จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)บทที่ 462 ผีกาฝาก
บทที่ 462 ผีกาฝาก
เมื่อกวาดตามองรอบตัว ก็พบแต่ความมืดมิด
ฉู่ชวิ๋นพยายามปล่อยคลื่นจิตวิญญาณออกไป แต่ก็ต้องตกตะลึงอีกครั้งเมื่อพบว่าที่นี่ก็เป็นค่ายอาคมอีกหนึ่งแห่ง คลื่นจิตวิญญาณของเขาสามารถแผ่ไปได้ไกลเพียงแค่ 10 เมตรเท่านั้น
ผู้ที่เคยเป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้ ต้องเป็นผู้ฝึกตนระดับสูงอย่างแน่แท้
ฉู่ชวิ๋นเลิกคิดฟุ้งซ่าน และเริ่มต้นระมัดระวังตัวมากขึ้น
ลัทธิเต๋าคงอยู่มาอย่างยาวนาน ตัวเขาเองคงเป็นแค่เพียงเด็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับพลังตอนนี้กับพลังของผู้ที่สร้างสถานที่แห่งนี้ขึ้นมา
ยิ่งไปกว่านั้น ฉู่ชวิ๋นก็มีจิตใจเคารพผู้ฝักใฝ่ในลัทธิเต๋าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ชายหนุ่มพร้อมสู้กับทุกคนบนโลกนี้ก็จริง แต่ถ้าให้สู้กับผู้ที่คอยกำราบปีศาจร้าย ถ้าเลือกได้ เขาก็ไม่อยากทำเท่าไหร่นัก
ฉู่ชวิ๋นใช้คลื่นจิตวิญญาณสำรวจแทนดวงตา เลือกทิศทางที่จะก้าวเดินไปในความมืด
สถานที่แห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาลเหลือเกิน ไม่ว่าเขาจะเดินไปนานแค่ไหน แต่มือของฉู่ชวิ๋นก็ไม่เคยสัมผัสกับผนังหรือกำแพงเลยสักแห่ง
ฉู่ชวิ๋นส่งเสียงครางในลำคอ ผู้ฝึกตนด้วยเต๋าคือส่วนผสมระหว่างเทพเจ้ากับมนุษย์ เมื่อฝึกวิชาบรรลุขั้นสมบูรณ์แล้วก็จะมีชีวิตเป็นอมตะ และนั่นก็คือการฝืนกฎธรรมชาติข้อหนึ่ง ถ้าจะบรรลุผลสูงสุดสำหรับการบําเพ็ญเพียร ผู้ฝึกตนคนนั้นก็ต้องเอาชนะกฎแห่งธรรมชาติให้ได้เสียก่อน
และมันก็เป็นอย่างที่เขาทราบดี ค่ายอาคมของนักพรตมักจะไม่มีหัวและไม่มีท้าย ส่วนใหญ่จะใช้กักขังผู้ที่หลงเข้ามาให้เดินวนไปจนตาย
ฉู่ชวิ๋นไม่เดินไปข้างหน้าอีก แต่ชายหนุ่มเลือกที่จะเดินถอยหลัง
แน่นอนว่าในขณะที่ก้าวเดินถอยหลัง ฉู่ชวิ๋นก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันบางอย่างที่พยายามขัดขวางไม่ให้เขาถอยกลับไป
“ข้าน้อยให้ความเคารพท่าน ไม่ได้มาที่นี่ด้วยเจตนาลบหลู่ ได้โปรดผู้อาวุโสปล่อยข้าน้อยไปเถิด” ฉู่ชวิ๋นคำรามออกมาเสียงแหบต่ำ
พรึบ!
พลังลมปราณสีม่วงแผ่ออกมาจากร่างกายของฉู่ชวิ๋นอย่างรุนแรง ทำให้เขามีสภาพเป็นเหมือนตะเกียงไฟส่องแสงสว่างไสวอยู่กลางความมืด
ครืน!
เมื่อฉู่ชวิ๋นขยับเท้าถอยหลัง พื้นดินก็ระเบิดตู้มขึ้นทันที
เขากำลังต่อสู้อยู่กับพลังที่มองไม่เห็น
พลังที่ไม่ได้มาจากโลกภายนอก แต่มาจากในค่ายอาคมแห่งนี้นี่เอง
“ได้โปรดอย่าขัดขวางข้าน้อยเลย” ฉู่ชวิ๋นกระซิบเสียงแผ่วเบา
พลังลมปราณสีม่วงจากลำตัวของเขาขยายวงกว้างออกไปในความมืด ต่อสู้กับแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามาจากรอบทิศทาง
ตุบ…!
