่ยืมทหารของอีกฝ่ายมา แต่กลับเรียกพวกเขาว่าขยะ แม่ทัพเซี่ยงไม่ได้โต้ตอบอะไรพอหายอับอายแล้วก็กล่าวเสริมว่า “กองทัพขวาของเราต่อสู้น้อยเกินไป…”

หยางชูเหลือบมองเขา “ดูไม่ออกเลย…พวกท่านประเมินตนเองได้ถูกต้องแล้ว”

แม่ทัพเซี่ยงแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจถามอย่างหน้าหนาไปว่า “คุณชายหยาง ค่ายกลห่วงคู่เรียนรู้ได้หรือไม่”

“ท่านอยากเรียนหรือ”

“อืม…”

หยางชูยิ้มบาง “ดูเหมือนว่าพวกท่านจะไม่ใช่ขยะซะทีเดียวอย่างน้อยก็ยินดีที่จะเรียนรู้” แล้วเขาก็ถามว่า “ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าทำไมกระบวนแถวนี้ถึงมีแค่นักรบเกราะเหล็กที่สามารถทำได้”

แม่ทัพเซี่ยงรู้สึกสับสนเล็กน้อย “เพราะพวกเขามีพลังมากเกินไป”

“ท่านโง่หรือเปล่า” หยางชูต่อว่าอย่างไม่เกรงใจ “พละกำลังมากแน่นอนว่าต้องส่งเสริมจะซ่อนไว้ได้อย่างไร”

แม่ทัพเซี่ยงไม่เข้าใจ “ทำไมเล่า”

“เพราะกระบวนแถวนี้เรียนรู้ไม่ง่าย” หยางชูพูด “ทหารทุกคนต้องเชื่อมั่นในสหายของเขาอย่างเต็มที่ แม้ว่ามีดจะถูกฟันที่ด้านหลังเขาก็จะไม่ลังเลใจ อย่าคิดว่าปกติแล้วนักรบเกราะเหล็กจะไม่ติดต่อกัน พวกเขาเชื่อใจกันมากกว่าพี่น้องพวกเขาฝึกฝนอย่างต่อเนื่องให้กระบวนแถวนี้เข้าไปอยู่ในสายเลือด ตราบใดที่พวกเขาได้ยินเสียงกลองพวกเขาก็สามารถสู้รบได้”

แม่ทัพเซี่ยงครุ่นคิด “อ้อ…”

“เพราะฉะนั้นค่ายกลห่วงคู่จึงไม่เหมาะกับคนจำนวนมากที่จะฝึกฝน นักรบเกราะเหล็กสามพันนายคือจำนวนสูงสุดแล้ว ท่านย่าข้าบอกว่าอันที่จริงหนึ่งพันคนคือจำนวนที่ค่ายกลห่วงคู่มีประสิทธิภาพมากที่สุด”

แม่ทัพเซี่ยงพยักหน้าแล้วมองเขาด้วยสายตากระตือรือร้น “ถ้าเช่นนั้นข้าสามารถเรียนได้ใช่หรือไม่”

“เรียนมันก็เรียนได้ แต่ทหารของท่านจะทำได้หรือไม่เล่า” หยางชูเหล่มองเขา “หากท่านทำได้ข้าก็จะสอนท่าน”

แม่ทัพเซี่ยงดีใจมากเดิมทีเขาเคยลองฝึกแล้ว แต่ตอนนั้นไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก ผู้ใดจะรู้ว่าหยางชูเป็นคนตรงไปตรงมาเช่นนี้ “คุณชายหยางเต็มใจสอนข้าใช่หรือไม่”

“ข้าสอนท่านได้ แต่ไม่รับประกันว่าท่านจะเรียนรู้ได้มากเพียงใด แต่ท่านต้องรับปากข้าว่าเรื่องนี้ต้องเก็บเป็นความลับให้ผู้อื่นรู้ไม่ได้ว่าข้าเป็นผู้สอน และห้ามบอกทหารเหล่านี้ว่าสิ่งที่เขาเรียนคือค่ายกลห่วงคู่เด็ดขาด”

แม่ทัพเซี่ยงพยักหน้ารัว “ได้! ข้าทำได้แน่นอนขอรับ”

