จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) 243 กระสุนนรกเก้านัด

Now you are reading จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) Chapter 243 กระสุนนรกเก้านัด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 243 กระสุนนรกเก้านัด

คำพูดอันน่าขนลุกของไฉเยวียนยังคงลอยค้างอยู่ในอากาศ แต่สีหน้าของ อูหมิงนั้นดูไม่ได้เลย เขาได้แต่ด่าการกระทำของไฉเยวียนอยู่ในใจ การไปข่มขู่ฉู่ชวิ๋นนั้นเป็นอะไรที่โง่เขลามาก สิ่งที่จะตามนั้นเกินกว่าที่ใครจะรับได้อย่างแน่นอน

ทุกคนหันไปมองฉู่ชวิ๋น เพื่อจะดูว่าเขาจะตอบโต้อย่างไร

จอมมารฉู่นั้นเรียบง่ายและรุนแรงอยู่เสมอ แต่เทียนหลงเป่าเองก็รู้จักกันดีในฐานะกลุ่มจอมยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่ ว่ากันว่าปรมาจารย์มังกรหลงเฟยหยางที่เป็นผู้นำแข็งแกร่งลำลึกเกินจะหยั่งถึง

“พวกเรามาเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้วังมังกรเพลิงโดยเริ่มจากกลุ่มเทียนหลงเป่าเลยก็แล้วกัน” ฉู่ชวิ๋นพูดขึ้นมา

ทุกคนต่างสงสัยว่าฉู่ชวิ๋นกำลังจะสื่อถึงอะไร มีแค่เหยียนชงและพรรคพวกเท่านั้นที่รู้ว่าฉู่ชวิ๋นกำลังพูดถึงสมบัติของพวกเทียนหลงเป่า

“ฉู่ชวิ๋นแกต้องเสียใจที่แกทำแบบนี้!” จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิอีกคนของกลุ่มเทียนหลงเป่ามองมายังฉู่ชวิ๋นด้วยสายตาอันเยือกเย็น

“ยังไงแกมันก็เป็นแค่ไอ้ปีศาจเลือดเย็น แกกล้าทำร้ายคนของพวกเราต่อหน้าผู้อาวุโสใหญ่ ถ้ายังอยากยืนสองขามีแขนสองข้างอยู่ละก็ จนคุกเข่าขอโทษซะ ไม่งั้นแกตายแน่!”

“พวกแกรนหาที่ตายกันมากนักสินะ?” ฉู่ชวิ๋นถามอย่างเยือกเย็น

ดวงตาของผู้คนที่กำลังมุงดูอยู่นั้นเบิกกว้างทันที ข่าวลือที่พวกเขาได้ยินเกี่ยวกับจอมมารฉู่นั้นพวกเขาจะได้เห็นกับตาตัวเองแล้วอย่างงั้นรึ?

“ฉันจะฆ่าพวกมันเอง!” เสียงของวัยรุ่นสาวคนนึงดังขึ้น

ทุกคนตะลึงกับเสียงที่ได้ยิน มันเป็นเสียงของสาวน้อยคนนึงหน้าตาเหมือนตุ๊กตา

นอกจากฉู่ชวิ๋น หญิงหม้าย และเหลยเป้าแล้ว ทุกคนต่างมองมาด้วยสายตาแปลกประหลาด

หน้าตาของเธอนั้นเหมือนกับรูปปั้นแกะสลักแต่เธอกลับพูดสิ่งที่โหดร้ายออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย

“ฉู่ชวิ๋น แกเลือกที่จะตายมากกว่ามีชีวิตอยู่อย่างงั้นสินะ?” คำพูดของผู้เป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิเต็มไปด้วยความรุนแรงและหวังจะเอาชีวิต

ฉู่ชวิ๋นตอบกลับไปอย่างไม่สนใจ “พวกเทียนหลงเป่านี้ มันขี้เอาแต่ใจกันเสียจริง!”

จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิคนนั้นส่งเสียงไม่พอใจออกมา และพูดดูถูกอีกฝ่าย “ทั้งสววรค์และโลกมนุษย์ เกิดการวิปโยคกันหมดแล้ว เหล่าจอมยุทธ์ต่างก็ถูกกำหนดเอาไว้ให้ลุกขึ้นสู้ คนที่แข็งแกร่งที่สุดจะเป็นผู้อยู่รอด ถ้าแกแข็งแกร่งจริงก็มาล้มฉันคนนี้ให้ได้สิ ไม่มีใครสามารถต้านทานหมัดมังกรของฉันได้หรอก!”

“คนที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่อยู่รอดอย่างงั้นหรอ? ถ้างั้นฉันจะฆ่าแกเองเพราะ สิ่งที่แกพูดมันมีแต่ความไร้สาระ มองไม่เห็นว่าใครกันแน่ที่แข็งแกร่ง ฉันละอดสงสารพวกแกไม่ได้จริงๆ เดียวงั้นฉันจะแสดงพลังของฉันให้พวกแกได้เห็นเอง!!”

คำพูดของฉู่ชวิ๋นราวสายฟ้าฟาด ผู้คนเริ่มมามุงดูการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้น

“ให้ฉันจัดการเอง” เสียงที่เหมือนเด็กของจิ่วโยวดังขึ้นอีกครั้ง

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายเลิกพูดจากันแล้ว ทุกอย่างก็เริ่มขึ้น

ร่างเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยแสงสีม่วงวิ่งเข้าไปหาไฉเยวียนด้วยพลังที่น่าสะพรึ่งกลัว

ไฉเยวียนตะลึงกับสิ่งที่เห็นมาก เพียงพริบตาเดียว หมัดทั้งเก้าก็ต่อยเข้าหาร่างของเขาโดยที่ไม่ทันตั้งตัว

ตู้ม!

เสียงปะทะกันดังขึ้น ทั้งสองต่างก็แสดงพลังเข้าใส่กันราวกับคลื่นพายุ สิ่งที่ทุกคนเห็นด้วยตาเปล่านั้นมีแค่ขาทั้งสองข้างที่ยึดอยู่กับพื้นเท่านั้น

ไฉเยวียนถีบตัวออกไปไกลกว่า 100 ก้าว ตอนนี้เขายืนอยู่บนหลังคาที่ไกลออกไป

แน่นอนว่าหมัดของเขานั้นด้านชาไปหมด

เด็กคนนั้นเป็นเด็กธรรมดาจริงๆ เหรอ? พลังของเธอสามารถไล่ต้อนจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิได้อย่างง่ายดายเลย

โลกใบนี้เปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย?

