ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]บทที่ 429: สงครามครั้งสุดท้าย (1)
บทที่ 429: สงครามครั้งสุดท้าย (1)
วิญญาณทั้งหมดภายในกำแพงเมืองไม่ได้เงยหน้ามองด้านบนฟ้าเลยแม้แต่น้อย
เพราะหากพวกเขาทำ พวกเขาก็จะพบว่ามีอาณาเขตมนตราปรากฏอยู่เหนือกำแพงเมืองทั้งสี่ทิศ
พวกมันปรากฏขึ้นพร้อมกับอักขระรูนลึกลับที่แผ่พลังหยินออกมา อาณาเขตมนตราหมุนอย่างช้า ๆ แต่คลื่นกระแทกที่มาพร้อมกับการปรากฏตัวของมันกลับทำให้วิญญาณภายในรัศมี 50 เมตรถูกพลัดปลิวออกไปจนหมด
ในเสี้ยววินาทีต่อมา—
พรึ่บ!
ราวกับฝนดาวตกที่ยิ่งใหญ่
อาณาเขตมนตรายังคงหมุนอยู่เรื่อย ๆ มันเริ่มเทจุดแสงสีขาวลงมาด้านล่าง แทบจะเหมือนกับกลุ่มดวงดาวของทางช้างเผือกกำลังถูกสร้างขึ้นจากความว่างเปล่า ฉินเย่ อาร์ทิส และทหารวิญญาณที่เหลืออยู่อีก 20,000 นายมองดูภาพบนหน้าจอพลังหยินขนาดใหญ่ด้วยลมหายใจที่ติดขัดและมือที่กำแน่น
ไม่มีที่สำหรับความผิดพลาด…พวกเขาจะต้องชนะสงครามนี้ให้ได้!
ภายในใจของฉินเย่พลันรู้สึกร้อนรุ่มอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มันมากเกินกว่าที่เขาเคยประสบมาทั้งชีวิต หัวใจของเขาแทบจะกระโจนออกมาจากอก และลมหายใจของเขาก็เริ่มติดขัดขึ้นเรื่อย ๆ ฝ่ามือของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ และอาร์ทิสเองก็ประสบกับสิ่งเดียวกัน
นี่คือสงครามที่จะกำหนดชะตากรรมของยมโลก ไม่มีใครต้องการทิ้งมันไว้กับโอกาสและโชคเพียงลำพัง
ลิมโบ วิญญาณทั้งหมด ไม่ว่าจะอยู่ภายในหรือภายนอกด่านซานไห่ต่างจ้องมองไปยังอาณาเขตมนตราที่อยู่เหนือกำแพงเมืองด้วยปากที่อ้าค้าง สองวินาทีต่อมา เหล่าวิญญาณที่ตื่นตระหนกก็กรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวและวิ่งหนีกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศทางทันที!
เมื่อมองจากไกล ๆ มันดูไม่ต่างอะไรกับดวงอาทิตย์ที่ระเบิดตัวออกและเศษเสี้ยวของมันก็แตกกระจายไปทั่วเลยแม้แต่น้อย
“พระ…เจ้า…” หนึ่งในประชากรวิญญาณเอ่ยด้วยเสียงที่สั่นเทาขณะที่จ้องมองท้องฟ้า ก่อนจะกรีดร้องออกมาสุดเสียง “ศัตรูบุก! ศัตรูบุก!!! พระเจ้า!! มีคนกล้าโจมตียมโลก...”
ฉึก!
แต่ยังไม่ทันที่จะเอ่ยจบ ลูกธนูก็ปักลงมาบนศีรษะของเขา และไม่นาน ประชากรวิญญาณทั้งหมดก็พบบางสิ่งบางอย่างที่น่าตกใจมากกว่านั้น
ถนนกว้างในเมืองที่พวกเขารู้จักเป็นอย่างดี ในเวลานี้เต็มไปด้วยม้าศึกโครงกระดูกที่พุ่งออกไปราวกับคลื่นยักษ์ ทหารวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งตามหลังทหารม้าออกไปติดๆพร้อมกับโล่และหอกในมือ จากนั้น กลุ่มสุดท้ายที่ตามออกไปก็คือพลธนู ธงสงครามโบกสะบัดอย่างยิ่งใหญ่ มันราวกับว่ามีใครบางคนเหยียบลงบนรังมด และฝูงมดทั้งหมดก็หลั่งไหลออกจากที่ซ่อนของมัน!
ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง! ผืนดินสั่นสะเทือนจากจังหวะย่ำเท้าของทหารทั้งหมด
“นี่มัน…ธงของกองกำลังของเรา…” ประชากรวิญญาณถอยห่างออกจากถนนสายหลัก ในขณะที่ผู้ที่จำผืนธงทั้งหมดได้เอ่ยออกมาเสียงเบา ก่อนจะหนีกลับบ้านเพื่อหลบหนีจากความวุ่นวายที่เกิดขึ้น
สงคราม…
สงครามได้เริ่มขึ้นแล้ว! นี่คือสงครามจริงๆ! สงครามของโลกใต้พิภพ! สงครามที่กำลังเกิดขึ้นภายใต้แดนมนุษย์!
“ด้วยคำพิพากษาจากนรก เหล่าวิญญาณทั้งปวงจงสูญสิ้น!!!” ทหารของนครชฺวีฟู่ตะโกนออกมาสุดเสียง เหล่าประชากรวิญญาณที่ไม่สามารถหลบหนีจากถนนสายหลักได้ทันเวลาจึงสูญสลายไปด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว หากพูดกันตามตรง...นี่ไม่ใช่ถนนเพียงสายเดียวที่เกิดภาพเช่นนี้ขึ้น เพราะประตูเมืองชั้นในของด่านซานไห่ทั้งสี่บานต่างถูกเปิดออกพร้อมกัน เปิดช่องว่างสำหรับการเดินทัพของกองกำลังขนาดใหญ่ขณะที่พุ่งเขาพุ่งออกไปยังกำแพงเมืองชั้นนอก
ในขณะเดียวกัน เครื่องยิงหน้าไม้ขนาดใหญ่และลูกดอกหน้าไม้ที่ตั้งอยู่บนกำแพงเมืองชั้นในค่อยๆรวบรวมพลังหยิน ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นภายในชั่วพริบตา แทบจะเหมือนกับว่าเมืองทั้งเมืองกำลังเผยคมเขี้ยวของมันออกมา!
เข้ามาเลย…
ต่อให้ต้องตายอย่างมีเกียรติยังดีกว่าการใช้ชีวิตอยู่อย่างน่าอัปยศ!
…………………………………………………….
ณ กำแพงเมืองทางตะวันตก
เหล่าทหารวิญญาณของด่านซานไห่ที่ประจำการอยู่ที่นี่ต่างแน่นิ่งไปด้วยความหวาดกลัว ขณะที่อาณาเขตมนตราขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขาพร้อมกับประกายสุกสกาวคล้ายดวงดาว
ผู้บัญชาของพวกเขาคือทหารที่แต่งกายด้วยเครื่องแบบทหารในสมัยใหม่ และเขาก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่สะเก็ดดวงแต่ แต่พวกมันคือลูกไฟนรกจำนวนมาก!
ศัตรูบุก….ศัตรูบุก!!! เขาหันไปหากองกำลังของตนเองและตะโกนเสียงดัง “ต้านไว้!! ชีวิตของพวกมันจะจบลงทันทีที่กำลังเสริมของเรามาถึง!”
ตู้ม!! ทว่าก่อนที่เขาจะเอ่ยจบ คลื่นกระแทกพลังหยินก็ระเบิดออกมา และร่างของนักรบผู้กล้าคนหนึ่งก็พุ่งตัวออกมาราวกับสายฟ้า ดาบยาวในมือของนางเต็มไปด้วยพลังหยินที่เบ่งบานราวกับดอกไม้ขณะที่มันพุ่งเข้าหาศีรษะของผู้บัญชาของฝ่ายศัตรูโดยตรง!