“ดี! พวกเราไม่ต้องรีบกลับสอนท่านไม่กี่วันก็เพียงพอแล้ว หากท่านทำไม่ได้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”

“ขอรับๆๆ” แม่ทัพเซี่ยงรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณของหยางชูเป็นอย่างยิ่ง

………

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะปัจจัยทางจิตวิทยาหรือไม่ หมิงเวยรู้สึกว่าอาการบาดเจ็บภายในของตนนั้นดีขึ้นมาก

ในตอนที่หยางชูสอนแม่ทัพเซี่ยงนางก็นั่งดูอยู่ข้างๆ ด้วย เขาไม่ใช่ครูที่ดี นักมักจะสอนออกไปไม่กี่คำแล้วตำหนิออกมาเสียงดังเนื้อหาประมาณว่า

“ทำไมถึงได้โง่เช่นนี้”

“โง่จริง!”

“เมื่อครู่บอกไปแล้วไม่เข้าใจหรือ” แม่ทัพเซี่ยงถูกต่อว่าซะเละ แต่เขาก็ไม่พูดอะไรออกมา รอจนเขากลับไปฝึกทบทวนเองหมิงเวยจึงถามออกไปว่า “ทำไมท่านใจดีเสียจริง ในเมื่อเป็นความลับของนักรบเกราะเหล็กก็ไม่ควรสอนผู้ใดง่ายๆ ไม่ใช่หรือเจ้าคะ”

หยางชูหยิบผลไม้หวานๆ เข้าปากแล้วตอบว่า “อืม…พูดตามตรง เฉพาะคนระดับเหลียงจางเท่านั้นที่เขาสามารถเรียนรู้กระบวนแถวนี้ได้ นักรบเกราะเหล็กต่างแยกย้ายกันสอน รู้พื้นฐานแต่ไม่รู้ทั้งหมด”

“แต่ท่านก็ยังสอนเขางั้นหรือ”

หยางชูยัดผลไม้หวานใส่ปากของนางแล้วพูดว่า “ท่านกับตาเฒ่าฟู่นั่นสนับสนุนให้ข้ามาซีเป่ยเพื่อเลี้ยงม้าจริงๆ หรือ พูดตามตรงแล้วไม่ใช่เพื่อให้ข้าวางรากฐานที่ซีเป่ยหรอกหรือ ปราบแค่พวกโจรจะไปนับอะไรได้ กองทัพซีเป่ยต่างหากคือเป้าหมายใช่หรือไม่”

หมิงเวยหัวเราะรสชาติหวานของผลไม้ยังคาอยู่ในปาก “ข้าคิดว่าท่านไม่พอใจเรื่องนี้เสียอีก เมื่อมาถึงเกาถางไม่เห็นอยากพูดคุยกับกองทัพซีเป่ยเลยสักนิดเดียว”

“นั่นเพื่อให้เขาวางใจ” หยางชูคายเมล็ดออกจากปาก “ข้าถูกเนรเทศออกจากเมืองหลวงแล้วยังมาพัวพันกับกองทัพซีเป่ยอีก ท่านคิดว่าคนผู้นั้นจะทนได้หรือ จงซู่ข้าไม่กล้าทักทายด้วยหรอกเขามีความระแวดระวังกับตระกูลจงอยู่ ส่วนเหลียงจางเป็นคนสนิทของเขา หากข้ามาทักทายเขาไม่น่าตื่นตระหนกไปหรือ ครั้งนี้เพราะท่านเกิดเรื่องเลยหาเหตุผลมาคุยได้ ส่วนคนแซ่เซี่ยงผู้นี้ดูไร้ความสามารถไปหน่อย แต่ก็มีความกล้า เสียดายที่มาอยู่กองทัพขวา”

ทหารที่ไร้ความสามารถเป็นเพียงทหาร แต่ผู้บังคับบัญชาที่ไร้ความสามารถจะนำทีมทหารที่ไร้ความสามารถออกมาได้อย่างไร เหลียงจางเป็นคนขี้ขลาด รู้เพียงแค่ว่าต้องปกป้องเป่ยเทียนเหมินไม่กล้ารบกับหูเหริน แม้แต่คนที่ส่งมาผู้ใต้บังคับบัญชาของเขายังขี้ขลาด อยู่โง่ๆ ไปวันๆ

