ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]บทที่ 444: ความยำเกรงและปาฏิหาริย์ (1)
บทที่ 444: ความยำเกรงและปาฏิหาริย์ (1)
“ข้าขอเตือน…พวกท่านควรจะรีบลบความคิดเสียๆที่มีอยู่ภายในหัวของพวกท่านตอนนี้ไปซะ!” ความสัมพันธ์ที่หวังเฉิงห่าวมีต่อฉินเย่และอาร์ทิสนั้นพัฒนาขึ้นมาจนเขาสามารถบอกได้ว่าทั้งสองกำลังกระหยิ่มยิ้มอยู่แม้ว่าใบหน้าของทั้งคู่แทบจะดูไม่เปลี่ยนแปลงเลยก็ตาม
ฉินเย่กระแอมเบาๆ ก่อนจะกระตุกโซ่ในมือด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกัน เจ้าหนู่ ข้าเพียงแต่—…”
“อย่าแม้แต่จะคิด! การคิดนั้นแย่พอๆกับการลงมือทำ! แค่คิดก็บาปแล้ว!” หวังเฉิงห่าวตอบสนองราวกับแมวที่ถูกเหยียบหาง
เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองเป็นคนที่ไม่สนุกเลยแม้แต่น้อย?
มันไม่มีการต่อต้านใดๆเลยสักนิด… แล้วการกรีดร้องก่อนที่ข้าจะลงมือลงโทษมันคืออะไรกัน? ฉินเย่เก็บสายโซ่ทั้งหมดไปด้วยความเบื่อหน่าย – จะว่าไป อาวุธพวกนี้นี่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ…
อาร์ทิสเองก็เหลือบมองหวังหนึ่งหาง ไม่พอใจกับการตอบสนองที่ไม่เต็มใจของอีกฝ่าย “อย่าพูดเช่นนั้น… เพื่อนร่วมชั้นหวังก็ยังดีพอๆกับกระสอบทราย… ท่านคิดว่าฉายา ‘นักเลงท้องถิ่น’ นั้นได้มาเพราะโชคช่วยหรืออย่างไร…”
ฉินเย่จ้องมองอาร์ทิสราวกับเห็นผี “ไม่… ข้าหมายถึง…เหตุใดมันถึงมีร่องรอยของความเสียดายแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเจ้ากัน? นี่เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?! เขายังเป็นแค่เด็กเท่านั้น!”
อาร์ทิสกระแอมแห้งๆ “นั่นสิ เห้อ…เด็กสมัยนี้ช่างน่า–… ข้าหมายถึงโตเร็วจริงๆ มันรบกวนจิตใจข้าเหลือเกิน…”
ทั้งอาร์ทิสและฉินเย่ต่างรู้ดีว่านี่คือบทสนทนาที่ควรจะเก็บไว้คุยวันหลัง ฉินเย่กระแอมออกมาเบาๆ “กลับมาพูดถึงเรื่องตรงหน้า เราพูดถึงสองความสามารถใหม่ไปแล้ว แล้วอีกสามความสามารถที่เหลือเล่า?”
หัวข้อของบทสนทนาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
“ความสามารถอีกสามอย่างไม่ใช่ความสามารถที่สามารถมองเห็นได้โดยผิวเผิน” อาร์ทิสพับความคิดที่ไม่คำสัญและเอ่ยต่อประเด็นสำคัญทันที “ความสามารถที่สามนั้นมีชื่อว่า…ลายเส้นตุลาการ”
“การวาดลายเส้นเพียงล่นเส้นเดียวสามารถตัดสินความเป็นและความตายของสิ่งมีชีวิตได้” นางชี้ไปที่สมุดแห่งความเป็นตายในมือของฉินเย่ “แต่หนึ่งในข้อกำหนดเบื้องต้นในการใช้งานก็คือสมุดแห่งความเป็นตายจะต้องอยู่ในการครอบครองของยมโลกเสียก่อน นั่นคือจุดที่สมุดแห่งความเป็นตายฉบับเลียนแบบสามารถดึงพลังของมันออกมาได้ ทุกสิ่งล้วนถูกกำหนดโดยสวรรค์ ยมทูตในนามไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ ยิ่งกว่านั้น…”
นางหุบยิ้ม “ความสามารถนี้ ลายเส้นตุลาการ ยังสามารถใช้ในแดนมนุษย์ได้อีกด้วย”
ฉินเย่กระพริบตาปริบๆอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดอาร์ทิสจึงเอ่ยถึงสิ่งเหล่านี้ด้วยความเคร่งเครียดเช่นนี้
มันก็เพราะว่า การทำเช่นนั้น เขาก็จะไม่ต่างอะไรกับสิ่งมีชีวิตในตำนานอย่างจงขุย
ตอนนี้เขามีดวงตาที่สามารถมองเห็นทุกสิ่ง และปากกาที่สามารถกำหนดชีวิต ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยมีความสามารถในการเก็บเกี่ยวชีวิตของสิ่งมีชีวิตในแดนมนุษย์มาก่อน แต่ตอนนี้…ขอบเขตอำนาจของเขากลับขยายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด!!