“เจ้ารนหาที่ตายแล้ว!!” ผู้บัญชาของนครชฺวีฟู่ตะโกนออกมาเสียงดังลั่นขณะที่เขาชักดาบของตนออกมาเพื่อเผชิญหจ้ากับผู้บัญชาของฝ่ายศัตรู
ประกายไฟปรากฏขึ้นจากการปะทะอย่างรุนแรง ในเสี้ยววินาทีต่อมา เสียงกรีดร้องที่น่าสังเวชก็ดังขึ้น ฝ่ายหนึ่งยังคงยืนหยัดอย่างมั่นคง ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งล้มลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ทหารของนครชฺวีฟู่ที่ยืนอยู่แน่นิ่งไปเมื่อพบว่าผู้บัญชาการของตนกลายเป็นเพียงกลุ่มก้อนเปลวไฟนรกที่สลายไปในเวลาไม่นาน
ตาย?
ด่านซานไห่นั้นกินพื้นที่หลายตารางกิโลเมตร และมันก็มีกองกำลังทหารกว่า 1 หมื่นนายยืนคุ้มกันอยู่บนกำแพง ทหารวิญญาณจำนวนมากยืนล้อมรอบแม่ทัพหญิงฝ่ายศัตรูและกองกำลังของนางราวกับปราการที่แน่นหนา แต่ถึงกระนั้น มันกลับไม่มีใครกล้าขยับตัวเลยแม้แต่น้อย
เขาตายแล้วจริงๆน่ะหรือ? การปะทะเพียงแค่ครั้งเดียว แต่เขากลับกลายเป็นเพียงลูกไฟนรกที่สลายไปอย่างรวดเร็ว?
สังหารภายในการโจมตีเดียว?
เหล่าแม่ทัพที่ลำดับต่ำกว่าก้าวมาข้างหน้าแทนที่ผู้บัญชาการหลักที่เพิ่งตายไปและเอ่ยด้วยเสียงที่สั่นเทา “จะ เจ้าเป็นใคร?!”
มู่กุ้ยอิงยืนหยัดอย่างกล้าหาญพร้อมกับดาบยาวในมือ ผมของนางถูกปัดไปด้านข้างพร้อมกับผ้าคลุมที่สง่างามของนาง ไร้ซึ่งลักษณะของหญิงสาวตามขนบธรรมเนียมใด ๆ ร่างสูงโปร่งแผ่รัศมีที่ดุร้ายของนักล่าที่พร้อมจะล่าเหยื่อออกมา
ฟึ่บ...นางยกดาบในมือขึ้นและชี้ไปยังแม่ทัพที่ก้าวออกมาด้านหน้า และอีกฝ่ายก็ก้มหน้าและก้าวถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว
นี่คือความเก่งกล้าที่อยู่เหนือคนนับพัน ความสามารถในการสังหารผู้บัญชาการขั้นยมทูตขาวดำได้ในการโจมตีเดียวนั้นน่าตกตะลึงเกินไป และทหารวิญญาณทุกนายของนครชฺวีฟู่ที่ได้เห็นภาพนี้ก็รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างไม่สามารถห้ามได้
“มู่กุ้ยอิง ยมทูตแห่งยมโลก” มู่กุ้ยอิงกวาดตามองคนทั้งหมด “ข้าได้รับคำสั่งให้สังหารเหล่าวิญญาณกบฏทั้งหมด เหล่าคนชั่วจะต้องถูกกำจัด มีเพียงผู้ที่ยอมจำนนเท่านั้นที่จะได้รับการละเว้น!”
พรึ่บ…ทันทีที่นางเอ่ยจบ ลูกไฟนรกจำนวนมากก็ปะทุชึ้นจากบนฟ้าด้านหลังของนาง การเคลื่อนย้ายมิติของกองกำลังของยมโลกเสร็จสมบูรณ์แล้ว และในวินาทีนี้ กองกำลังทหารทั้ง 2 หมื่นนายของยมโลกก็ร้องคำรามออกมาพร้อมกัน “ด้วยคำพิพากษาจากนรก เหล่าวิญญาณทั้งปวงจงสูญสิ้น!”
