ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]บทที่ 424: ด่านซานไห่
บทที่ 424: ด่านซานไห่
หนึ่งเดือนครึ่งผ่านไป
กลับมาที่โลกใต้พิภพ กองกำลังทหารแสนนายกำลังพักอยู่ภายในถ้ำขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในเทือกเขา ศพของราชาอสูรวิญญาณขนาดใหญ่นอนแน่นิ่งอยู่ถัดออกไปไม่ไกลนัก มันเป็นอสูรวิญญาณขั้นตุลาการนรกระดับต้นที่ไม่ได้มีความสามารถเฉพาะใดๆเป็นพิเศษ มีความเป็นไปได้สูงว่ามันเพิ่งจะกลายเป็นราชาอสูรวิญญาณเมื่อไม่นานมานี้ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมมันถึงเลือกเทือกเขาที่แห้งแล้งแห่งนี้เป็นอาณาเขตของตนเอง ห่างจากที่อยู่อาศัยของราชาอสูรวิญญาณอื่น ๆ ที่อยู่บริเวณใกล้เคียง
แต่น่าเสียดาย…
มันอาจจะไม่มีราชาอสูรวิญยาณตนอื่น ๆ อยู่รอบ ๆ แต่มันกลับปะทะเข้ากับกองกำลังของยมโลกแห่งใหม่ที่กำลังหาที่หลบฝนอยู่ด้านนอกเข้าอย่างจัง
ฉินเย่ยืนอยู่ที่ปากทางเข้าถ้ำ จ้องมองไปยังสายฝนด้านนอก สายฝนของโลกใต้พิภพนั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง มันตกลงมาโดยที่ตั้งฉากกับพื้นอย่างพอดิบพอดี ไม่ว่ามันจะตกไปที่ใด มันก็จะแทงทะลุผิวดิน ทิ้งไว้เป็นรูที่มีขนาดเท่าเข็มไว้บนพื้น ฉินเย่ที่กำลังคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากสายฝนเหล่านั้นตกลงมาบนร่างของเขาพลันตัวสั่นเทา
ทั้งถ้ำถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบขณะที่ทหารวิญญาณทั้งหมดนั่งพักอยู่บริเวณผนังถ้ำ มันผ่านมาเป็นเวลากว่าสองเดือนแล้วนับตั้งแต่ที่การเดินทางสู่ดินแดนทางตะวันออกเริ่มต้นขึ้น มันอาจจะไม่ใช่ระยะเวลาที่ยาวนานนัก แต่พวกเขาก็เติบโตขึ้นเป็นอย่างก้าวกระโดดจากประสบการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมด
การเข้ามาเสริมของกองกำลังทหารวิญญาณอีก 3 หมื่นนายเองก็เป็นไปอย่างราบรื่น นับตั้งแต่นั้น พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของการเผชิญหน้ากับราชาอสูรวิญญาณถึงสองครั้ง และพวกเขาก็สามารถเคลื่อนที่ในรูปแบบและต่อสู้ได้อย่างราบรื่นเหมือนกับทหารวิญญาณของยมโลกคนอื่น ๆ ด้วยความสำเร็จจากการเผชิญหน้าเหล่านี้ กำลังใจของกองกำลังของยมโลกได้เพิ่มขึ้นมาก พวกเขาอาจจะยังไม่ได้หลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยที่สุด มันก็ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการไม่เชื่อฟังเกิดขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่พวกเขาก็รู้ดีว่ายังไม่ควรประมาทหรือวางใจใด ๆ
เพราะอย่างไรแล้ว พวกเขาทั้งหมดก็ยังสัมผัสได้ว่ามันยังมีฟางเส้นสุดท้ายหลงเหลืออยู่ พวกเขาอยู่ห่างจากนครชฺวีฟู่อีกเพียงแค่สิบวันเท่านั้น คนทั้งหมดเริ่มได้กลิ่นเลือดลอยมาตามอากาศ และหัวใจของพวกเขาก็เต้นแรงขึ้น