หากเขาต้องการ เขาสามารถเปลี่ยนให้แดนมนุษย์กลายเป็นทะเลเลือดได้ หากจ้าวนรกที่แท้จริงของยมโลกได้กำหนดความตายของคนๆหนึ่ง คนผู้นั้นจะสามารถหลบหนีจากชะตากรรมของตนเองได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม การที่อาร์ทิสเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่จริงจังเช่นนี้ก็เพราะว่านางกำลังเตือนเขาให้ระมัดระวังในการใช้ความสามารถของตนเอง เพราะอย่างไรแล้ว มันก็มีความเป็นไปได้สูงที่คนเราจะสูญเสียจิตใจและความเป็นตัวเองไปหลังจากที่ได้รับอำนาจที่สั่นสะเทือนสวรรค์ไว้ในครอบครอง
“ข้าเข้าใจ” หลังจากเงียบไปนาน ฉินเย่ก็พยักหน้าในที่สุด
“ข้าคอยจับตาดูท่านมาโดยตลอด” อาร์ทิสยังคงเอ่ยต่อเสียงเรียบ “จากบันทึกของยมโลกแห่งเก่า ผู้ที่ใช้อำนาจของสมุดแห่งความเป็นตายในทางที่ผิดจะถูกตัดสินให้ถูกกักขังอยู่ในขุมนรกเป็นเวลาอย่างต่ำพันปี หรืออาจจะชั่วนิรันดร์ ท่าน…ควรจะระวังให้ดี”
ฉินเย่พยักหน้าอย่างหนักแน่น อาร์ทิสละสายตา “ความสามารถที่สี่ก็คือการปลดปล่อยจิตวิญญาณใบมีด”
“ยมโลกมีวัตถุศักดิ์สิทธิ์อยู่ทั้งสิ้นสามชิ้น ซึ่งก็คือตราจ้าวนรก สมุดแห่งความเป็นตาย และปากกาแห่งการพิพากษา เมื่อยมทูตได้กลายเป็นตุลาการนรกที่แท้จริง พวกเขาจะได้รับสมุดแห่งความเป็นตายและปากกาแห่งการพิพากษา แต่สิ่งเหล่านั้นก็เทียบไม่ได้เลยกับของจริง พวกมันแค่ถูกสร้างเลียนแบบวัตถุศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น และนั่นก็ทำให้การปลดปล่อยจิตวิญญาณใบมีดเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ส่วนจะเปลี่ยนไปอย่างไรนั้น…ท่านจะต้องทดสอบมันด้วยตัวเอง ข้าขี้เกียจเกินกว่าที่จะมาพูดถึงรายละเอียดเหล่านั้นในตอนนี้ แต่มันก็สามารถพูดได้ว่ามันสุดยอดจนท่านพูดอะไรไม่ออกเชียวล่ะ”
แต่ข้าอยากจะลองมันตอนนี้… ฉินเย่เหลือบมองอาร์ทิสด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
จากนั้น เขาก็พบว่าอีกฝ่ายเริ่มหยิบตะเกียงเถาฮวาออกมา
นี่เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังทำให้ทุกอย่างมันดูน่าเบื่อ?!
ฉินเย่ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะยิ้มแหยส่งให้อาร์ทิส “เกี่ยวกับเรื่องนั้น…เหตุใดจู่ๆเจ้าถึงหยิบสิ่งที่อันตรายแบบนั้นออกมา? เก็บมันไปซะ…เก็บมันเร็ว… นั่นมันน่ากลัวเกินไป…”
“หืม? ข้าเพียงแค่หยินมันออกมาเล่นๆเท่านั้น ไม่เช่นนั้น ผู้ใดจะรู้กันว่าผู้นำที่ย่ำแย่จะเตรียมสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวอะไรไว้สำหรับข้าบ้าง?” อาร์ทิสยิ้มตอบ “ส่วนความสามารถสุดท้าย…มันไม่ใช่สิ่งที่ท่านจำเป็นจะต้องรู้ในตอนนี้ มันสามารถรอจนกว่าท่านจะจัดการกับประชากรของนครชฺวีฟู่เสร็จได้ ในฐานะของตุลาการนรกที่แท้จริง ท่านมีหน้าที่รับผิดชอบความเป็นความตายของวิญญาณนับล้าน มันมีอะไรอีกหลายอย่างที่จะต้องเรียนรู้”
ฉินเย่ไม่พอใจเป็นอย่างมาก “นี่เจ้าเอ่ยกระตุ้นความอยากรู้ของข้าเพียงเพื่อที่จะเก็บไว้ในตอนสุดท้ายน่ะหรือ? เร็วเข้า รีบบอกมา”
“นี่ท่านรู้บ้างหรือไม่ว่าการประชุมใหญ่ครั้งแรกกับเหล่าประชากรกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้านี้?” อาร์ทิสหยิบนาฬิกาทรายออกมาและมองมัน “เราเหลือเวลาอีกแค่แปดนาทีเท่านั้น ท่านแน่ใจแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“แน่ใจ! รีบบอกมาได้แล้ว!”
อาร์ทิสกลอกตา “อย่างสุดท้ายก็คือ…สัมพันธภาพทางอานุภาควิญญาณ”
ฉินเย่กระพริบตาปริบขณะที่จ้องอาร์ทิสเขม็ง ในขณะที่อีกฝ่ายเองก็ทำแบบเดียวกัน
สิบวินาทีต่อมา “แค่นี้?”
“แค่นี้”
“…เจ้าคงไม่ได้กำลังกวนประสาทข้าเล่นใช่หรือไม่? เหตุใดมันถึงฟังดูแตกต่างจากความสามารถทั้งสี่ก่อนหน้านี้มาก? มันดูไม่สอดคล้องกันเลยสักนิด… ให้ตายเถอะ… เหตุใดมันถึงรู้สึกว่าอิทธิพลทางวัฒนธรรมได้เปลี่ยนจากตะวันออกไปเป็นตะวันตกกัน? หรือว่าข้าไม่เข้าใจเอง?”
อาร์ทิสสบตากับอีกฝ่าย “นี่คือชื่อของมันแน่นอน อย่างที่ข้าเคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ ท่านยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่จะต้องเรียนรู้ในฐานะของตุลาการนรกที่แท้จริง ความสามารถสุดท้ายนั้นเกี่ยวข้องกับข้อบังคับหลักทั้งสามของยมโลก สิ่งที่ข้าคุ้นชินเป็นอย่างดี… ดังนั้นท่านควรปล่อยมันไปก่อน เข้าใจหรือไม่?”
เมื่อพูดจบ เสียงระฆังก็ดังก้องไปทั่วทั้งนครชฺวีฟู่ ฉินเย่และอาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบแปลงร่างเป็นกระแสลมที่พุ่งตัวออกจากจุดที่ตนยืนอยู่ทันที
…………………………………………………..
เหวยโหย่วเหลียงยืนอยู่ที่ถนนด้านหน้าของย่านชุมชนอย่างเงียบๆ
ทั้งท้องถนนอันแน่นไปด้วยวิญญาณจนพวกเขาไม่สามารถมองเห็นปลายสุดของถนนได้อย่างถนัดตา เขามองไปยังกำแพงเมืองที่อยู่ห่างออกไป ตำแหน่งที่ตั้งของย่านที่อยู่อาศัยของพวกเขาค่อนข้างอยู่ใกล้กับกำแพงเมืองพอสมควร และเขาก็มองเห็นทหารวิญญาณนับพันนายกำลังยืนรักษากำแพงเมืองอยู่ ทั้งหมดต่างแต่งกายด้วยชุดเกราะ
พวกเขาพร้อมที่จะปลดปล่อยฝนลูกธนูออกไปทันทีที่พบเห็นความวุ่นวายแม้เพียงเล็กน้อย
ท่านฉินกำลังจะทำสิ่งใด? พระองค์คงไม่คิดที่จะสังหารวิญญาณนับพันหรอกใช่หรือไม่? เหวยโหย่วเหลียงมองไปยังวิญญาณที่อยุ่รอบๆ ทุกคนต่างดูเคร่งขรึมไม่ต่างจากเขาเลยสักนิด
เห้อ… ทุกอย่างเปลี่ยนไปมากจริงๆ… เขาลอบถอนหายใจออกมา เม้มปากและก้มหน้าต่ำ
นี่คือจะเป็นวิธีการแต่งตั้งจักรพรรดิองค์ใหม่ในสมัยโบราณ…
“เหล่าเหวย” ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างๆ และวิญญาณร่างผอมก็เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีที่ไม่สบายใจนัก “ท่านคิดว่าอย่างไร… ยมโลกจะทำอย่างไรกับพวกเรา?”
วิญญาณตนดังกล่าวมองไปยังกำแพงเมืองก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เบาลง “ขะ ขออภัย… แต่หัวใจของข้ากำลังเต้นเร็วมาก ข้าต้องพูดกับใครสักคน… ท่านเคยเป็นเสมียนในราชสำนักใช่หรือไม่? ท่านคิดว่า…ยมโลกจะทำอย่างไร?”
เหวยโหย่วเหลียงเม้มปากแน่น – ใช่แล้ว… มีใครในที่นี้ที่ไม่เป็นกังวลด้วยหรือ?
ไม่ใช่ว่าพวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นส่วนหนึ่งของ ‘กองกำลังกบฏ’ หรืออย่างไร? มันเป็นธรรมดาไม่ใช่หรือหากยมโลกต้องการจะเชือดไก่ให้ลิงดู?
“ข้าเอง…ก็ไม่รู้เช่นกัน…” เหวยโหย่วเหลียงตอบด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าไม่แพ้กัน “เราคงได้แต่หวังว่าตัวเองยังพอมีประโยชน์ต่อยมโลกแห่งใหม่อยู่บ้าง เพื่อที่พวกเขาจะได้อยากเก็บพวกเราเอาไว้…”
“เช่นนั้น…ระหว่างยมโลกและท่านขง ท่านคิดว่าใครจะเป็นผู้ปกครองที่ดีกว่ากัน?”
เหวยโหย่วเหลียงหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “ผู้ใดจะรู้…”
“แต่เรื่องนั้นมันสำคัญด้วยหรือ? เพราะตอนนี้พวกเราก็เหมือนกับลูกแกะที่กำลังเดินเข้าโรงเชือดอยู่แล้ว…”
หากพูดกันตามตรง พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ใด
ดวงอาทิตย์บนฟ้าถูกแทนที่ด้วยสายลมและลูกไฟนรกที่น่าขนลุก มันดูไม่ต่างอะไรจากโลกใต้พิภพที่พวกเขาเคยได้ยินเลยแม้แต่น้อย…
จากนั้น ขณะที่เขาเริ่มจมเข้าสู่ห้วงความคิดของตัวเอง เปลวไฟนรกก็พุ่งออกมาจากเมืองชั้นในราวกับกระแสน้ำขนาดใหญ่ จากนั้น ท่ามกลางทะเลเปลวเพลิง ร่างขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นจากมัน ราวกับว่ามันคือการฉายภาพสามมิติ
“เฮือก… นี่มันอะไรกัน…” “พระเจ้า… นี่คือท่านจ้าวนรกอย่างนั้นหรือ?” “นี่คือความสามารถของยมโลกเช่นนั้นหรือ?” “ท่านฉิน?”
เงียบ
เสี้ยววินาทีต่อมา เสียงพูดคุยเบาๆดังกระหึ่มไปทั่วทั้งเมือง มันเริ่มจากจุดเล็กๆ ก่อนจะกระจายเป็นวงกว้างราวกับไฟป่าในเวลาไม่นาน!
มันแสดงถึงความตกตะลึงและความหวาดกลัวของวิญญาณนับล้าน!
“นี่…” เหวยโหย่วเหลียงรีบเงยหน้าขึ้นบนฟ้า เขามองเห็นวิญญาณตนหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศพร้อมกับเปลวไฟนรกที่ลุกโชนอยู่ภายในดวงตา ร่างดังกล่าวแต่งกายในชุดเสื้อผ้าสีดำของขั้นตุลาการนรกและถือสมุดแห่งความเป็นตายพร้อมกับปากกาแห่งการพิพากษาไว้ในอ้อมแขน ร่างดังกล่าวปรากฏขึ้นอย่างน่าตกตะลึง เส้นผมสีขาวสยายไปในอากาศอย่างน่าสะพรึงกลัว พร้อมกับร่างที่สูงกว่า 1,000 เมตร สูงจนดูราวกับว่าเชื่อมต่อระหว่างสวรรค์และปฐพี ร่างดังกล่าวสามารถมองเห็นได้จากทั่วทุกมุมของนครชฺวีฟู่ในตอนนี้!
มันเหมือนกับการจุติของเทพเจ้า!
เขาดูเหมือนกับตำนานในสมัยโบราณ… ร่างที่แผ่พลังอำนาจออกมาจนเหล่าวิญญาณในนครชฺวีฟู่พลันรู้สึกถึงความกลัวที่ไม่สามารถอธิบายได้ที่แผ่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ มันเป็นความกลัวที่เกิดขึ้นจากการกดดันทางจิตวิญญาณ มันคือความยำเกรงที่เกิดจากการได้พบกับตำนานที่ถูกเล่าขานมาเป็นระยะเวลากว่าพันปี
นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่ขงโม่ก็ไม่สามารถทำได้… ริมฝีปากของเหวยโหย่วเหลียงแห้งผากไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาจ้องมองไปยังร่างสูงใหญ่ตรงหน้า ไม่มีผู้ใดคิดว่าการประชุมใหญ่ครั้งแรกจะเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน แต่กลับสามารถสร้างความยำเกรงและความหวาดกลัวให้พวกเขาได้มากถึงเพียงนี้ แม้แต่ขงโม่ก็ยังต้องอาศัยความช่วยเหลือจากพระราชวังแห่งการสะท้อนเงาก่อนที่เขาจะสามารถสร้างความเคารพจากประชากรทั้งหมดได้ในคราวเดียว!
ฉินเย่มองไปรอบๆ และก็พบว่าสายตาจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังจ้องมองมาที่เขา มันเป็นสัญญาณของความตกตะลึง เด็กหนุ่มลอบพยักหน้าอย่างพึงพอใจกับตัวเอง
ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เหล่าเจ้าหน้าที่ของยมโลกได้ยุ่งอยู่กับการตรวจสอบภูมิหลักของพวกทหารวิญญาณที่ยอมจำนวนต่อยมโลก จัดทำรายการทรัพย์สินทั้งหมดของนครชฺวีฟู่ กรอกสำมโนประชากรทำแผนที่ของพื้นที่ใกล้เคียงทั้งหมดจนฉินเย่ไม่มีแม้แต่เวลาจะไปเดินรอบๆเมืองเลยสักนิด! หากพูดกันตามตรง เขาได้นอนเพียงวันละสี่ชั่วโมงเท่านั้น
และมันก็เป็นเพราะความยุ่งนี้เองที่ทำให้เขาตระหนักได้ถึงบางอย่าง
และนั่นก็คือ…ข้อเท็จจริงที่ว่าขงโม่ไม่สามารถปรากฏตัวต่อหน้าคนอื่นๆได้!
นี่คือสิทธิ์ของตุลาการนรกที่แท้จริงเท่านั้น!
ดั้งเดิม ตัวจริง และในนาม นี่คือความแตกต่างของยมทูต – ขงโม่และคนของเขาไม่ใช่แม้แต่ยมทูตตัวจริงของยมโลกด้วยซ้ำ พวกเขาเป็นเพียงวิญญาณเร่ร่อนที่รวมกลุ่มกัน และอาศัยพลังของพระราชวังแห่งการสะท้อนเงาในการสร้างรักษาคำโกหกที่ว่าตนคือยมโลกที่แท้จริง
และอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกันกับที่ประชากรทั้งหมดเริ่มส่งเสียงร้อง วิญญาณแต่ละตนก็เริ่มทรุดตัวลงและโน้มตัวคำนับ ภายใต้ความหวาดกลัวของภาพที่พวกเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน
“ทุกคน ข้าคือจ้าวนรกองค์ที่สามของยมโลก จ้าวนรกฉิน” น้ำเสียงที่นิ่งเรียบของฉินเย่ดังก้องไปทั่วทั้งเมือง เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจเนื่องจากไม่ต้องการสร้างความผ่อนคลายจนเกินไปและทำให้วิญญาณทั้งหมดเข้าใจผิดว่าพวกตนสามารถไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังควบคุมน้ำเสียงของตนไม่ให้ดูดบีบบังคับจนเกินไปเนื่องด้วยไม่ต้องการสร้างความหวาดกลัวให้กับเหล่าเด็กน้อยที่โค้งคำนับอยู่เบื้องหน้า
พวกเรากำลังพูดถึงวิญญาณกว่าสิบล้าน! นี่คือจำนวนประชากรของเมืองหลวงของมณฑลในแดนมนุษย์! และมันก็เป็นเมืองหลวงที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดอีกด้วย!
ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาจัดการประชุมขึ้นมากกว่าสิบครั้ง และเป้าหมายที่เขาได้ตั้งเอาไว้ก็คือ – ข้าสามารถไว้ชีวิตเจ้าได้ แต่ยังไม่มีประชาธิปไตย! นี่คือข้อความที่เขาต้องการจะส่งต่อให้กับเหล่าประชากรของนครชฺวีฟู่ในวันนี้
ประเทศของพวกเรายังพัฒนาไปไม่ถึงไหน แต่พวกเจ้ากลับพูดถึงเรื่องของประชาธิปไตยแล้วเนี่ยนะ?
แน่นอน
พวกเจ้าคือประชาชน และข้าคือพระเจ้า
ข้าสามารถรับรองได้เลยว่าทหารวิญญาณที่กำลังลาดระเวนอยู่ที่กำแพงเมืองนั้นไม่ได้มีไว้เพื่อแสดงเฉยๆ พวกเราพร้อมจะสร้างตัวอย่างสำหรับการก่อจลาจลที่อาจเกิดขึ้น
“ข้ายินดีที่จะมองข้ามการกระทำอันล่วงละเมิดทั้งหมดของพวกเจ้าในอดีต แต่ในเมื่อตอนนี้พวกเจ้ากลับสู่ยมโลกแล้ว พวกเจ้าก็ควรจะตระหนักถึงหน้าที่และความรับผิดชอบของตนเองในฐานะของประชากรของยมโลก”
น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นนิ่งเรียบ ทว่ายังคงทรงอำนาจดังเดิม นี่คือผลลัพธ์จากการฝึกฝนในอดีต “ประการแรก พวกเจ้าจงจำไว้เสมอว่าตนเองคือภูตผีและวิญญาณ และมันก็มีเพียงผู้เดียวที่ได้รับการยอมรับจากทั้งสามโลกในฐานะของผู้ปกครองพวกเจ้าทั้งหมด”
“และนั่นก็มิใช่ผู้ใดอื่นนอกจากยมโลก!”
“ผู้ใดก็ตามที่กล้าท้าทายอำนาจของยมโลกโดยการขัดขืนที่จะเข้าสู่ยมโลกหลังจากที่เสียชีวิตจะถือว่าเป็นกบฏ ผู้ที่ขัดขืนจะต้องถูกกำจัดและประหารทันที!”
Comments