นี่คือสถานที่ที่ผู้คนมารวมกัน และโรคบางชนิดสามารถแพร่ระบาดได้ฝูงหมาป่าที่มีกระต่ายอยู่หนึ่งตัวจะค่อยๆ กลายเป็นกระต่าย โชคดีที่ไม่ใช่หมาป่าทุกตัวที่กลายเป็นกระต่าย และเขาโชคดีที่ได้พบกับคนที่สามารถแปลงร่างได้

“ข้าเองก็เคลื่อนไหวมากไม่ได้ดังนั้นเลยถือว่าให้โอกาสเขา ถ้าเขาทำสิ่งที่เป็นไปได้จริงๆ ในอนาคตเขาจะไม่เป็นเหมือนกับเหลียงจางอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะเปรียบเสมือนอาจารย์ของเขาจะมีความชอบเล็กน้อยได้อย่างไรกัน”

หลังจากพูดจบเขาก็ก้มหน้าลง และเห็นหมิงเวยมองมาที่เขาด้วยดวงตาที่สดใสเป็นประกาย หยางชูกระแอมด้วยความเขินอายเล็กน้อย “ทำไมท่านมองข้าเช่นนั้นเล่า”

“เพราะท่านดูดีมาก!”

“…”

หมิงเวยหัวเราะเสร็จก็พูดว่า “ท่านเริ่มทำสิ่งนี้อย่างจริงจังเพื่อข้าหรือเจ้าคะ”

หยางชูยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “ก็เป็นเหตุผลหนึ่ง แต่ข้าเองก็เห็นได้ชัดเจนจึงต้องทำอย่างจริงจังไม่เช่นนั้นก็จะมีหลายสิ่งที่ทำไม่ได้”

เขาก้มหน้ามองฝ่ามือตนเอง “อย่างเช่นแผ่นดินต้าฉีสายเลือดตระกูลเจียง อย่างเช่น…ท่านแม่ของข้า”

หมิงเวยเอื้อมมือไปลูบผมของเขา และกระซิบว่า “ตอนแรกข้าลังเลมากว่าคิดถูกหรือไม่ที่ผลักดันท่านให้เดินในเส้นทางนี้ ข้าไม่ต้องการที่จะบังคับให้ท่านเปลี่ยนเจตจำนง แต่ตอนนี้ข้าวางใจแล้ว ท่านแข็งแกร่งกว่าที่ข้าคิดไว้มาก แข็งแกร่งกว่าข้าด้วยซ้ำ บางทีครั้งนี้ข้าอาจจะประสบความสำเร็จจริงๆ”

“ไม่ เป็นพวกเราต่างหากเล่า” เขาเอื้อมมือไปจับมือนาง

…………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

คู่ชะตาบันดาลรัก 384 สอนท่าน

Now you are reading คู่ชะตาบันดาลรัก Chapter 384 สอนท่าน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เส้นทางขากลับนั้นเงียบสงบมาก นอกจากแม่ทัพเซี่ยงที่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วเขามักจะหาข้ออ้างคุยกับหยางชู หนึ่งหรือสองครั้งก็ช่างมัน แต่หลังจากนั้นหยางชูคิดว่าเขามารบกวนจึงพูดออกไป “ท่านอยากถามเรื่องค่ายกลห่วงคู่ใช่หรือไม่” แม่ทัพเซี่ยงเกาหัวแล้วยิ้มอย่างเขินอาย

หยางชูพูด “ค่ายกลห่วงคู่จัดกระบวนแถวไม่ยาก แต่การใช้แรงต่อสู้นั้นทำไม่ได้ในชั่วข้ามคืน ข้าแค่ยืมพวกท่านจัดกระบวนแถว แต่ถ้าต้องต่อสู้ขึ้นมาจริงๆ คาดว่าพวกท่านคงสามารถจัดการหูเหรินได้มากถึงครึ่งหนึ่ง”

