ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]บทที่ 461: หลบหนี
บทที่ 461: หลบหนี
นี่เขา… ตายแล้วอย่างนั้นหรือ?
แปลกอย่างไม่น่าเชื่อ โลกทั้งใบของติงเซวียนสั่นไหวอย่างรุนแรงทันทีที่เขาตระหนักถึงความคิดนี้ ก่อนที่ทุกอย่างจะกลายเป็นสีขาวดำและเริ่มพร่าเลือนในที่สุด…
เขาเพิ่งถูก ‘ปลุกให้ตื่นขึ้น’ โดยใครบางคน
ความโกรธแค้นของเขาฝังลึก และการฉายวินาทีสุดท้ายของชีวิตซ้ำ ๆ ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนให้เขากลายเป็นวิญญาณร้าย โชคดี…ที่เขาสามารถกลับมามีสติได้อย่างทันเวลา
หรือบางที…มันอาจจะถูกกว่า ถ้าจะบอกว่าในที่สุดเขาก็ได้พักผ่อนอย่างสงบ
เขามองไปยังมือที่เปื้อนเลือดของตัวเองด้วยความมึนงง จากนั้นจึงบิดคอของตัวเอง มันดูเหมือนว่าจะหัก แต่เขากลับไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด กลับกัน เขาเพียงจ้องไปยังเด็กหนุ่มตรงหน้า “ท่านเป็นใคร?”
“ท่านคือผู้ที่วางถ้วยชาลงบนโต๊ะกาแฟเมื่อครู่นี้อย่างนั้นหรือ?”
“ฉินเย่… ข้าเป็นแค่คนที่เดินผ่านมาเท่านั้น” เด็กหนุ่มตอบเสียงเรียบ “เจ้ารู้อะไรหรือไม่? หากเจ้าปล่อยให้ความโกรธแค้นสั่งสมภายในใจไปมากกว่านี้ เจ้าก็จะกลายเป็นเหมือนพวกที่สังหารครอบครัวของเจ้า ข้าวางถ้วยชาลงก็เพื่อที่จะดึงเจ้าออกจากความทรงจำที่ซ้ำซากเหล่านั้น แต่สุดท้าย…เจ้าก็ยังเดินไปที่ตู้เย็นอยู่ดี”
“แต่ไม่เป็นไร ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว”
ฉินเย่ถอนหายใจออกมาและยกมือขึ้น “ในชาติหน้า อย่างน้อยก็อย่าลืมมองไปยังห้องนั่งเล่นเพื่อดูว่ามีใครคอยมองเจ้าจากที่โซฟาด้วยหรือไม่”
“และหากมี ก็จงรีบไปเตือนพ่อกับแม่ของเจ้าและพากันไปซ่อน อย่างน้อยที่สุด…พวกเจ้าก็ยังสามารถถูกสังหารไปด้วยกันได้”
ฟึ่บ...พร้อมกับการโบกมือ วิญญาณของติงเซวียนก็สลายไปกับสายลม
ฉินเย่ยังคงยืนนิ่งอยู่กับพื้นขณะที่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน
บางครั้ง ทั้งหมดที่ต้องทำมีเพียงเสียงเบา ๆ ที่คุ้นเคยเท่านั้นในการดึงความสนใจของคน ๆ หนึ่งออกจากภวังค์ของตน มันสามารถเป็นได้ทั้งเสียงเปียโน หรือเสียงแหลมสูงของการวางถ้วยชา
ในวินาทีนั้น ภายในใจของฉินเย่พลันเต็มไปด้วยความปรารถนาที่อยากจะเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นเช่นไรต่อไปหลังจากที่ความพยายามทั้งหมดในการฟื้นฟูยมโลกของเขาสิ้นสุดลง…
เหตุการณ์อันน่าเศร้าพวกนี้จะลดลงหรือไม่?
ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็ละสายตาที่ล่องลอยออกไปของตัวเอง ก่อนจะหันไปมองทางตู้เย็น “ออกมาได้แล้ว มันสนุกมากเลยอย่างนั้นหรือ…ซ่อนตัวอยู่หลังซากศพของคนตาย?”
ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ…
“เจ้ามีสองตัวเลือก” เด็กหนุ่มเอ่ยต่อเสียงเรียบ “ตัวเลือกแรก เจ้าจะต้องทนทุกข์ทรมานไปชั่วนิรันดร์ ทุกวินาที ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน เจ้าจะต้องได้ยินเสียงกรีดร้องของทุกชีวิตที่เจ้าได้พรากมา แต่ในขณะเดียวกัน วิญญาณของเจ้าจะถูกเผาไหม้อยู่ในเปลวไฟแห่งกรรมที่ไม่มีทางมอดดับไปตลอดกาล”
เมื่อเอ่ยจบ ฉินเย่ก็นั่งลงบนโซฟาอีกครั้ง ก่อนจะปรายตามองไปทางตู้เย็น
สามวินาทีต่อมา บานประตูทั้งสามของตู้เย็นก็เปิดออกอีกครั้ง เผยให้เห็นชิ้นส่วนของร่างกายเหมือนดั่งก่อนหน้านี้ ศีรษะของผู้เป็นพ่อและแม่ของติงเซวียนถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดน้ำแข็ง แต่ทันทีที่ประตูเปิดออก ศีรษะของผู้เป็นพ่อก็ลืมตาขึ้น
“เจ้า…เป็นใคร?”
ไอเย็นดูเหมือนจะแผ่ออกมาจากกะโหลกของศพ และลูกตาทั้งสองข้างก็ถูกแช่แข็งจนมองไม่เห็นแม้กระทั่งรูม่านตาที่เหลือกขึ้นไปด้านบน แต่ถึงกระนั้น ศีรษะดังกล่าวก็ยังคงจ้องเขม็งไปที่ฉินเย่ “ข้า…ไม่เคยได้ยินเรื่องของเจ้ามาก่อน...”
“ข้าอยู่ที่ซานตงมาเป็นเวลากว่า 34 ปีแล้ว และข้าก็ไม่เคยเห็นขั้นตุลาการนรกเช่นเจ้ามาก่อน”
“นั่นเป็นเพราะว่าเจ้ายังอายุน้อยเกินไป” เขาหลับตาลง
มันเป็นค่ำคืนที่มืดมิด และวิญญาณจำนวนมากก็หลุดออกมา เขาไม่ควรจะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้ แต่อย่างไรก็ตามเขาก็อดไม่ได้ที่จะให้ความสนใจเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
มันยังมีช่วงเวลาที่เขาคิดถึงหลินฮั่นอีกด้วย…
ทุกอย่างถูกปกคลุมด้วยความเงียบ
ไม่กี่วินาทีต่อมา ศีรษะของมนุษย์ก็เอ่ยด้วยเสียงที่แหบพร่าอีกครั้ง “แล้วตัวเลือกที่สองเล่า?”
“ตายอย่างรวดเร็วและไร้ซึ่งความเจ็บปวด และเจ้าจะได้รับโอกาสในการไปเกิดใหม่อีกครั้ง” ฉินเย่เอ่ยโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น
ทันใดนั้น กลุ่มก้อนพลังหยินก็พุ่งเข้าไปที่อกของฉินเย่ราวกับสายฟ้า อย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มไม่ได้ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย วิญญาณที่แต่งกายด้วยชุดเกราะโบราณก่อตัวขึ้นตรงหน้าของเขา พลังหยินที่เข้มข้นแผ่ออกมาจากทวารทั้งเจ็ด และเขาก็อ้าปากกว้างพร้อมกับปลดปล่อยเสียงคำรามที่น่าสะพรึงกลัวออกมา…
“วิญญาณประหลาด?!” ศีรษะในตู้เย็นเองก็กรีดร้องออกมาสุดเสียง น่าเสียดาย เสียงคำรามอย่างดุร้ายกลับกลบเสียงกรีดร้องของเขาเอาไว้
ทันใดนั้น รอยร้าวก็ปรากฏขึ้นบนพื้นและกระจายตัวออกไปเป็นวงกว้าง ทีละเล็กทีละน้อย พื้นบ้านเริ่มพังทลาย เครื่องใช้ไฟฟ้าโดยรอบระเบิดเสียงดัง เกิดประกายไฟขึ้นทั่วทุกที่ โครงไม้และโต๊ะกาแฟพังลงก่อนจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ แม้แต่เครื่องใช้ที่ทำจากเหล็กสเตนเลสที่อยู่ภายในห้องนั่งเล่นก็เริ่มบิดเบี้ยวพร้อมกับเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด
ทั้งหมดที่เกิดขึ้นคงอยู่เพียงห้าวินาทีเท่านั้น จากนั้นทุกอย่างก็หยุดชะงักลงอย่างรวดเร็วดั่งเช่นตอนที่มันเกิดขึ้น แต่ถึงกระนั้น สภาพของห้องนั่งเล่นในเวลานี้ก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ศีรษะภายในตู้เย็นเบิกตากว้าง จากนั้น ในเสี้ยววินาทีต่อมา จุดเปลวไฟนรกก็ลุกโชนขึ้นบริเวณหน้าผากกะโหลกของศพ และพุ่งไปที่ประตูราวกับงูเลื้อย
ฉินเย่ไม่แม้แต่จะปรายตามองมัน
เพราะทันทีที่วิญญาณตนดังกล่าวพุ่งไปที่กระตู มันก็ปล่อยเสียงครางอู้อี้ออกมา ก่อนจะกรีดร้องออกมาสุดเสียงอีกครั้ง “วิญญาณร้าย?! มันยังมีวิญญาณร้ายตนอื่นอีกอย่างนั้นหรือ?! ทั้งหมดนี้คือข้ารับใช้ของเจ้า? เจ้าคือผู้เลี้ยงวิญญาณอย่างนั้นหรือ?! อ๊ากกกก...!!!”
เสียงตะโกนด้วยความตกตะลึงจบลงด้วยเสียงร้องของความเจ็บปวด ไม่กี่วินาทีต่อมา ร่างมายาของวิญญาณอีกตนหนึ่งที่สวมชุดเกราะโบราณก็เดินผ่านประตูเข้ามา เขามีรูปร่างค่อนข้างท้วม และยังมีหนวดเครายาวที่ดูราวกับรากต้นไม้ประดับอยู่บนใบหน้า เปลวไฟนรกสีขาวลุกโชนอยู่ในดวงตาด้านล่างของคิ้วหนา…
ปากของมันพองโตจนดูเหมือนจะลามไปถึงท้อง พลังหยินจำนวนมากหลั่งไหลออกมาจากรูขุมขนของเขา แทบจะเหมือนกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดอยู่ภายในร่างของเขา
มันเป็นตอนที่วิญญาณร่างท้วมตนนี้มายืนอยู่ตรงเบื้องหน้าของฉินเย่แล้วเท่านั้นที่มันจะยอมเปิดปากของตัวเองและคายสิ่งที่ติดอยู่ภายในร่างของมันก่อนหน้านี้ออกมา ชายหัวโล้นที่มีผ้าขนหนูสีขาวพาดบ่าอยู่และสวมชุดคลุมสีเทาอ่อนอ้าปากหอบหายใจขณะที่นั่งลงบนพื้นด้วยท่าทีที่ค่อนข้างอึดอัด
“วิญญาณห้วงมิติ” ฉินเย่เงยหน้าขึ้นและเอ่ยออกมาโดยไม่เร่งรีบ “อันดับที่ 29 ในหมู่วิญญาณพิเศษทั้งหมด อย่าประเมินเขาต่ำไป เพราะเขาสามารถกลืนกินเป้าหมายที่มีขนาดสี่ลูกบาศก์เมตรได้ และเว้นแต่ว่าเขาจะตัดสินใจที่จะปล่อยเป้าหมายออกมา มันไม่มีทางที่เจ้าจะสามารถหลบหนีจากภายในได้ แม้แต่วิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่สามารถหลบหนีจากความตายนี้ได้ เงื่อนไขในการเกิดเป็นวิญญาณห้วงมิติก็คือพวกเขาจะต้องใช้ชีวิตในฐานะของนักกิน เสียชีวิตในขณะที่ทานอาหาร และมีความคับแค้นภายในใจที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข แม้ในขณะที่ตายก็ตาม”
“แค่ก แค่ก!!!” ชายสูงวัยไอออกมาอย่างรุนแรง แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังวิญญาณตนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่ด้านหลังของฉินเย่อย่างหวาดระแวง
“นี่คือวิญญาณคร่ำครวญ ส่วนใหญ่แล้วมักจะเคยเป็นนักร้อง นักแสดง หรือคนเขียนบทละครในขณะที่ยังมีชีวิต การที่จะกลายเป็นวิญญาณคร่ำครวญ พวกเขาจะต้องเสียชีวิตลงข้างเครื่องดนตรี และสั่งสมความแค้นที่ไม่ได้รับการเติมเต็มเป็นระยะเวลากว่าสิบปี เมื่อวิญญาณพวกนั้นกลายเป็นวิญญาณคร่ำครวญ พวกเขาก็ถูกกำหนดให้ต้องปิดปากของตัวเองไปตลอดชีวิต เพราะทันทีที่ริมฝีปากของพวกเขาเปิดออกเพียงเล็กน้อย พวกเขาก็จะปลดปล่อยเสียงร้องอันน่าสะพรึงกลัวที่วิญญาณอย่างเจ้าไม่สามารถต้านทานได้ อ้อ!…ข้าลืมบอกไปว่าเขาเองก็อยู่ลำดับที่ 32 ในหมู่ 50 วิญญาณพิเศษลำดับต้นๆ”