ฉู่ชวิ๋นสามารถก้าวเดินถอยหลังได้สำเร็จ เกิดเป็นรอยเท้าของเขาฝังแน่นอยู่บนพื้นหิน
“จักรพรรดิเซียน ไม่ได้รู้ทุกอย่างสินะ”
ฉู่ชวิ๋นคำรามอยู่ในลำคอ ม่านพลังสีม่วงห้อมล้อมรอบกาย เหมือนเป็นวังน้ำวนที่คอยกำบังสิ่งแปลกปลอมไม่ให้เข้ามาใกล้
ตุบ…!
ฉู่ชวิ๋นสามารถถอยหลังมาได้อีก 10 ก้าว แล้วพื้นดินก็สั่นสะเทือน แผ่นหินอ่อนใต้ฝ่าเท้าเกิดเป็นรอยแตกร้าวขนาดใหญ่
ทันใดนั้นเอง ฉู่ชวิ๋นสามารถมองเห็นสิ่งรอบตัวได้อีกครั้ง แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับถูกอาบไว้ด้วยแสงสีแดง
ในที่สุด ก็สามารถหลุดออกมาจากค่ายอาคมนั้นได้แล้ว
แต่ที่นี่มันเป็นที่ไหนกัน?
ฉู่ชวิ๋นหรี่ตามองทะเลสาบลาวาที่อยู่เบื้องหน้า ลาวาเหลวร้อนเคลื่อนไหวไหลรินตลอดเวลา ได้กลิ่นกำมะถันลอยขึ้นมาเตะจมูกอย่างรุนแรง
ผิวลาวากำลังเดือดปุด มีฟองอากาศผุดพราว และเกิดการระเบิดตูมตามของผิวลาวาขึ้นมาเป็นระยะ
ฉู่ชวิ๋นเงยหน้ามองด้านบน ถ้ำแห่งนี้มีเพดานสูงประมาณ 10 เมตร ผนังเป็นก้อนหินขรุขระสีแดงสด ถ้ำแห่งนี้มีขนาดกว้างใหญ่นับหมื่นตารางเมตร
หรือว่านี่จะเป็นค่ายอาคมอีกหนึ่งแห่ง? ฉู่ชวิ๋นยังไม่อาจปล่อยจิตวิญญาณออกไปสำรวจรอบพื้นที่ได้ ดังนั้น เขาจึงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้
ฉู่ชวิ๋นลองเตะก้อนหินลงไปในทะเลสาบลาวา เสียงฟู่ดังขึ้นพร้อมกับที่มีควันสีขาวลอยโขมง ก้อนหินที่เขาเตะลงไปเมื่อสักครู่นี้ละลายหายไปแล้ว
จังหวะนี้เอง บังเกิดเสียงแปลก ๆ ลอยมาเข้าหู ฉู่ชวิ๋นรีบหันหลังกลับไปจ้องมอง ก่อนที่จะยืนนิ่งด้วยความตกตะลึง
สิ่งที่ชายหนุ่มเห็นก็คือ พวกสัตว์ร้ายกลายพันธุ์ในร่างมนุษย์และพวกเกาโม่หานกำลังมีสีหน้าตื่นกลัว ราวกับว่าทุกคนเพิ่งจะได้พานพบสิ่งที่น่ากลัวสุดชีวิตมาหมาด ๆ
ทุกคนเดินวนเป็นรัศมี 100 ตารางเมตร ลักษณะเหมือนคนตาบอด แต่ไม่สามารถสัมผัสตัวกันและกันได้เลย ทุกครั้งที่กำลังจะเดินชนกัน พวกเขาก็จะเดินเฉียดผ่านกันไปเหมือนมีพลังงานที่มองไม่เห็นคอยควบคุมอยู่อย่างไรอย่างนั้น
พลัน หลิวจิวหยวนก็เหมือนจะสติกระเจิงไปแล้ว ระเบิดพลังลมปราณออกมาจากร่างกายอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อถึงตอนนี้ ฉู่ชวิ๋นก็อดหรี่ตาลงไม่ได้ เขาเห็นว่าบนแผ่นหลังของหวงไห่มีเงาคนกำลังเกาะอยู่ หรือถ้าพูดให้ชัดเจนมากกว่านั้นก็คือ มันเป็นเงาสีดำรูปร่างมนุษย์ที่ไม่มีหน้าตานั่นเอง
หวงไห่เหมือนจะรู้สึกได้ถึงพลังงานอะไรบางอย่าง มันยกมือขึ้นและยิงพลังไปที่ด้านหลังของตัวเองอย่างรุนแรง แต่ในวินาทีที่หวงไห่ปล่อยพลังออกไปนั้น เงาสีดำก็ได้หายวับไปแล้ว
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกขนลุกซู่ เพียงแค่พริบตาเดียว เงาดำนั้นก็กระโดดกลับมาเกาะแผ่นหลังของหวงไห่อีกครั้ง ซ้ำมันยังทำท่าหันมามองทางเขาด้วยความเย้ยหยันอีกด้วย
ฉู่ชวิ๋นตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้เงาดำนั้นจะไม่มีใบหน้า แต่ก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามันกำลังจ้องมองเขาเขม็ง
นี่มันตัวอะไรกันเนี่ย?
ฉู่ชวิ๋นรีบสำรวจร่างกายตัวเอง โชคดีมันยังไม่ทันได้ฝังตัวเข้ามาในร่างกายของเขา
แต่ถึงอย่างนั้น ฉู่ชวิ๋นก็ยังคงใช้พลังลมปราณจำแลงสำรวจทั่วร่างกายตัวเองอยู่หลายรอบ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีเงาดำแอบแฝงอยู่จริง ๆ เมื่อแน่ใจแล้ว ฉู่ชวิ๋นก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ค่ายอาคมที่กักตัวจอมยุทธ์ขั้นเซียนทั้ง 10 คนนั้นมีความน่ากลัวมาก ถึงพวกเขาจะอยู่ด้วยกัน แต่กลับไม่สามารถสัมผัสกันและกันได้เลย
ฉู่ชวิ๋นรู้แล้วว่าถ้าคนในนั้นหาวิธีทำลายค่ายอาคมไม่ได้ ก็คงไม่มีวันได้หลุดออกมาแน่ ๆ
ขณะนี้ ฉู่ชวิ๋นพบว่ามีเงาดำรูปร่างเหมือนเด็กคนหนึ่ง กำลังเกาะติดอยู่ที่ต้นขาของค่งหลี่ฉุนไม่ยอมปล่อย
ค่งหลี่ฉุนที่กำลังเดิน ๆ อยู่พลันหยุดชะงักอยู่กับที่ทันที สีหน้าของมันปรากฏความตื่นกลัวเล็กน้อย เปลวไฟพลันลุกพรึบขึ้นมาที่ฝ่ามือ ก่อนที่จะตบฝ่ามือลงไปบนต้นขาของตนเอง
ฉู่ชวิ๋นขนหัวลุก แสงสว่างจากฝ่ามือของค่งหลี่ฉุนทำให้เขาเห็นใบหน้าของเงาเด็กคนนั้น มันเรียกว่าเป็นหน้ามนุษย์ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ใบหน้าของมันแบนราบไปหมด แต่มีปากที่เต็มไปด้วยเขี้ยวแหลม เพียงพริบตาเดียวเงาเด็กคนนั้นก็หายวับเข้าไปในร่างกายของค่งหลี่ฉุน เหมือนกับว่าสามารถไหลซึมลงไปผ่านรูขุมขนของมนุษย์นกยูงได้ก็ไม่ปาน
“ระวัง!” ฉู่ชวิ๋นพลันตะโกนเสียงดัง
ที่เขาตะโกนออกมาเนื่องจากว่าในตอนนี้ ปรากฏเงาดำเงาหนึ่งเกาะอยู่บนแผ่นหลังของเกาโม่หาน
พวกเกาโม่หานช่วยออกสมุนไพรจิตวิญญาณระดับสูงให้ฉู่ชวิ๋นเป็นจำนวนมากมายถึง 300 กำ ฉู่ชวิ๋นรู้ดีว่าตัวเองเป็นหนี้บุญคุณ ชายชราทั้งสามอยู่ไม่น้อย
นอกจากนี้ ฉู่ชวิ๋นยังรู้สึกชมชอบนิสัยใจคอของเกาโม่หาน และรู้สึกว่าจำเป็นต้องช่วยเหลือชายชราให้รอดพ้นจากอันตราย
แต่คำเตือนของฉู่ชวิ๋นลอยไปไม่ถึงหูคนฟัง เกาโม่หานไม่ตอบสนองแม้แต่น้อย ถึงอย่างนั้น ชายชราก็รู้ว่ามีอะไรบางอย่างเกาะอยู่บนหลังของตัวเอง เขายกมือขึ้นและยิงพลังลมปราณไปทางด้านหลัง
เปรี้ยง!
