จับพลัดจับผลูมาเป็น ‘ภรรยา’ ของศัตรูหัวใจ 29

Now you are reading จับพลัดจับผลูมาเป็น ‘ภรรยา’ ของศัตรูหัวใจ Chapter 29 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 27 นี่อันอี่เจ๋อกำลัง….ป่วย? (1/1)

หลังจากส่งเหยียนจื่อเวยกลับไปอย่างอาลัยอาวรณ์แล้ว ซูเจี๋ยนก็รู้สึกหดหู่ห่อเหี่ยวอย่างมาก ยังดีที่เหยียนจื่อเวยได้รับปากไว้ ว่าจะคอยทักมาคุยกับเขาบ่อยๆ ทั้งยังให้รายละเอียดสำหรับติดต่อพูดคุยเป็นการส่วนตัวโดยเฉพาะไว้ด้วย ซูเจี๋ยนจึงได้รู้สึกดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย

หลังจากนอนหลับเต็มอิ่มจนตื่นขึ้นในเช้าวันถัดมา ซูเจี๋ยนก็พบว่า อันอี่เจ๋อกลับยังไม่ได้ออกไปทำงาน

มองดูวันที่แล้ว ก็ยังไม่ถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ ตามปกติอันอี่เจ๋อไปทำงานตรงเวลาเสมอ คราวนี้กลับยังนอนอุตุอยู่ในบ้าน นี่ทำให้ซูเจี๋ยนรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง

แต่หลังจากนั้นไม่นาน ก็คิดเองเออเองแล้วก็หงุดหงิดไปเองอยู่คนเดียว ด้วยความคิดทำนองว่า : เจ้านี่เป็นประธานบริษัทนี่นา เดาได้เลยว่าอยากจะนอนขี้เกียจนานแค่ไหนก็นอน นึกอยากจะไม่ไปก็ไม่ไปมันซะเฉยๆ เลยล่ะสิท่า หัวหน้าพรรค์นี้ ช่างน่ารังเกียจซะจริงๆ!

ซูเจี๋ยนหาอาหารมาเติมกระเพาะให้เต็มแบบลวกๆ จากนั้นก็เปิดโทรทัศน์ดูอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าหางตาก็คอยแต่ชำเลืองมองไปทางประตูห้องนอนอันอี่เจ๋ออย่างอดไม่ได้

ในห้องไม่มีสัญญาณการเคลื่อนไหวใดๆ แม้แต่น้อย อันอี่เจ๋อยังไม่ตื่นจริงๆ หรือนี่?

ซูเจี๋ยนเองก็ไม่ได้อยากใส่ใจอะไรสักเท่าไหร่หรอก แต่ความสงสัยกลับก่อตัวขึ้นเต็มอกอย่างห้ามไม่ได้ คล้ายกับมีกรงเล็บน้อยๆ ของลูกแมวคอยสะกิดสะเกาขีดข่วนจนคันคะเยออยู่ไม่สุขไปหมด ทำให้ตัวเองนั่งนิ่งดูทีวีต่อไปไม่ไหว ดังนั้นซูเจี๋ยนจึงลุกขึ้น ตัดสินใจจะแอบย่องไปส่องดูสถานการณ์สักแวบ

ประตูห้องของอันอี่เจ๋อถูกแง้มเปิดออกอย่างเชื่องช้าแผ่วเบา ซูเจี๋ยนยืดคอเข้าไป สำรวจดูสภาพภายในห้อง

ชัดเจนว่าที่บนเตียงกว้างใหญ่ของอันอี่เจ๋อนั้น มีม้วนผ้านวมนูนๆ นอนแน่นิ่งอยู่ อันอี่เจ๋อยังซุกตัวมิดชิดอยู่ด้านใน

ซูเจี๋ยนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินย่องเข้าไปมองดูใกล้ๆ

อันอี่เจ๋อนอนตะแคงอยู่บนเตียง คิ้วเข้มๆ ทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันแน่น ใบหน้าแดงก่ำ

ซูเจี๋ยนรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ นี่อันอี่เจ๋อกำลัง….ป่วยงั้นหรือ?