“ครึ่งหนึ่งเลยหรือ!” แม่ทัพเซี่ยงตื่นเต้นมาก

หยางชูไม่เข้าใจว่าความตื่นเต้นของเขามาจากไหนกัน “ดูจากคุณสมบัติของผู้ใต้บังคับบัญชาของท่าน ก็คงจะครึ่งหนึ่งฝีมือของพวกเขาไม่เลวเลยทีเดียว”

แม่ทัพเซี่ยงรีบพูด “คุณชายหยางอย่าเข้าใจผิดข้าเพียงแต่ประหลาดใจมากก็เท่านั้น เมื่อก่อนพวกเราเคยเจอพวกหูเหรินต้องมีจำนวนอย่างน้อยสามเท่าของศัตรูถึงจะกล้าต่อสู้ด้วย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะชนะ”

“อ้อ..” หยางชูขบเม้มริมฝีปาก “ขยะจริงๆ” แม่ทัพเซี่ยงยิ้มเจื่อนทันที

“ข้าไม่ได้หมายถึงท่าน” หยางชูพูดเสริมอย่างใจดี “ข้าหมายถึงกองทัพขวาของพวกท่าน ตั้งแต่เหลียงจางลงไปจนถึงทหารระดับล่างล้วนเป็นขยะ”

“….”

อาสวนกระแอมแล้วกล่าวเตือน “คุณชายขอรับ”

ดูเป็นการหยาบคายเกินไปที่ยืมทหารของอีกฝ่ายมา แต่กลับเรียกพวกเขาว่าขยะ แม่ทัพเซี่ยงไม่ได้โต้ตอบอะไรพอหายอับอายแล้วก็กล่าวเสริมว่า “กองทัพขวาของเราต่อสู้น้อยเกินไป…”

หยางชูเหลือบมองเขา “ดูไม่ออกเลย…พวกท่านประเมินตนเองได้ถูกต้องแล้ว”

แม่ทัพเซี่ยงแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจถามอย่างหน้าหนาไปว่า “คุณชายหยาง ค่ายกลห่วงคู่เรียนรู้ได้หรือไม่”

“ท่านอยากเรียนหรือ”

“อืม…”

หยางชูยิ้มบาง “ดูเหมือนว่าพวกท่านจะไม่ใช่ขยะซะทีเดียวอย่างน้อยก็ยินดีที่จะเรียนรู้” แล้วเขาก็ถามว่า “ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าทำไมกระบวนแถวนี้ถึงมีแค่นักรบเกราะเหล็กที่สามารถทำได้”

แม่ทัพเซี่ยงรู้สึกสับสนเล็กน้อย “เพราะพวกเขามีพลังมากเกินไป”

“ท่านโง่หรือเปล่า” หยางชูต่อว่าอย่างไม่เกรงใจ “พละกำลังมากแน่นอนว่าต้องส่งเสริมจะซ่อนไว้ได้อย่างไร”

แม่ทัพเซี่ยงไม่เข้าใจ “ทำไมเล่า”

“เพราะกระบวนแถวนี้เรียนรู้ไม่ง่าย” หยางชูพูด “ทหารทุกคนต้องเชื่อมั่นในสหายของเขาอย่างเต็มที่ แม้ว่ามีดจะถูกฟันที่ด้านหลังเขาก็จะไม่ลังเลใจ อย่าคิดว่าปกติแล้วนักรบเกราะเหล็กจะไม่ติดต่อกัน พวกเขาเชื่อใจกันมากกว่าพี่น้องพวกเขาฝึกฝนอย่างต่อเนื่องให้กระบวนแถวนี้เข้าไปอยู่ในสายเลือด ตราบใดที่พวกเขาได้ยินเสียงกลองพวกเขาก็สามารถสู้รบได้”

แม่ทัพเซี่ยงครุ่นคิด “อ้อ…”

“เพราะฉะนั้นค่ายกลห่วงคู่จึงไม่เหมาะกับคนจำนวนมากที่จะฝึกฝน นักรบเกราะเหล็กสามพันนายคือจำนวนสูงสุดแล้ว ท่านย่าข้าบอกว่าอันที่จริงหนึ่งพันคนคือจำนวนที่ค่ายกลห่วงคู่มีประสิทธิภาพมากที่สุด”

แม่ทัพเซี่ยงพยักหน้าแล้วมองเขาด้วยสายตากระตือรือร้น “ถ้าเช่นนั้นข้าสามารถเรียนได้ใช่หรือไม่”

“เรียนมันก็เรียนได้ แต่ทหารของท่านจะทำได้หรือไม่เล่า” หยางชูเหล่มองเขา “หากท่านทำได้ข้าก็จะสอนท่าน”

แม่ทัพเซี่ยงดีใจมากเดิมทีเขาเคยลองฝึกแล้ว แต่ตอนนั้นไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก ผู้ใดจะรู้ว่าหยางชูเป็นคนตรงไปตรงมาเช่นนี้ “คุณชายหยางเต็มใจสอนข้าใช่หรือไม่”

“ข้าสอนท่านได้ แต่ไม่รับประกันว่าท่านจะเรียนรู้ได้มากเพียงใด แต่ท่านต้องรับปากข้าว่าเรื่องนี้ต้องเก็บเป็นความลับให้ผู้อื่นรู้ไม่ได้ว่าข้าเป็นผู้สอน และห้ามบอกทหารเหล่านี้ว่าสิ่งที่เขาเรียนคือค่ายกลห่วงคู่เด็ดขาด”

แม่ทัพเซี่ยงพยักหน้ารัว “ได้! ข้าทำได้แน่นอนขอรับ”

“ดี! พวกเราไม่ต้องรีบกลับสอนท่านไม่กี่วันก็เพียงพอแล้ว หากท่านทำไม่ได้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”

“ขอรับๆๆ” แม่ทัพเซี่ยงรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณของหยางชูเป็นอย่างยิ่ง

………

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะปัจจัยทางจิตวิทยาหรือไม่ หมิงเวยรู้สึกว่าอาการบาดเจ็บภายในของตนนั้นดีขึ้นมาก

ในตอนที่หยางชูสอนแม่ทัพเซี่ยงนางก็นั่งดูอยู่ข้างๆ ด้วย เขาไม่ใช่ครูที่ดี นักมักจะสอนออกไปไม่กี่คำแล้วตำหนิออกมาเสียงดังเนื้อหาประมาณว่า

“ทำไมถึงได้โง่เช่นนี้”

“โง่จริง!”

“เมื่อครู่บอกไปแล้วไม่เข้าใจหรือ” แม่ทัพเซี่ยงถูกต่อว่าซะเละ แต่เขาก็ไม่พูดอะไรออกมา รอจนเขากลับไปฝึกทบทวนเองหมิงเวยจึงถามออกไปว่า “ทำไมท่านใจดีเสียจริง ในเมื่อเป็นความลับของนักรบเกราะเหล็กก็ไม่ควรสอนผู้ใดง่ายๆ ไม่ใช่หรือเจ้าคะ”

หยางชูหยิบผลไม้หวานๆ เข้าปากแล้วตอบว่า “อืม…พูดตามตรง เฉพาะคนระดับเหลียงจางเท่านั้นที่เขาสามารถเรียนรู้กระบวนแถวนี้ได้ นักรบเกราะเหล็กต่างแยกย้ายกันสอน รู้พื้นฐานแต่ไม่รู้ทั้งหมด”

“แต่ท่านก็ยังสอนเขางั้นหรือ”

หยางชูยัดผลไม้หวานใส่ปากของนางแล้วพูดว่า “ท่านกับตาเฒ่าฟู่นั่นสนับสนุนให้ข้ามาซีเป่ยเพื่อเลี้ยงม้าจริงๆ หรือ พูดตามตรงแล้วไม่ใช่เพื่อให้ข้าวางรากฐานที่ซีเป่ยหรอกหรือ ปราบแค่พวกโจรจะไปนับอะไรได้ กองทัพซีเป่ยต่างหากคือเป้าหมายใช่หรือไม่”

หมิงเวยหัวเราะรสชาติหวานของผลไม้ยังคาอยู่ในปาก “ข้าคิดว่าท่านไม่พอใจเรื่องนี้เสียอีก เมื่อมาถึงเกาถางไม่เห็นอยากพูดคุยกับกองทัพซีเป่ยเลยสักนิดเดียว”

“นั่นเพื่อให้เขาวางใจ” หยางชูคายเมล็ดออกจากปาก “ข้าถูกเนรเทศออกจากเมืองหลวงแล้วยังมาพัวพันกับกองทัพซีเป่ยอีก ท่านคิดว่าคนผู้นั้นจะทนได้หรือ จงซู่ข้าไม่กล้าทักทายด้วยหรอกเขามีความระแวดระวังกับตระกูลจงอยู่ ส่วนเหลียงจางเป็นคนสนิทของเขา หากข้ามาทักทายเขาไม่น่าตื่นตระหนกไปหรือ ครั้งนี้เพราะท่านเกิดเรื่องเลยหาเหตุผลมาคุยได้ ส่วนคนแซ่เซี่ยงผู้นี้ดูไร้ความสามารถไปหน่อย แต่ก็มีความกล้า เสียดายที่มาอยู่กองทัพขวา”

ทหารที่ไร้ความสามารถเป็นเพียงทหาร แต่ผู้บังคับบัญชาที่ไร้ความสามารถจะนำทีมทหารที่ไร้ความสามารถออกมาได้อย่างไร เหลียงจางเป็นคนขี้ขลาด รู้เพียงแค่ว่าต้องปกป้องเป่ยเทียนเหมินไม่กล้ารบกับหูเหริน แม้แต่คนที่ส่งมาผู้ใต้บังคับบัญชาของเขายังขี้ขลาด อยู่โง่ๆ ไปวันๆ

นี่คือสถานที่ที่ผู้คนมารวมกัน และโรคบางชนิดสามารถแพร่ระบาดได้ฝูงหมาป่าที่มีกระต่ายอยู่หนึ่งตัวจะค่อยๆ กลายเป็นกระต่าย โชคดีที่ไม่ใช่หมาป่าทุกตัวที่กลายเป็นกระต่าย และเขาโชคดีที่ได้พบกับคนที่สามารถแปลงร่างได้

“ข้าเองก็เคลื่อนไหวมากไม่ได้ดังนั้นเลยถือว่าให้โอกาสเขา ถ้าเขาทำสิ่งที่เป็นไปได้จริงๆ ในอนาคตเขาจะไม่เป็นเหมือนกับเหลียงจางอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะเปรียบเสมือนอาจารย์ของเขาจะมีความชอบเล็กน้อยได้อย่างไรกัน”

หลังจากพูดจบเขาก็ก้มหน้าลง และเห็นหมิงเวยมองมาที่เขาด้วยดวงตาที่สดใสเป็นประกาย หยางชูกระแอมด้วยความเขินอายเล็กน้อย “ทำไมท่านมองข้าเช่นนั้นเล่า”

“เพราะท่านดูดีมาก!”

“…”

หมิงเวยหัวเราะเสร็จก็พูดว่า “ท่านเริ่มทำสิ่งนี้อย่างจริงจังเพื่อข้าหรือเจ้าคะ”

หยางชูยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “ก็เป็นเหตุผลหนึ่ง แต่ข้าเองก็เห็นได้ชัดเจนจึงต้องทำอย่างจริงจังไม่เช่นนั้นก็จะมีหลายสิ่งที่ทำไม่ได้”

เขาก้มหน้ามองฝ่ามือตนเอง “อย่างเช่นแผ่นดินต้าฉีสายเลือดตระกูลเจียง อย่างเช่น…ท่านแม่ของข้า”

หมิงเวยเอื้อมมือไปลูบผมของเขา และกระซิบว่า “ตอนแรกข้าลังเลมากว่าคิดถูกหรือไม่ที่ผลักดันท่านให้เดินในเส้นทางนี้ ข้าไม่ต้องการที่จะบังคับให้ท่านเปลี่ยนเจตจำนง แต่ตอนนี้ข้าวางใจแล้ว ท่านแข็งแกร่งกว่าที่ข้าคิดไว้มาก แข็งแกร่งกว่าข้าด้วยซ้ำ บางทีครั้งนี้ข้าอาจจะประสบความสำเร็จจริงๆ”

“ไม่ เป็นพวกเราต่างหากเล่า” เขาเอื้อมมือไปจับมือนาง

…………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+