ทุกคนต่างไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น

ดวงตาอันเยือกเย็นและเฉียบคมของไฉเยวียนเปร่งประกายและเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เขาหันกลับไปมองเด็กที่มีพลังจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิคนนี้ทันที

สีหน้าของผู้หญิงคนนั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจ

“พร้อมแล้วรึยัง?” เสียงอันซุกซนของจิ่วโยวดังขึ้นและนั้นทำให้ไม่มีใครกล้าดูถูกเธอเลยแม้แต่คนเดียว

ฟิ้ว!

เสียงแหลมๆ พุ่งฝ่าอากาศออกไป การเคลื่อนไหวของลำแสงทั้งเก้านั้นเร็วพอๆ กับสายฟ้า ซึ่งแสงนั้นพุ่งมาจากหมัดน้อยๆ ของเด็กสาวคนนั้น

ไฉเยวียน โคจรลมปราณก่อนที่จะปล่อยหมัดสวนไป

เท้าเล็กๆ ของจิ่วโยวปะทะเข้ากับหมัดของไฉเยวียนอย่างไม่ปราณี ส่งลมปราณอันรุนแรงออกไปทั่วทุกทิศ

ตู้ม!

ร่างของไฉเยวียนเอง เท้าลากดินออกไปไกลจากเดิมมาก

ยังไม่ทันตั้งตัว ฝ่าเท้าของอีกฝ่ายเองก็เตะเข้ามาโดยที่เล็งไปยังหน้าอกของเขา จนเขาต้องเอามือยกขึ้นมาปัดป้อง

ตู้ม!

พื้นดินที่พวกเขายืนอยู่นั้นแตกกระจายจากการปะทะของทั้งสอง ร่างของไฉเยวียนถูกเตะกระเด็นไปไกล เพราะเท้าของเขายันพื้นเอาไว้ไม่อยู่แล้ว! ท้ายที่สุดร่างของเขาก็กระแทกกับพื้นจนเป็นหลุมกว้างประมาน 3 เมตร ไกลออกไปกว่า 100 เมตร

“แกมันอ่อนเกินกว่าที่จะสู้กับฉู่ชวิ๋นด้วยซ้ำ!” จิ่วโยวพูดจาถากถางอีกฝ่าย ด้วยเสียงที่อ่อนนุ่มและใบหน้าที่งดงาม

สีหน้าของไฉเยวียนตอนนี้เต็มไปด้วยความโกรธแค้น มือและไหล่สั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ เขารู้สึกเสียหน้าอย่างมากหลังจากที่ถูกทำให้ขายหน้าแบบนี้

แต่มันก็ช่วยไม่ได้ อีเด็กนี่มันเป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงได้มีพลังมากมายขนาดนี้ได้ ราวกับว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายอยู่ยังไงอย่างงั้น

กำปั้นของสาวน้อยกำไว้อย่างแน่นหนา ก่อนที่จะปล่อยเพลงหมัดเข้าใส่ไฉเยวียนอีกครั้ง

ไฉเยวียนลุกขึ้น ร่างของเขาสั่นสะท้านด้วยความโกรธ หลังจากนั้นเขาก็พุ่งตัวเข้าไปหาอีกฝ่ายเช่นเดียวกัน

เมื่อทั้งสองปะทะกัน เสียงของการต่อสู้ก็ดังขึ้นอีกครั้ง ทั้นหิน ทราย และลมปราณ ต่างกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง ทุกที่ที่พวกเขาวิ่งผ่านไป กลายเป็นเพียงซากในพริบตา

ไฉเยวียน จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิผู้มากประสบการณ์ ฝึกวิชาและสร้างรากฐานตัวเองอย่างแข็งแกร่ง แม้ว่าจิ่วโยวจะแข็งแกร่งราวกับสัตว์ร้าย แต่เธอก็ไม่สามารถล้มเขาได้ง่ายๆ

เหยียนชงรู้สึกอับอายมาก ตอนที่อยู่วังมังกรเพลิง เหลยเป้าบอกกับเขาว่า ‘ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือหญิงหม้ายก็ไม่สามารถสู้กับจิ่วโยวได้’ นั้นเป็นอะไรที่เขาไม่เชื่อเลยในตอนแรก แต่ตอนนี้เขาเชื่อจนไม่ต้องหาอะไรมาอธิบายเพิ่มแล้ว

เหลยเป้าเดินเข้าไปหาจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิที่มองหน้าเขาอยู่พร้อมกับพูดว่า “แกต้องตายอยู่ที่นี่”

ดวงตาของอีกฝ่ายลุกเป็นไฟในทันที พร้อมกับส่งเสียงไม่พอใจออกมา

“ปากดีนักนะ ฉันเหวินจง อยู่มานานกว่า 200 ปี คนยังแกยังมีหน้ามาสู้กับฉันอีกรึ?”

เหลยเป้าไม่ปล่อยเวลาไปกับการเล่นลิ้น เขาเรียกสายฟ้าลงมาสถิตในกำปั้นของตัวเองทันที

ชายคนนั้นเองก็ไม่ปล่อยให้เสียโอกาส เขาซัดหมัดใส่เหลยเป้าทันที

ตู้ม!

แรงระเบิดอันหน้าสะพรึงกลัวดังขึ้น ราวกับพายุที่สามารถพัดพาทุกสิ่งไปแม้แต่รูปปั้นสิงโตที่ถูกฟันจนขาดครึ่งก็ถูกพายุทำลายจนเหลือแต่ก้อนกรวด ผู้คนที่อยู่หน้าทางเข้าต่างก็รู้สึกผวาแล้วถอยหลังไปยังที่ปลอดภัยข้างใน

ปั้ง ปั้ง!