ด่านซานไห่หรือด่านแรกของกำแพงเมืองจีน มีทหารวิญญาณประจำการณ์อยู่ที่นั่น 820,000 นาย และประชากรกว่า 8 ล้านคน ฉินเย่ถอนหายใจออกมา “ไม่สบายใจเลยจริง ๆ ”
นี่คือสงครามขยายอาณาเขตครั้งแรกของยมโลก มันมีความสำคัญเป็นอย่างมาก มันเป็นการประกาศให้กับประชาชนได้รู้ว่ามันจะเกิดสงครามขึ้นในอนาคต นครชฺวีฟู่คือจุดยุทธศาสตร์ที่จะทำให้ยมโลกสามารถเชื่อมโยงและควบคุมทั้งสามมณฑลเอาไว้ได้ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะสามารถเริ่มการเจรจาการค้ากับแดนมนุษย์ได้เท่านั้น แต่มันยังเกี่ยวข้องกับอะไรอีกหลาย ๆ อย่าง! มันยังเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการเปิดเมืองท่าและเส้นทางการค้าของยมโลกอีกด้วย ฉินเย่แทบไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่ายมโลกจะทำอย่างไรหากการเดินทางสำรวจในครั้งนี้จบลงด้วยความล้มเหลว
นี่เป็นการต่อสู้ที่จะตัดสินชะตาของยมโลกอย่างไม่ต้องสงสัย
ทันใดนั้นเอง เสียงของหยางเหยียนเจาก็ดังขึ้นเรียกสติของเขา “ฝ่าบาท ท่านอรากษสตื่นแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ฉินเย่คลายคิ้วที่ขมวดเข้าหากันของตนเองและเดินตามหยางเหยียนเจาเข้าไปในถ้ำทันที
ทหารของตระกูลหยางหลายนายตั้งแถวยืนอารักขาอาร์ทิสผู้ที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงหินเรียบเอาไว้ นางนั่งอยู่ที่ด้านหนึ่งของเตียงในขณะที่แผ่นหินขณะใหญ่ตั้งอยู่ด้านหน้า โบกมืออย่างสง่างามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ควบคุมกองทรายเพื่อสร้างค่ายขึ้นในป่าที่ล้อมรอบกำแพงขนาดใหญ่เอาไว้ ศาลาหลายหลังปรากฏให้เห็นภายในกำแพงดังกล่าว
เหล่าแม่ทัพตระกูลต่างจ้องมองแผ่นหินตรงหน้าด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดไม่แพ้กัน โนบูทาดะเองก็ยืนอยู่ด้วย เมื่อเห็นว่าฉินเย่เดินเข้ามา คนทั้งหมดก็รีบแหวกทางให้อย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มเดินตรงไปหาอาร์ทิสและถามเสียงเบา “ได้การอะไรบ้างหรือไม่?”
ตอนนี้อาร์ทิสกำลังตั้งสมาธิกับงานของตนอย่างที่ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยนัก นางพยักหน้าเบา ๆ และเอ่ยตอบหลังจากเรียบเรียงคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง “ตำนานกล่าวว่าด่านซานไห่ได้คือเส้นทางด่านสุดท้ายที่ถูกใช้โดยท่านจ้าวนรกองค์แรก ในตอนนั้น ดินแดนเหล่านี้ รวมถึงฮันยาง ล้วนเคยอยู่ภายใต้การดูแลของเทพแห่งความตายไร้นาม และด่านซานไห่เองก็เคยเป็นสถานที่ซึ่งขั้นยมทูตขาวดำทุกตนจะต้องเดินทางผ่าน”
“ทำไมกัน?” ฉินเย่ถามอย่างสงสัย
อาร์ทิสวาดมืออีกครั้ง ก่อนจะหันไปมองฉินเย่ “พิธีกรรม เหมือนกับการธุดงค์ เข้าใจหรือไม่?”