หอกกับหอก ดาบกับดาบ กองกำลังของยมโลกถูกปิดล้อมจากทุกด้าน แต่กลับไม่มีทหารวิญญาณของนครชฺวีฟู่ตนใดกล้าขยับตัวเลยแม้แต่ตนเดียว
นี่เป็นวินาทีที่แสดงให้เห็นถึงช่องว่างทางการทหารของกองกำลังทั้งสองฝ่าย
70% ของกองกำลังของยมโลกคือทหารของหยางจีเย่ พวกเขาได้รับการฝึกฝนมาตลอดทั้งวันทั้งคืนในตอนที่อยู่ที่ฟิลิปินัส มันมากจนพวกเขารู้ดีว่าตนจะต้องทำสิ่งใดในสงคราม หากพูดกันตามตรง มันไม่มีพวกเขาคนใดที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นมือใหม่ในการทำศึกเลยแม้แต่คนเดียว
แต่เหล่าทหารที่ประจำการอยู่ที่ด่านซานไห่นั้นแตกต่งออกไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาไม่ได้รับการสนับสนุนจากเหล่าแม่ทัพผู้มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ และพวกเขาก็ต้องฝึกฝนทหารของตนเองขึ้นมาตั้งแต่ต้น และสิ่งที่ทำให้เรื่องแย่กกว่าเดิมก็คือ เหล่าผู้มีฝีมือในหมู่ของพวกเขาล้วนถูกเกณฑ์ไปยังพื้นที่ชายฝั่งเพื่อรับมือกับราชาผีจนหมดแล้ว นอกจากนี้ มันไม่มีพวกเขาคนใดที่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการทำสงครามมาก่อน อย่างมากที่สุด พวกเขาก็แค่เดินทัพไปรอบ ๆ ดินแดนและกำจัดอสูรวิญญาณเพื่อเป็นรางวัลสำหรับเจ้าเหนือหัวและแม่ทัพของพวกเขาเท่านั้น
แต่อสูรวิญญาณขั้นนักล่าวิญญาณจะสามารถต่อต้านกองกำลังทหารได้อย่างไร? แม้แต่วิญญาณทั่วไปก็ล้วนประสบผลในแบบเดียวกัน!
นอกจากนี้ พวกเขาก็ไม่เคยทำการศึกกับกองกำลังทหารที่แข็งแกร่งกว่าหลายหมื่นนายพร้อมกันในคราวเดียวเช่นนี้
ดังนั้น มันจึงไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา และพวกเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าคำตอบที่ควรเอ่ยออกไปนั้นควรจะเป็นอย่างไร
พวกเขาเพียงนิ่งอึ้งโดยสมบูรณ์ แต่เห็นได้ชัดว่ามู่กุ้ยอิงไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย สามวินาทีต่อมา นางตะโกนออกมาดังก้อง “บุก!!!“
ปลายดาบของนางเป็นประกายเย็นยะเยือก จากนั้น การโจมตีของระบำดาบที่ตระการตาก็เริ่มต้นขึ้น
นางพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว นำกองกำลังทั้งหมดเข้าหากองกำลังของศัตรู ยกดาบในมือขึ้นและฟันมันลงไปที่พื้นอย่างแรง!
ตู้ม!!!
รอยแยกขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนพื้น แผ่ขยายออกไปหลายสิบเมตรพร้อมกับเสียงที่ดังสนั่น ราวกับว่ากองกำลังของศัตรูได้ถูกแยกออกเป็นสองส่วนจากการโจมตีที่ทรงพลังของนาง เศษดินและฝุ่นผงกระจัดกระจายไปทั่ว ในขณะเดียวกัน กองกำลังทหารที่แข็งแกร่งกว่า 20,000 นายที่อยู่ด้านหลังของนางก็ตะโกนออกมาด้วยความดุเดือดและพุ่งเข้าหาสัตรูราวกับกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก!
“ยมโลกจงเจริญ!!! บุก!!!”
“ต้านเอาไว้…โต้กลับ!!!” แม่ทัพของกองกำลังนครชฺวีฟู่ทั้งหมดต่างรู้สึกเย็นยะเยือกไปตามกระดูกสันหลังขณะที่ตะโกนออกมาเสียดัง “พวกเราจะต้องต้านเอาไว้ให้ได้! กำลังเสริมกำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้านี้!!”
พวกเขาเริ่มมองเห็นคลื่นทหารวิญญาณพุ่งตัวออกมาจากประตูเมืองชั้นในแล้ว
แนวหน้าของเหล่าทหารวิญญาณของนครชฺวีฟู่ในเวลานี้ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการถอยหนี ไม่ว่าจะระเบียบวินัย ขวัญกำลังใจหรือใจสู้ พวกเขาพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์ ความแตกต่างระหว่างทหารผ่านศึกและพวกอ่อนหัดนั้นชัดเจน ทว่าน่าเสียดาย…
พวกเขาถูกสกัดโดยเหล่าสหายร่วมรบที่ยืนอยู่ด้านหลังของตัวเอง กองหลังพยายามพุ่งมาข้างหน้า ผลักดันกองกำลังทั้งหมด ซึ่งนั่นหมายความว่าแนวหน้าย่อมไม่มีช่องว่างสำหรับการหลบหนี!
พลังหยินอันน่าสะพรึงกลัวซึ่งปะทุออกมาจากกองกำลังตรงหน้ากดทับลงมายังพวกเขา ในวินาทีนั้น กองกำลังของยมโลกดูไม่ต่างอะไรจากหิมะที่ถล่มลงมาจากภูเขาไท่ซาน เหล่าทหารผ่านศึกพุ่งไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญราวกับเสือที่ดุร้าย แผ่จิตสังหารที่รุนแรงออกมาโดยไม่ปิดบัง ด้วยร่างที่สั่นเทาด้วยความกลัว เหล่าทหารวิญญาณของนครชฺวีฟู่ต่างรีบหยิบหอกของตนขึ้นมาอย่างอ่อนแรง แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็พบว่าตัวเองไม่สามารถรวบรวมแรงที่จะตะโกนออกไปได้เลยแม้แต่น้อย
น่าเสียดาย แต่ฝันร้ายของพวกเขาเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
เมืองกองกำลังของยมโลกอยู่ห่างออกไปประมาณสิบเมตร รูปแบบของพวกเขาก็แยกตัวออกเล็กน้อย ปล่อยให้ทหารของทัพเกราะทมิฬกว่าร้อยนายมาประจำการในแนวหน้าที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่เร่งรีบและพร้อมเพรียงกัน จากนั้นพวกเขาก็หยิบอาวุธของตัวเองออกมา
ทัพเกราะทมิฬแห่งราชวงศ์ถัง!
ตู้ม!!
อากาศระเบิดออกเนื่องจากความตึงเครียดนี้
และนี่ก็คือภาพสุดท้ายที่แนวหน้าของกองกำลังของนครชฺวีฟู่ได้เห็น
มันธรรมดาและเรียบง่าย แต่ถึงกระนั้น ประกายเย็นยะเยือกจากใบมีดของทัพเกราะทมิฬก็ได้ทำลายกองกำลังแนวหน้าทั้งหมดที่ยืนขวางทาง และทำให้ทหารวิญญาณของฝ่ายศัตรูทั้งหมดกลายเป็นเพียงเปลวไฟนรกและกลุ่มก้อนพลังหยินที่กระจัดกระจายไปในอากาศ ทัพเกราะทมิฬเดินทัพไปข้างหน้าราวกับผู้เก็บเกี่ยววิญญาณที่ไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นเพียงเถ้าถ่านเมื่อพวกเขาเคลื่อนที่ผ่าน
วิญญาณหลายสิบตนตายไปจากการฟาดฟันแต่ละครั้ง ทหารวิญญาณของนครชฺวีฟู่นั้นก่อตัวกันเป็นการป้องกันที่แน่นหนา แต่ถึงกระนั้น พวกเขากลับไม่สามารถต้านทานการบุกของทัพเกราะทมิฬได้เลยแม้แต่น้อย ภายในไม่กี่วินาที กองกำลังของยมโลกก็ผลักดันให้กองกำลังของฝ่ายศัตรูต้องถอยหลังหลับไปหลายร้อยเมตร!
พวกเขาไม่สามารถหยุดได้!
นี่คือความแข็งแกร่งของกองกำลังที่แท้จริงของยมโลก!
ฟันหนึ่งครั้ง ท้องฟ้าพลันเต็มไปด้วยลูกไฟวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน ฟันอีกหนึ่งครั้ง เปลวไฟนรกดังกล่าวก็สลายและกลายเป็นเพียงกลุ่มก้อนพลังหยินไป พวกเขาเดินทัพด้วยความดุดัน ไม่หยุดนิ่งหรือช้าลงเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง ขวัญกำลังใจของเหล่าทหารแนวหน้าของกองกำลังของนครชฺวีฟู่ตกฮวบลง พวกเขาพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะหนีไปจากแนวหน้า – สงครามนี้…มันแตกต่างจากที่พวกเขาคาดการณ์ไว้เป็นอย่างสิ้นเชิง!
แต่แล้วศีรษะของพวกเขาก็ต้องหลุดออกจากบ่าทันทีที่พวกเขาหันหลังกลับ ตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบได้ที่กองกำลังทหารวิญญาณที่แต่งกายด้วยชุดเกราะสมัยราชวงศ์ถังมาถึงที่ด้านหลังของพวกเขา
และชายที่ยืนอยู่ ณ กึ่งกลางกองกำลังของราชวงศ์ถังก็คือชายที่แต่งกายราวกับข้าราชสำนักสมัยราชวงศ์ถัง อย่างไรก็ตาม เขาไม่ใช่หลายจวิ่นเฉิน
เขาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แต่กลับเพียงจ้องมองไปยังจุดที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 300 เมตรด้วยแววตาที่เย็นยะเยือก ทัพเกราะทมิฬยังคงพุ่งตัวมาข้างหน้าราวกับเทพปีศาจที่จุติลงมายังแดนมนุษย์ มันเป็นระยะเวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้นในที่ศัตรูมาถึง แต่กองกำลังที่ทอดยาวหลายเมตรได้เกิดร่องขนาดใหญ่ซึ่งเกิดจากทัพเกราะทมิฬที่กระจายตัวอยู่ระหว่างกองกำลังทั้งหมดของยมโลก พวกเขาแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก!
นี่คือกองกำลังที่แท้จริงของยมโลก... และพวกเขาก็คือทัพเกราะทมิฬในตำนาน!! ชายในชุดราชวงศ์ถังกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจภายในใจ ทัพเกราะทมิฬคือความภาคภูมิใจของทุกคนที่มีชีวิตอยู่ในยุคราชวงศ์ถัง เขาเองก็คุ้นเคยถึงการดำรงอยู่ของคนเหล่านี้เป็นอย่างดี ดังนั้น ริมฝีปากของเขาจึงสั่นเทาอย่างไม่สามารถห้ามได้
ตอนนี้ด้านหลังของเขามีวิญญาณขั้นยมทูตขาวดำกว่าสิบตนและวิญญาณขั้นนักล่าวิญญาณกว่า 50 ตนอยู่ด้านหลังของเขา และแววตาของทุกคนก็ต่างลุกโชนไปด้วยเจตนาที่จะทำศึก
นอกเหนือจากนั้น มันยังมีทหารวิญญาณที่แต่งกายด้วยชุดเกราะสีดำอีกจำนวนมากที่ยืนเรียงรายอยู่ด้านหลังของผู้ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้บัญชาการของกองกำลังเสริมเหล่านี้อีกด้วย
แถวของทหารทั้งหมดยืดยาวออกไปประมาณหลายร้อยเมตร หากมองแวบแรกก็จะสามารถบอกได้ทันทีว่ามันมีทหารวิญญาณไม่ต่ำกว่า 30,000 นายรวมตัวกันอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครเคลื่อนทัพไปด้านหน้าเลยแม้แต่คนเดียว
กลับกัน พวกเขาไม่สามารถเดินทัพไปข้างหน้าได้
ปะรตูเมืองที่เคยดูใหญ่สำหรับพวกเขากลับดูคับแคบเกินไปสำหรับจุดประสงค์ของพวกเขาในเวลานี้
อย่างน้อยที่สุด มันก็ไม่ได้กว้างพอที่จะให้กองกำลังทหารหลายหมื่นนายต่อสู้กันได้
พวกเขาจะต้องหยุดอีกฝ่ายให้ได้!
หากพวกเขาปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปเช่นนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่นครชฺวีฟู่สร้างขึ้นมาจะต้องพังทลายลงราวกับกระจกที่แตกละเอียด
แต่…เขาจะต้องทำอย่างไรกัน?!
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เขาก็กัดฟันแน่นและตะโกนออกมา “เดินหน้า…ต้านอีกฝ่ายไว้ให้ได้! ผู้ใดก็ตามที่กล้าหลบหนีจะต้องถูกประหารในฐานะของกบฏ!”
“รับทราบ!!” ขั้นยมทูตขาวดำทั้งเจ็ดตะโกนตอบ นำกองกำลังของตัวเองพุ่งไปข้างหน้าเพื่อเสริมแนวป้องกันที่พังทลายไป
กองกำลังโล่เดินหน้าราวกับกำแพงป้องกันชั้นยอดที่ขยายออกไปหลายร้อยเมตร หอกจำนวนมากยื่นออกมาจากช่องว่างระหว่างโล่ ตามมาด้วยพลธนูที่ไม่นานก็จุดไฟขึ้นที่ปลายลูกธนูของตน
ทุกคนต่างพร้อมที่จะโจมตี!
พลธนูในแนวหลังทั้งหมดต่างมุ่งเป้าไปที่กองกำลังของมู่กุ้ยอิง เมื่อแนวหน้าของนครชฺวีฟู่พลังทลายอย่างสมบูรณ์ สิ่งที่รอฝ่ายตรงข้ามอยู่ก็คือการโต้กลับอย่างเต็มกำลัง
การตอบสนองของนครชฺวีฟู่ไม่ได้ช้าเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาไม่เคยคาดคิดว่าจะมีคนที่สามารถเจาะทะลุกำแพงเมืองชั้นนอกและเข้ามาในเมืองได้สำเร็จ!
เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว ด่านซานไห่ก็ควรจะเป็นแนวป้องกันที่ไม่มีผู้ใดสามารถพังทลายได้!
จากนั้น ทันทีที่กองกำลังทั้งหมดเคลื่อนทัพออกไป ผู้บัญชาการในชุดราชวงศ์ถังก็หันหลังและเอ่ยด้วยฟันที่กัดแน่น “เตรียมอสูรกลไกของม่อจื๊อให้พร้อม!”
“ท่านหลี่!!” ขั้นยมโลกขาวดำที่เหลืออยู่เอ่ยครางออกมาด้วยความหวั่นสะพรึง “แต่…บนกำแพงเมืองยังมีทหารของเราอยู่อีกหลายหมื่น…!”
“เจ้าไม่เข้าใจสิ่งที่ข้าพูดอย่างนั้นหรือ?!!” ผู้บัญชาการหลี่ตะคอกกลับด้วยความเดือดดาล เปลวไฟนรกในดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม “พวกเราจะปล่อยให้ศัตรูเข้าไปในเมืองชั้นในไม่ได้เด็ดขาด! นครชฺวีฟู่ก่อตั้งมาเป็นเวลากว่า 56 ปีแล้ว ดังนั้นตราบใดที่เราสามารถยืนหยัดไว้ได้ เราก็คือยมโลกแห่งต่อไป!!!”
“ไปซะ! เตรียมอสูรกลไกของม่อจื๊อให้พร้อม!” ทวารทั้งเจ็ดของเขามีพลังหยินที่รุนแรงหลั่งไหลออกมา “ข้าไม่ต้องการเห็นสิ่งมีชีวิตใด ๆ เหลืออยู่บนกำแพพงเมืองอีก..แม้แต่วิญญาณสักตน!”
Comments