จารใจรัก 39-2 โกรธไม่ลง

Now you are reading จารใจรัก Chapter 39-2 โกรธไม่ลง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ทางด้านเรือนลั่วเหมยในจวนอิงชินอ๋อง เซี่ยฟางหวาหลับจนยามอู่เลยผ่านถึงเพิ่งตื่นมา  

 

           นางลืมตาขึ้น พบฉินเจิงกำลังพิงหมอนอิงบนหัวเตียง ในมือถือจดหมายส่วนตัวสีดำพลางกำลังอ่านอยู่ ข้างกายเขามีสมุดเล่มสีดำแบบเดียวกันกองหนึ่งโยนไว้อย่างลวกๆ แดดยามบ่ายส่องเข้ามา เขาหล่อเหลาล้ำเลิศ รูปกายสูงใหญ่ ใบหน้าที่กำลังอ่านบางสิ่งอย่างเกียจคร้านนั้นสดใสเรืองรอง  

 

           เมื่อวานคนผู้นี้ทรมานนางจนร้องขอวิงวอนหลายครั้ง นางหมดสติหลับไปจนถึงตอนนี้ เขากลับคล้ายไม่เหนื่อยเลยแม้แต่น้อย  

 

           นึกถึงเรื่องเมื่อวาน ใบหน้านางก็อดมิได้ที่จะแดงขึ้นมา จิตใจพลันบังเกิดความโกรธเคืองอีกหน  

 

           นึกไม่ถึงว่าเขา…  

 

           นึกไม่ถึงว่าบนถนนใหญ่ในเมืองหลวงหนานฉิน นึกไม่ถึงว่าภายในรถม้า เขาจะกล้า…  

 

           นางดึงผ้าห่มขึ้นมา แม้กลางดึกเมื่อวานไม่มีใครผ่านมาบนถนน สิ่งที่เขากระทำนอกจากนางก็ไม่มีผู้ใดทราบ แต่นางก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีหน้าอีกแล้ว จึงดึงผ้าห่มปิดหน้าตนเองไว้  

 

           การเคลื่อนไหวของนางแม้มิได้รุนแรงนัก แต่ฉินเจิงก็รับรู้ได้แล้วเช่นกันจึงหันมามองนาง พบว่านางดึงผ้าห่มที่เดิมทีคลุมเพียงร่างกายขึ้นมาคลุมมิดศีรษะ ใบหน้าทั้งดวงล้วนถูกผ้าห่มคลุมทับจนมองไม่เห็น เขากะพริบตามอง เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใด อดมิได้ที่จะยิ้มออกมา ขยับเข้าใกล้นาง “อากาศร้อนขนาดนี้ เจ้าอยากอบตัวเองตายหรือ”  

 

           “ตายไปก็ช่าง” เซี่ยฟางหวาเอ่ยขึ้นจากในผ้าห่มด้วยความโกรธ   

 

           ฉินเจิงอุทานเสียงหนึ่ง ส่ายหน้า แล้วคว้าผ้าห่มไว้ “แต่ข้าไม่ยอม”  

 

           “เจ้าไสหัวไปเดี๋ยวนี้” เซี่ยฟางหวายื้อผ้าห่มแน่น  

 

           “หลับมาทั้งคืนแล้ว ความโกรธของเจ้าไฉนถึงยังหลงเหลืออยู่ ข้าคิดว่าหายไปแล้วเสียอีก” ฉินเจิงคว้าผ้าห่มมาไม่สำเร็จ มองนางด้วยความขบขัน   

 

           เซี่ยฟางหวาไม่ส่งเสียง เมื่อวานนางตัดสินใจแล้วว่าวันนี้จะไม่สนใจเขา  

 

           “เจ้าจะไม่ออกมาจริงหรือ” ฉินเจิงถามเสียงกระซิบ  

 

           เซี่ยฟางหวายังคงเงียบ  

 

           ฉินเจิงถอนหายใจออกมา “เหลือเวลาไม่มากแล้ว ข้าควรออกเดินทางได้แล้ว เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไม่ออกมา แต่ยังโกรธข้าไปแบบนี้”  

 

           เซี่ยฟางหวาผงะไป เข้าจะออกจากเมืองอีกแล้ว แต่ยังไม่ส่งเสียงตอบ  

 

           “ไปครั้งนี้ เกรงว่าต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนกว่าจะกลับมา” ฉินเจิงพูดขึ้นอีก   

 

           เซี่ยฟางหวาขมวดคิ้ว หนึ่งถึงสองเดือน หรือว่าไปเพราะสายลับเป่ยฉีในตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง เขาถูกเจิ้งเซี่ยวหยางชักจูงเข้ามาในเมืองหลวง หรือว่าเขาได้พบเจิ้งเซี่ยวหยางแล้ว จัดการปัญหาได้แล้ว  

 

           “ข้าพูดจริงนะ” ฉินเจิงบอก “ต้องออกเดินทางจริงๆ”  

 

           เซี่ยฟางหวายังคงเงียบ ไปก็ไปสิ ใครสนใจเจ้ากัน  

 

           ฉินเจิงรออยู่นาน พบว่านางยังไม่ยอมออกมา เขาครั้นแล้วก็ถอดใจ “ก็ได้ ข้ารู้ว่าเมื่อวานข้าทำเกินไป เจ้าจะโกรธข้าก็ถูกแล้ว แต่ตอนนั้นข้าทนไม่ไหวแล้ว”  

 

           “เจ้ายังพูดอีก” เซี่ยฟางหวาทั้งโกรธทั้งอาย  

 

           “ได้ ได้ ข้าไม่พูดแล้ว” ฉินเจิงหยุดพูดถึงเรื่องนั้น แล้วกล่าวต่อ “ข้ารอให้เจ้าตื่นมาแล้วบอกเจ้าเอง แต่ในเมื่อเจ้าไม่อยากพบข้า แต่ข้ากลัวว่าเจ้าจะปิดหน้าปิดตาจนขาดอากาศไปเสียก่อน ถ้าอย่างนั้นข้าไปแล้ว เจ้าไม่ต้องปิดหน้าแล้ว”  

 

           เซี่ยฟางหวานอนนิ่งใต้ผ้าห่ม ไม่พูดอันใดดังเดิม  

 

           ฉินเจิงจนปัญญา หันหลังไปเก็บข้าวของ ลงจากเตียงแล้วตะโกนไปนอกหน้าต่าง “ชิงเหยียน”  

 

           “คุณชาย” ชิงเหยียนขานรับแล้วปรากฏตัวขึ้น  

 

           “เจ้าไปวังหลวง นำกุญแจคุกมืดแล้วรับตัวเจิ้งเซี่ยวหยางออกมา เตรียมตัวเดินทาง” ฉินเจิงบอก  

 

           “ขอรับ” ชิงเหยียนถอยกลับไป  

 

           ฉินเจิงหันกลับมามองที่เตียง หลังผ้าม่านเตียง สตรีคนเดิมยังฝังตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ไม่ยอมโผล่ออกมา เขาเดินมาหน้าเตียง กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ข้าไปแล้ว ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ เจ้าต้องเป็นเด็กดี อย่าก่อเรื่อง ดูแลร่างกายให้ดี”  

 

           เซี่ยฟางหวายังคงเงียบ  

 

           ฉินเจิงหมุนตัวเดินออกไปด้านนอก  

 

           เขาเพิ่งเดินไปถึงประตู เซี่ยฟางหวาก็เลิกผ้าห่มออก ลุกขึ้นนั่ง ตะโกนรั้งด้วยความโมโห “หยุดตรงนั้น”  

 

           ฉินเจิงหันกลับไปทันที มองนางอย่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “อาวรณ์ข้าใช่หรือไม่”  

 

           ใบหน้าเซี่ยฟางหวาบึ้งตึง ถลึงตามองเขา  

 

           ฉินเจิงเดินย้อนกลับมาที่หน้าเตียง ดึงร่างกายอันอ่อนนุ่มของนางมากอด แล้วก้มหน้าจุมพิตนาง  

 

           เซี่ยฟางหวาผลักเขาออกด้วยความโมโห คนชั่วผู้นี้มักมีวิธีทำให้ตนโกรธเขาไม่ได้เสมอ  

 

           ครั้งนี้เขาต้องไปนานตั้งหนึ่งถึงสองเดือน นางจะยังโกรธเขาต่อได้อย่างไร  

 

           ฉินเจิงจูบจนพอใจแล้วถึงค่อยปล่อยเซี่ยฟางหวาออกอย่างเหนื่อยหอบ มองนางด้วยสายตาที่แฝงด้วยไฟแห่งกิเลส “ติดเจ้าเกินไปแล้วจริงๆ ข้ายังไม่ทันไปก็คิดถึงเจ้าอีกแล้ว ทำอย่างไรดี”  

 

           เซี่ยฟางหวาขดตัวในอ้อมอกเขา หอบหายใจแผ่วเบา ยกมือตีเขาครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่มีแรงมากเท่าไรนัก ร่างกายอ่อนยวบ  

 

           ฉินเจิงเห็นนางอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง จึงถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ช่างเถอะ ข้าอดทนไว้ก่อนแล้วกัน”  

 

           “เจ้าจะเดินทางจริงหรือ เรื่องตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางกับสายสอดแนมเป่ยฉี” เซี่ยฟางหวาถาม  

 

           “อืม” ฉินเจิงพยักหน้า “เจ้าก็รู้ว่าถ้าข้าไม่ไปทำเรื่องนี้เอง ก็ไม่มีใครเหมาะจะทำอีก ก็มีแต่ข้าแล้ว”  

 

           “เจ้าพบเจิ้งเซี่ยวหยางแล้วหรือ” เซี่ยฟางหวาถาม  

 

