จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) 29 ผนึกพญาอสรพิษ
บทที่ 29 ผนึกพญาอสรพิษ
หัวอันมหึมาของพญาอสรพิษมองไปที่ฉู่ชวิ๋นสักพักก่อนจะก้มลงเพื่อแสดงความสนิทแนบชิด ฉู่ชวิ๋นเก็บดาบไม้ลงแล้วใช้มือลูบไปที่หัวของมัน พญาอสรพิษไม่ใช่งูธรรมดาบนตัวของมันไม่มีกลิ่นสาบแบบงูเป็นเพราะดอกบัวสีรุ้งบนตัวของมันส่งกลิ่นหอม หอมฟุ้ง
พญาอสรพิษไม่ได้ฝึกตนดังนั้นมันจึงยังไม่สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ไม่ได้ ฉู่ชวิ๋นคิดในใจ พญาอสรพิษใกล้ชิดกับเขาคงเพราะดอกบัวสีรุ้งภายในตัวของเขา ตัวของพญาอสรพิษมีขนาดใหญ่เกินไปหากพามันออกไปข้างนอกคงสร้างความปั่นป่วนไม่น้อย แต่สำหรับฉู่ชวิ๋นไม่ใช่เรื่องยาก เขาก็เริ่มสร้างค่ายกล
ค่ายกลมีชื่อว่า <ค่ายกลกายปีศาจ>
ฉู่ชวิ๋นพกหยกอุ่นไว้ติดตัวแต่เดิมใช้เป็นหยกป้องกันตัวแต่ตอนนี้เขาจะใช้มันทำอีกอย่าง
เขาถือหยกไว้ก้อนหนึ่งแล้วเขวี้ยงมันออกไป ผลลัพธ์คือหยกยังไม่ทันตกถึงพื้น พญาอสรพิษเอาปากงับแล้วกลืนลงไปทันที
ฉู่ชวิ๋นตกใจจนแทบบ้า เขาลืมไปเลยว่าพญาอสรพิษไม่ใช่งูยักษ์ธรรมดา ๆ มันสามารถกินสิ่งที่มีจิตวิญญาณเข้าไปได้….แต่แบบนี้มันก็เสียของน่ะสิ!
เวลาผ่านไปครึ่งค่อนวันฉู่ชวิ๋นถึงจะสร้างค่ายกลสำเร็จ
ฉู่ชวิ๋นสะกิดบอกให้พญาอสรพิษเข้าไปในนั้น พญาอสรพิษชูหัวมองแล้วมองอีกหลังจากนั้นก็เลื่อยคลานเข้าไปยังค่ายกล
เมื่อพญาอสรพิษเข้าไปแล้วร่างที่ใหญ่โตของมันก็ได้ย่อตัวเล็กลงเรื่อย ๆ มองดูตัวเองเปลี่ยนร่างกายเล็กลงพญาอสรพิษก็อยากจะถอยออกมา
“อยากตามฉันออกไป มันจำเป็นต้องทำอย่างนี้” ฉู่ชวิ๋นพูดอย่างจริงจัง พญาอสรพิษรับรู้และเข้าใจในสิ่งที่ฉู่ชวิ๋นพูด มันก็ไม่ถอยออกมาและไม่ขยับไปไหนอีก
เวลาผ่านไปกว่าสิบนาทีร่างของพญาอสรพิษถึงเล็กพอจะพกไปไหนมาไหนได้
ฉู่ชวิ๋นมองดูพญาอสรพิษที่แปลงร่างแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ตอนนี้พญาอสรพิษกลายเป็นเส้นเชือกบาง ๆ ความยาวประมาณ ยี่สิบเซนติเมตร
“เป็นยังไงบ้าง ตอนนี้ไม่เป็นไรใช่ไหม” ฉู่ชวิ๋นยิ้มแล้วถาม
“ฟ่อ!” ถึงแม้ร่างจะเล็กลงแต่เสียงคำรามยังคงน่าเกรงขาม พญาอสรพิษส่งเสียงคำรามแสดงความไม่พอใจหลังจากนั้น “ฟึบ” มันกระโดดไปพันที่ข้อมือของฉู่ชวิ๋น สองรอบมองไปมองมาราวกับกำไลข้อมือเจ็ดสี
ฉู่ชวิ๋นยิ้มเบา ๆ แล้วพูดว่า “มากับฉันแกจะไม่มีวันเสียใจไปตลอดชีวิตตอนนี้พวกเราออกไปข้างนอกกันเถอะ”