หลังขยับเข้าไปทรุดกายนั่งลงที่ข้างเตียงอันอี่เจ๋อแล้ว ซูเจี๋ยนก็ละล้าละลังอยู่ชั่วอึดใจ ค่อยๆ ยื่นมือออกไปแตะหน้าผากของอันอี่เจ๋อ เป็นไปตามคาด ผิวของอันอี่เจ๋อนั้นร้อนลวกมือได้

เจ้าหมอนี่เป็นไข้ซะแล้ว!

สีหน้าของซูเจี๋ยนกลายเป็นเคร่งขรึมจริงจัง รีบเขย่าตัวปลุกอันอี่เจ๋อ : “นี่ ตื่นเถอะ! ตื่นเร็วเข้า!”

อันอี่เจ๋อเผยอเปลือกตาขึ้นมองอย่างสับสนงุนงงด้วยพิษไข้

ซูเจี๋ยนจ้องมองเขาแน่วนิ่ง กล่าวขึ้นอย่างจริงจัง : “คุณมีไข้สูงมาก!”

อันอี่เจ๋อครางเสียง ‘อืม’ แผ่วระโหยออกมาคำหนึ่ง ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงตามเดิม

“นี่!” ซูเจี๋ยนรีบจับแขนเขาแน่น พอจับลงไปก็รู้สึกได้ว่าเนื้อตัวอีกฝ่ายร้อนผ่าวจนแทบลุกไหม้ อุณหภูมิร้อนลวกนั้นส่งผ่านเนื้อผ้าบางๆ ของชุดนอนออกมาอย่างชัดเจน ฉับพลันนั้นก็รู้สึกกระวนกระวายทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง : “ตื่นเร็วเข้าเถอะ อย่าเพิ่งหลับนะ!”

อันอี่เจ๋อปรือตาขึ้นมองอีกครั้ง แล้วจึงได้พบเห็นเพียงสาวน้อยเบื้องหน้าที่กำลังพยายามฉุดดึงเขาอยู่ กล่าวออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด : “คุณตัวร้อนโคตรๆ ร้อนผิดปกติสุดๆ”

อันอี่เจ๋อขมวดคิ้วอย่างอ่อนแรง ค่อยๆ ผงกกายขึ้นมาในท่านั่ง ทว่าทั้งร่างนั้นอ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรง เพียงถูกซูเจี๋ยนยื่นมือมาดึงเข้า ก็กลับล้มแหมะคว่ำหน้าลงมาเหมือนเดิม

ซูเจี๋ยนไม่ทันได้ระวังเนื้อระวังตัว ถูกกดทับบดบี้อยู่ใต้เรือนร่างสูงใหญ่นั้นเอง

“นี่!” ซูเจี๋ยนอึดอัดขัดข้องแทบตาย : “ลุกออกไปสิ!”

อันอี่เจ๋อยังคงนอนทับอีกฝ่ายต่อไป ไม่ไหวติงแม้แต่น้อย

ซูเจี๋ยนรู้สึกไม่ยินดีเอามากๆ พยายามใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักร่างหนาๆ ของอีกฝ่ายออกไปจากตัว ทว่าก็ช่วยไม่ได้จริงๆ ถึงแม้อันอี่เจ๋อจะป่วยหนักอยู่ แต่น้ำหนักตัวนั้นก็ยังเท่าเดิม จะอย่างไรก็ตัวหนักถึงหนึ่งร้อยกับอีกหลายสิบจิน (1 จินคิดเป็นประมาณ 500 กรัม) น้ำหนักนี้กดทับลงมาบนร่างบอบบางของอีกฝ่ายทั้งหมด หนักอึ้งปานภูเขาถล่มลงมาทับ อีกทั้งซูเจี๋ยนยังกลายเป็นหญิงสาวบอบบางแรงน้อย ขาก็เจ็บอยู่ จะผลักจะดันอย่างไรชายหนุ่มก็ไม่ขยับเขยื้อนสักนิด

ซูเจี๋ยนถูกลมหายใจร้อนผ่าวจากชายหนุ่มที่นอนทับอยู่ด้านบนพ่นลงมารดต้นคอเป็นระลอก ทั้งร่างพลันไหวสะท้านวูบหนึ่ง ลมหายใจกลายเป็นถี่กระชั้นไม่มั่นคง รีบตะโกนเรียก : “อันอี่เจ๋อ คุณลุกขึ้นเดี๋ยวนี้! ได้ยินรึเปล่า!”

ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งกลับยื่นมาปิดปากตนไว้เป็นการตอบรับ ลมหายใจอุ่นร้อนของอันอี่เจ๋อเป่ารดใส่ข้างหู เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า : “เด็กดี อย่าเพิ่งงอแง ให้ฉันนอนซักพักเถอะ….”

แม่นายเหอะ! นายจะนอนก็นอนของนายไปสิ อย่ามานอนทับบนตัวฉัน! ถูกภูเขาเนื้อหนั่นแน่นลูกใหญ่ทับไว้จนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้แบบนี้ ซูเจี๋ยนก็รู้สึกอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตาขึ้นมาแล้ว

อันอี่เจ๋อกระชับแขนโอบกอดร่างบางเข้าไปในอ้อมอกแน่นขึ้น พึมพำออกมา : “อย่าไปไหนนะ…..”

ต่อให้ป๊ะป๋าอยากจะไปก็ไปไม่ได้ โอเคไหม! ซูเจี๋ยนรู้สึกค่อนข้างโศกสลดหดหู่รันทดใจ

หลังจากดิ้นรนกระหืดกระหอบอยู่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดซูเจี๋ยนที่หลั่งเหงื่อท่วมตัวก็ตะเกียกตะกายออกมาจากใต้ภูเขาลูกใหญ่ได้สำเร็จ ใจก็อยากจะอยู่ให้ห่างๆ เจ้าคนนี้อีกสักหน่อย แต่พอเห็นอันอี่เจ๋อที่ไข้ขึ้นสูงจนไม่มีสติแล้ว ก็รู้สึกว่าหากทิ้งขว้างเขาเอาไว้แบบนี้ เจ้าหมอนี่อาจจะได้ตัวร้อนตายไปจริงๆ

ดังนั้น จึงได้แต่กล้ำกลืนฝืนทนรับความอับโชคของตัวเอง ไปหาผ้าขนหนูเปียกหมาดๆ มาจำนวนหนึ่ง เลียนแบบจากภาพฉากที่เคยเห็นในทีวี วางผ้าโปะลงไปบนหน้าผากของอันอี่เจ๋อ

เฝ้าดูอยู่ข้างเตียงอยู่อีกพักใหญ่ ก็ตระหนักได้ว่าไม่เห็นจะช่วยให้อาการดีขึ้นสักเท่าไหร่ ซูเจี๋ยนรู้สึกแตกตื่นกระวนกระวายขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว คิดแล้วคิดอีก ตัดสินใจจะไปหาน้ำแข็งจากในตู้เย็นมาพันห่อไว้ในผ้าขนหนูสักหน่อย

ขณะที่กำลังจะเอาผ้าขนหนูห่อน้ำแข็งโปะลงไปที่หน้าผากของอันอี่เจ๋อนั่นเอง จู่ๆ เสียงริงโทนโทรศัพท์ก็ดังลั่นขึ้นมากะทันหัน ทำเอาซูเจี๋ยนมือไม้สั่น แทบทำผ้าห่อน้ำแข็งร่วงใส่จมูกอันอี่เจ๋อ

สาละวนห่อน้ำแข็งให้ดีอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นซูเจี๋ยนก็ตะกายข้ามร่างอันอี่เจ๋อไปอีกฟากของเตียง หยิบโทรศัพท์ที่ยังส่งเสียงต่อเนื่องบนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมา

พอเห็นชื่อ ‘จี้หมิงเฟย’ สามคำนี้ขึ้นโชว์อยู่บนหน้าจอ ซูเจี๋ยนก็ลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังคงกดรับสาย

“นี่! ทำไมนายไม่มาทำงานล่ะ” ที่ปลายสาย เสียงต่อว่าต่อขานของชายหนุ่มคนหนึ่งดังออกมา