           ฉินเจิงผงกศีรษะ “ในอดีตเขากับข้าเคยพบกันครั้งหนึ่ง ตอนนี้เข้าเมืองมาก็เพื่อทำให้ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางยืนอยู่ในหนานฉินได้อย่างสง่าผ่าเผย ไม่อยากให้ตระกูลทำเรื่องสกปรกอย่างการขายชาติเพื่อแสวงหาความรุ่งเรือง ดังนั้นจึงทำข้อตกลงกับข้า ช่วยข้ากำจัดสายสอดแนมที่เป่ยฉีซ่อนไว้ในตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง ส่วนข้าจะช่วยเขาแก้ประวัติศาสตร์ของตระกูลให้”  

 

           เซี่ยฟางหวาได้ยินเช่นนั้นก็นับถือเล็กน้อย “ไม่นึกว่าลูกหลานตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางโง่เขลามาหลายรุ่น รุ่นนี้กลับมีคนแบบเจิ้งเซี่ยวหยางเกิดขึ้นมา”  

 

           “ข้าก็นึกไม่ถึงเช่นกัน” ฉินเจิงกล่าว  

 

           “เมื่อวานเขาก่อเรื่อง ตอนนี้กลายเป็นว่าที่จวิ้นหม่าจวนองค์หญิงใหญ่ไปแล้ว สายตาของทุกคนในเมืองหลวงล้วนรวมกันอยู่บนตัวเขา เจ้าพาเขาไปด้วย ในเวลาแบบนี้คนตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางจะไม่สังเกตเห็นหรือ” เซี่ยฟางหวาถามอีก  

 

           ฉินเจิงส่ายหน้า เล่าเรื่องที่เช้าวันนี้เจิ้งเซี่ยวหยางได้รับแต่งตั้งเป็นอาลักษณ์ เขานึกไม่ถึงว่าจะไปเที่ยวหอนางโลม องค์หญิงใหญ่โกรธมาก ขอให้ใต้เท้าทุกท่านในสำนักตรวจการยื่นมติไม่ไว้วางใจ ฉินอวี้จึงลงโทษเขาด้วยการสั่งขังคุกมืดให้ฟัง  

 

           เซี่ยฟางหวากระจ่างแจ้ง หลุดยิ้มกล่าวว่า “เจิ้งเซี่ยวหยางคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ นึกไม่ถึงว่าจะใช้วิธีการนี้มาบดบังสายตา อีกอย่างก็ไม่มีวิธีใดได้ผลไปกว่าวิธีการนี้แล้ว คนตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางก็คงไม่สงสัย”  

 

           “อืม” ฉินเจิงผงกศีรษะ  

 

           เซี่ยฟางหวายกมือกอดตอบฉินเจิง กระซิบถามว่า “ข้าก็ไปกับเจ้าด้วยดีกว่า”  

 

           “ไม่ได้” ฉินเจิงส่ายหน้าทันที  

 

           “ทำไมถึงไม่ได้” เซี่ยฟางหวาเลิกคิ้วมองเขา   

 

           “เจ้ายังไม่แข็งแรงพอ มิอาจตามข้าไปตกระกำลำบากได้ ดูแลร่างกายอยู่ในจวนนี่แหละ” ฉินเจิงมองนางอย่างจริงจัง “โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อย่าลืมว่าในตัวเจ้าซ่อนสายเลือดเผ่าภูตผีที่พร้อมจะเอาชีวิตเราสองคนทุกเมื่อ ระหว่างที่ข้ายังหาวิธีการไม่ได้ เจ้าต้องระวังอย่าให้ร่างกายบาดเจ็บอีก”  

 

           “แต่ตั้งหนึ่งถึงสองเดือน นานถึงเพียงนั้น” เซี่ยฟางหวากัดริมฝีปาก   

 

           ฉินเจิงยกยิ้มมุมปาก รู้ว่านางไม่ได้โกรธเขาจริงๆ ชาติก่อนนางกล้ำกลืนความเจ็บแค้นตายจากไปในกองเลือดเช่นนั้น ระยะเวลาหนึ่งชาติกั้น ทว่านางก็ยังรักเขา ทนทำร้ายเขามิได้ ความรู้สึกอันลึกซึ้งดั่งมหาสมุทรนี้เสมือนสลักลึกลงกระดูกแล้ว ช่างโชคดีขนาดนี้ได้อย่างไร เขากระชับกอดนางให้แน่นขึ้น “บางทีเพราะข้าคิดถึงเจ้า อาจสะสางทุกอย่างเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว ใช้เวลาไม่นานถึงขนาดนั้น”  

 

           เซี่ยฟางหวาฝังศีรษะเข้ากับแผ่นอกเขา กล่าวเสียงเบาว่า “เช่นนั้นก็ได้ เจ้าต้องระวังตัวด้วย อย่าฝืนตัวจนเกินไป ข้ารอเจ้ากลับมาก็พอแล้ว”  

 

           ฉินเจิงก้มหน้าจุมพิตนาง พยักหน้ารับอย่างหนักแน่น “ว่าง่ายจริงๆ”  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด