คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา 461 หูเฟิงส่งจดหมายมา (4) / 462 หูเฟิงส่งจดหมายมา (5)
ตอนที่ 461 หูเฟิงส่งจดหมายมา (4)
ไป๋จื่อตบหลังมือของนาง เอ่ยปลอบโยนเสียงเบาว่า “ท่านอย่าได้กังวลไปเลยนะเจ้าคะ มีข้าอยู่ทั้งคน ที่นี่มีข้าอยู่ด้วยทั้งคน”
หมอลู่พานางเข้าไปในเรือน ตอนนี้หัวหน้าหมู่บ้านนอนอยู่บนเตียง สลบไสลไม่ได้สติ สีหน้าแดงเถือก แดงเสียจนผิดธรรมดา
นางก้าวเข้าไปเปิดเปลือกตาของหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อตรวจสอบดู จากนั้นก็ฟังเสียงหัวใจเต้นของเขา สุดท้ายถึงลองจับชีพจร
ไป๋จื่อกล่าวกับหมอลู่ว่า “อารมณ์ทั้งห้า[1]ถูกกระตุ้นอย่างหนักจนส่งผลถึงเลือดลมภายใน เร็วเจ้าค่ะ ขอเข็มให้ข้าที”
หมอลู่หมุนกายไปหยิบเข็มจากในล่วมยา ก่อนจะส่งให้ไป๋จื่อพลางถาม “ตอนนี้เขามีอาการลมชักร่วมด้วย เจ้าแน่ใจหรือว่าจะฝังเข็ม”
เด็กสาวยังคงไม่หยุดขยับมือ นางหยิบเข็มออกมาจากในกระเป๋าเข็มอย่างรวดเร็ว “ตอนนี้ต้องฝังเข็มก่อนเจ้าค่ะ ขืนชักช้าไปกว่านี้จะไม่ทันกาลเอา” ขณะที่เอ่ยวาจา เข็มเงินในมือของนางก็ยังคงปักลงตามจุดไป๋ฮุ่ยบนศีรษะหัวหน้าหมู่บ้าน
หมอลู่ตกใจไม่น้อย นั่นเป็นถึงจุดไป่ฮุ่ย หากไม่ระวังยามที่ฝังเข็มแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจจะทำให้คนไข้ตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตายได้ ไป๋จื่อไม่เพียงฝังเข็มลงไปเท่านั้น ท่าทางของนางยังดูสบายๆ อีกต่างหาก…
จากนั้นก็เป็นจุดตางหยาง[2] ต่อด้วยจุดหยางไป๋[3] จุดจ่านจู้[4] แม้แต่จุดอิ้นถัง[5] ทั้งหมดล้วนเป็นจุดอันตรายในศาสตร์การฝังเข็ม เพราะไม่เพียงแต่เป็นจุดที่ต้องระวังเป็นอย่างยิ่งแล้ว ก็ยังไม่อาจแตะต้องกันได้ง่ายๆ อีกด้วย
กระนั้น นางกลับลงเข็มรวดเร็วราวกับโบยบิน แทงเข็มแล้วเข็มเล่า อย่างกับเล่นสนุกอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากฝังบนบริเวณศีรษะเสร็จหมดแล้ว นางก็เปิดเสื้อผ้าของหัวหน้าหมู่บ้าน แทงเข็มที่จุดชี่ไห่[6]ไปจนถึงจุดกานซู[7] และจุดผีซู[8]อีกสองจุด
ครั้นเห็นไป๋จื่อหยุดแทงเข็ม หมอลู่ถึงจะเริ่มถามว่า “จื่อยาโถว นี่คือวิชาฝังเข็มอะไรกัน เจ้าคงไม่ได้ฝังไปมั่วๆ ใช่หรือไม่”
ไป๋จื่อเช็ดเม็ดเหงื่อที่ซึมออกมาบนหน้าผาก นางยิ้มเอ่ยว่า “ดูท่านพูดเข้าสิเจ้าคะ ข้าจะนำชีวิตคนมาล้อเล่นได้อย่างไร ท่านอย่าได้สนใจเลยว่าวิชานี้ของข้าเป็นวิชาฝังเข็มอะไร เพราะอีกเดี๋ยวหัวหน้าหมู่บ้านตื่นขึ้นมาก็ใช้ได้แล้วไม่ใช่หรือ”
“เช่นนั้นแท้จริงแล้วเขามีอาการลมชักจริงหรือไม่” หมอลู่ถามอีก
เด็กสาวพยักหน้า “เขามีอาการลมชักจริงเจ้าค่ะ แต่โชคดีที่ช่วยไว้ได้ทัน ไม่เช่นนั้นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคงยากที่จะคาดเดาได้”
หลี่ซื่อที่อยู่ข้างๆ รีบพูดขึ้นมาบ้าง “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้านะ ข้าเพียงพูดกับเขาไม่กี่ประโยค เขาก็กลายเป็นเช่นนี้ไปเสียแล้ว ข้าไม่ได้ลงไม้ลงมือเลย ข้าไม่ได้ลงไม้ลงมือจริงๆ”
“เจ้ายังมีหน้ามาบอกว่าไม่เกี่ยวกับเจ้าอีกหรือ หากไม่ใช่เพราะเจ้ามาหาเรื่อง เขาจะโมโหจนมีสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร” ฮูหยินอันกล่าวด้วยโทสะ
“โมโหจนมีสภาพเช่นนี้? พูดเช่นนี้แสดงว่าขอเพียงโมโหก็ป่วยได้แล้วหรือไร ลูกชายของท่านรับอารมณ์โมโหของข้าทุกวัน ไยข้าไม่เห็นเขาป่วยไข้บ้างเลย” หลี่ซื่อพูดเสียงดัง
ฮูหยินอันโมโหจนตัวสั่น ไป๋จื่อจึงเข้าไปกุมมือของนางไว้ ก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “ท่านอย่าโมโหไปนะเจ้าคะ มีข้าอยู่ที่นี่แล้ว” จากนั้นนางก็หันหน้าไปมองหลี่ซื่อที่มีสีหน้าซีดเซียวแวบหนึ่ง “คนทั่วๆ ไปโมโหแล้วไม่มีทางป่วยไข้จริงๆ นั่นแหละ แต่ท่านหัวหน้าหมู่บ้านไม่เหมือนกับสามีของเจ้า เพราะท่านหัวหน้าหมู่บ้านอายุมากแล้ว บวกกับช่วงนี้อากาศเปลี่ยนเร็ว และเปลี่ยนไปมากทีเดียว ส่งผลกระทบถึงการไหลเวียนโลหิต เมื่อความเย็นยังหลงเหลืออยู่ในร่างกาย เลือดจะแข็งค้างอยู่ภายใน จนทำให้เส้นเลือดไม่โปร่งโล่ง เดิมทีนี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เป็นอาการไข้หวัดที่พบได้ทั่วๆ ไป หลังจากดูแลรักษาร่างกายอย่างดีสักสองสามวัน รักษาความอบอุ่นให้กับร่างกายก็เป็นอันใช้ได้แล้ว กระนั้น บังเอิญนักที่อาการไข้หวัดของท่านหัวหน้าหมู่บ้านยังไม่หายดี เจ้าก็มายั่วเย้าเขาถึงบ้านแล้ว ใช้วาจากระตุ้นเขา ทำให้อารมณ์ทั้งห้าเพิ่มมากกขึ้นจนเกินไป หัวใจเต้นแรงราวกับจะระเบิด ถึงได้ทำให้เขาเกิดอาการลมชักเช่นนี้”
หลี่ซื่อเป็นสตรีชั่วร้ายตามแบบฉบับคนหนึ่ง นางไม่เคยเรียนหนังสือ ไหนเลยจะเข้าใจทฤษฎียาวเหยียดที่ไป๋จื่อกล่าวมา นางรู้เพียงผลลัพธ์สุดท้ายเท่านั้น ไป๋จื่อบอกว่าเพราะคำพูดของนางกระตุ้นหัวหน้าหมู่บ้าน ทำให้เขาล้มป่วย นั่นเท่ากับว่าโยนความผิดให้นางไม่ใช่หรือ
นางย่อมไม่ยอม จึงสวนกลับโดยพลัน “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร แค่เด็กบ้านนอกที่เก็บมาเลี้ยงจากในป่าคนหนึ่ง วาจาของเจ้าถือเป็นความศักดิ์สิทธิ์หรือไร เจ้าก็แค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น ข้าบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับข้า เช่นนั้นก็ไม่เกี่ยวข้องกับข้าจริงๆ เจ้าจะทำอะไรข้าได้”
……….