ซูเจี๋ยนจับสังเกตได้ว่าเขาพูดแบบตามสบาย จึงเดาได้ว่าอีกฝ่ายสมควรจะมีความสัมพันธ์สนิทสนมใกล้ชิดกับอันอี่เจ๋อ จึงเอ่ยปากบอกไปตามตรง : “เขาป่วยน่ะ”

ปลายสายอีกฝั่งเงียบงันไปชั่วอึดใจ จากนั้นจี้หมิงเฟยก็ระล่ำละลักถามขึ้นมาเสียงก้องกังวาน : “คุณคือ…. ซู เอ่อ พี่สะใภ้งั้นเหรอ”

ซูเจี๋ยนถูกคำว่า ‘พี่สะใภ้’ สามพยางค์นี้ทำให้รู้สึกทนรับไม่ไหวอยู่บ้าง รีบกล่าวตอบไป : “อื้อ! ฉันคือซูเจี๋ยน!”

จี้หมิงเฟยกลายเป็นอบอุ่นอ่อนโยนขึ้นมาทันที : “พี่สะใภ้ ผมคือจี้หมิงเฟย เป็นเพื่อนซี้กับอี่เจ๋อ อ้อ ใช่แล้ว อี่เจ๋อล่ะ ทำไมวันนี้เขาไม่มาทำงาน”

“เขามีไข้น่ะ” ซูเจี๋ยนหัวมามองชายหนุ่มที่ปิดตาสนิทแน่นอยู่ข้างกาย : “ไข้สูงมาก ดูอาการหนักพอสมควรเลย”

“มีไข้?” จี้หมิงเฟยตะลึงงันไปอย่างเห็นได้ชัด น้ำเสียงกลายเป็นเคร่งขรึมจริงจังในฉับพลัน : “พี่สะใภ้ คุณช่วยเลื่อนหาในคอนแท็กลิสต์ของอี่เจ๋อเร็วเข้า หาชื่อ ‘จางชิงหยวน’ แล้วโทรหาเขา ให้เขารีบไปที่นั่น”

“อ้อ ได้ๆ” ซูเจี๋ยนวางสายแล้วก็เริ่มค้นหาในรายชื่อติดต่อ มีชื่อ ‘จางชิงหยวน’ อยู่ในนั้นจริงๆ

โทรไปแล้ว จางชิงหยวนก็บอกว่าจะรีบมาทันที ซูเจี๋ยนจึงค่อยวางใจลงได้ ทรุดตัวนั่งข้างเตียงอันอี่เจ๋ออย่างผ่อนคลาย พลางใช้ผ้าขนหนูห่อน้ำแข็งเช็ดไปทั่วใบหน้าร้อนผ่าวของอันอี่เจ๋อ ช่วยลดอุณหภูมิร่างกายให้เขา

กำลังสบายอกสบายใจ โทรศัพท์มือถือของอันอี่เจ๋อก็ดังลั่นขึ้นอีกรอบ

รับสายแล้ว ก็ยังคงเป็นจี้หมิงเฟยเจ้าเก่านั่นเอง

“พี่สะใภ้ คุณได้โทรหาชิงหยวนรึยัง”

“โทรแล้ว เขาบอกว่าจะรีบมา” เพื่อนสนิทของอันอี่เจ๋อคนนี้ช่างเอาใจใส่เป็นห่วงเป็นใยเขาดีจริงๆ นะนี่!

“ดีแล้วล่ะ ปกติอี่เจ๋อก็ร่างกายแข็งแรงมาก ไม่ค่อยป่วยซักเท่าไหร่หรอก แต่ตัวเขามีอาการแปลกๆ อยู่อย่างหนึ่ง คือปล่อยให้มีไข้เป็นไม่ได้ ก่อนหน้านี้ตอนที่เรียนอยู่มหา’ลัย เขาก็เคยมีไข้สูงครั้งหนึ่ง อาการหนักผิดปกติ การป่วยครั้งนั้นแทบจะเอาชีวิตเขาไปแล้ว เพราะงั้น เรื่องนี้พี่สะใภ้ควรต้องใส่ใจไว้ด้วย”

“อ้อ”

“ช่วงสองวันนี้ ก็รบกวนพี่สะใภ้ช่วยดูแลเขาดีๆ หน่อยเถอะ ทำอาหารอะไรอ่อนๆ ให้เขาทานสักหน่อย”

“….เข้าใจล่ะ” อันอี่เจ๋อ อันที่จริงแล้วนายคงสำคัญต่อสหายรู้ใจคนนี้มากเลยสินะ!

“อ๊ะ พี่สะใภ้ ไม่รู้ว่าคุณเข้าใจนิสัยความเคยชินของอันอี่เจ๋อมากแค่ไหน เขาน่ะนะ ไม่ชอบผักชีกับมะเขือม่วงเอามากๆ อย่างอื่นไม่เป็นไร”

“อ้อ” แบบนี้นี่เอง ก่อนหน้านี้เวลาปรุงอาหารที่มีมะเขือม่วงทีไร เจ้าหมอนี่ถึงไม่เคยยื่นตะเกียบออกไปเลยสักครั้ง

“ส่วนเรื่องที่ชอบทำเวลาว่างๆ เขาก็จะชอบไปปีนเขา ขี่ม้า แล้วก็เล่นเทควันโด ตอนนี้ก็ได้สายดำสามดั้งเข้าไปแล้วล่ะ”

“อ๋า….” ยังคิดว่าเจ้าหมอนี่เวลาว่างๆ จะเอาแต่อ่านหนังสือภาษาต่างประเทศเก๊กท่าหล่อๆ ไปวันๆ ซะอีก!

“แล้วก็ อันที่จริงเจ้าเพื่อนคนนี้ชอบสัตว์ตัวเล็กๆ มากเลยล่ะครับ จากภายนอกดูไม่ออกเลยใช่มั้ยล่ะ ก่อนหน้านี้ตอนสมัยที่ยังเป็นนักเรียน เจ้านี่เคยแอบไปป้อนอาหารให้ลูกแมวจรจัดหลังโรงเรียนด้วยนะครับ”

“……ดูไม่ออกจริงๆ” อันอี่เจ๋อแอบเอาอาหารไปป้อนลูกแมวจรจัด…. จินตนาการไม่ออกเลย

“ฮ่าๆ เจ้านี่น่ะเป็นพวกชอบไม้อ่อนไม่ชอบไม้แข็ง! พี่สะใภ้ เรื่องนี้คุณต้องจำให้ขึ้นใจไว้หน่อย! เขาน่ะต้านทานการออดอ้อนแบบเด็กๆ ไม่ได้เลยซักนิด ลูกอ้อนของผู้หญิงก็คงเหมือนกัน ถึงเขาจะรำคาญเวลาผู้หญิงร้องไห้เอามากๆ แต่พอเห็นน้ำตาผู้หญิงเข้าแล้วก็อับจนหนทางไปดื้อๆ เวลาแบบนั้น ขออะไรเขาก็จะตอบรับหมดแหละ!”

“……..” ถ้ามีหญิงสาวมาหลั่งน้ำตา ออดอ้อนขอร้องกับเขาว่า ‘ที่รัก คุณช่วยมอบเงินให้ฉันซักล้านนึงเถอะ’ แบบนี้แล้วอันอี่เจ๋อจะยอมจ่ายเงินล้านให้ได้หรือเปล่านะ?

“แน่นอนว่าพี่สะใภ้ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ นี่ก็ไม่ใช่จะใจอ่อนไปเรื่อยเปื่อยกับหญิงสาวทุกคน เขาจะเป็นแบบนี้เฉพาะกับคนที่ชอบเท่านั้นแหละ”

“อ้อ…..” ฉันก็ว่าอยู่ แต่ว่านะ ผู้ชายทั่วๆ ไปพออยู่ต่อหน้าผู้หญิงที่ตัวเองชอบ ก็ล้วนเป็นแบบนี้กันอยู่แล้วไม่ใช่รึไง? ถึงแม้ว่าด้วยความกล้ามเนื้อใบหน้าตายด้านของอันอี่เจ๋อแล้วจะทำให้ดูออกไม่ได้ง่ายๆ ก็เถอะ

“แล้วก็ บอกความลับอะไรให้คุณอย่างนึงนะ พี่สะใภ้ ที่ใบหูอี่เจ๋อน่ะไวต่อสัมผัสเป็นพิเศษ แตะปุ๊บแดงปั๊บ! เวลาเขินอายก็จะแดงก่ำเลยล่ะ”

“…….” นายรู้ได้ยังไงว่าใบหูอันอี่เจ๋อไวต่อสัมผัสเป็นพิเศษน่ะหื้ม เบบี๋? พวกนายสองคนมันเป็นคู่ขากันจริงๆ ด้วย! ไม่ต้องสงสัยอีกต่อไปแล้ว!

จี้หมิงเฟยที่ปลายสายอีกฝั่งก็ยังหลับหูหลับตาสาธยายเรื่องความชอบของอันอี่เจ๋อที่คนอื่นไม่เคยรับรู้ออกมาให้ซูเจี๋ยนได้ฟังอย่างยาวเหยียดเป็นกุรุสๆ ต่อไป ซูเจี๋ยนเองก็รู้สึกสนอกสนใจและก็นึกอยากรู้อยากเห็นอยู่บ้าง ในที่สุดก็อดกลั้นไว้ไม่ไหว จึงโพล่งถามออกไป : “คุณเอาเรื่องพวกนี้มาบอกฉันทำไม” เป็นไปได้หรือไม่ว่าทั้งสองคนนี้เคยมีความสัมพันธ์หวานชื่นต่อกัน แต่จากนั้นอันอี่เจ๋อก็ผละจากไปแต่งงานอย่างไร้หัวใจ ส่วนคู่ขาคนนี้กลับยังคงลุ่มหลงรักใคร่อย่างลึกซึ้ง ถึงกับยอมกล้ำกลืนความเจ็บปวดมาบอกเล่าเรื่องราวให้คนมาใหม่อย่างตนเองได้รับรู้เอาไว้ เพื่อที่จะได้ดูแลคนรักของเขาให้ดีที่สุด หากว่าเป็นเช่นนี้จริงๆ ก็ข่มเหงกันเกินไป ข่มเหงรังแกกันเกินไปแล้ว!

จี้หมิงเฟยกล่าวตอบ : “แน่นอนว่าก็เพื่อให้พี่สะใภ้ได้เข้าใจอี่เจ๋อดีขึ้น จะได้บ่มเพาะความรู้สึกระหว่างพวกคุณทั้งคู่ให้ลึกซึ้งแนบแน่นขึ้นไปอีก”

ซูเจี๋ยน : “ขอบคุณนะ….” เห็นไหมล่ะ ฉันเดาผิดไปที่ไหน อันอี่เจ๋อ นายนี่มันไร้หัวใจ!

จี้หมิงเฟยที่อยู่ปลายสายคล้ายจะส่งเสียงหัวเราะคิกคักแผ่วเบาออกมา : “พี่สะใภ้ สู้ๆ นะ ผมว่าอี่เจ๋อชอบคุณมากเลยล่ะ”

ซูเจี๋ยนอึ้งงันโง่งมไปเล็กน้อย คู่ขาแสนดีคนนี้ทำไมถึงได้ฟังดูเริงร่าเปี่ยมสุขซะขนาดนั้น? หรือว่าตนจะเข้าใจอะไรผิดไป

ยามนี่ก็ได้แต่ฝืนหัวเราะแห้งแล้งออกไปสองเสียง กล่าววาจาเรื่อยเปื่อยแบบไม่คิดอะไรมาก : “แหะๆ รบกวนให้อวยพรแล้ว ฉันเองก็ชอบเขามากเลย”

คราวนี้น้ำเสียงของจี้หมิงเฟยกลั้วหัวเราะอย่างชัดเจน : “เป็นแบบนี้ก็เยี่ยมไปเลย พี่สะใภ้ ผมเชียร์คุณอยู่นะ”

ซูเจี๋ยน : “……”

—————————–

แฟนเพจ ‘Akanirawan’ https://bit.ly/3gBu94T

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด