จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) 239 นกสองหัว
บทที่ 239 นกสองหัว![รีไรท์]
“มันคือสัญญาเลือด” ฉู่ชวิ๋นไม่ปิดบังแล้วบอกว่าสัญญาเลือดนี้คืออะไร แววตาของเหยียนชงและจั๋วจื่อชิวซีดจางทันทีเมื่อได้ยิน
ทั้งเหลยเป้าและหญิงหม้ายก็ใจสั่นด้วยความกลัว หากว่าทั้งสองตอบช้ามากกว่านี้ ฉู่ชวิ๋นก็คงจะใช้สัญญาเลือดนี้กับพวกเขาด้วยแน่ ๆ แต่ว่า…ในสัญญาเลือด จริง ๆ แล้วมันน่ากลัวเหมือนกับที่ฉู่ชวิ๋นบอกมาเหรอ?
อันที่จริงต้องถือว่าเหยียนชงและจั๋วจื่อชิวดวงดี เพราะอาจจะโดนฉู่ชวิ๋นหลอกก็ได้ ทุกคนคิดแบบนี้ในใจ แต่ทว่าฉู่ชวิ๋นไม่ได้ใจดีแบบหน้าตาเมื่อเห็นคนพวกนี้คิดว่า เขาโกหกเขาก็ทรมานอีกฝ่ายโชว์ทันที!!
จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิสอง คนลงไปนอนกองกับพื้นแบบไร้ราศีความเป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิ ตาลอยไร้วิญญาณ หน้าตาดูบูดเบี้ยวจนผิดมนุษย์ มีเสียงระเบิดดังออกจากลำตัว เสียงกรีดร้องโหยหวน…แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ความเจ็บปวดทุเลาลง เพราะความเจ็บปวดนี้มาจากวิญญาณมันคือความเจ็บปวดที่แท้จริงจนรู้สึกอยากฆ่าตัวตาย
ฉู่ชวิ๋นเก็บมือไป ความรู้สึกของทั้งสองเหมือนคนที่จมอยู่ในน้ำ เหลยเป้าและหญิหม้ายตัวเย็นวาบ ขนลุกขนพอง เหงื่อไหลท่วมตัว
ฉู่ชวิ๋นกระดิกนิ้วไปมา ประกายสีม่วงสองสายลอยออกมาแล้วเข้าไปในตัวของเหยียนชงและจั๋วจื่อชิว
ร่างกายของทั้งสองคนที่กระตุกอยู่ก็เริ่มนิ่งลง สายตาเริ่มกลับมามองเห็นชัดเจน จิตวิญญาณเริ่มฟื้นฟู
เหลยเป้าและแม่หม้ายเริ่มรู้ถึงความมหัศจรรย์ของควันม่วงนี้ อาการบาดเจ็บของพวกเขาเองก็ทุเลาลงเพราะควันสีม่วงนี้
ไม่นานจั๋วจื่อชิวและเหยียนชงก็พยายามลุกขึ้นมา คุกเข่าต่อหน้าฉู่ชวิ๋น “คารวะ นายเหนือหัว”
ด้วยสัญญาวิญญาณนี้ พวกเขาจะต้องเป็นทาสไปจนกว่าฉู่ชวิ๋นจะยอมปล่อยตัว
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้ารับ กล่าวว่า “เหยียนชง นายกลับไปดูแลกลุ่มโหรเหมือนเดิมเถอะ”
“ขอรับ” เหยียนชงตอบด้วยความนอบน้อม ฉู่ชวิ๋นมองไปที่เหลยเป้าและแม่หม้าย พลางกล่าวว่า “พวกนายก็กลับไปทำหน้าที่ของตัวเองซะ”
“ครับ/ค่ะ” สองคนรีบตอบรับ
ฉู่ชวิ๋นหันไปมองที่จั๋วจื่อชิว และถามเขาว่า “นายมาจากสำนักดาบพิฆาตเหรอ ?”
“ใช่ครับ คุณท่าน” จั๋วจื่อชิวตอบด้วยท่าทางที่เคารพนอบน้อม ฉู่ชวิ๋นส่งสายตาที่แลดูเจ้าเล่ห์พลางถามว่า “นายรู้จักที่เก็บสมบัติของสำนักดาบพิฆาตไหม ?”
พอถามประโยคนี้ออกมา ไม่ใช่แค่เพียงจั๋วจื่อชิวที่มองแบบแปลก ๆ แต่คนอื่น ๆ ก็ด้วย จั๋วจื่อชิวรวบรวมสติ รีบคุกเข่าก้มลงไป
“คลังสมบัติของสำนักเรานี้ อยู่ในความดูแลของนายทวารบาล ซึ่งก็ไม่มีทางที่คนอื่นจะรู้ได้เลย ขอรับ”
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกเสียดายและกล่าวว่า “งั้นฉันขอออกคำสั่ง ให้นายกลับไปยังสำนักดาบพิฆาตไปสืบมาว่าคลังสมบัติซ่อนอยู่ที่ไหนแล้วรีบบอกฉันให้เร็วที่สุด”
“ท่านเจ้าวัง ท่านจะ….?” สาวหม้ายสงสัย
ฉู่ชวิ๋นมองไปรอบ ๆ และกล่าวว่า “มองไปรอบ ๆ ดูวังมังกรเพลิงที่ทรุดโทรมของพวกนายสิ ไม่คิดจะไปเก็บกวาดสิ่งที่ตัวเองทำเลอะเทอะไว้หน่อยรึไง ? หากไม่มีของดีเข้ามา มันก็ไม่มีทางที่จะยิ่งใหญ่สง่างามได้หรอกนะ คนอื่น ๆ ถ้าไม่มีทรัพยากรฝึกวิชาก็จะไม่ได้ก้าวไปข้างหน้า จะมาพึ่งแต่ฉันแบบนี้ ฉันก็เหนื่อยตายกันก่อนพอดี” ผู้คนพอได้ยินเข้าก็รู้สึกแปลก ๆ ชอบกล
หญิงหม้ายอดสงสัยไม่ได้ “ท่านเจ้าวัง ท่านกำลังหมายถึง…….การปล้น”
ฉู่ชวิ๋นคิดสักพัก “ปล้นอะไรกัน นี่แค่การขอยืมแบบไม่คืน!” หลาย ๆ คนต่างก็ซุบซิบ พวกเขาคิดว่าจอมยุทธ์ทั้งหลายยังรู้จักฉู่ชวิ๋นไม่ดีพอ วายร้ายคนนี้ไม่เพียงแค่ฆ่าคนอย่างไร้ความปรานีแต่เขายังใจจืดใจดำอีกด้วย
“นายรีบ ๆ ไปถามมาซะว่าขุมสมบัติมันอยู่ที่ไหน เจ้าสำนักนั้นน่ะมันก็แค่พวกที่รวยแล้วจดำ พวกเราจะถูกหรือผิดก็ต้องขึ้นกับฟ้าดิน” ฉู่ชวิ๋นกล่าว
“แบบไหนจึงจะถือได้ว่ารวยแล้วยังใจดำคะ ?” หญิงหม้ายเอ่ยถามอย่างสงสัยไม่ใช่ฉู่ชวิ๋นคิดว่าแค่รวยก็ไปปล้นมาให้หมดหรอกนะ
ฉู่ชวิ๋นคิดแล้วคิดอีกพลางตอบกลับมา “ก็คงเหมือนพวกตระกูลโหยวที่เมืองกู่เจียง พวกเขาหลับหูหลับตาปล่อยให้พวกพ้องของตัวเองเอาสัตว์เลี้ยงออกมาทำร้ายผู้คน ไอ้พวกคนพรรค์นี้มันก็ทำต่อไปเรื่อย ๆ แหละ”
เอ่อ…!
ทุกคนดูตกตะลึง เจ้าวังแบบนี้ ไม่ต้องกังวลเลยว่าวังมังกรเพลิงจะไม่ก้าวไปไหน ไม่โดนถล่มฆ่าล้างบางก็ต้องรุ่งเรืองสุด ๆ !
“ท่านเจ้าวัง ก่อนหน้านี้ผมได้ยินข่าวสมบัติลึกลับมาก่อนด้วย…” จั๋วจื่อชิวพูดเหมือนว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสมบัติลึกลับ
“ข่าวอะไรกัน ?”
“ว่ากันว่ามันอยู่ที่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองมังกร จู่ ๆ ก็มีภูเขาลูกใหม่ผุดขึ้นมา ปล่องภูเขาไฟมักจะปะทุออกมาเป็นแสงสามสี เห็นได้ง่าย ๆ แม้จะอยู่ห่างออกไปพันลี้ ว่ากันว่ามีอนุสาวรีย์ตั้งอยู่บนยอดเขา บนนั้นมีสมบัติล้ำค่านับไม่ถ้วนเลยทีเดียว หรือพวกเราจะ……”
“ผมก็เคยได้ยินมาก่อน เรื่องนี้ทำให้ทุกคนพยายามบุกเข้าไปในเมืองมังกรด้วยครับ” เหยียนชงกล่าว ทุกคนกำลังรอฉู่ชวิ๋นว่าจะตกลงไปที่แห่งนั้นหรือไม่
“งั้นก็ไปกันเลย” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ถ้ามีแสงสามสี มันก็น่าจะมาจากดอกซานเซิง มันเป็นยาที่สามารถช่วยชีวิตฮวาชิงหวู่ เขาต้องไปเอามันมาให้ได้!
เหลยเป้าถูมือไปมาด้วยความตื่นเต้น หญิงหม้ายเองก็ดูท่าทางเต็มไปด้วยความสุข เหยียนชงก้มหัวลงแล้วส่งยิ้มออกมา
ฉู่ชวิ๋นรวบรวมสติกลับมาแล้วเลิกคิ้ว พูดออกมาด้วยความรู้สึกแปลก ๆ
“พวกนาย ดูตื่นเต้นกันนะ”
“ก็ใช่น่ะสิ” หญิงหม้ายพูดออกมาแบบไม่รู้ตัว พอพูดจบจึงนึกได้ว่าตัวเองพูดผิดไป จึงรีบเก็บอารมณ์ไว้ แล้วพูดออกมาอย่างจริงจัง “ท่านเจ้าวังอาจจะยังไม่ทราบมาก่อน อันที่จริงเราเคยเจอไปที่นั้นแต่โชคไม่ดีที่พลังพวกเราไม่แข็งแกร่งพอ ทุกครั้งพวกเราจะไปด้วยตั้งใจ แต่ก็ล้มเหลวกลับมาตลอด ถึงจะไม่สูญเสียอะไรมากแต่ก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด”
“ทำไมกัน ฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งมากเหรอ ?” ฉู่ชวิ๋นอดสงสัยไม่ได้ ทั้งสามคนนี้ต่างก็เป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิกันหมด พวกเขาถือว่าแข็งแกร่งไม่น้อยเลย
เหลยเป้าแสยะยิ้ม กล่าวออกไป “ท่านเจ้าวังอาจยังไม่ทราบ ตอนนี้เหล่าจอมยุทธ์แบ่งออกเป็นสองขั้วคือพวกรัฐบาลกับพวกจอมยุทธ์ที่ทำตามใจตัวเอง พวกเราสามคนเป็นฝ่ายรัฐบาล จึงตกเป็นเป้าหมายโจมตีของพวกเขา”
“เป็นงั้นเอง” ฉู่ชวิ๋นแววตาดูเย็นชา “งั้นพวกนายก็ไปเตรียมพร้อมซะ พรุ่งนี้เราจะไปที่เมืองมังกรกัน” เหลยเป้ากับพวกจากไป เขารวบมือแล้วถูไปมา พอมีฉู่ชวิ๋นอยู่ด้วยแล้ว ความมั่นใจก็เพิ่มขึ้นมาอีกเท่าตัว ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้กลับมามือเปล่าแบบครั้งก่อน ๆ แน่นอน!
“ฉันขอไปด้วย” นักรบเสือดูตื่นเต้นมาก เขาเองก็อยากไปด้วย
“แกน่ะอยู่ที่นี่ไปเถอะ คิดว่าจะไปเที่ยวหรือไง ? ทุกครั้งที่ไปล่าสมบัติ แม้แต่จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิก็ยังบาดเจ็บล้มตาย ความสามารถของแกมีแค่นี้จะไปตายหรือไง ?” เหลยเป้าพูดแดกดันนักรบเสือ
นักรบเสือหน้าแดงก่ำ เขามองไปที่เหลยเป้าอย่างดุดัน แล้วหันไปมองที่ฉู่ชวิ๋น
ฉู่ชวิ๋นก็ทำอะไรไม่ได้ เขาพูดออกมาว่า “ครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรก ฉันยังไม่รู้อะไรอีกหลายอย่าง รอบนี้นายอยู่เฝ้าวังไปก่อน ครั้งหน้าค่อยไปด้วย แล้วก็ครั้งนี้ฉันจะเอาของที่จำเป็นสำหรับกลุ่มฟินิกซ์ม่วงมาให้” เมื่อฉู่ชวิ๋นเป็นคนพูดแบบนี้ นักรบเสือจึงได้แต่ใจเย็นลงแล้วพยักหน้ารับ
“จั๋วจื่อชิว นายกลับไปที่สำนักดาบพิฆาตครั้งนี้ สิ่งที่ต้องทำคือไปหาคลังเก็บสมบัติให้เจอ” จั๋วจื่อชิวหน้านิ่งคิ้วขมวด นี่มันเป็นการทรยศสำนักต้องเป็นเลวขนาดไหนถึงสั่งให้ไปทรยศสำนักที่ตัวเองร่ำเรียนวิชามา!
“ขอรับ” เขาตอบรับ แต่ในใจเขาได้แต่คิดว่าเขาโดนบังคับให้ทำ เขาโดนบังคับให้ทำจริง ๆ นะ!
หลังจากที่วางแผนกัน ฉู่ชวิ๋นกับที่เหลือก็ตกลงกันได้ว่าจะออกเดินทางไปแต่เช้าเพื่อไปยังภูเขามังกร
ณ คฤหาสน์ม่วง ของจักรพรรดิอ๋าวฮวง
จักรพรรดิอ๋าวฮวงและฉู่ชวิ๋นนั่งคุยกันที่โต๊ะหิน
“เอ็งไปเป็นเจ้าวังมังกรเพลิงเหรอ ?” จักรพรรดิอ๋าวฮวงท่าทางแปลกใจ ฉู่ชวิ๋นมองไปที่เขา แล้วพูดออกมา “ท่านไม่ต้องแกล้งทำตัวเสแสร้งเลย มันดูออกว่าแกล้งทำนะ อายคนอื่นเขา”
จักรพรรดิอ๋าวฮวงยิ้มเบา ๆ “เราเป็นเพื่อนกันนะ เอ็งทำแบบนี้เดียวข้าบล็อกแม่งเลยนี้!”
ฉู่ชวิ๋นเงิบไปเลย ไม่คิดว่าจักรพรรดิอ๋าวฮวงจะใช้ภาษาอินเทอร์เน็ตแบบนี้เขาได้แต่ขำแล้วส่ายหัว “เอาจริง ๆ ผมก็ไม่ได้อยากจะเป็นเพื่อนกับท่านหรอก คบแล้วมีแต่ปัญหา”
จักรพรรดิอ๋าวฮวงยกชาขึ้นกระดก “เจ้าพูดไปได้นะ ถ้าไม่มีข้า เจ้าก็คงจะตายอยู่ที่ภูเขาไปแล้ว”
“แต่ท่านทำให้ผมโดยพันธนาการแห่งท้องฟ้านะ!!” ฉู่ชวิ๋นพูดออกมาอย่างไม่พอใจ
“เจ้าทำของเจ้าเองต่างหาก มันก็แปลก ๆ นะเพราะตอนนั้นเจ้าก็ไม่ต่างจากลูกเจี๊ยบตัวหนึ่งเลย แต่เจ้าก็ยังเป็นคนที่บนฟ้ายังต้องอิจฉา ร้ายกาจ ๆ!”
“ตาแก่ชั่วอย่างท่านยังทำให้คนบนฟ้าเขาอิจฉาได้ ทำไมผมจะทำไม่ได้ล่ะ ? ผมด้อยกว่าท่านตรงไหน ? ผมใช้เวลาแค่สามพันปีในการเป็นจักรพรรดิอมตะนะ ท่านทำได้ไหม ผมนี้ละโคตรอัจฉริยะ ?”
ตาแก่ชั่วเรอะ ? จักรพรรดิอ๋าวฮวงกลอกตา หน้าแดงเป็นกวนอู รูปร่างสง่างาม เป็นคุณลุงที่สาว ๆ หลงใหล ยังห่างไกลคำว่าตาแก่อยู่มากนะเฟ้ย!
“เจ้าเคยเจอคนแก่รูปหล่อไหมล่ะ ?” ฉู่ชวิ๋นมองบน เยาะเย้ย ดูหมิ่น ถากถาง ขำแรง….ความรู้สึกแย่ ๆ เหล่านี้ถูกส่งผ่านมาจากการมองบนของเขา
“ไอ้เด็กบ้านี้ ?” จักรพรรดิอ๋าวฮวงรู้สึกกระวนกระวายใจ ครั้งแรกที่เขาโดนเรียกว่าตาแก่ชั่ว เขาโมโหจนอยากจะไปต่อยคน ฉู่ชวิ๋นได้แต่มองเขานิ่ง ๆ
จักรพรรดิอ๋าวฮวงโมโหจนควันแทบจะออกปาก ไม่พูดอะไรออกมา เพียงแต่สะบัดมือฟาดไปที่ฉู่ชวิ๋น แล้วโยนเขาออกไป พลางกล่าวว่า “ไปอยู่กับผู้หญิงของเจ้าเลยไป๊ อย่ามากวนใจข้าอีกละ!”