ตอนที่ 462 หูเฟิงส่งจดหมายมา (5)
ไป๋จื่อถอนใจเสียงหนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้า “ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก และไม่คิดจะทำอะไรกับเจ้าด้วย เพราะข้ามั่นใจว่าข้ารักษาท่านหัวหน้าหมู่บ้านให้หายได้ และไม่จำเป็นให้เจ้าออกค่าตรวจรักษาด้วย เพียงหวังว่าต่อไปเจ้าจะไม่ทำความผิดพลาดเช่นนี้อีก ร่างกายของคน โดยเฉพาะร่างกายของคนแก่ เขาทนรับการกระตุ้นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ได้หรอก”
หลี่ซื่อยังคิดจะพูดต่อ ทว่าหวังซู่เกินที่ยืนอยู่ข้างๆ ยื่นมือไปรั้งนางไว้ ทั้งยังมองหน้าด้วยสีหน้าเว้าวอน “ไม่ต้องพูดแล้ว พวกเรากลับกันเถอะ”
เสียง ‘เพียะ’ ดังลั่น หลี่ซื่อตบหน้าหวังซู่เกินอย่างแรง ก่อนจะกล่าวด้วยโทสะว่า “หวังซู่เกิน เจ้าหมายความว่าอย่างไร แม้แต่เจ้าก็ไม่ให้ข้าพูดรึ แท้จริงแล้วเจ้ายืนอยู่ฝั่งไหนกันแน่ เจ้ายังเป็นบุรุษของข้าอยู่หรือไม่ ภรรยาของเจ้าถูกเด็กบ้านป่าคนหนึ่งรังแกเช่นนี้ เจ้าตาบอดหรือไร ไยถึงมองไม่เห็น”
นางเผยนิสัยที่แท้จริงออกมาแล้ว ก่อนหน้านี้นางตกอกตกใจเพราะพ่อสามีตั้งเนิ่นนาน ก่อนจะได้ยินไป๋จื่อกล่าวว่ามั่นใจในการรักษา นางถึงจะคลายใจลงได้ในที่สุด เมื่อคลายใจลงได้เช่นนี้ เนื้อแท้ของนางย่อมระเบอดออกมาเป็นธรรมดา
หวังซู่เกินรู้สึกถึงไฟและความรู้สึกแสบร้อนบนใบหน้า ในเรือนมีดวงตาหลายคู่จับจ้องมาทางเขา แม้พวกเขาจะไม่ได้พูดอะไร แต่เขาราวกับได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของพวกเขา ทั้งยังต่อว่าเขาไม่ใช่ชายชาตรี ถึงได้ถูกสตรีรังแกแล้วยังไม่บังอาจตอบโต้ พ่อแท้ๆ ของตนเองถูกสตรีชั่วร้ายผู้นี้ทำร้ายจิตใจจนเกือบตาย แต่เขากลับไม่กล้าพูดอะไรแม้สักคำ เขายังเป็นบุรุษอยู่หรือไม่
หลี่ซื่อยังคงต่อว่าต่างๆ นานาไม่ยอมหยุด จึงไม่ได้สังเกตเห็นว่าบุรุษของตนมีสีหน้าเปลี่ยนไปมากเพียงใด
เสียง ‘เพียะ!’ ดังกังวานอีกครั้ง เป็นการตบหน้าอีกครั้งหนึ่ง
ครั้งนี้เป็นหวังซู่เกินตบหลี่ซื่อ
ตบครั้งนี้ทำให้หลี่ซื่อมึนงง นางเบิกตาโพลงมองหวังซู่เงิน พูดไม่ออกแม้สักประโยคเดียว ตั้งแต่นางแต่งให้หวังซู่เกิน ก็มีเพียงนางที่เป็นฝ่ายลงมือ หวังซู่เกินไม่เพียงนิ่งเฉย ทั้งยังไม่เคยปริปากต่อว่านางสักคำ
“ข้าไว้หน้าเจ้าแล้ว แต่เจ้ายังไม่หยุดอีกหรือนี่ เจ้าเห็นว่าข้าหวังซื่อเกินกลัวเจ้านักใช่หรือไม่” หลี่ซื่องดงามเพียบพร้อมยามแต่งให้เขา ส่วนเขาทั้งจน ทั้งขี้เหร่ เขาคิดเสมอว่าหลี่ซื่อแต่งให้เขาแล้ว ทั้งชีวิตของเขาจะมีแต่ความสุขสงบ เขาจึงทำดีกับนางเป็นพิเศษ ใครจะคาดคิดว่าความดีของเขาจะกลายเป็นความอ่อนแอในสายตาของนาง กลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้นางรังแกเขา ไปจนถึงพ่อแม่ของเขาด้วย
เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้ วันที่เขาจะตบหน้าหลี่ซื่อเช่นที่นางเคยทำ เดิมทีเขาคิดว่านี่จะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีทางเกิดขึ้น และเป็นเรื่องที่ยากนักจะเกิดขึ้นได้ แต่วันนี้มันเกิดขึ้นแล้ว เขารู้สึกโล่งใจอยู่บ้าง ราวกับได้ระบายความเจ็บช้ำที่อัดอั้นอยู่ในใจมาเนิ่นนานออกมาทั้งหมด ผ่านหนึ่งฝ่ามือนี้ของเขา
“เจ้าตบข้า? เจ้ากล้าตบข้าหรือนี่” น้ำตาของหลี่ซื่อร่วงผล็อย เพราะไม่ว่าอย่างไรนางก็คิดไม่ถึงเลย ว่าบุรุษตรงหน้านางผู้นี้จะกล้าลงมือกับนางได้
“ข้าตบเจ้าแล้วอย่างไร หากเจ้าไม่อยากอยู่กับข้าแล้ว เช่นนั้นก็กลับบ้านแม่เจ้าไปเสีย คอยดูว่าข้าจะไปรับเจ้ากลับมาหรือไม่ เจ้าจำไว้นะ หากเจ้ายังอยากอยู่กับข้า ก็รู้จักสงบเสงี่ยมเสียบ้าง ขืนทำให้พ่อแม่ของข้าต้องมารองรับอารมณ์ของเจ้าเช่นนี้อีก ข้าจะไม่ตบเจ้าแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวแน่” หวังซู่เกินกล่าว
อย่าว่าแต่หลี่ซื่อโมโหจนทำอะไรไม่ถูกเลย แขกเหรื่อที่อยู่ในเรือนหลายคนก็งุนงง เพราะเรื่องราวกลับตาลปัตรรวดเร็วเหลือเกิน…
ไม่นานนัก หวังซู่เกินก็ดันร่างหลี่ซื่อที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นออกจากเรือนไป และไม่กล่าวอะไรทิ้งท้ายสักคำ
ไป๋จื่อหันไปมองฮูหยินอันที่มีแต่น้ำตานองหน้า ก่อนจะยิ้มกล่าวว่า “ท่านป้าอย่าเสียใจไปเลยเจ้าค่ะ พี่เกินทำถึงเช่นนี้ในวันนี้ ลูกสะใภ้ของท่านจะต้องสำรวมกิริยาสักระยะหนึ่งแน่ วางใจเถอะนะเจ้าคะ”
ฮูหยินอันพยักหน้า นางยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตา พลางมองไป๋จื่อและหมอลู่ด้วยสีหน้าลำบากใจ “ทำให้พวกเจ้าหัวเราะเยาะแล้ว”
เด็กสาวยิ้มจาง “ทุกบ้านล้วนมีปัญหาของตนเอง พวกข้าสกุลไป๋ก็เป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ วันคืนหลังจากนี้จะมีแต่ดีขึ้นเจ้าค่ะ”
……………………………………….
[1] อารมณ์ทั้งห้า (五志) ในทางแพทย์แผนจีนเชื่อว่าอารมณ์ทั้งห้า ได้แก่ โกรธ ดีใจ กังวล กังวล เศร้า กลัว ล้วนสังกัดอวัยวะตันทั้งห้า นั่นก็คือ ตับ หัวใจ ม้าม ปอด ไต
[2] จุดตางหยาง (当阳穴) อยู่เหนือหน้าผากขึ้นไป ตำแหน่งของมันจะอยู่ตรงกับลูกตาดำขณะลืมตามองตรง
[3] จุดหยางไป๋ (阳白穴) อยู่ระหว่างขอบหน้าผากและคิ้ว ตำแหน่งของมันจะอยู่ตรงกับลูกตาดำขณะลืมตามองตรง
[4] จุดจ่านจู่ (攒竹穴) อยู่บริเวณหัวคิ้ว
[5] จุดอิ้นถัง (印堂穴) อยู่ตรงหว่างคิ้ว
[6] จุดชี่ไห่ (气海穴) อยู่บริเวณท้องน้อย บนแนวกึ่งกลางลำตัว ต่ำลงมาจากสะดือเล็กน้อย
[7] จุดกานซู (肝俞穴) อยู่บนแผ่นหลัง อยู่ห่างจากขอบล่างของปุ่มกระดูกสันหลังอกที่ 9 ในแนวระนาบ 1.5 นิ้ว
[8] จุดผีซู (脾俞穴) อยู่บนแผ่นหลัง อยู่ห่างจากขอบล่างของปุ่มกระดูกสันหลังอกที่ 11 ในแนวระนาบ 1.5 นิ้ว
Comments