ฉินเย่ยืดตัวตรง “มาแนะนำตัวอย่างเป็นทางการกันก่อน ข้า จ้าวนรกฉิน จ้าวเหนือหัวและผู้ปกครองของยมโลก เอาล่ะ บอกข้ามาว่าเจ้าตัดสินใจที่จะเลือกตัวเลือกใด”
ชายสูงวัยสูดหายใจเข้าช้า ๆ ทันใดนั้น ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยออกมา พลังหยินอันหนาแน่นก็หลั่งไหลมาจากทุกทิศทาง ส่งผลให้ร่างของเขาสั่นเทาไปหมด
ความรุนแรงของมันแตกต่างจากที่เขาเคยพบเจอมาอย่างสิ้นเชิง! แม้แต่สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่อาศัยอยู่ในลิมโบเบื้องใต้ของเมืองชางหลานก็ไม่เคยทำให้เขาตัวสั่นแบบนี้มาก่อน!
พลังหยินตรงหน้านี้อยู่คนละระดับอย่างสิ้นเชิง!
เหมือนเพชรเม็ดงามและทองสัมฤทธิ์ ตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้เมืองชางหลานนั้นแข็งแกร่งกว่าชายตรงหน้าอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงกระนั้น…เขากลับรู้สึกว่าคนตรงหน้านั้นน่ากลัวยิ่งกว่า!
มันรู้สึกแทบจะเหมือนกับว่าทั้งเลือดและวิญญาณของเขาต่างกำลังกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว!
ในวินาทีนั้น เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองได้ตายเป็นครั้งที่สอง แม้แต่เปลวไฟนรกในดวงตาของเขาแทบจะดับไปขณะที่เขาทรุดตัวลงกับพื้น ก่อนที่ห้านาทีต่อมา พลังหยินภายในร่างก็ทำให้เขาสามารถลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง และวิญญาณบนพื้นก็ตอบกลับด้วยเสียงขมขื่น “ข้าเลือก…ตัวเลือกที่สอง…”
“ข้าเองก็ไม่คิดว่าจะมีใครที่โง่ถึงขนาดที่เลือกตัวเลือกที่หนึ่งเช่นกัน” ฉินเย่ไขว่ห้างและยกแขนกอดอก เสื้อผ้าของเขากระพือไปมา ขณะที่พลังหยินหนาแน่นยังคงหลั่งไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ด ชายสูงวัยเหลือบตาขึ้น และรีบก้มหน้าลงกับพื้นตามเดิมทันที
“ก่อนเจ้าจะไป ข้ามีบางอย่างอยากจะถามเจ้า?”
ชายสูงวัยพึมพำเสียงเบา “ถ้าข้าตอบ...ท่านจะไว้ชีวิตข้าหรือไม่?”
“แล้วเจ้าสามารถคืนความตายของติงเซวียนและครอบครัวของเขาได้หรือไม่เล่า?” ฉินเย่ตอบกลับเสียงเรียบ “นี่คือความจริง เจ้าจะต้องตายในวันนี้ ไม่ว่าเจ้าจะตอบว่าอย่างไร แต่ข้าสามารถให้คำมั่นได้ว่าลูกหลานของเจ้าจะได้รับการละเว้นจากโทษของอาชญากรรมที่เจ้าได้ก่อ…”
ชายสูงวัยเงยหน้าขึ้นในที่สุด ร่างของเขาสั่นเทาอย่างรุนแรงขณะที่ความโกรธบนใบหน้าของเขาสลายหายไป จากนั้นเขาก็โค้งคำนับอย่างเคารพ
“บอกมา เจ้ามาจากที่ใด? เหตุใดเจ้าถึงต้องหลบหนี? แล้วผู้ใดกันที่กำลังไล่ตามเจ้าอยู่?”