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกไม่สบายใจ เขาคือจอมมารฉู่ในสายตาของคนทั่วไป แต่กลับไม่เห็นแม้แต่การขยับมือจักรพรรดิอ๋าวฮวง
“เพราะอยู่มานานกว่าหรอกนะเลยทำแบบนี้ได้ อีกไม่นานผมเองก็ทำได้รอก่อนเถอะ” ฉู่ชวิ๋นพึมพำ แต่ว่าหลังจากที่ฝึกวิชาลมปราณจำแลง เขากลับแยกลมปราณแต่ละส่วนไม่ออก ตำราลมปราณจำแลงนี้มีระบบลมปราณที่แยกออกจากกัน เขาคิดว่าทั้งจักรวาลนี้คงมีแค่เขาที่ฝึกมันอยู่ เหล่าจอมยุทธ์ทุกคนต้องใช้พลังลมปราณ ไล่ตั้งแต่จอมยุทธ์ทั่วไป เหล่าปรมาจารย์ แม้แต่เซียนก็ไม่มีข้อยกเว้น แต่เขาใช้ลมปราณจำแลงมันแตกต่างจากลมปราณปกติพลังนี้สามารถรักษาหรือซ่อมแซมร่างกายได้ราวกับ พลังแห่งการรังสรรค์
ใครกันที่จะสามารถบอกเขาได้ว่า ลมปราณจำแลงมันคืออะไรกันแน่แล้วมันเหมาะสมกับการฝึกวิชาแบบไหนกันแน่ จอมยุทธ์หรือเซียน ?
ฉู่ชวิ๋นตัดสินใจที่จะใช้มันฝึกฝนแทนพลังของผู้ฝึกตนเป็นเซียนอมตะ เพราะยังไงซะเขามีถนัดสายนี้ที่สุด
ในโลงแก้วคริสตัล ร่างฮวาชิงหวู่ราวว่าเธอแค่หลับไป ทุกอณูในร่างกายยังดูเต่งตึง
ฉู่ชวิ๋นนั่งอยู่ข้าง ๆ โลงแก้ว นั่งบรรยายเรื่องราวต่าง ๆ เขานั่งแบบนั้นทั้งคืน ทุกครั้งที่เขาคิดถึงตอนที่ฮวาชิงหวู่ช่วยชีวิตพ่อแม่ของเขาเอาไว้จนตัวตาย มันทำให้เขาใจสลาย
วันต่อมา จิ่วโยวก็มาด้วย
เธอดูแข็งแกร่งมาก ห่างกันไปแค่เดือนเดียว ตอนนี้เธอแทบจะเป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับหนึ่งแล้ว
ผมสีม่วงของจิ่วโยวดูสว่างไสว สะท้อนกับแสงเงาวับ เธอตัวเล็กและผิวขาวราวกับหิมะ มองดูแล้วเหมือนกับตุ๊กตา สวยแบบไม่จำต้องเป็นหาสาเหตุ เธอดูน่าหลงใหลเหมือนกับฮวาชิงหวู่
ฉู่ชวิ๋นรู้ตัวเองว่าจะต้องไปแล้ว เขาเลยกระซิบออกมาว่า “รอฉันด้วยล่ะ”
ฉู่ชวิ๋นสงสัยหลายเรื่องมากมาย อยากจะเข้าไปถามจักรพรรดิอ๋าวฮวง เช่น ตอนนี้สัตว์ร้ายที่ไล่อาละวาดอยู่ที่ไหน ? อะไรเป็นสาเหตุ ? แล้วอะไรที่ทำให้โลกเปลี่ยนไป ? แต่ตอนนี้จักรพรรดิอ๋าวฮวงกำลังโมโหเขาอยู่เลยหลบหน้าเขา หายไปไหนไม่รู้
“ไอ้คนแก่ขี้เหนียวเอ้ย” ฉู่ชวิ๋นพึมพำ แล้วก็พาจิ่วโยวออกไป
จิ่วโยวคืออสูรที่เป็นขั้นจักรพรรดิระดับหนึ่ง เพราะว่าเธอเป็นปีศาจเลยทรงพลังกว่ามนุษย์มาก เธอแข็งแกร่งกว่าจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับหนึ่งของมนุษย์ จิ่วโยวในตอนนี้สามารถยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้แล้ว
ที่วังมังกรเพลิง เหลยเป้าและคนอื่น ๆ กำลังเตรียมพร้อม ตอนนี้อาการบาดเจ็บของพวกเขาหายดีแล้วด้วยลมปราณจำแลงของฉู่ชวิ๋น
“ว้าว…น่ารักจัง!” หญิงหม้ายมองไปที่จิ่วโยว หากไม่เพราะกลัวฉู่ชวิ๋น เธอคงจะเข้าไปลูบไล้และกอดจิ่วโยวไว้ในอ้อมแขนแล้ว คนอื่นๆ ก็รู้สึกประหลาด ทำไมฉู่ชวิ๋นถึงพาสาวงามคนนี้มาด้วยละ ? นี่คือลูกสาวของฉู่ชวิ๋นใช่ไหม? พวกเขาคิดกันไปต่าง ๆ นานา
“ท่านเจ้าวังครับ คุณหลงเขา…” เหยียนชงยังไม่ทันพูดจบ ฉู่ชวิ๋นก็แสยะยิ้มออกมา เขาลืมลุงหลงอ๋าวไปเลยแหะ
“พาฉันไปดูซิ”
“อ้อ นี่จิ่วโยวนะ ครั้งนี้เธอจะไปกับพวกเราด้วย ทำความรู้จักกันไว้สิ” พอฉู่ชวิ๋นพูดจบ เขาก็เดินออกไปกับเหยียนชง
ครึ่งชั่วโมงถัดมา ฉู่ชวิ๋นและเหยียนชงก็กลับมา พวกเขาเห็นแต่ความโกลาหลวุ่นวายเต็มไปหมด หญิงหม้ายผมเผ้ายุ่งเหยิง หายใจเหนื่อยหอบ ตัวสั่นใจสั่นไม่หยุด ส่วนเหลยเป้า ครึ่งตัวบวมเป็นขนมปัง ตาแทบจะถลนออกมา หนวดแหว่งดูแล้วน่าสังเวชมาก
Comments
จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) 239 นกสองหัว
บทที่ 239 นกสองหัว![รีไรท์]
“มันคือสัญญาเลือด” ฉู่ชวิ๋นไม่ปิดบังแล้วบอกว่าสัญญาเลือดนี้คืออะไร แววตาของเหยียนชงและจั๋วจื่อชิวซีดจางทันทีเมื่อได้ยิน
ทั้งเหลยเป้าและหญิงหม้ายก็ใจสั่นด้วยความกลัว หากว่าทั้งสองตอบช้ามากกว่านี้ ฉู่ชวิ๋นก็คงจะใช้สัญญาเลือดนี้กับพวกเขาด้วยแน่ ๆ แต่ว่า…ในสัญญาเลือด จริง ๆ แล้วมันน่ากลัวเหมือนกับที่ฉู่ชวิ๋นบอกมาเหรอ?
อันที่จริงต้องถือว่าเหยียนชงและจั๋วจื่อชิวดวงดี เพราะอาจจะโดนฉู่ชวิ๋นหลอกก็ได้ ทุกคนคิดแบบนี้ในใจ แต่ทว่าฉู่ชวิ๋นไม่ได้ใจดีแบบหน้าตาเมื่อเห็นคนพวกนี้คิดว่า เขาโกหกเขาก็ทรมานอีกฝ่ายโชว์ทันที!!
จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิสอง คนลงไปนอนกองกับพื้นแบบไร้ราศีความเป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิ ตาลอยไร้วิญญาณ หน้าตาดูบูดเบี้ยวจนผิดมนุษย์ มีเสียงระเบิดดังออกจากลำตัว เสียงกรีดร้องโหยหวน…แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ความเจ็บปวดทุเลาลง เพราะความเจ็บปวดนี้มาจากวิญญาณมันคือความเจ็บปวดที่แท้จริงจนรู้สึกอยากฆ่าตัวตาย
ฉู่ชวิ๋นเก็บมือไป ความรู้สึกของทั้งสองเหมือนคนที่จมอยู่ในน้ำ เหลยเป้าและหญิหม้ายตัวเย็นวาบ ขนลุกขนพอง เหงื่อไหลท่วมตัว
ฉู่ชวิ๋นกระดิกนิ้วไปมา ประกายสีม่วงสองสายลอยออกมาแล้วเข้าไปในตัวของเหยียนชงและจั๋วจื่อชิว
ร่างกายของทั้งสองคนที่กระตุกอยู่ก็เริ่มนิ่งลง สายตาเริ่มกลับมามองเห็นชัดเจน จิตวิญญาณเริ่มฟื้นฟู
เหลยเป้าและแม่หม้ายเริ่มรู้ถึงความมหัศจรรย์ของควันม่วงนี้ อาการบาดเจ็บของพวกเขาเองก็ทุเลาลงเพราะควันสีม่วงนี้
ไม่นานจั๋วจื่อชิวและเหยียนชงก็พยายามลุกขึ้นมา คุกเข่าต่อหน้าฉู่ชวิ๋น “คารวะ นายเหนือหัว”
ด้วยสัญญาวิญญาณนี้ พวกเขาจะต้องเป็นทาสไปจนกว่าฉู่ชวิ๋นจะยอมปล่อยตัว
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้ารับ กล่าวว่า “เหยียนชง นายกลับไปดูแลกลุ่มโหรเหมือนเดิมเถอะ”
“ขอรับ” เหยียนชงตอบด้วยความนอบน้อม ฉู่ชวิ๋นมองไปที่เหลยเป้าและแม่หม้าย พลางกล่าวว่า “พวกนายก็กลับไปทำหน้าที่ของตัวเองซะ”
“ครับ/ค่ะ” สองคนรีบตอบรับ
ฉู่ชวิ๋นหันไปมองที่จั๋วจื่อชิว และถามเขาว่า “นายมาจากสำนักดาบพิฆาตเหรอ ?”
“ใช่ครับ คุณท่าน” จั๋วจื่อชิวตอบด้วยท่าทางที่เคารพนอบน้อม ฉู่ชวิ๋นส่งสายตาที่แลดูเจ้าเล่ห์พลางถามว่า “นายรู้จักที่เก็บสมบัติของสำนักดาบพิฆาตไหม ?”
พอถามประโยคนี้ออกมา ไม่ใช่แค่เพียงจั๋วจื่อชิวที่มองแบบแปลก ๆ แต่คนอื่น ๆ ก็ด้วย จั๋วจื่อชิวรวบรวมสติ รีบคุกเข่าก้มลงไป
“คลังสมบัติของสำนักเรานี้ อยู่ในความดูแลของนายทวารบาล ซึ่งก็ไม่มีทางที่คนอื่นจะรู้ได้เลย ขอรับ”
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกเสียดายและกล่าวว่า “งั้นฉันขอออกคำสั่ง ให้นายกลับไปยังสำนักดาบพิฆาตไปสืบมาว่าคลังสมบัติซ่อนอยู่ที่ไหนแล้วรีบบอกฉันให้เร็วที่สุด”
“ท่านเจ้าวัง ท่านจะ….?” สาวหม้ายสงสัย
ฉู่ชวิ๋นมองไปรอบ ๆ และกล่าวว่า “มองไปรอบ ๆ ดูวังมังกรเพลิงที่ทรุดโทรมของพวกนายสิ ไม่คิดจะไปเก็บกวาดสิ่งที่ตัวเองทำเลอะเทอะไว้หน่อยรึไง ? หากไม่มีของดีเข้ามา มันก็ไม่มีทางที่จะยิ่งใหญ่สง่างามได้หรอกนะ คนอื่น ๆ ถ้าไม่มีทรัพยากรฝึกวิชาก็จะไม่ได้ก้าวไปข้างหน้า จะมาพึ่งแต่ฉันแบบนี้ ฉันก็เหนื่อยตายกันก่อนพอดี” ผู้คนพอได้ยินเข้าก็รู้สึกแปลก ๆ ชอบกล
หญิงหม้ายอดสงสัยไม่ได้ “ท่านเจ้าวัง ท่านกำลังหมายถึง…….การปล้น”
ฉู่ชวิ๋นคิดสักพัก “ปล้นอะไรกัน นี่แค่การขอยืมแบบไม่คืน!” หลาย ๆ คนต่างก็ซุบซิบ พวกเขาคิดว่าจอมยุทธ์ทั้งหลายยังรู้จักฉู่ชวิ๋นไม่ดีพอ วายร้ายคนนี้ไม่เพียงแค่ฆ่าคนอย่างไร้ความปรานีแต่เขายังใจจืดใจดำอีกด้วย
“นายรีบ ๆ ไปถามมาซะว่าขุมสมบัติมันอยู่ที่ไหน เจ้าสำนักนั้นน่ะมันก็แค่พวกที่รวยแล้วจดำ พวกเราจะถูกหรือผิดก็ต้องขึ้นกับฟ้าดิน” ฉู่ชวิ๋นกล่าว
“แบบไหนจึงจะถือได้ว่ารวยแล้วยังใจดำคะ ?” หญิงหม้ายเอ่ยถามอย่างสงสัยไม่ใช่ฉู่ชวิ๋นคิดว่าแค่รวยก็ไปปล้นมาให้หมดหรอกนะ
ฉู่ชวิ๋นคิดแล้วคิดอีกพลางตอบกลับมา “ก็คงเหมือนพวกตระกูลโหยวที่เมืองกู่เจียง พวกเขาหลับหูหลับตาปล่อยให้พวกพ้องของตัวเองเอาสัตว์เลี้ยงออกมาทำร้ายผู้คน ไอ้พวกคนพรรค์นี้มันก็ทำต่อไปเรื่อย ๆ แหละ”
เอ่อ…!
ทุกคนดูตกตะลึง เจ้าวังแบบนี้ ไม่ต้องกังวลเลยว่าวังมังกรเพลิงจะไม่ก้าวไปไหน ไม่โดนถล่มฆ่าล้างบางก็ต้องรุ่งเรืองสุด ๆ !
“ท่านเจ้าวัง ก่อนหน้านี้ผมได้ยินข่าวสมบัติลึกลับมาก่อนด้วย…” จั๋วจื่อชิวพูดเหมือนว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสมบัติลึกลับ
“ข่าวอะไรกัน ?”
“ว่ากันว่ามันอยู่ที่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองมังกร จู่ ๆ ก็มีภูเขาลูกใหม่ผุดขึ้นมา ปล่องภูเขาไฟมักจะปะทุออกมาเป็นแสงสามสี เห็นได้ง่าย ๆ แม้จะอยู่ห่างออกไปพันลี้ ว่ากันว่ามีอนุสาวรีย์ตั้งอยู่บนยอดเขา บนนั้นมีสมบัติล้ำค่านับไม่ถ้วนเลยทีเดียว หรือพวกเราจะ……”
“ผมก็เคยได้ยินมาก่อน เรื่องนี้ทำให้ทุกคนพยายามบุกเข้าไปในเมืองมังกรด้วยครับ” เหยียนชงกล่าว ทุกคนกำลังรอฉู่ชวิ๋นว่าจะตกลงไปที่แห่งนั้นหรือไม่
“งั้นก็ไปกันเลย” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ถ้ามีแสงสามสี มันก็น่าจะมาจากดอกซานเซิง มันเป็นยาที่สามารถช่วยชีวิตฮวาชิงหวู่ เขาต้องไปเอามันมาให้ได้!
เหลยเป้าถูมือไปมาด้วยความตื่นเต้น หญิงหม้ายเองก็ดูท่าทางเต็มไปด้วยความสุข เหยียนชงก้มหัวลงแล้วส่งยิ้มออกมา
ฉู่ชวิ๋นรวบรวมสติกลับมาแล้วเลิกคิ้ว พูดออกมาด้วยความรู้สึกแปลก ๆ
“พวกนาย ดูตื่นเต้นกันนะ”
“ก็ใช่น่ะสิ” หญิงหม้ายพูดออกมาแบบไม่รู้ตัว พอพูดจบจึงนึกได้ว่าตัวเองพูดผิดไป จึงรีบเก็บอารมณ์ไว้ แล้วพูดออกมาอย่างจริงจัง “ท่านเจ้าวังอาจจะยังไม่ทราบมาก่อน อันที่จริงเราเคยเจอไปที่นั้นแต่โชคไม่ดีที่พลังพวกเราไม่แข็งแกร่งพอ ทุกครั้งพวกเราจะไปด้วยตั้งใจ แต่ก็ล้มเหลวกลับมาตลอด ถึงจะไม่สูญเสียอะไรมากแต่ก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด”
“ทำไมกัน ฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งมากเหรอ ?” ฉู่ชวิ๋นอดสงสัยไม่ได้ ทั้งสามคนนี้ต่างก็เป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิกันหมด พวกเขาถือว่าแข็งแกร่งไม่น้อยเลย
เหลยเป้าแสยะยิ้ม กล่าวออกไป “ท่านเจ้าวังอาจยังไม่ทราบ ตอนนี้เหล่าจอมยุทธ์แบ่งออกเป็นสองขั้วคือพวกรัฐบาลกับพวกจอมยุทธ์ที่ทำตามใจตัวเอง พวกเราสามคนเป็นฝ่ายรัฐบาล จึงตกเป็นเป้าหมายโจมตีของพวกเขา”
“เป็นงั้นเอง” ฉู่ชวิ๋นแววตาดูเย็นชา “งั้นพวกนายก็ไปเตรียมพร้อมซะ พรุ่งนี้เราจะไปที่เมืองมังกรกัน” เหลยเป้ากับพวกจากไป เขารวบมือแล้วถูไปมา พอมีฉู่ชวิ๋นอยู่ด้วยแล้ว ความมั่นใจก็เพิ่มขึ้นมาอีกเท่าตัว ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้กลับมามือเปล่าแบบครั้งก่อน ๆ แน่นอน!
“ฉันขอไปด้วย” นักรบเสือดูตื่นเต้นมาก เขาเองก็อยากไปด้วย
“แกน่ะอยู่ที่นี่ไปเถอะ คิดว่าจะไปเที่ยวหรือไง ? ทุกครั้งที่ไปล่าสมบัติ แม้แต่จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิก็ยังบาดเจ็บล้มตาย ความสามารถของแกมีแค่นี้จะไปตายหรือไง ?” เหลยเป้าพูดแดกดันนักรบเสือ
นักรบเสือหน้าแดงก่ำ เขามองไปที่เหลยเป้าอย่างดุดัน แล้วหันไปมองที่ฉู่ชวิ๋น
ฉู่ชวิ๋นก็ทำอะไรไม่ได้ เขาพูดออกมาว่า “ครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรก ฉันยังไม่รู้อะไรอีกหลายอย่าง รอบนี้นายอยู่เฝ้าวังไปก่อน ครั้งหน้าค่อยไปด้วย แล้วก็ครั้งนี้ฉันจะเอาของที่จำเป็นสำหรับกลุ่มฟินิกซ์ม่วงมาให้” เมื่อฉู่ชวิ๋นเป็นคนพูดแบบนี้ นักรบเสือจึงได้แต่ใจเย็นลงแล้วพยักหน้ารับ
“จั๋วจื่อชิว นายกลับไปที่สำนักดาบพิฆาตครั้งนี้ สิ่งที่ต้องทำคือไปหาคลังเก็บสมบัติให้เจอ” จั๋วจื่อชิวหน้านิ่งคิ้วขมวด นี่มันเป็นการทรยศสำนักต้องเป็นเลวขนาดไหนถึงสั่งให้ไปทรยศสำนักที่ตัวเองร่ำเรียนวิชามา!
“ขอรับ” เขาตอบรับ แต่ในใจเขาได้แต่คิดว่าเขาโดนบังคับให้ทำ เขาโดนบังคับให้ทำจริง ๆ นะ!
หลังจากที่วางแผนกัน ฉู่ชวิ๋นกับที่เหลือก็ตกลงกันได้ว่าจะออกเดินทางไปแต่เช้าเพื่อไปยังภูเขามังกร
ณ คฤหาสน์ม่วง ของจักรพรรดิอ๋าวฮวง
จักรพรรดิอ๋าวฮวงและฉู่ชวิ๋นนั่งคุยกันที่โต๊ะหิน
“เอ็งไปเป็นเจ้าวังมังกรเพลิงเหรอ ?” จักรพรรดิอ๋าวฮวงท่าทางแปลกใจ ฉู่ชวิ๋นมองไปที่เขา แล้วพูดออกมา “ท่านไม่ต้องแกล้งทำตัวเสแสร้งเลย มันดูออกว่าแกล้งทำนะ อายคนอื่นเขา”
จักรพรรดิอ๋าวฮวงยิ้มเบา ๆ “เราเป็นเพื่อนกันนะ เอ็งทำแบบนี้เดียวข้าบล็อกแม่งเลยนี้!”
ฉู่ชวิ๋นเงิบไปเลย ไม่คิดว่าจักรพรรดิอ๋าวฮวงจะใช้ภาษาอินเทอร์เน็ตแบบนี้เขาได้แต่ขำแล้วส่ายหัว “เอาจริง ๆ ผมก็ไม่ได้อยากจะเป็นเพื่อนกับท่านหรอก คบแล้วมีแต่ปัญหา”
จักรพรรดิอ๋าวฮวงยกชาขึ้นกระดก “เจ้าพูดไปได้นะ ถ้าไม่มีข้า เจ้าก็คงจะตายอยู่ที่ภูเขาไปแล้ว”
“แต่ท่านทำให้ผมโดยพันธนาการแห่งท้องฟ้านะ!!” ฉู่ชวิ๋นพูดออกมาอย่างไม่พอใจ
“เจ้าทำของเจ้าเองต่างหาก มันก็แปลก ๆ นะเพราะตอนนั้นเจ้าก็ไม่ต่างจากลูกเจี๊ยบตัวหนึ่งเลย แต่เจ้าก็ยังเป็นคนที่บนฟ้ายังต้องอิจฉา ร้ายกาจ ๆ!”
“ตาแก่ชั่วอย่างท่านยังทำให้คนบนฟ้าเขาอิจฉาได้ ทำไมผมจะทำไม่ได้ล่ะ ? ผมด้อยกว่าท่านตรงไหน ? ผมใช้เวลาแค่สามพันปีในการเป็นจักรพรรดิอมตะนะ ท่านทำได้ไหม ผมนี้ละโคตรอัจฉริยะ ?”
ตาแก่ชั่วเรอะ ? จักรพรรดิอ๋าวฮวงกลอกตา หน้าแดงเป็นกวนอู รูปร่างสง่างาม เป็นคุณลุงที่สาว ๆ หลงใหล ยังห่างไกลคำว่าตาแก่อยู่มากนะเฟ้ย!
“เจ้าเคยเจอคนแก่รูปหล่อไหมล่ะ ?” ฉู่ชวิ๋นมองบน เยาะเย้ย ดูหมิ่น ถากถาง ขำแรง….ความรู้สึกแย่ ๆ เหล่านี้ถูกส่งผ่านมาจากการมองบนของเขา
“ไอ้เด็กบ้านี้ ?” จักรพรรดิอ๋าวฮวงรู้สึกกระวนกระวายใจ ครั้งแรกที่เขาโดนเรียกว่าตาแก่ชั่ว เขาโมโหจนอยากจะไปต่อยคน ฉู่ชวิ๋นได้แต่มองเขานิ่ง ๆ
จักรพรรดิอ๋าวฮวงโมโหจนควันแทบจะออกปาก ไม่พูดอะไรออกมา เพียงแต่สะบัดมือฟาดไปที่ฉู่ชวิ๋น แล้วโยนเขาออกไป พลางกล่าวว่า “ไปอยู่กับผู้หญิงของเจ้าเลยไป๊ อย่ามากวนใจข้าอีกละ!”
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกไม่สบายใจ เขาคือจอมมารฉู่ในสายตาของคนทั่วไป แต่กลับไม่เห็นแม้แต่การขยับมือจักรพรรดิอ๋าวฮวง
“เพราะอยู่มานานกว่าหรอกนะเลยทำแบบนี้ได้ อีกไม่นานผมเองก็ทำได้รอก่อนเถอะ” ฉู่ชวิ๋นพึมพำ แต่ว่าหลังจากที่ฝึกวิชาลมปราณจำแลง เขากลับแยกลมปราณแต่ละส่วนไม่ออก ตำราลมปราณจำแลงนี้มีระบบลมปราณที่แยกออกจากกัน เขาคิดว่าทั้งจักรวาลนี้คงมีแค่เขาที่ฝึกมันอยู่ เหล่าจอมยุทธ์ทุกคนต้องใช้พลังลมปราณ ไล่ตั้งแต่จอมยุทธ์ทั่วไป เหล่าปรมาจารย์ แม้แต่เซียนก็ไม่มีข้อยกเว้น แต่เขาใช้ลมปราณจำแลงมันแตกต่างจากลมปราณปกติพลังนี้สามารถรักษาหรือซ่อมแซมร่างกายได้ราวกับ พลังแห่งการรังสรรค์
ใครกันที่จะสามารถบอกเขาได้ว่า ลมปราณจำแลงมันคืออะไรกันแน่แล้วมันเหมาะสมกับการฝึกวิชาแบบไหนกันแน่ จอมยุทธ์หรือเซียน ?
ฉู่ชวิ๋นตัดสินใจที่จะใช้มันฝึกฝนแทนพลังของผู้ฝึกตนเป็นเซียนอมตะ เพราะยังไงซะเขามีถนัดสายนี้ที่สุด
ในโลงแก้วคริสตัล ร่างฮวาชิงหวู่ราวว่าเธอแค่หลับไป ทุกอณูในร่างกายยังดูเต่งตึง
ฉู่ชวิ๋นนั่งอยู่ข้าง ๆ โลงแก้ว นั่งบรรยายเรื่องราวต่าง ๆ เขานั่งแบบนั้นทั้งคืน ทุกครั้งที่เขาคิดถึงตอนที่ฮวาชิงหวู่ช่วยชีวิตพ่อแม่ของเขาเอาไว้จนตัวตาย มันทำให้เขาใจสลาย
วันต่อมา จิ่วโยวก็มาด้วย
เธอดูแข็งแกร่งมาก ห่างกันไปแค่เดือนเดียว ตอนนี้เธอแทบจะเป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับหนึ่งแล้ว
ผมสีม่วงของจิ่วโยวดูสว่างไสว สะท้อนกับแสงเงาวับ เธอตัวเล็กและผิวขาวราวกับหิมะ มองดูแล้วเหมือนกับตุ๊กตา สวยแบบไม่จำต้องเป็นหาสาเหตุ เธอดูน่าหลงใหลเหมือนกับฮวาชิงหวู่
ฉู่ชวิ๋นรู้ตัวเองว่าจะต้องไปแล้ว เขาเลยกระซิบออกมาว่า “รอฉันด้วยล่ะ”
ฉู่ชวิ๋นสงสัยหลายเรื่องมากมาย อยากจะเข้าไปถามจักรพรรดิอ๋าวฮวง เช่น ตอนนี้สัตว์ร้ายที่ไล่อาละวาดอยู่ที่ไหน ? อะไรเป็นสาเหตุ ? แล้วอะไรที่ทำให้โลกเปลี่ยนไป ? แต่ตอนนี้จักรพรรดิอ๋าวฮวงกำลังโมโหเขาอยู่เลยหลบหน้าเขา หายไปไหนไม่รู้
“ไอ้คนแก่ขี้เหนียวเอ้ย” ฉู่ชวิ๋นพึมพำ แล้วก็พาจิ่วโยวออกไป
จิ่วโยวคืออสูรที่เป็นขั้นจักรพรรดิระดับหนึ่ง เพราะว่าเธอเป็นปีศาจเลยทรงพลังกว่ามนุษย์มาก เธอแข็งแกร่งกว่าจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับหนึ่งของมนุษย์ จิ่วโยวในตอนนี้สามารถยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้แล้ว
ที่วังมังกรเพลิง เหลยเป้าและคนอื่น ๆ กำลังเตรียมพร้อม ตอนนี้อาการบาดเจ็บของพวกเขาหายดีแล้วด้วยลมปราณจำแลงของฉู่ชวิ๋น
“ว้าว…น่ารักจัง!” หญิงหม้ายมองไปที่จิ่วโยว หากไม่เพราะกลัวฉู่ชวิ๋น เธอคงจะเข้าไปลูบไล้และกอดจิ่วโยวไว้ในอ้อมแขนแล้ว คนอื่นๆ ก็รู้สึกประหลาด ทำไมฉู่ชวิ๋นถึงพาสาวงามคนนี้มาด้วยละ ? นี่คือลูกสาวของฉู่ชวิ๋นใช่ไหม? พวกเขาคิดกันไปต่าง ๆ นานา
“ท่านเจ้าวังครับ คุณหลงเขา…” เหยียนชงยังไม่ทันพูดจบ ฉู่ชวิ๋นก็แสยะยิ้มออกมา เขาลืมลุงหลงอ๋าวไปเลยแหะ
“พาฉันไปดูซิ”
“อ้อ นี่จิ่วโยวนะ ครั้งนี้เธอจะไปกับพวกเราด้วย ทำความรู้จักกันไว้สิ” พอฉู่ชวิ๋นพูดจบ เขาก็เดินออกไปกับเหยียนชง
ครึ่งชั่วโมงถัดมา ฉู่ชวิ๋นและเหยียนชงก็กลับมา พวกเขาเห็นแต่ความโกลาหลวุ่นวายเต็มไปหมด หญิงหม้ายผมเผ้ายุ่งเหยิง หายใจเหนื่อยหอบ ตัวสั่นใจสั่นไม่หยุด ส่วนเหลยเป้า ครึ่งตัวบวมเป็นขนมปัง ตาแทบจะถลนออกมา หนวดแหว่งดูแล้วน่าสังเวชมาก
Comments