ร่างของคนสองคนกระเด็นออกไปอย่างแรง

หญิงหม้ายเดินเข้ามาอย่างองอาจ เพื่อเผชิญหน้ากับอูหมิง

แต่เหยียนชงก็พุ่งตัวเข้ามาปะทะกับอูหมิงแทน

สีหน้าของอูหมิงนั้นย่ำแย่มาก อะไรทำให้เหยียนชงเก่งขึ้นมากถึงขนาดนี้ เขารีบปล่อยหมัดเพื่อสกัดกั้นการโจมตีของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

เหยียนชงเข้ามาใกล้พร้อมกับหมัดเหล็กที่แหวกอากาศอย่างรุนแรง มันส่งแรงสั่นสะเทือนออกมาไม่หยุดหย่อน

อูหมิงตะลึงมากที่เขาอ่อนด้อยกว่ากับอีกฝ่ายจึงรีบถอยหลังหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้

ตู้ม!

กำปั้นของทั้งสองกระแทกกันอย่างแรง ระลอกคลื่นที่น่าสะพรึงกลัวคอยกวนใจอูหมิงตลอดเวลา เหยียนชงสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีเมื่ออูหมิงต่อยกลับมาอย่างแรงสองหมัด ทำให้เขาต้องถอยหลังออกไปเล็กน้อย

อูหมิงที่กำลังตื่นกลัวถอยหนีไปในทันที เขาสามารถหนีไปได้ไวราวกับสายฟ้าโดยที่ไม่หันหลังกลับมามองอีกเลย

ฉากนี้ทำให้ใครหลายๆ คนตะลึง

ผู้ชายคนนี้หนีไปอีกแล้ว

“จะหนีไปไหน!?” เหยียนชงตะโกนด้วยความโกรธ พลังของพวกเขาไม่ได้ต่างกันนัก ถ้าอีกฝ่ายเลือกที่จะหนี ตอนนี้ก็คงไล่ตามไม่ทันแล้วหมัดของ อูหมิงเองก็รุนแรงมากจนเขาเองก็เกือบกระอักเลือดออกมา

คนในกลุ่มเทียนหลงเป่านึกไม่ถึงเลยว่าอูหมิงจะหนีไปทั้งอย่างงั้น

“อูหมิง ไอ้ขี้ขลาด แกทำให้ฉันรู้สึกอับอายจริงๆ!” ไฉเยวียนตะโกนด้วยความโกรธทันทีที่เขารู้ตัว

“อูหมิง รอให้ฉันกับผู้อาวุโสกลับไปได้ แกไม่ได้ตายดีแน่ ไอ้ขี้ขลาดเอ้ย!” เหวินจงด่าทอออกไป

อูหมิงที่หนีไปไกลมากแล้วได้แต่ด่าคนพวกนั้นว่าโง่ พวกแกมันโง่ที่ไปแหย่จอมมารฉู่แบบนั้น ถ้าพวกแกรอดมาได้จะทำอะไรกับฉันก็เชิญเลย

ปากของฉู่ชวิ๋นกระตุก เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ในจังหวะต่อไป ร่างของเขาก็หายไปดื้อๆ กลางอากาศ

อูหมิงที่หนีไปไกลแล้วก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ไล่หลังมา เขาจึงต้องหันกลับไปดู และนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เขาต้องมาหนีตาย…จากฉู่ชวิ๋น

“วิ่งเร็วจังนะ”

เสียงอันน่าสะพรึงกลัวดังก้องอยู่ในหูของเขา เมื่อเขาหันหลังกลับไปอีกครั้ง ก็เห็นฉู่ชวิ๋นกำลังเดินเข้ามาอย่างสบายใจโดยไม่รู้สึกหนาวร้อนอะไร

“มะ…แม่จ๋า…” อูหมิงที่กำลังกลัวก็ดันไปนึกถึงหญิงชราคนนึงที่เสียไปเมื่อหลายปีที่แล้ว และเกลียดขาทั้งสองข้างของตัวเองที่ไม่ยอมขยับ

อูหมิงพยายามหนีอย่างสุดชีวิตอีกครั้ง ความเร็วนั้นเพิ่มสูงขึ้นจนไม่มีใครมองร่างของเขาทัน ซึ่งนั้นทำให้เขาทิ้งไว้เพียงแต่เสียงตอนนี้ความเร็วของเขาได้ทำลายกำแพงความเร็วเสียงไปแล้ว

“อะไรกัน ไม่คิดจะหยุดพักสักหน่อยเหรอ?”

อยู่ๆ ฉู่ชวิ๋นก็พูดขึ้นมาข้างหูของเขา ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างไรก็ไม่มีทางหนีฉู่ชวิ๋นทันอย่างแน่นอน

อูหมิงกลัวมากจนวิญญาณของเขาแทบหลุดออกจากร่าง

เมื่อเขารู้สึกตัวแล้วว่าตัวเองหนีไม่รอด เขาก็หยุดและหันหลังกลับไป ต่อยเข้าไปยังฉู่ชวิ๋นที่อยู่ข้างๆ หนึ่งหมัด

ตู้ม!

พื้นดินตรงนั้นแหลกเป็นผุยผง หลุมขนาด 1 เมตรประทับอยู่ตรงนั้น

“แค้นอะไรพื้นเหรอ?”

อูหมิงไม่ได้ร้องออกมา แต่เขาหยุดนิ่งไป เขาทำผิดพลาดตั้งแต่เลือกที่จะหันหลังออกมาแล้ว

เขาปล่อยหมัดขวาออกไปอีกครั้ง แต่ผลก็เหมือนเดิม หมัดนั้นกระแทกกับพื้นที่ว่างเปล่า

“ท่านฉู่ชวิ๋น ไว้ชีวิตผมด้วยเถอะ ผมสัญญาว่าจะไม่เป็นศัตรูของท่านอีกเลยในอนาคตต่อไปนี้”

ความกดดันทั้งหมดทำให้เขากลายเป็นหมาจนตรอกไปแล้ว

“เอ้า ยอมหยุดแล้วเหรอ มาๆ ฉันมีเรื่องจะคุยด้วยพอดี” ฉู่ชวิ๋นหัวเราะ

พอได้ยินแบบนั้น อูหมิงก็รีบวิ่งหนีอีกครั้ง

“เป็นอะไรของนาย ชอบวิ่งนักรึไง” เส้นไหมลมปราณของเขาโพล่ขึ้นมาจากกลางอากาศ

พับ!

เส้นไหมรัดหัวของอูหมิงไว้แน่นจนเขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

พับ!

เส้นไหมอีกเส้นรัดบริเวณก้นของเขา

อูหมิงร้องออกมาอย่างน่าสงสาร เขาไม่มีเวลาแม้กระทั้งปกป้องก้นของตัวเองด้วยซ้ำ ตอนนี้มือของเขาจับเส้นไหมที่รัดส่วนต่างๆ ของร่างกายเอาไว้แน่น

“วิ่งสิ วิ่ง!” ฉู่ชวิ๋นไล่เขาเหมือนหมูเหมือนหมา ก่อนที่เขาจะเอาเส้นไหมฟาดใส่เหมือนกับแส้

“ไม่น่ะ ท่านฉู่…อย่าทำร้ายผม ผมยอมแล้ว…” อูหมิงหยุดวิ่ง และยอมโดนแส้ฟาด

แม้ว่าตอนนี้มันจะไม่ได้รัดเขาแน่นจนเจ็บ แต่ตัวของเขาก็สั่นเป็นเจ้าเข้า

“อ้าว ทำไมไม่วิ่งแล้วละ?” ฉู่ชวิ๋นพูดจาเหน็บแหนบ

เขาความรู้สึกเหมือนถูกทำร้าย ทำให้เขาอยากจะร้องไหออกมามากขึ้นเรื่อยๆ แส้ยังคงเฆี่ยนร่างอันบอบบางของเขาอย่างไม่เว้นละ

“ผมไม่วิ่งไปไหนแล้ว ความเร็วของผมเทียบความเร็วของท่านฉู่ไม่ไหวหรอกครับ”

“เห็นนายพูดอยู่ตั้งหลายครั้งว่าอยากจะฆ่าฉันไม่ใช่เหรอ?” ฉู่ชวิ๋นถามออกมาพร้อมฟาดแส้ลงไปอีกครั้ง

พึบ!

อูหมิงก้มลงกับพื้นทันที “ท่านฉู่ ไว้ชีวิตผมด้วยได้โปรด ผมมันคนไร้ค่า ที่ผมพูดออกไปเพราะไม่รู้ตัว ขอร้อง อย่าฆ่าผมเลย ไม่ว่าจะเรื่องอะไรผมก็ยอมทำทั้งนั้นครับ!”

ฉากแบบนี้ทำให้ฉู่ชวิ๋นตกใจ

เขานึกถึงครั้งแรกที่เขาเจอหน้าอูหมิง ชายคนนี้เป็นถึงจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิที่องอาจและเก่งกาจมาก แต่ตอนนี้….

“นายเลื่อนระดับตัวเองเป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิได้ยังไง?” ฉู่ชวิ๋นถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น อะไรที่ทำให้คนไม่เอาไหนแบบนี้ประสบความสำเร็จได้นะ?

“ตอนแรกผมก็เป็นแค่จอมยุทธ์ธรรมดาคนหนึ่ง จนกระทั้ง….”

หลังจากที่ฟังเรื่องราวของอูหมิงจนจบ สีหน้าของฉู่ชวิ๋นก็สับสนมากกว่าเดิม อูหมิงเป็นจอมยุทธ์ธรรมดาที่เอาตัวรอดไปวันๆ จนกระทั้งเขาเผลอไปกินเมล็ดพันธุ์ชนิดหนึ่งเข้า นั้นทำให้พลังของเขาพัฒนาอย่างก้าวกระโดด

ฉู่ชวิ๋นคิดว่าอูหมิงต้องกินเมล็ดพืชกลายพันธุ์เข้าไปแน่ๆ มันต้องเป็นยาบำรุงที่หาได้ยากมาก คล้ายๆ กับแห้วโลหิต

แห้วโลหิตมักจะถูกนับรวมกับพืชชนิดอื่นแบบผิดๆ อยู่บ่อยครั้ง และเมื่อโลกเปลี่ยนไป มันต้องมีผลพิเศษอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับมันอย่างแน่นอน เรื่องแปลกๆ แบบนี้เกิดขึ้นหลายครั้งแล้ว

เช่น เรื่องที่มีคนกินดอกไม้ประหลาดแล้วมีปีกงอกขึ้นมาข้างหลังบ้างหละ เรื่องที่มีคนกินสมุนไพรลึกลับเข้าไปแล้วมีพละกำลังมากพอที่จะล้มช้างทั้งตัวได้บ้างหละ

คาดไม่ถึงเลยว่าอูหมิงจะเป็นหนึ่งในคนโชคดีพวกนั้นได้

“ถ้าท่านไว้ชีวิตผม ผมจะพาไปดูหน้าผาแห่งนั้นเอง มีของดีมากมายหลายอย่างอยู่ที่นั้น แต่ตอนนี้มีพลังลึกลับอะไรบางอย่างปิดกั้นทางเขาสถานที่แห่งนั้นอยู่ แม้แต่ผมเองก็ยังพังเข้าไปไม่ได้เลย”

ฉู่ชวิ๋นได้ยินเรื่องนี้เข้าก็รู้สึกประะหลาดใจทันที สถานที่ที่อูหมิงบอกต้องเป็นซากโบราณสถานเก่าแก่อย่างแน่นอน

“งั้นก็ลุกขึ้นมาได้” ฉู่ชวิ๋นสนใจข้อเสนอนี้มาก

“ขอบคุณท่านฉู่ผู้ยิ่งใหญ่ ขอบคุณ!” อูหมิงก้มหัวให้ครั้งแล้วครั้งเล่า

จริงๆ แล้วฉู่ชวิ๋นก็ไม่ได้ดูถูกการปฏิบัติตัวเองอูหมิง เพราะศักดิ์ศรีมีความสำคัญน้อยกว่าชีวิตมาก

“หยดเลือดของนายลงตรงนี้” ฉู่ชวิ๋นบอกอีกฝ่าย

อูหมิงสงสัยแต่เขาก็ไม่ขัดขืนอะไร และรีบหยดเลือดจากปลายนิ้วของเขา

จากนั้นฉู่ชวิ๋นจึงประทับตราสัญญาแห่งเลือดนี้เอาไว้ จากนั้นเขาก็อธิบายว่าพลังของมันคือะไร ทำให้อูหมิงกลัวมาก

“ใจเย็นๆ ถ้านายไม่เล่นตุกติกก็ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวทั้งนั้น”

อูหมิงที่ยอมแพ้ให้กับฉู่ชวิ๋นก็ดูจะเคารพฉู่ชวิ๋นมากขึ้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) 243 กระสุนนรกเก้านัด