เสียงดังฟังชัดเชียวล่ะ แต่ไม่คิดเลยว่าสถานที่ทางประวัติศาสตร์จะถูกใช้ในจุดประสงค์ของการศึกษาเชิงอุดมการณ์และการเมืองเช่นนี้…
อาร์ทิสกลับไปสนใจกับการสร้างกระบะทรายทดสอบของตนอีกครั้งและอธิบายต่อโดยไม่ละสายตา “ข้าเคยเดินทางไปที่นั่นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น และเหตุผลก็เพราะว่าการธุดงค์นี้ เพื่อที่จะดึงความทรงจำเหล่านั้นกลับมา ข้ากำเป็นจะต้องใช้เคล็ดวิชาคลื่นสะท้อนจันทร์ น่าเสียดาย ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานของความทรงจำ มันทำให้ข้าต้องใช้เวลากว่าหนึ่งเดือนเต็มในการค้นหามันก่อนที่จะสามารถระบุและกลับมาได้สติอีกครั้ง ข่าวดีก็คือข้าจำสิ่งที่ข้าได้เห็นในอดีตได้อย่างชัดเจน และข้าก็สร้างแบบจำลองของมันขึ้นมาจากความทรงจำนี้ เชิญดู”
สายตาทั้งหมดต่างจับจ้องไปยังโต๊ะหินตรงหน้าของนางทันที
ตอนนี้กระบะทรายที่มีความสูงประมาณหนึ่งฟุตตั้งอยู่เหนือโต๊ะทั้งหมด มันเป็นเมืองรูปร่างคล้ายกับสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ถูกล้อมรอบโดยกำแพงเมืองขนาดใหญ่ เมืองที่อยู่ด้านในเต็มไปด้วยกิจกรรมและดูเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้กลับไม่มีใครให้ความสนใจการตกแต่งภายในเมืองเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของแม่ทัพทุกคนต่างจับจ้องไปที่ด้านบนสุดของกำแพงเมือง ทันใดนั้นดวงตาของพวกเขาก็หดตัวลง และเปลวไฟนรกภายในดวงตาของพวกเขาก็วูบไหวอย่างรุนแรง
การจำลองด่านซานไห่ของอาร์ทิสนั้นประณีตเป็นอย่างมาก ความละเอียดของนางยังครอบคลุมไปถึงเครื่องยิงหน้าไม้ขนาดใหญ่ทั้งหมดที่ตั้งอยู่เหนือของเชิงเทินและกำแพงเมืองด้วย เครื่องยิงหน้าไม้เหล่านี้ตั้งอยู่ห่างกันในทุก ๆ 30 เมตร และแต่ละเครื่องก็ถูกติดตั้งด้วยกลไกลการยิงสองชุดเพื่อนิ่งลูกดอกหน้าไม้ออกไปสิบนัดในคราวเดียว และลูกดอกแต่ละลูกก็มีขนาดใหญ่พอ ๆ กับคนหนึ่งคน!
“เครื่องยิงหน้าไม้ระยะไกล” หยางเหยียนเจาจำได้ตั้งแต่แวบแรกที่เห็น “มันคืออาวุธสังหารระยะไกลที่สามารถโจมตีศัตรูที่อยู่ห่างออกไปสามกิโลเมตรได้ อานุภาพของมัน ไม่ต่างอะไรกับรถถังหนักในยุคสมัยปัจจุบันเลยแม้แต่น้อย”
ฉินเย่อ้าปากค้างและหันไปมองกำแพงเมืองอีกครั้ง มันมีเครื่องยิงหน้าไม้แบบนั้นกว่าพันเครื่องอยู่รอบ ๆ กำแพงเมือง ไม่ใช่ว่านี่หมายความว่าภายในรัศมีสามกิโลเมตรของเมืองคืออาณาเขตป้องกันที่แน่นหนาหรอกหรือ?
นี่เรากำลังพูดถึงเครื่องยิงหน้าไม้แบบนั้นกว่าพันเครื่องอยู่น่ะ! เราจะสามารถต้านทานมันได้อย่างไรกัน?
ไม่ใช่ว่าทหารวิญญาณทั้งแสนนายของเขาจะกลายเป็นผุยผงไปก่อนที่จะเข้าถึงกำแพงเมืองหรอกหรือ?
และมันยังไม่หมดเพียงเท่านั้น
เชิงเทินในแต่ละส่วนของกำแพงเมืองยังมีลักษณะที่แตกต่างไปจากเชิงเทินทั่วไปอีกด้วย ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าพวกมันดูราวกับอสูรกลไกที่สามารถขับเคลื่อนและควบคุมได้จากภายใน
12 นักษัตร…เขานับพวกมันทั้งหมด มันมีเชิงเทินอยู่ทั้งหมด 12 จุด สัญชาตญาณของเขาบอกเขาทันทีว่านี่ไม่ใช่เรื่องดีแน่
“อสูรกลไกของม่อจื๊อ” อาร์ทิสเงยหน้าขึ้นมามองฉินเย่และสูดหายใจเข้าช้า ๆ “พวกมันสามารถขับเคลื่อนและควบคุมได้จากภายใน ข้าจำได้ว่าเกล็ดของพวกมันสามารถยกเปิดขึ้นได้ มันไม่ต่างอะไรกับการมีระบบบังเกอร์อยู่ภายในตัว ท่านรู้ใช่หรือไม่ว่ารังผึ้งนั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร? การออกแบบอสูรกลไกพวกนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากสิ่งนั้น พวกมันจะปกป้องพลธนูที่อยู่ด้านในไม่ให้ได้รับความเสียหาย ในขณะที่ปล่อยให้พวกเขาโจมตีคู่ต่อสู้ได้โดยปลอดภัย”
เชี่ย… ฉินเย่อ้าปากค้าง แต่อาร์ทิสก็ไม่แม้แต่จะปล่อยเวลาให้อีกฝ่ายได้หายใจ “และมันยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ท่านเห็นปากของมันหรือไม่?”