เกาโม่หานลงมือด้วยความรวดเร็วรุนแรง เงาดำถูกพลังลมปราณของชายชราซัดใส่ระเบิดไปครึ่งร่าง เลือดสีเขียวสาดกระเด็นเต็มพื้นดิน แต่เงาดำที่เหลือครึ่งท่อนบน ก็หายวับกลับเข้าไปในร่างกายของเกาโม่หานอีกครั้ง
ฉู่ชวิ๋นวางแผนว่าต้องช่วยพวกเกาโม่หานออกมาให้ได้ก่อน
ตอนนี้ ฉู่ชวิ๋นพบว่าเกอจ้านเดินมาถึงสุดขอบค่ายอาคมแล้ว ถ้าก้าวเดินต่อมาอีกแค่ก้าวเดียว เกอจ้านก็จะออกมาพ้นจากค่ายอาคมได้สำเร็จ
แต่จังหวะนั้นเอง เกอจ้านกลับเปลี่ยนทิศทางและหันหลังเดินกลับไปทางเดิมเสียอย่างนั้น
ฉู่ชวิ๋นถลันกายออกไปข้างหน้า เอื้อมมือออกไปหมายจะคว้าคอเสื้อของเกอจ้านดึงกลับมา
แต่มือของชายหนุ่มก็กระทบถูกกับผนังกระจกที่มองไม่เห็น ทำให้มือของเขาไม่สามารถสอดผ่านเข้าไปในค่ายอาคมได้เลย
“บ้าจริง มีม่านพลังกั้นอยู่”
ฉู่ชวิ๋นกำหมัดด้วยความโกรธแค้น พลังลมปราณสีม่วงพุ่งออกมาจากกำปั้นของเขา ก่อนที่ชายหนุ่มจะต่อยหมัดใส่ม่านพลังสุดแรงแขน
เปรี้ยง!
เปลวไฟสาดกระจาย พลังลมปราณแผ่ออกไปเป็นวงกว้าง กำปั้นของฉู่ชวิ๋นกระแทกเข้ากับม่านพลังอย่างรุนแรงอีกครั้งและอีกครั้ง
ดูเหมือนเกอจ้านจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ชายชราหันหน้ากลับมาจ้องมองด้วยความสงสัย แต่แล้วกลับล้มเลิกความสนใจ เดินหน้าต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเป็นประกายวาวโรจน์มากขึ้น พลังลมปราณสีม่วงไหลเวียนรอบร่างกาย กำปั้นของเขาเปล่งแสงสว่างไสว สุกสว่างยิ่งกว่าแสงอาทิตย์เสียอีก
แต่ในขณะที่ซัดกำปั้นต่อยม่านพลังรัว ๆ นั้นเอง อยู่ดี ๆ ชายหนุ่มก็หยุดชะงัก หรือว่าเขาคิดอะไรขึ้นมาได้แล้ว?
ฉู่ชวิ๋นพลิกฝ่ามือขึ้นมา แล้วก้อนหินที่มีแสงสีขาวสว่างเจิดจ้าก็ปรากฏขึ้น มันคือก้อนหินที่เป็นตาเปิดปิดม่านพลังนั่นเอง
ฉู่ชวิ๋นถือก้อนหินอยู่ในมือขณะเดินเข้าไปหาเกอจ้าน คราวนี้ เขาสามารถพุ่งผ่านม่านพลังเข้าไปได้อย่างง่ายดาย จึงไม่รอช้า รีบเดินเข้าไปจับหัวไหล่ของเกอจ้านด้วยความรวดเร็ว
เกอจ้านสะดุ้งโหยง รีบโคจรพลังลมปราณขึ้นมาทั่วร่างกาย ในขณะที่หันมาคว้าจับมือของฉู่ชวิ๋น
มือของฉู่ชวิ๋นอัดแน่นไปด้วยพลังลมปราณจำแลง ตำแหน่งมือที่วางลงไปกดจุดลมปราณของเกอจ้านพอดิบพอดี ถึงจะไม่ได้มีความแข็งแกร่งมากพอที่จะปิดจุดลมปราณของจอมยุทธ์ขั้นเซียนได้ แต่มันก็ลดพลังของเกอจ้านลงมาได้มากพอที่ฉู่ชวิ๋นจะรับมือไม่ลำบาก
วูบ!
ฉู่ชวิ๋นรีบดึงเกอจ้านออกมาจากค่ายอาคมทันที
เกอจ้านรู้สึกสายตาพร่ามัวไปชั่วขณะ หลังจากนั้น จึงเห็นชัดเจนว่าเป็นหลุนหุยยืนอยู่ตรงหน้า นั่นเองจึงเข้าใจว่าชายหนุ่มเป็นคนช่วยเหลือตนเองออกมา
“สหายน้อยหลุนหุย ขอบคุณมาก!” เกอจ้านประสานมือ ถ้าไม่เป็นเพราะหลุนหุยคนนี้ ตนเองก็ยังคงเดินวนเวียนอยู่ด้านในไม่รู้จบเป็นแน่แท้
ฉู่ชวิ๋นส่ายหน้าบอกว่าไม่เป็นไร พูดว่า “พี่เกอใจดีกับผมมากมาย เมื่อพี่เดือดร้อน ผมย่อมต้องช่วยเหลือ”
เกอจ้านหัวเราะในลำคอ เมื่อกวาดสายตามองรอบตัวก็ต้องหรี่ตาลงทันที ด้วยพบเห็นเงาดำประหลาดเกาะติดอยู่บนตัวของจอมยุทธ์ขั้นเซียนทุกคน
“นั่นมันตัวอะไรน่ะ?”
ฉู่ชวิ๋นส่ายหน้าตอบว่าไม่รู้
ตอนนั้นเอง เงาดำรูปร่างมนุษย์ก็ปรากฏตัวขึ้นในลักษณะที่กำลังขี่คอเฮยจง
เกอจ้านหวาดกลัวขนหัวลุก รีบตรวจสอบร่างกายของตนเองทันที และแล้วสีหน้าของชายชราก็แปรเปลี่ยนไป เมื่อพบว่าบริเวณหัวหน่าว*เขามีกลุ่มหมอกสีดำขนาดเท่ากำปั้น ลอยออกมาจากร่างกายในลักษณะรูปร่างของมนุษย์จิ๋วคนหนึ่งเช่นกัน
(หัวหน่าว คือส่วนของร่างกายอยู่เหนืออวัยวะเพศใต้ท้องน้อยลงมา)
“เข้ามาอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?” เกอจ้านร้องเสียงหลงในขณะที่พยายามโคจรพลังลมปราณขับไล่หมอกควันสีดำออกไปจากร่างกาย
“สหายน้อยหลุนหุย ลองตรวจสอบร่างกายของคุณดูก่อน” เกอจ้านกล่าวเตือนด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ชายชราไม่รู้เลยว่าเงาดำนี้คืออะไรกันแน่? ที่น่ากลัวก็คือ เงาดำประหลาดนี้ไม่สามารถใช้พลังลมปราณขับไล่ได้อีกต่างหาก
“ผมตรวจของผมเรียบร้อยแล้ว” ฉู่ชวิ๋นหันหน้ามองกลับไปทางเกาโม่หานและพูดว่า “พี่เกาก็โดนมันเล่นงานเหมือนกัน”
“งั้นเรารีบเข้าไปช่วยพวกเขากันเถอะ” เกอจ้านพูด
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า ปล่อยเส้นไหมวิญญาณออกมาจากปลายนิ้ว ก่อนกล่าวว่า “พี่เกอ เส้นไหมวิญญาณนี้สามารถสื่อสารผ่านเสียงได้ ผมจะเข้าไปข้างใน พี่ก็คอยบอกทางผมหน่อยแล้วกัน ผมจะได้ช่วยพวกเขาออกมา”
เกอจ้านตกตะลึงอยู่ไม่น้อย แต่ก็เข้าใจดีว่าจอมยุทธ์ขั้นเซียนต่างก็มีวิถีทางต่าง ๆ เป็นของตัวเอง ชายชราจับปลายด้านหนึ่งของเส้นไหมวิญญาณเอาไว้ เรียบร้อยก็พยักหน้าให้กับฉู่ชวิ๋น
ฉู่ชวิ๋นหันหลังกลับและเดินตรงเข้าไปหาเกาโม่หาน มือข้างหนึ่งของเขาถือก้อนหินที่เป็นตาเปิดปิดม่านพลัง ดังนั้น ชายหนุ่มจึงสามารถเดินเข้าไปในค่ายอาคมได้อย่างง่ายดาย
ภายใต้การบอกทางของเกอจ้าน ฉู่ชวิ๋นเข้าถึงตัวเกาโม่หานอย่างรวดเร็ว
“พี่เกา” ฉู่ชวิ๋นตะโกนเรียก
แต่ดูเหมือนว่าเกาโม่หานจะกลายเป็นคนหูหนวกตาบอดไปแล้ว แม้ว่าฉู่ชวิ๋นจะยืนอยู่ตรงหน้า แต่ชายชรากลับเดินผ่านเขาไปหน้าตาเฉย
Comments