Now you are reading จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) Chapter 243 กระสุนนรกเก้านัด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 243 กระสุนนรกเก้านัด

คำพูดอันน่าขนลุกของไฉเยวียนยังคงลอยค้างอยู่ในอากาศ แต่สีหน้าของ อูหมิงนั้นดูไม่ได้เลย เขาได้แต่ด่าการกระทำของไฉเยวียนอยู่ในใจ การไปข่มขู่ฉู่ชวิ๋นนั้นเป็นอะไรที่โง่เขลามาก สิ่งที่จะตามนั้นเกินกว่าที่ใครจะรับได้อย่างแน่นอน

ทุกคนหันไปมองฉู่ชวิ๋น เพื่อจะดูว่าเขาจะตอบโต้อย่างไร

จอมมารฉู่นั้นเรียบง่ายและรุนแรงอยู่เสมอ แต่เทียนหลงเป่าเองก็รู้จักกันดีในฐานะกลุ่มจอมยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่ ว่ากันว่าปรมาจารย์มังกรหลงเฟยหยางที่เป็นผู้นำแข็งแกร่งลำลึกเกินจะหยั่งถึง

“พวกเรามาเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้วังมังกรเพลิงโดยเริ่มจากกลุ่มเทียนหลงเป่าเลยก็แล้วกัน” ฉู่ชวิ๋นพูดขึ้นมา

ทุกคนต่างสงสัยว่าฉู่ชวิ๋นกำลังจะสื่อถึงอะไร มีแค่เหยียนชงและพรรคพวกเท่านั้นที่รู้ว่าฉู่ชวิ๋นกำลังพูดถึงสมบัติของพวกเทียนหลงเป่า

“ฉู่ชวิ๋นแกต้องเสียใจที่แกทำแบบนี้!” จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิอีกคนของกลุ่มเทียนหลงเป่ามองมายังฉู่ชวิ๋นด้วยสายตาอันเยือกเย็น

“ยังไงแกมันก็เป็นแค่ไอ้ปีศาจเลือดเย็น แกกล้าทำร้ายคนของพวกเราต่อหน้าผู้อาวุโสใหญ่ ถ้ายังอยากยืนสองขามีแขนสองข้างอยู่ละก็ จนคุกเข่าขอโทษซะ ไม่งั้นแกตายแน่!”

“พวกแกรนหาที่ตายกันมากนักสินะ?” ฉู่ชวิ๋นถามอย่างเยือกเย็น

ดวงตาของผู้คนที่กำลังมุงดูอยู่นั้นเบิกกว้างทันที ข่าวลือที่พวกเขาได้ยินเกี่ยวกับจอมมารฉู่นั้นพวกเขาจะได้เห็นกับตาตัวเองแล้วอย่างงั้นรึ?

“ฉันจะฆ่าพวกมันเอง!” เสียงของวัยรุ่นสาวคนนึงดังขึ้น

ทุกคนตะลึงกับเสียงที่ได้ยิน มันเป็นเสียงของสาวน้อยคนนึงหน้าตาเหมือนตุ๊กตา

นอกจากฉู่ชวิ๋น หญิงหม้าย และเหลยเป้าแล้ว ทุกคนต่างมองมาด้วยสายตาแปลกประหลาด

หน้าตาของเธอนั้นเหมือนกับรูปปั้นแกะสลักแต่เธอกลับพูดสิ่งที่โหดร้ายออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย

“ฉู่ชวิ๋น แกเลือกที่จะตายมากกว่ามีชีวิตอยู่อย่างงั้นสินะ?” คำพูดของผู้เป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิเต็มไปด้วยความรุนแรงและหวังจะเอาชีวิต

ฉู่ชวิ๋นตอบกลับไปอย่างไม่สนใจ “พวกเทียนหลงเป่านี้ มันขี้เอาแต่ใจกันเสียจริง!”

จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิคนนั้นส่งเสียงไม่พอใจออกมา และพูดดูถูกอีกฝ่าย “ทั้งสววรค์และโลกมนุษย์ เกิดการวิปโยคกันหมดแล้ว เหล่าจอมยุทธ์ต่างก็ถูกกำหนดเอาไว้ให้ลุกขึ้นสู้ คนที่แข็งแกร่งที่สุดจะเป็นผู้อยู่รอด ถ้าแกแข็งแกร่งจริงก็มาล้มฉันคนนี้ให้ได้สิ ไม่มีใครสามารถต้านทานหมัดมังกรของฉันได้หรอก!”

“คนที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่อยู่รอดอย่างงั้นหรอ? ถ้างั้นฉันจะฆ่าแกเองเพราะ สิ่งที่แกพูดมันมีแต่ความไร้สาระ มองไม่เห็นว่าใครกันแน่ที่แข็งแกร่ง ฉันละอดสงสารพวกแกไม่ได้จริงๆ เดียวงั้นฉันจะแสดงพลังของฉันให้พวกแกได้เห็นเอง!!”

คำพูดของฉู่ชวิ๋นราวสายฟ้าฟาด ผู้คนเริ่มมามุงดูการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้น

“ให้ฉันจัดการเอง” เสียงที่เหมือนเด็กของจิ่วโยวดังขึ้นอีกครั้ง

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายเลิกพูดจากันแล้ว ทุกอย่างก็เริ่มขึ้น

ร่างเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยแสงสีม่วงวิ่งเข้าไปหาไฉเยวียนด้วยพลังที่น่าสะพรึ่งกลัว

ไฉเยวียนตะลึงกับสิ่งที่เห็นมาก เพียงพริบตาเดียว หมัดทั้งเก้าก็ต่อยเข้าหาร่างของเขาโดยที่ไม่ทันตั้งตัว

ตู้ม!

เสียงปะทะกันดังขึ้น ทั้งสองต่างก็แสดงพลังเข้าใส่กันราวกับคลื่นพายุ สิ่งที่ทุกคนเห็นด้วยตาเปล่านั้นมีแค่ขาทั้งสองข้างที่ยึดอยู่กับพื้นเท่านั้น

ไฉเยวียนถีบตัวออกไปไกลกว่า 100 ก้าว ตอนนี้เขายืนอยู่บนหลังคาที่ไกลออกไป

แน่นอนว่าหมัดของเขานั้นด้านชาไปหมด

เด็กคนนั้นเป็นเด็กธรรมดาจริงๆ เหรอ? พลังของเธอสามารถไล่ต้อนจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิได้อย่างง่ายดายเลย

โลกใบนี้เปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย?