นางเคาะโต๊ะเบา ๆ และปากของหนึ่งในอสูรกลไกก็เปิดออก
ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีผุดขึ้นภายในใจของฉินเย่ทันที เขาลอบกลืนน้ำลายอย่างเป็นกังวล “มันคือ…?”
“ปืนใหญ่เปลวไฟแห่งกรรม” หยางเหยียนเจาถอนหายใจออกมา “หากถึงคราวคับขัน มันสามารถสร้างทะเลเพลิงขึ้นด้านล่างเพื่อหยุดยั้งการเข้าใกล้ของวิญญาณตนอื่น ๆ ”
แม้แต่โนบูทาดะก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเทาด้วยความกลัว
มันอาจจะเป็นการดูถูกเกินไปหากจะอธิบายนครชฺวีฟู่ว่าเป็นป้อมปราการ
เงียบ ฉินเย่เลื่อนสายตาของตนไปยังสิ่งที่อยู่อีกด้านหนึ่งของกำแพงเมือง พยายามมองหาสิ่งที่เมืองนี้ยังขาดไป แต่แล้วเขาก็พบว่าด่านซานไห่นั้นตั้งอยู่บนพื้นที่ลาดเอียง และมันก็เป็นตอนนั้นเองก็เขาเห็นสิ่งที่ดูคล้ายกับโลงศพกว่าร้อยโลงที่ตั้งอยู่บนเนินเขานั้น
โลงศพส่งวิญญาณ!
ในที่สุดเขาก็ได้เห็นสิ่งที่ตัวเองรู้จัก แต่มันกลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่ได้เห็นทั้งหมดนี้ เขาก็สูดหายใจเข้าช้า ๆ และเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ข้าอยากให้พวกเจ้าทั้งหมดพูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกมา ไม่จำเป็นจะต้องกักเก็บอะไรไว้อีกต่อไป”
คนทั้งหมดมองหน้ากันอย่างกระอักกระอ่วนก่อนที่หยางเหยียนเจาจะเป็นคนเอ่ยขึ้นมาคนแรก “สิ่งหนึ่งที่เราสามารถแน่ใจได้ก็คือ – การบุกรุกจากด้านนอกนั้นไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย ตอนนี้ไม่มีใช่เรื่องของจำนวนอีกต่อไปแล้ว”
“แต่!”
ดวงตาของฉินเย่วูบไหว การใช้คำเชื่อมเช่นนี้หลังจากข้อเท็จจริงที่น่าสะพรึงกลัวนั้นย่อมตามมาด้วยคำพูดรื่นหูของพวกเขาอย่างแน่นอน
“แต่สิ่งที่รอเราอยู่ด้านในเองก็เลวร้ายไม่แพ้กัน”
เงียบ
ฉินเย่จ้องอีกฝ่ายเขม็ง – นี่ สหาย เจ้ากล้าดีอย่างไรมาทำให้จิตใจของข้าวุ่นวายเช่นนี้? นี่เจ้ารู้จักกฎการพูดเบื้องต้นบ้างหรือไม่?
“เอ่อ แค่ก แค่ก...” หลังจากเห็นสายตาพิฆาตของฉินเย่ หยางเหยียนเจาก็กระแอมออกมาและเอ่ยว่า “ฝ่าบาท ไม่ทราบว่ากระหม่อมพูดอะไรผิดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ฉินเย่แอบกลอกตาใส่อีกฝ่ายในใจ “เปล่า ไม่มี เอ่ยต่อเถิด!”
อย่างไรก็ตาม หยางเหยียนเจายังไม่สามารถสลัดความรู้สึกที่ว่ามีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับฉินเย่ในเวลานี้ไปได้ แต่ถึงกระนั้น เขาก็ไม่ได้พยายามคิดอะไรไปมากกว่านี้ หลังจากรวบรวมความคิด เขาก็เอ่ยต่อ “ประการแรก เรามาดูกันที่ถนนภายในเมืองกันก่อนพ่ะย่ะค่ะ หากลองสังเกตดูเราจะพบว่าทุกอย่างล้วนถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นสัดส่วน ถนนพวกนี้จะต้องกว้างอย่างน้อยหนึ่งร้อยเมตร แต่ทำไมกัน?”
ฉินเย่ลูบคางและเอ่ยขึ้นลอย ๆ “เพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนทัพ?”
หยางเหยียนเจาพยักหน้า “ไม่ใช่แค่กองทัพธรรมดา แต่เรากำลังพูดถึงเหล่าทหารม้า! ถนนพวกนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ทหารม้าทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังประตูเมืองได้โดยตรง พวกเราทั้งหมดต่างรู้ดีว่ากองกำลังทหารม้าที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงสุดนั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใด ทีนี้เราจะมาดูกันประตูเมืองกัน พวกมันเองก็มีความกว้างเท่ากันกับถนนที่อยู่ด้านใน สิ่งนี้บอกเราว่าทันทีที่สงครามเกิดขึ้น ทหารม้าทั้งหมดจะมุ่งหน้าออกนอกเมืองทันที”
“และนั่นก็คือปัญหา” เขาลากนิ้วไปตามถนนสายยาว “พวกทหารม้าจะถูกส่งไปยังค่ายทหาร แต่ถนนทุกสายในนี้กลับล้วนชี้ไปที่จุดๆเดียว”
เหล่าแม่ทัพที่อยู่โดยรอบทั้งหมดมองตามนิ้วมือที่ค่อย ๆ หยุดอยู่ที่ตำแหน่งหนึ่ง
มันคือใจกลางเมือง!
นั่นแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก
โดยทั่วไปแล้วใจกลางเมืองมักจะเป็นจุดที่ตั้งของหลักปักเขต แต่ไม่ใช่ที่นี่
สิ่งที่อยู่กลางเมืองคือสิ่งก่อสร้างที่กินพื้นที่มากมาย มันมีแม้กระทั่งกำแพงที่สูงเป็นสัดส่วน 2 ใน 3 ของกำแพงเมืองที่ตั้งอยู่ล้อมรอบอาคารเหล่านี้อีกที แต่สิ่งที่น่าตกตะลึงที่สุดก็น่าจะเป็นข้อเท็จจริงที่ว่าพื้นที่ซึ่งอยู่ภายในกำแพงชั้นในนั้นกินพื้ที่ประมาณ 1 ใน 10 ของดินแดนทั้งหมด!
มันคือเมืองภายในเมืองอีกที!
“นี่คือ…ค่ายทหารอย่างนั้นหรือ?” มู่กุ้ยอิงจ้องมองกระบะทรายอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ดวงตาของนางจะวาววาบขึ้น “พวกเขาสร้างค่ายทหารอยู่ที่ใจกลางเมืองเลยอย่างนั้นหรือ?”
“พระราชวังแห่งการสะท้อนเงาจะต้องตั้งอยู่ที่นั่นอย่างแน่นอน” อาร์ทิสเอ่ยแทรกขึ้น “เมืองแห่งนี้น่าจะเริ่มต้นจากตำแหน่งที่ตั้งของพระราชวังแห่งการสะท้อนเงา จากนั้นจึงค่อย ๆ ขยายออกไปรอบ ๆ นอกจากนี้ ยิ่งเป็นวัตถุหยินที่มีพลังมากเท่าไหร่ จำนวนหินวิญญาณที่ต้องใช้สำหรับการสนับสนุนการทำงานของมันก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น มันไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาจะคุ้มกันที่นั่นแน่หนาขนาดนี้”
นางยืดตัวขึ้นและหันไปมองคนทั้งหมด “หากเราสามารถเข้าไปในกำแพงชั้นในและปิดแหล่งพลังงานหยินที่ใช้ในการขับเคลื่อนพระราชวังแห่งการสะท้อนเงาได้ การป้องกันรอบเมืองทั้งหมดก็จะพังทลาย! นั่นเป็นทางเดียวที่เราจะสามารถเข้ายึดเมืองได้ ไม่เช่นนั้น… หากอีกฝ่ายสามารถยื้อเวลาจนกระทั่งกองกำลังของขงโม่กลับมาถึงได้ พวกเราจะต้องแพ้อย่างแน่นอน!”
เหยี่ยลู่จินเอ๋อร์ที่ได้ยินเช่นนั้นนางก็เอ่ยขึ้นว่า “พระราชวังแห่งการสะท้อนเงา…ข้าเพียงเคยได้ยินถึงตำนานของมันเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะมีอยู่จริง ๆ … แต่เมื่อเราได้มันมา มันก็จะไม่ต่างอะไรกับการได้ด่านซานไห่มาไว้ในครอบครอง! ด้วยการป้องกันของมัน ทหารวิญญาณสิบล้ายตนก็ไม่สามารถสร้างความหวาดหลั่วให้กับเราได้!”
นางถอนหายใจออกมาและจ้องไปที่กระบะทราย “ไม่รู้จริง ๆ ว่าข้าควรจะขอบคุณขงโม่หรือโกรธแค้นเขากันแน่”
ก๊อก ก๊อก ก๊อก… ทันใดนั้นหยางเหยียนเจาก็เคาะโต๊ะเสียงดัง เขาคือแม่ทัพผู้เกิดมาพร้อมกับความสามารถในการควบคุมขวัญกำลังใจของเหล่าทหารในสนามรบ และเขาก็กล้าพอที่จะจัดการสิ่งที่ไม่เหมาะสมแม้ว่าฉินเย่จะยืนอยู่ที่นี่ด้วยก็ตาม
บางทีมันอาจเป็นเพราะท่าทีไม่ใส่ใจและไม่ทุกข์ร้อนของเขาที่นำไปสู่การก่อกวนในครั้งนี้ แต่เมื่อมองดูอีกที เขาเองก็ช่างเป็นผู้นำที่ฉลาดและใจกว้างจริง ๆ … ฉินเย่อดไม่ได้ที่จะยิ้มให้กับตนเอง
ความหนาบนใบหน้าของคนเราคือตัวกำหนดที่บอกให้รู้ว่าคน ๆ นั้นจะสามารถใช้มันเพื่อเฉิดฉายได้หรือไม่…
“สิ่งที่ทุกคนได้พูดออกมาเมื่อครู่นี้เป็นประโยชน์อย่างมาก แต่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับว่าพวกเราจะสามารถ” เขาเท้ามือทั้งลองข้างลงกับโต๊ะและโน้มตัวไปด้านหน้าด้วยดวงตาที่เป็นประกาย “แต่พวกเจ้ายังไม่สังเกตเห็นถึงประเด็นสำคัญที่เราเพิ่งพูดกันไปก่อนหน้านี้หรอกหรือ?”
เขาวาดวงกลมขึ้นรอบใจกลางเมือง “ไม่ว่าเราจะปิดพระราชวังแห่งการสะท้อนเงาหรือแย่งชิงการควบคุมมัน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราสามารถเคลื่อนไปอยู่ภายในแนวกำแพงชั้นในได้แล้วเท่านั้น และหากมันเป็นกรณีเช่นนั้น มันก็ยิ่งมีความเป็นไปได้ที่ว่าจุดศูนย์กลางของค่ายหารและเศรษฐกิจเองก็ตั้งอยู่ที่นั่นเช่นกัน อีกความหมายหนึ่งก็คือ…นี่จะต้องเป็นค่ายของทหารกว่า 820,000 นายอย่างแน่นอน!”
“ข้อได้เปรียบเพียงอย่างเดียวของเราในตอนนี้ก็คือเราสามารถผุดขึ้นในใจกลางเมืองได้ แต่หากเราทำเช่นนั้น ทั้งดินแดนก็จะสามารถระดมกองกำลังของพวกเขาต่อสู้กับเราได้ในทันที แน่นอน พวกเราอาจจะมีโอกาศที่จะทำการต่อสู้ได้ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถเอาชนะกองกำลังของศัตรูได้หรือไม่อยู่ดี! เรากำลังพิจารณามันในฐานะของสงครามท่ามกลางดินแดนแห้งแล้ง ไม่ใช่การต่อสู้ในเมือง”
“จะเกิดสิ่งใดขึ้นหากเราถูกล้อมอยู่ภายใน ไม่สามารถแย่งชิงหรือหยุดการทำงานของพระราชวังแห่งการสะท้อนเงาได้? หากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นจะทำอย่างไร? ด้วยจำนวนของอสูรวิญญาณที่เรานำมาด้วยน้อยขนาดนี้?”
Comments