บนเทือกเขาที่ราดยาว ทันใดนั้นได้มีแสงสีขาวพุ่งออกมาจากถ้ำ เป็นฉู่ชวิ๋นนั้นเอง เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยเพราะต้องปรับตัวกับแสงสว่างหลังจากอยู่ในถ้ำมาเกือบสองเดือน
ฉู่ชวิ๋นกลับไปที่บ้านพักในภูเขาเฉียนหลงทันที ฉู่ชวิ๋นพอกลับไปที่บ้านก็มีรถจอดอยู่ที่บ้านสองคัน คันหนึ่งเป็นของลูกเจิ้งก่วงอี้ อีกคันหนึ่งเป็นของฮวาชิงหวู่
ฮวาชิงหวู่เป็นพวกไม่ยอมแพ้ใครทำให้เธอตัดสินใจที่จะตามติดชีวิตฉู่ชวิ๋น เธอขับรถมาพักอยู่แถวนี้ไม่ยอมไปไหน ลูกของเจิ้งก่วงอี้เองก็ทำตาม เลยนำรถมาจอดแถวนี้อีกคัน พวกเขาอดทนรอถึงสองเดือนแล้ว
“ผู้อาวุโส คนคนนั้นเขาไม่กลับมาแล้วเหรอ” ฮวาชิงหวู่รู้สึกหดหู่ใจเธอมีเวลาเหลือไม่มากแล้ว
“เป็นไปไม่ได้…….” ผู้อาวุโสตอบกลับมาด้วยความไม่มั่นใจ
“ถ้าหากพวกเขาตามพวกเรามาถึงที่นี่ล่ะ จะทำยังไง?” ฮวาชิงหวู่พูดขึ้น
ผู้อาวุโสขมวดคิ้วแล้วพูดด้วยเสียงที่เยือกเย็นว่า “คุณหนู ถ้าหากว่าผมสกัดกั้นไม่อยู่ จำไว้ว่าควรเข้าไปหลบภายในค่ายกลนั้น อย่าลืมพกอาหารและน้ำเข้าไปด้วย” ฮวาชิงหวู่พยักหน้า เธอเข้าใจเรื่องนี้ดี มันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ที่จะเข้าไปซ่อนข้างในค่ายกล
“ผู้อาวุโส ถึงเวลานั้น คุณต้องเข้าไปด้านในพร้อมกับฉัน เชื่อว่าพวกเขาไม่มีทางเจอพวกเราแน่ ๆ!” ผู้อาวุโสกำลังจะพูดบางอย่าง จู่ ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นจากด้านหลัง
“คุณหนูฮัว ผมมารับตัว เชิญคุณตามผมมาด้วย” ฮวาชิงหวู่และผู้อาวุโสสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
“คุณหนู สักพักผมจะรั้งพวกเขาเอาไว้เอง คุณรีบเข้าไปด้านในค่ายกล” ผู้อาวุโสพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ฮวาชิงหวู่พยักหน้าหยิบกระเป๋าสะพายหลัง ข้างในกระเป๋าพวกเขาได้จัดเตรียมอาหารและน้ำไว้เรียบร้อยแล้ว ฮวาชิงหวู่เปิดประตูรถและทั้งสองคนก็ลงมาจากรถ
พอลงมาจากรถ ฮวาชิงหวู่ เห็นคนคนหนึ่งอายุราว สี่สิบปียืนไม่ห่างจากพวกเขาเท่าไร อีกด้านหนึ่งยังมีวัยรุ่นสองคนยืนปิดทางหนีพวกเขาเอาไว้
ฮวาชิงหวู่และผู้อาวุโสภายในดวงตาปรากฏความกังวลออกมา ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะหลบเข้าไปในค่ายกลไม่ได้ง่ายซะแล้ว
“คุณหนูฮัว ไปกับพวกเราเถอะ!” ชายวัยกลางคนเอามือไขว้หลังด้วยท่าทางที่หยิ่งยโส
“ไปตายซะ! ฉันไม่ยอมไปกับพวกแกหรอก” ฮวาชิงหวู่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ชายวัยกลางคนแสยะยิ้ม “งั้นก็ช่วยไม่ได้ตอนนี้พ่อของคุณกำลังยุ่งอยู่กับงานแต่ง นั่นแปลว่าคุณก็เป็นผู้หญิงของพวกเรา ตระกูลของเราหญิงสาวที่มีคู่ครองไม่สามารถออกมาข้างนอกได้”
“ในเมื่อพ่อของฉันอนุญาตแล้วงั้นพวกแกก็ไปหาเขาสิ อยากแต่งให้เขาแต่งเองเลย ฉันไม่แต่ง” ฮวาชิงหวู่พูดเสียงแข็ง
เมื่อนึกถึงพ่อที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นลูก ฮวาชิงหวู่ก็แสดงสีหน้าที่เจ็บปวดออกมา
“นี่ไว้หน้ากันแล้วนะ อย่าทำให้เบี้ยล่างอย่างพวกเราต้องเดือดร้อนเลย” ชายวัยกลางคนเริ่มอดทนไม่ไหว
“คุณหนู ผมจะจัดการพวกนี้เองคุณหนูขึ้นรถไปก่อน” ผู้อาวุโสกระซิบบอก ฮวาชิงหวู่พยักหน้า ไม่มีคนได้ทันระวังตอนที่พวกเขาพูดกันชายวัยกลางคนก็แสยะยิ้ม
“ปัง!”
ผู้อาวุโสหันไปทางวัยรุ่นคนหนึ่งแล้วซัดเข้าไปที่หน้าอย่างรวดเร็ว ชายวัยกลางคนยิ้ม เงาของเขาหายไปจากพื้นสังเกตอีกทีก็ไปโผล่ที่ตรงหน้าของผู้อาวุโสแล้ว เขาตบเบา ๆ ไปบนใบหน้าของผู้อาวุโส
“เพียะ”
ผู้อาวุโสถูกตบจนล้มลงไปข้าง ๆ ฮวาชิงหวู่ ปากกระอักเลือดออกมา
“ผู้อาวุโส!” ฮวาชิงหวู่เข้ามาพยุงผู้อาวุโสใบหน้าที่งดงามของเธอเต็มไปด้วยความกังวล
“เหอะ เป็นแค่พวกไร้ฝีมือยังกล้ามายืนอยู่ตรงหน้าฉัน” ชายวัยกลางคนพูดออกมาอย่างดูถูก
“แกนี่ไม่รู้จักกลัวตายเลยนะ ผู้อาวุโสทำตัวเป็นขวากหนามกับพวกเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าไม่ใช่เพราะแกพาคุณหนูฮัวหลบหนีงานแต่งมา พวกเราต้องเหนื่อยแบบนี้ไหม?” ผู้อาวุโสถุยเลือดออกจากปากอีกครั้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความว่างเปล่าอีกฝ่ายฝีมือร้ายกาจมาก เขาไม่สามารถตอบโต้ได้เลย
“พวกแกทำอะไรน่ะ” เจิ้งกันที่อยู่ด้านในรถแถวนั้น วิ่งออกมา พอเขาได้พบกับฮวาชิงหวู่ก็ตกหลุมรักเข้าทันที พอเห็นคน สามคนล้อมฮวาชิงหวู่เอาไว้เขาก็รีบออกมาทันที
เจิ้งกันช่างฝันกลางวันซะจริง สองเดือนที่ผ่านมานี้เขาเอาอกเอาฮวาชิงหวู่อย่างดีแต่เธอไม่สนใจเขาเลยสักนิด ตอนนี้ได้โอกาสผู้กล้าช่วยสาวงามแล้วบางทีฮวาชิงหวู่อาจมองเขาเปลี่ยนไป นี้นับเป็นโอกาสอันดีงามในชีวิตเลย ชายวัยกลางคนจ้องมองเจิ้งกันหลังจากนั้นก็ใช้หมัดต่อยไปที่รถของฮวาชิงหวู่
“ปัง!”
หน้ารถยุบลงไปเป็นหลุมขนาดใหญ่ ดวงตาเจิ้งกันเบิกกว้าง ขาสั่นระทวยตกใจจนอยากกลับเข้าไปอยู่ในรถเหมือนเดิม ในขณะนั้นผู้อาวุโสก็พุ่งเข้าไปชกวัยรุ่นที่ยืนอยู่ด้านข้าง วัยรุ่นคนนี้ด้วยความตกใจรีบยกมือขึ้นมาบัง
“ผัวะ ผัวะ ผัวะ ผัวะ!” วัยรุ่นโดนผู้อาวุโสกระหน่ำชกใส่ จนกระอักเลือดออกมา
“คุณหนูเข้าไปด้านในค่ายกล” ผู้อาวุโสรีบตะโกนออกมา
“ผู้อาวุโส แกอยากตายมากสินะ” ชายวัยกลางคนตะโกนขู่แล้วพุ่งไปทางผู้อาวุโสซัดหมัดไปเต็มแรง ฮวาชิงหวู่กัดฟันแน่นแล้วเข้าไปบังให้ผู้อาวุโส ชายวัยกลางคนตกใจ เขาไม่สนใจความเป็นตายของผู้อาวุโสแต่ไม่สามารถทำร้ายฮวาชิงหวู่ได้ เขารีบหยุดมือทันที หมัดของชายวัยกลางคนห่างจากหน้าของฮวาชิงหวู่ไม่ถึง ห้าเซนติเมตรใบหน้าของเธอแดงระเรื่อ ชายวัยกลางคนเขาได้แต่จ้องมองฮวาชิงหวู่
“คุณหนูทำไมทำแบบนี้ล่ะ?” ผู้อาวุโสตกใจมากจนพูดออกมา
“ที่ผ่านมามีแต่ท่านที่คอยดูแลฉันมาตลอด ฉันให้ท่านเป็นอะไรไปไม่ได้”
ฮวาชิงหวู่พูดแล้วหันหน้าไปทางชายวัยกลางคน “ถ้าแกสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายผู้อาวุโสอีกฉันจะยอมไปกับแก”
“คุณหนูไปกับพวกเขาไม่ได้นะ” ผู้อาวุโสรีบพูดขึ้นมา
“ผู้อาวุโส คุณหนูช่วยชีวิตแกไว้ แกก็อย่ารนหาที่ตายเลย” ชายวัยกลางคนพูดขึ้น
“ผู้อาวุโส ท่านไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ฉันตัดสินใจแล้ว” ฮวาชิงหวู่พูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง สายตาสิ้นหวัง “หรือว่านี่ก็ชะตาชีวิตของฉัน!”
“คุณหนู ผม…ผมมันไร้ความสามารถ” ผู้อาวุโสกัดฟันพูดด้วยความกังวลและความไม่พอใจ
ฮวาชิงหวู่มองไปที่เขา “ผู้อาวุโสดูแลตัวเองด้วย!”
พูดจบฮวาชิงหวู่ก็หันไปพูดกับชายวัยกลางคนว่า “ไปสิ!”
ชายวัยกลางคนหลบทางให้แล้วทำมือชี้ทาง
“คุณหนู ดูนั้น!!” ทันใดนั้นผู้อาวุโสก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตกใจแต่ก็ดีใจ สายตาของทุก ๆ คนมองไปตามที่ผู้อาวุโสชี้
ใต้แสงดวงอาทิตย์มีชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นและเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ ฮวาชิงหวู่ทั้งตกใจทั้งกังวล เธอตกใจที่ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้จู่ ๆ ฉู่ชวิ๋น ก็ปรากฏตัวขึ้นมา และกังวลว่าเขาจะยอมช่วยเธอไหม
คำถามที่ว่าฉู่ชวิ๋นมีความสามารถช่วยเธอได้ไหม ปัญหานี้ไม่ต้องคิดเลยคำตอบก็คือช่วยได้อยู่แล้ว อยู่ที่ว่าเขาจะช่วยหรือไม่
ฉู่ชวิ๋นก็ตกใจเล็กน้อยเขาคิดไม่ถึงว่าผ่านไปแล้ว สองเดือน ฮวาชิงหวู่ยังไม่จากไปไหน เขาลืมเธอไปแล้วด้วยซ้ำ ชายวัยกลางคนและวัยรุ่นไม่เข้าใจว่าทำไมพอเห็นเด็กหนุ่มคนนี้ทุกคนต้องตื่นเต้น? หรือว่าเด็กหนุ่มคนนี้สามารถช่วยพวกเขาได้?
ไม่ช้าความคิดเหล่านั้นก็หายไปผู้ชายคนนี้ลักษณะดูไม่มีอะไรเป็นพิเศษที่จริงแล้วก็เป็นเพียงชายธรรมดาคนหนึ่ง ฮวาชิงหวู่มองฉู่ชวิ๋นและอ้าปากเพื่อขอความช่วยเหลือ ถึงแม้ฮวาชิงหวู่พูดแบบไม่มีเสียงแต่ฉู่ชวิ๋นก็เข้าใจว่าที่เธอพูดคือ “ช่วยฉันด้วย”
“ฉันทำไมต้องช่วยเธอละ ช่วยแล้วฉันได้อะไร?” ฉู่ชวิ๋นถามอย่างไม่แยแส
ใบหน้าของฮวาชิงหวู่เต็มไปด้วยความรีบร้อนเธอพูดแบบไม่ออกเสียงเพราะกลัวว่าชายวัยกลางคนจะทำร้ายผู้อาวุโส พอเห็นฉู่ชวิ๋นพูดแบบนี้เธอทำได้เพียงกัดฟันแล้วเดินออกไป
“ถ้าหากคุณช่วยฉัน ฉันจะยอมเป็นของคุณตลอดไป ร่วมถึงภัตตาคารป่าไผ่สีม่วงทั้งหมด….” พูดมาถึงขนาดนี้แล้วใบหน้าของก็แดงระเรื่อแล้วพูดต่ออีกว่า “และยังรวมถึงตัวฉันด้วย”
ฉู่ชวิ๋นหยักคิ้วมองไปยังฮวาชิงหวู่ ด้วยอารมณ์หยอกเล่น “น่าสนใจดี แต่แค่นี้ยังไม่พอดึงดูดฉัน”
“นาย……นาย” พูดออกมาด้วยท่าทางแบบนี้มันจะดูถูกคนอื่นเกินไปแล้วถ้าไม่ตกอยู่ในสถานการณ์นี้ เธอจะเข้าไปกัดฉู่ชวิ๋นสักสองถึงสามครั้ง
“ต้องทำยังไงคุณถึงจะยอมช่วยฉัน” เพื่อช่วยผู้อาวุโส ฮวาชิงหวู่ระงับความโกรธของตัวเองแล้วถามออกมา?
“ช่วยเธอไม่ใช่ว่าช่วยไม่ได้ แต่เธอต้องตกลงกับฉันหนึ่งข้อ”
“เรื่องอะไร?” ฮวาชิงหวู่ถามทันที
“ฉันยังคิดไม่ออก คิดออกแล้วจะเธอบอกเอง”
ฮวาชิงหวู่หายใจเข้าลึก ๆ แล้วพยักหน้าตอบรับ “ได้ ฉันตกลง”
ฉู่ชวิ๋นยิ้มเบา ๆ
Comments