ทุกคนต่างไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น

ดวงตาอันเยือกเย็นและเฉียบคมของไฉเยวียนเปร่งประกายและเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เขาหันกลับไปมองเด็กที่มีพลังจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิคนนี้ทันที

สีหน้าของผู้หญิงคนนั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจ

“พร้อมแล้วรึยัง?” เสียงอันซุกซนของจิ่วโยวดังขึ้นและนั้นทำให้ไม่มีใครกล้าดูถูกเธอเลยแม้แต่คนเดียว

ฟิ้ว!

เสียงแหลมๆ พุ่งฝ่าอากาศออกไป การเคลื่อนไหวของลำแสงทั้งเก้านั้นเร็วพอๆ กับสายฟ้า ซึ่งแสงนั้นพุ่งมาจากหมัดน้อยๆ ของเด็กสาวคนนั้น

ไฉเยวียน โคจรลมปราณก่อนที่จะปล่อยหมัดสวนไป

เท้าเล็กๆ ของจิ่วโยวปะทะเข้ากับหมัดของไฉเยวียนอย่างไม่ปราณี ส่งลมปราณอันรุนแรงออกไปทั่วทุกทิศ

ตู้ม!

ร่างของไฉเยวียนเอง เท้าลากดินออกไปไกลจากเดิมมาก

ยังไม่ทันตั้งตัว ฝ่าเท้าของอีกฝ่ายเองก็เตะเข้ามาโดยที่เล็งไปยังหน้าอกของเขา จนเขาต้องเอามือยกขึ้นมาปัดป้อง

ตู้ม!

พื้นดินที่พวกเขายืนอยู่นั้นแตกกระจายจากการปะทะของทั้งสอง ร่างของไฉเยวียนถูกเตะกระเด็นไปไกล เพราะเท้าของเขายันพื้นเอาไว้ไม่อยู่แล้ว! ท้ายที่สุดร่างของเขาก็กระแทกกับพื้นจนเป็นหลุมกว้างประมาน 3 เมตร ไกลออกไปกว่า 100 เมตร

“แกมันอ่อนเกินกว่าที่จะสู้กับฉู่ชวิ๋นด้วยซ้ำ!” จิ่วโยวพูดจาถากถางอีกฝ่าย ด้วยเสียงที่อ่อนนุ่มและใบหน้าที่งดงาม

สีหน้าของไฉเยวียนตอนนี้เต็มไปด้วยความโกรธแค้น มือและไหล่สั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ เขารู้สึกเสียหน้าอย่างมากหลังจากที่ถูกทำให้ขายหน้าแบบนี้

แต่มันก็ช่วยไม่ได้ อีเด็กนี่มันเป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงได้มีพลังมากมายขนาดนี้ได้ ราวกับว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายอยู่ยังไงอย่างงั้น

กำปั้นของสาวน้อยกำไว้อย่างแน่นหนา ก่อนที่จะปล่อยเพลงหมัดเข้าใส่ไฉเยวียนอีกครั้ง

ไฉเยวียนลุกขึ้น ร่างของเขาสั่นสะท้านด้วยความโกรธ หลังจากนั้นเขาก็พุ่งตัวเข้าไปหาอีกฝ่ายเช่นเดียวกัน

เมื่อทั้งสองปะทะกัน เสียงของการต่อสู้ก็ดังขึ้นอีกครั้ง ทั้นหิน ทราย และลมปราณ ต่างกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง ทุกที่ที่พวกเขาวิ่งผ่านไป กลายเป็นเพียงซากในพริบตา

ไฉเยวียน จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิผู้มากประสบการณ์ ฝึกวิชาและสร้างรากฐานตัวเองอย่างแข็งแกร่ง แม้ว่าจิ่วโยวจะแข็งแกร่งราวกับสัตว์ร้าย แต่เธอก็ไม่สามารถล้มเขาได้ง่ายๆ

เหยียนชงรู้สึกอับอายมาก ตอนที่อยู่วังมังกรเพลิง เหลยเป้าบอกกับเขาว่า ‘ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือหญิงหม้ายก็ไม่สามารถสู้กับจิ่วโยวได้’ นั้นเป็นอะไรที่เขาไม่เชื่อเลยในตอนแรก แต่ตอนนี้เขาเชื่อจนไม่ต้องหาอะไรมาอธิบายเพิ่มแล้ว

เหลยเป้าเดินเข้าไปหาจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิที่มองหน้าเขาอยู่พร้อมกับพูดว่า “แกต้องตายอยู่ที่นี่”

ดวงตาของอีกฝ่ายลุกเป็นไฟในทันที พร้อมกับส่งเสียงไม่พอใจออกมา

“ปากดีนักนะ ฉันเหวินจง อยู่มานานกว่า 200 ปี คนยังแกยังมีหน้ามาสู้กับฉันอีกรึ?”

เหลยเป้าไม่ปล่อยเวลาไปกับการเล่นลิ้น เขาเรียกสายฟ้าลงมาสถิตในกำปั้นของตัวเองทันที

ชายคนนั้นเองก็ไม่ปล่อยให้เสียโอกาส เขาซัดหมัดใส่เหลยเป้าทันที

ตู้ม!

แรงระเบิดอันหน้าสะพรึงกลัวดังขึ้น ราวกับพายุที่สามารถพัดพาทุกสิ่งไปแม้แต่รูปปั้นสิงโตที่ถูกฟันจนขาดครึ่งก็ถูกพายุทำลายจนเหลือแต่ก้อนกรวด ผู้คนที่อยู่หน้าทางเข้าต่างก็รู้สึกผวาแล้วถอยหลังไปยังที่ปลอดภัยข้างใน

ปั้ง ปั้ง!