คำถามพวกนี้เปรียบดั่งสายฟ้าที่ผ่าลงกลางใจของวิญญาณสูงวัย เขารีบเงยหน้าขึ้นและสบตากับฉินเย่
เงียบ…
ริมฝีปากของชายสูงวัยสั่นระริก จากนั้น ร่างทั้งร่างของเขาก็สั่นเทาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ภายในไม่กี่วินาที เขาก็ไม่สามารถรับน้ำหนักร่างของตัวเองได้อีกต่อไป และล้มลงกับพื้นทันที…
“นะ นัก…นักสะสมวิญญาณ…” เขากอดตัวเองแน่นและพยายามพูดออกมาด้วยเสียงสั่นเทา “ผู้เลี้ยงวิญญาณ…เขาคือคนที่พยายามเก็บเกี่ยววิญญาณของพวกเราทั้งหมด!!”
“พูดดี ๆ ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด…!”
“ขะ…เข้าใจแล้ว…” ชายสูงวัยกัดฟันแน่น เขาหลับตาลงและพยายามระงับความรู้สึกที่พุ่งพล่านภายในใจ มันใช้เวลาหลายนาทีก่อนที่เขาจะสามารถสงบสติอารมณ์ของตัวเองได้ “ข้าหลบหนีมาจากเมืองชางหลาน”
“ข้าไม่เคยออกจากมณฑลซานตงมาก่อน แต่…ทุกเมืองใหญ่ ๆ ในซานตงล้วนมีรอยแยกระหว่างลิมโบและแดนมนุษย์ปรากฏขึ้น และพวกเราก็สามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ ลิมโบนั้นเคยเป็นดินแดนที่รกร้างมาก อย่างน้อยที่สุดก็จนกระทั่งเมื่อหนึ่งปีก่อน…” เขากลืนน้ำลายอย่างกังวลขณะที่พึมพำออกมา “ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไป มันกลายเป็นสนามรบโดยที่ไม่มีสัญญาณเตือนใด ๆ เลยสักนิด”
“ฝ่ายหนึ่งคือกลุ่มพันธมิตรแห่งความมืด พวกเขาปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหันและเข้าควบคุมเมืองชางหลานทั้งหมด พวกเราไม่รู้ว่าศัตรูของพวกเขาคือใคร สิ่งเดียวที่พวกเรารู้ก็คือกลุ่มพันธมิตรแห่งความมืดคือกองกำลังที่มีขั้นตุลาการนรกอย่างน้อยสิบตน! และคู่ต่อสู้ของพวกเขาเองก็ไม่ได้อ่อนแอเลยเช่นกัน! สนามรบนั้นอยู่ตามแนวชายฝั่ง หากพูดกันตามความจริง ตราบใดที่เราหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่ถูกผนึก ผลกระทบที่เราได้รับก็คงไม่มากนัก แต่แล้ว… เมื่อสิบวันก่อน...”
เหมือนกับว่าเขากำลังนึกถึงฉากที่น่าสะพรึงกลัว วิญญาณตนดังกล่าวสูดหายใจเข้าช้า ๆ จากนั้นเขาก็เอ่ยต่อด้วยความยากลำบาก “จู่ ๆ กลุ่มพันธมิตรแห่งความมืด…ก็ใช้วัตถุหยินที่น่าสะพรึงกลัว”
เมืองชางหลาน?
ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้น และในที่สุดเขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ในที่สุดเขาก็เจอ!
เขานึกถึงแผนที่ของมณฑลซานตง – เมืองชางหลาน...ตั้งอยู่ที่ส่วน ‘เขา’ ของมณฑลซานตง ทั้งสามด้านล้วนถูกล้อมรอบด้วยทะเล ในขณะที่เส้นทางเพียงเส้นทางเดียวที่นำไปสู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของจีน และนี่ก็คือสุดที่ท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของมณฑลซานตงตั้งอยู่ในแดนมนุษย์ ผู้ใดจะไปคิดว่าขงโม่จะเลือกพื้นที่บริเวณนี้ในการก่อสงคราม?
