คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา 539 ชางซูหัง / 540 ครอบครัวคนขี้เกียจ (1)
ตอนที่ 539 ชางซูหัง
ภายในห้องโถง เหอหมิงรออยู่ครู่ใหญ่แล้ว ในที่สุดใต้เท้าเจ้าเมืองก็มาถึงเสียที เขาจึงรีบก้าวเข้าไปทำความเคารพ
ชางซูหังโบกมือ “ไม่ต้องมากพิธี มาหาข้าด้วยเรื่องใด”
เหอหมิงรอเขานั่งลงบนที่นั่งประธานก่อน แล้วจึงนำกล่องกำมะหยี่สีแดงเดินมาข้างหน้า แล้วยื่นมันให้เจ้าบ้าน “ใต้เท้า นี่เป็นสิ่งที่ข้าได้มาโดยบังเอิญ ได้ยินมาว่าท่านกำลังเสาะหาของขวัญวันเฉลิมพระชนม์ให้ไทเฮา ข้าเห็นว่าของสิ่งนี้ไม่เลวเลย น่าจะตรงกับความชื่นชอบของใต้เท้าด้วย ข้าจึงนำมาให้ท่านขอรับ”
ชางซูหังมองเหอหมิงผู้เคารพนบนอบต่อหน้าตน เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย ของขวัญวันเฉลิมพระชนม์ไทเฮา? หมายความว่าของในกล่องนี้จะต้องมีค่าควรเมืองสินะ
“เปิดออกสิ” เขากล่าวเสียเรียบ
เหอหมิงรีบเปิดกล่องกำมะหยี่ออก ภายในกล่องปูด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดง วางไว้ด้วยพู่หยกชิ้นหนึ่ง ตัวหยกเป็นสีขาวผ่อง สลักรูปพระสังกัจจายน์องค์หนึ่ง บนท้องของพระองค์มีสีมรกตเตะตาเป็นอย่างยิ่ง คุณภาพหยกก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน
ชางซูหังถือพู่หยกไว้ในมือ พิจารณาอย่างถี่ถ้วน สังเกตเห็นว่าปลายนิ้วของพระสังกกัจจายน์กลับมีสีแดงชาด ราวกับว่าใครทำเลือดหยดใส่อย่างไรอย่างนั้น
เป็นของดีจริงอย่างที่อีกฝ่ายว่า เขาเห็นของมีค่ามากมายนับไม่ถ้วน แต่พู่หยกที่คุณภาพดีเลิศและมีรูปแบบเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ เขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
หากมอบของชิ้นนี้ให้ไทเฮา จะต้องได้รับความโปรดปรานจากพระนางแน่ ถึงตอนนั้นแล้ว ขอเพียงไทเฮาตรัสถึงความดีความชอบของเขาต่อหน้าฮ่องเต้ เรื่องเลื่อนตำแหน่งของเขาก็ไม่เท่ากับสำเร็จลุล่วงแล้วหรือ
เขาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เจ้าช่างรู้ใจข้านัก”
ครั้นเห็นชางซูหังรับของแล้ว ในที่สุดความกังวลในใจของเหอหมิงก็หายไป เขายิ้มว่า “การได้รับใช้ใต้เท้าถือเป็นเกียรติของข้าขอรับ”
ชางซูหังวางพู่หยกกลับลงไปในกล่องกำมะหยี่ แล้วหันไปมองเหอหมิง “ครั้งก่อนเจ้าอยากให้ข้าช่วยทำอะไรนะ”
เหอหมิงรีบคุกเข่าลง โขกศีรษะต่อหน้าชางซูหัง “โปรดใต้เท้าช่วยให้ข้าสมหวัง!”
ขณะนี้ชางซูหังอารมณ์ดี จึงโบกมือตัดรำคาญ “เอาละ ตอนนี้ข้ามีเวลาว่างพอดี อีกเดี๋ยวจะเขียนจดหมายแนะนำให้เจ้า เจ้าไปหาใต้เท้าซ่งก็พอแล้ว เขาจะจัดการให้เจ้าเอง”
เหอหมิงยิ้มไม่หุบ ก่อนจะโขกศีรษะให้ชางซูหังอีกสองครั้ง เขาเป็นนายอำเภอมาเจ็ดปีเต็มๆ นายอำเภอที่ได้ตำแหน่งมาพร้อมกับเขาก็ไม่รู้ว่าได้เลื่อนตำแหน่งไปแล้วตั้งท่าไร เหลือเพียงเขาที่ติดอยู่ตรงนี้ไม่ขยับขยายสักที
ในที่สุดเขาก็ได้โอกาสแล้ว
หลังจากเหอหมิงไปแล้ว ชางซูหังก็เล่นพู่หยกอยู่ครู่หนึ่ง เขายิ่งมองก็ยิ่งชอบมัน หากไม่ใช่เพราะวันเฉลิมพระชนม์ของไทเฮาใกล้มาถึงแล้ว อีกทั้งไม่มีของดีอย่างอื่นจะถวายแก่พระนาง เขาก็อยากจะเก็บพู่หยกนี้ไว้เองจริงๆ
…
ที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือ กลางฤดูหนาวทางตะวันตกเฉียงเหนือไม่ได้หนาวเย็นเช่นช่วงแรกของฤดูถึงเพียงนั้น
หรืออาจจะเป็นเพราะคุ้นชินกับความหนาวยะเยือกแล้ว จึงไม่รู้สึกหนาวมากเหมือนก่อนหน้านี้ก็เป็นได้
ไม่มีหิมะตกลงมาหลายวันแล้ว ท้องฟ้าแจ่มใสติดต่อกันอีกต่างหาก อุณภูมิกลับมาเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง พื้นถนนโผล่ออกมาให้เห็นแล้วเช่นกัน พาให้นางคิดถึงภาพสีขาวโพลนเต็มตาขึ้นมาโดยพลัน
ตอนนี้เสี่ยวเฟิงเตรียมรถม้าเรียบร้อยแล้ว และจัดวางยาที่นางหลอมเมื่อคืนวางไว้บนรถแล้วเช่นกัน
ยามเขาหมุนกายมา เขาเห็นนางนั่งเหม่ออยู่บนเก้าอี้ตัวเตี้ย ดวงตาจับต้องไปที่ถังขนาดใหญ่ในลานบ้าน แต่ก็ดูไม่เหมือนว่ากำลังมองถังอยู่สักเท่าไร นางกำลังคิดอะไรอยู่กัน หรือนางกำลังคิดถึงหูเฟิงอยู่
“ควรจะออกเดินทางแล้ว!” เสี่ยวเฟิงตะโกนบอกไป๋จื่อ
ไป๋จื่อพลันตื่นจากภวังค์ นางลุกขึ้นมองไปในโถง เอ่ยถามว่า “พี่สะใภ้เล่า”
“ท่านน้าไปรับผ้าปักในหมู่บ้าน บอกว่าหลายวันมานี้อากาศดี จะได้นำตุ๊กตาผ้าไปขายในเมืองมากหน่อย” เสี่ยวเฟิงตอบ
นางร้องอ๋อเสียงหนึ่ง จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่บ้าง “นางบอกหรือไม่ว่าให้พวกเรารอนาง”
เสี่ยวเฟิงส่ายหน้า “ไม่ต้องรอหรอก ในร้านไม่มีสินค้าเก็บไว้แล้ว วันนี้คงจะเปิดร้านของเล่นไม่ได้ นางให้พวกเราไปกันเองเลย”
……….
ตอนที่ 540 ครอบครัวคนขี้เกียจ (1)
ไป๋จื่อพยักหน้า นางเข้าไปบอกกล่าวกับจ้าวหลานในเรือน ก่อนจะบังคับรถม้าออกจากหมู่บ้านไปพร้อมกับเสี่ยวเฟิง
จ้าวหลานที่นั่งปักลายดอกไม้อยู่ข้างกระถางถ่านในโถงหยุดมือ นางมองรถม้าเคลื่อนออกไปจากลานบ้าน อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจว่า “หูเฟิงผู้นี้ก็จริงๆ เลย นานถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดถึงยังไม่ส่งจดหมายมาเลยสักฉบับ ช่วงนี้จื่อเอ๋อร์ก็ดูจะไม่สบายใจนัก เอาแต่นั่งเหม่อทั้งวัน”
หูจ่างหลินก็กล่าวว่า “จริงด้วย ตามหลักแล้วผ่านมานานขนาดนี้ ก็ควรจะเขียนจดหมายส่งมาที่บ้านบ้าง คงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรหรอกกระมัง”
“เฮ้อ…พวกเราก็ไม่รู้เรื่องในค่ายทหารแน่ชัด จะบุ่มบ่ามไปหาเขาก็ไม่ได้ ทำได้แค่รออยู่ที่บ้านเฉยๆ เท่านั้น” จ้าวหลานเองมีสีหน้าเป็นทุกข์เช่นกัน
จ้าวซู่เอ๋อเข้ามาจากข้างนอก ในมือถือผ้าปักลาย พวกมันล้วนเป็นสิ่งที่เหล่าสตรีที่เป็นงานเย็บปักในหมู่บ้านช่วยกันทำ หากปักผ้าได้สองผืนจะได้เงินหนึ่งเฉียน พวกนางนั่งอยู่ในบ้านก็ได้เงินง่ายๆ เช่นนี้ ย่อมต้องพอใจอยู่แล้ว แม้กระทั่งได้เงินมากกว่าสามีของพวกนางเสียอีก ซึ่งเงินนี้สามารถยกระดับชีวิตของพวกนางได้บ้าง จึงยิ่งมีแรงฮึกเหิมจะลงแรงทำมากยิ่งขึ้น พวกนางเย็บปักได้มากเท่าไร ตุ๊กตาผ้าของจ้าวซู่เอ๋อก็ขายได้มากเท่านั้น
จ้าวหลานเห็นนางเข้ามา ก็ชำเลืองมองผ้าปักลายกองหนึ่งในมือของนาง ยิ้มถามว่า “เจ้าทำได้มากขนาดนี้ จะขายได้หมดหรือ”
“เท่านี้ไม่เพียงพอหรอกเจ้าค่ะ พ่อค้าจากเมืองหลวงสั่งตุ๊กตากับข้าไว้หนึ่งร้อยตัว ต้องใช้เวลาหลายวันถึงจะเสร็จแน่ะ” จ้าวซูเอ๋อยิ้มไม่หุบ
หูจ่างหลินดีใจ “ดียิ่งนัก หากกิจการดีเช่นนี้ต่อไป ไม่นานเจ้าก็ได้เปิดอีกร้านหนึ่ง เช่นนั้นเงินต้องไหลมาเทมาแน่”
จ้าวหลานก็ดีใจเช่นกัน “ต้องบอกว่าได้เงินเป็นกอบเป็นกำต่างหากเจ้าค่ะ”
จ้าวซู่เอ๋อถูกพวกเขาเย้าจนหัวท้องท้องคัดท้องเข็ง “อาจื่อไปแล้วหรือเจ้าคะ” นางถาม
จ้าวหลานพยักหน้า “เพิ่งไปไม่นานเอง พวกเจ้าสองคนคลาดกันนิดเดียว”
“เดิมทีข้าอยากขอให้นางช่วยวาดลายปักให้อีก เพราะฝีมือของข้าไม่ค่อยน่ามองเท่าไรนัก” ซู่เอ๋อถอนใจ
…
สกุลไป๋
จางซื่อนำผ้าที่ต้องปักลายสองผืนไปหาหลิวซื่อ นางนับว่าคิดได้แล้ว หากนางไม่อยากเลี้ยงดูบ้านใหญ่ทั้งบ้าน ก็ต้องให้พวกเขาใช้แรงงานให้ได้
หลิวซื่อกำลังนั่งคุดคู้สนทนาอยู่กับเจ้าใหญ่ เมื่อได้ยินจางซื่อเรียกนางจากข้างนอกประตู นางก็พลันมีสีหน้ารำคาญใจในทันที “มีเรื่องอะไร”
“สะใภ้ใหญ่ ข้ามีผ้าที่ต้องปักลายสองผืน ปักเรียบร้อยแล้วผืนหนึ่งจะได้เงินหนึ่งเฉียน ข้าจำได้ว่าฝีมือเย็บปักของเจ้าไม่เลวเลย ทำแล้วน่าจะไม่ยาก”
สองสามีภรรยากำลังอุ่นสบายอยู่ในผ้าห่ม แม้แต่มือก็ไม่อยากยื่นออกมา แล้วจะยอมปักลายดอกไม้หรือไร
“เจ้าวางไว้เถอะ อีกเดี๋ยวข้าว่างแล้วจะไปทำ” นางไม่ได้ปฏิเสธ ทว่าก็ตอบรับไปก่อนเท่านั้น
จางซื่อมุ่นคิ้ว ในใจบ่นว่าอากาศหนาวเย็นขนาดนี้ งานทั้งในและนอกบ้านล้วนไม่มีอะไรให้ทำ แล้วจะยุ่งอยู่ได้อย่างไร อีกเดี๋ยวว่าค่อยทำหรือ?
“สะใภ้ใหญ่ เจ้าเร่งมือหน่อยเถอะ จ้าวซู่เอ๋อรีบใช้ผ้าปักลาย ข้ารับปากไว้แล้วว่าพรุ่งนี้จะส่งมอบงานที่เสร็จสิ้น” จางซื่อนับผ้าปักลายมาหกผืน ตอนนี้นางปักเสร็จไปแล้วสองผืน อยากทำปักลายอีกสี่ผืนให้เสร็จก็ต้องโต้รุ่ง ทว่าตอนกลางคืนอากาศเย็นยะเยือก นางกลัวว่าจะทนไม่ไหว ทั้งอยากให้บ้านใหญ่หาเงินกินข้าวด้วยตนเอง จะได้ไม่ต้องคอยพึ่งพาพวกนางอยู่ตลอดเช่นนี้
หลิวกล้าหัวตอบรับอย่างขอไปทีอีกสองประโยค ทว่าร่างกายยังคงไม่ขยับเขยื้อนอยู่ใต้ผ้าห่ม
เจ้าใหญ่กระทุ้งแขนไส่ภรรยา “ปักเสร็จแล้วได้เงินหนึ่งเฉียนมา พวกเราไปซื้อเนื้อสัตว์ในเมืองมากินแก้อยากหน่อยเป็นอย่างไร”
ฝ่ายหลิวกว้าหัวมองตาขวางใส่เขา “เสี่ยวเฟิงไม่มีแม้แต่หมึกเขียนหนังสือ เจ้ายังอยากจะกินเนื้ออยู่อีกหรือนี่ มีเงินก็ต้องซื้อหมึกให้เสี่ยวเฟิงก่อนสิ”
Comments