ร่างของคนสองคนกระเด็นออกไปอย่างแรง

หญิงหม้ายเดินเข้ามาอย่างองอาจ เพื่อเผชิญหน้ากับอูหมิง

แต่เหยียนชงก็พุ่งตัวเข้ามาปะทะกับอูหมิงแทน

สีหน้าของอูหมิงนั้นย่ำแย่มาก อะไรทำให้เหยียนชงเก่งขึ้นมากถึงขนาดนี้ เขารีบปล่อยหมัดเพื่อสกัดกั้นการโจมตีของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

เหยียนชงเข้ามาใกล้พร้อมกับหมัดเหล็กที่แหวกอากาศอย่างรุนแรง มันส่งแรงสั่นสะเทือนออกมาไม่หยุดหย่อน

อูหมิงตะลึงมากที่เขาอ่อนด้อยกว่ากับอีกฝ่ายจึงรีบถอยหลังหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้

ตู้ม!

กำปั้นของทั้งสองกระแทกกันอย่างแรง ระลอกคลื่นที่น่าสะพรึงกลัวคอยกวนใจอูหมิงตลอดเวลา เหยียนชงสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีเมื่ออูหมิงต่อยกลับมาอย่างแรงสองหมัด ทำให้เขาต้องถอยหลังออกไปเล็กน้อย

อูหมิงที่กำลังตื่นกลัวถอยหนีไปในทันที เขาสามารถหนีไปได้ไวราวกับสายฟ้าโดยที่ไม่หันหลังกลับมามองอีกเลย

ฉากนี้ทำให้ใครหลายๆ คนตะลึง

ผู้ชายคนนี้หนีไปอีกแล้ว

“จะหนีไปไหน!?” เหยียนชงตะโกนด้วยความโกรธ พลังของพวกเขาไม่ได้ต่างกันนัก ถ้าอีกฝ่ายเลือกที่จะหนี ตอนนี้ก็คงไล่ตามไม่ทันแล้วหมัดของ อูหมิงเองก็รุนแรงมากจนเขาเองก็เกือบกระอักเลือดออกมา

คนในกลุ่มเทียนหลงเป่านึกไม่ถึงเลยว่าอูหมิงจะหนีไปทั้งอย่างงั้น

“อูหมิง ไอ้ขี้ขลาด แกทำให้ฉันรู้สึกอับอายจริงๆ!” ไฉเยวียนตะโกนด้วยความโกรธทันทีที่เขารู้ตัว

“อูหมิง รอให้ฉันกับผู้อาวุโสกลับไปได้ แกไม่ได้ตายดีแน่ ไอ้ขี้ขลาดเอ้ย!” เหวินจงด่าทอออกไป

อูหมิงที่หนีไปไกลมากแล้วได้แต่ด่าคนพวกนั้นว่าโง่ พวกแกมันโง่ที่ไปแหย่จอมมารฉู่แบบนั้น ถ้าพวกแกรอดมาได้จะทำอะไรกับฉันก็เชิญเลย

ปากของฉู่ชวิ๋นกระตุก เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ในจังหวะต่อไป ร่างของเขาก็หายไปดื้อๆ กลางอากาศ

อูหมิงที่หนีไปไกลแล้วก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ไล่หลังมา เขาจึงต้องหันกลับไปดู และนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เขาต้องมาหนีตาย…จากฉู่ชวิ๋น

“วิ่งเร็วจังนะ”

เสียงอันน่าสะพรึงกลัวดังก้องอยู่ในหูของเขา เมื่อเขาหันหลังกลับไปอีกครั้ง ก็เห็นฉู่ชวิ๋นกำลังเดินเข้ามาอย่างสบายใจโดยไม่รู้สึกหนาวร้อนอะไร

“มะ…แม่จ๋า…” อูหมิงที่กำลังกลัวก็ดันไปนึกถึงหญิงชราคนนึงที่เสียไปเมื่อหลายปีที่แล้ว และเกลียดขาทั้งสองข้างของตัวเองที่ไม่ยอมขยับ

อูหมิงพยายามหนีอย่างสุดชีวิตอีกครั้ง ความเร็วนั้นเพิ่มสูงขึ้นจนไม่มีใครมองร่างของเขาทัน ซึ่งนั้นทำให้เขาทิ้งไว้เพียงแต่เสียงตอนนี้ความเร็วของเขาได้ทำลายกำแพงความเร็วเสียงไปแล้ว

“อะไรกัน ไม่คิดจะหยุดพักสักหน่อยเหรอ?”

อยู่ๆ ฉู่ชวิ๋นก็พูดขึ้นมาข้างหูของเขา ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างไรก็ไม่มีทางหนีฉู่ชวิ๋นทันอย่างแน่นอน

อูหมิงกลัวมากจนวิญญาณของเขาแทบหลุดออกจากร่าง

เมื่อเขารู้สึกตัวแล้วว่าตัวเองหนีไม่รอด เขาก็หยุดและหันหลังกลับไป ต่อยเข้าไปยังฉู่ชวิ๋นที่อยู่ข้างๆ หนึ่งหมัด

ตู้ม!

พื้นดินตรงนั้นแหลกเป็นผุยผง หลุมขนาด 1 เมตรประทับอยู่ตรงนั้น

“แค้นอะไรพื้นเหรอ?”

อูหมิงไม่ได้ร้องออกมา แต่เขาหยุดนิ่งไป เขาทำผิดพลาดตั้งแต่เลือกที่จะหันหลังออกมาแล้ว

เขาปล่อยหมัดขวาออกไปอีกครั้ง แต่ผลก็เหมือนเดิม หมัดนั้นกระแทกกับพื้นที่ว่างเปล่า

“ท่านฉู่ชวิ๋น ไว้ชีวิตผมด้วยเถอะ ผมสัญญาว่าจะไม่เป็นศัตรูของท่านอีกเลยในอนาคตต่อไปนี้”

ความกดดันทั้งหมดทำให้เขากลายเป็นหมาจนตรอกไปแล้ว

“เอ้า ยอมหยุดแล้วเหรอ มาๆ ฉันมีเรื่องจะคุยด้วยพอดี” ฉู่ชวิ๋นหัวเราะ

พอได้ยินแบบนั้น อูหมิงก็รีบวิ่งหนีอีกครั้ง

“เป็นอะไรของนาย ชอบวิ่งนักรึไง” เส้นไหมลมปราณของเขาโพล่ขึ้นมาจากกลางอากาศ

พับ!

เส้นไหมรัดหัวของอูหมิงไว้แน่นจนเขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

พับ!