หากพูดกันตามความจริง แผนที่ภาพรวมของเมืองชางหลานนั้นเหมาะสมสำหรับตั้งรกรากเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าแผนที่ภาพรวมของลิมโบจะแตกต่างไปจากแดนมนุษย์ แต่ทั้งบันทึกของยมโลกแห่งเก่าและอาร์ทิสต่างเคยบอกว่าความแตกต่างดังกล่าวไม่ได้มีมากนัก อย่างมากที่สุด ความแตกต่างที่ถูกบันทึกไว้ก็มีเพียงทิศทางของเทือกเขาเท่านั้น ในขณะเดียวกัน มันยังเป็นสถานที่ซึ่งเหมาะสมที่สุดในการป้องกันการรุกรานจากกองกำลังของศัตรูเพื่อไม่ให้เข้ามายังแผ่นดินใหญ่อีกด้วย…
ดังนั้นตราบใดที่พวกเขาสามารถยึดครองพื้นที่บริเวณนั้นได้ การสู้รบก็จะไม่เกิดขึ้นภายในดินแดนอย่างแน่นอน
ดวงตาของชายสูงวัยวูบไหวอย่างรุนแรงขณะที่เอ่ย “ท่านไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าวัตถุหยินชิ้นนั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใด…พวกเรากำลังพูดถึงพลังทำลายล้างที่กินระยะทางที่กว่า 100 กิโลเมตรของเมืองได้ภายในคราวเดียว การโจมตีที่รุนแรงนั้นเพียงพอที่จะสร้างรอยแยกระหว่างแดนมนุษย์และลิมโบได้ภายในทันที!”
เรื่องทั้งหมดเป็นเช่นนี้นี่เอง…
ฉินเย่หรี่ตาลง – บางสิ่งบางอย่างที่น่ากลัวยิ่งกว่าตะเกียงเถาฮวาอีกอย่างนั้นหรือ? หรือว่านี่คือไพ่ไม้ตายของขงโม่กัน?
สิ่งใดกันที่สามารถมอบความมั่นใจให้กับขงโม่ถึงขนาดที่กล้าเผชิญหน้ากับราชาผีได้? อย่างน้อยที่สุดมันก็น่าจะทรงพลังพอ ๆ ขั้นฝู่จวิน มันคืออะไรกัน? นี่มันไม่ต่างอะไรกับระเบิดนิวเคลียร์เลยนะ!
เพราะอย่างไรแล้ว มันมีเพียงคนโง่เท่านั้นที่ยังคงอยู่ในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกับการระเบิดของระเบิดนิวเคลียร์
นอกจากนี้ พลังอำนาจมหาศาลในการโจมตีของมันก็ทำให้เกิดรอยแยกขึ้นระหว่างแดนมุนษย์และลิมโบ อีกนัยหนึ่งก็คือ เมืองที่ถูกปิดล้อมได้กลายเป็นเมืองที่มีรูพรุนอยู่จำนวนมาก และมันก็เป็นโอกาสที่ดียิ่งที่วิญญาณเหล่านี้จะหลบหนีเพื่อรักษาชีวิตของตน! ผู้ใดจะยอมอยู่ดูการระเบิดของระเบิดนิวเคลียร์เป็นครั้งที่สองกัน?!
ชายสูงวัยกัดฟันแน่น “เมืองชางหลานภายในลิมโบได้ล่มสลายแล้ว และวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนก็หนีออกมาจากรอยแยกจำนวนมาก พวกเราไม่ได้กำลังพูดถึงแค่วิญญาณธรรมดาอีกต่อไป มันมีวิญญาณขั้นยมทูตขาวดำอีกอย่างน้อยสิบตนที่ซ่อนตัวอยู่ภายในลิมโบในตอนนั้น! ไหนจะยังอสูรวิญญาณขั้นตุลาการนรกอีก! น่าเสียดายที่รอยแยกที่ปรากฏขึ้นนั้นมีขนาดเล็กมาก ตัวข้าเองก็เคยเห็นอสูรวิญญาณตัวหนึ่งที่ติดอยู่ระหว่างการหลบหนี แต่ข้าไม่มีเวลาได้สังเกตอะไรมากนัก เพราะว่า…”
ร่างของเขาสั่นเทาอย่างรุนแรงขณะที่จ้องมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความหวาดกลัว “พวกเขา…ส่งมัจจุราชแห่งยมโลกออกมา! และที่ทำให้เรื่องมันแย่ลงกว่าเดิมก็คือ พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นนักสะสมวิญญาณระดับสูง หรือที่เรารู้จักกันในชื่อของผู้เลี้ยงวิญญาณ!”
“ท่านไม่มีทางรู้เลยว่าพวกเขาน่ากลัวเพียงใด…พวกเขา…ไล่ตามพวกเรามาตลอดหลายร้อยเมตร! และยังดูราวกับว่าพวกเขาพยายามจะไล่ล่าเราไปยังสุดปลายขอบโลกอีกด้วย! มันไม่มีที่ให้หลบหนีหรือซ่อนตัวเลยทั้งนั้น!”
Comments