เส้นไหมอีกเส้นรัดบริเวณก้นของเขา

อูหมิงร้องออกมาอย่างน่าสงสาร เขาไม่มีเวลาแม้กระทั้งปกป้องก้นของตัวเองด้วยซ้ำ ตอนนี้มือของเขาจับเส้นไหมที่รัดส่วนต่างๆ ของร่างกายเอาไว้แน่น

“วิ่งสิ วิ่ง!” ฉู่ชวิ๋นไล่เขาเหมือนหมูเหมือนหมา ก่อนที่เขาจะเอาเส้นไหมฟาดใส่เหมือนกับแส้

“ไม่น่ะ ท่านฉู่…อย่าทำร้ายผม ผมยอมแล้ว…” อูหมิงหยุดวิ่ง และยอมโดนแส้ฟาด

แม้ว่าตอนนี้มันจะไม่ได้รัดเขาแน่นจนเจ็บ แต่ตัวของเขาก็สั่นเป็นเจ้าเข้า

“อ้าว ทำไมไม่วิ่งแล้วละ?” ฉู่ชวิ๋นพูดจาเหน็บแหนบ

เขาความรู้สึกเหมือนถูกทำร้าย ทำให้เขาอยากจะร้องไหออกมามากขึ้นเรื่อยๆ แส้ยังคงเฆี่ยนร่างอันบอบบางของเขาอย่างไม่เว้นละ

“ผมไม่วิ่งไปไหนแล้ว ความเร็วของผมเทียบความเร็วของท่านฉู่ไม่ไหวหรอกครับ”

“เห็นนายพูดอยู่ตั้งหลายครั้งว่าอยากจะฆ่าฉันไม่ใช่เหรอ?” ฉู่ชวิ๋นถามออกมาพร้อมฟาดแส้ลงไปอีกครั้ง

พึบ!

อูหมิงก้มลงกับพื้นทันที “ท่านฉู่ ไว้ชีวิตผมด้วยได้โปรด ผมมันคนไร้ค่า ที่ผมพูดออกไปเพราะไม่รู้ตัว ขอร้อง อย่าฆ่าผมเลย ไม่ว่าจะเรื่องอะไรผมก็ยอมทำทั้งนั้นครับ!”

ฉากแบบนี้ทำให้ฉู่ชวิ๋นตกใจ

เขานึกถึงครั้งแรกที่เขาเจอหน้าอูหมิง ชายคนนี้เป็นถึงจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิที่องอาจและเก่งกาจมาก แต่ตอนนี้….

“นายเลื่อนระดับตัวเองเป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิได้ยังไง?” ฉู่ชวิ๋นถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น อะไรที่ทำให้คนไม่เอาไหนแบบนี้ประสบความสำเร็จได้นะ?

“ตอนแรกผมก็เป็นแค่จอมยุทธ์ธรรมดาคนหนึ่ง จนกระทั้ง….”

หลังจากที่ฟังเรื่องราวของอูหมิงจนจบ สีหน้าของฉู่ชวิ๋นก็สับสนมากกว่าเดิม อูหมิงเป็นจอมยุทธ์ธรรมดาที่เอาตัวรอดไปวันๆ จนกระทั้งเขาเผลอไปกินเมล็ดพันธุ์ชนิดหนึ่งเข้า นั้นทำให้พลังของเขาพัฒนาอย่างก้าวกระโดด

ฉู่ชวิ๋นคิดว่าอูหมิงต้องกินเมล็ดพืชกลายพันธุ์เข้าไปแน่ๆ มันต้องเป็นยาบำรุงที่หาได้ยากมาก คล้ายๆ กับแห้วโลหิต

แห้วโลหิตมักจะถูกนับรวมกับพืชชนิดอื่นแบบผิดๆ อยู่บ่อยครั้ง และเมื่อโลกเปลี่ยนไป มันต้องมีผลพิเศษอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับมันอย่างแน่นอน เรื่องแปลกๆ แบบนี้เกิดขึ้นหลายครั้งแล้ว

เช่น เรื่องที่มีคนกินดอกไม้ประหลาดแล้วมีปีกงอกขึ้นมาข้างหลังบ้างหละ เรื่องที่มีคนกินสมุนไพรลึกลับเข้าไปแล้วมีพละกำลังมากพอที่จะล้มช้างทั้งตัวได้บ้างหละ

คาดไม่ถึงเลยว่าอูหมิงจะเป็นหนึ่งในคนโชคดีพวกนั้นได้

“ถ้าท่านไว้ชีวิตผม ผมจะพาไปดูหน้าผาแห่งนั้นเอง มีของดีมากมายหลายอย่างอยู่ที่นั้น แต่ตอนนี้มีพลังลึกลับอะไรบางอย่างปิดกั้นทางเขาสถานที่แห่งนั้นอยู่ แม้แต่ผมเองก็ยังพังเข้าไปไม่ได้เลย”

ฉู่ชวิ๋นได้ยินเรื่องนี้เข้าก็รู้สึกประะหลาดใจทันที สถานที่ที่อูหมิงบอกต้องเป็นซากโบราณสถานเก่าแก่อย่างแน่นอน

“งั้นก็ลุกขึ้นมาได้” ฉู่ชวิ๋นสนใจข้อเสนอนี้มาก

“ขอบคุณท่านฉู่ผู้ยิ่งใหญ่ ขอบคุณ!” อูหมิงก้มหัวให้ครั้งแล้วครั้งเล่า

จริงๆ แล้วฉู่ชวิ๋นก็ไม่ได้ดูถูกการปฏิบัติตัวเองอูหมิง เพราะศักดิ์ศรีมีความสำคัญน้อยกว่าชีวิตมาก

“หยดเลือดของนายลงตรงนี้” ฉู่ชวิ๋นบอกอีกฝ่าย

อูหมิงสงสัยแต่เขาก็ไม่ขัดขืนอะไร และรีบหยดเลือดจากปลายนิ้วของเขา

จากนั้นฉู่ชวิ๋นจึงประทับตราสัญญาแห่งเลือดนี้เอาไว้ จากนั้นเขาก็อธิบายว่าพลังของมันคือะไร ทำให้อูหมิงกลัวมาก

“ใจเย็นๆ ถ้านายไม่เล่นตุกติกก็ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวทั้งนั้น”

อูหมิงที่ยอมแพ้ให้กับฉู่ชวิ๋นก็ดูจะเคารพฉู่ชวิ๋นมากขึ้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+