ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]บทที่ 468: เรื่องราวมากมาย
บทที่ 468: เรื่องราวมากมาย
“ตามหาฉัน?” ดวงตาของลีจองซุกหรี่ลง “เขารู้ถึงการมีอยู่ของฉันได้อย่างไรกัน?”
ข้อเท็จจริงที่ว่านางหยิบยกส่วนที่เป็นประเด็นสำคัญที่สุดของประโยคขึ้นมานั้นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกอย่างดีว่านางได้มีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์มาเป็นเวลานาน... ฉินเย่ถอนหายใจออกมา คำตอบแรกของคนธรรมดาทั่วไปควรจะต้องเป็น ‘เขาเป็นใคร?’ ‘เขาชื่ออะไร?’ หรือ ‘เขาอายุเท่าไหร่?’ มากกว่า
“โชคชะตาจะทำให้เจ้าทั้งสองได้พบกัน” ฉินเย่เอ่ยตอบ “เขารู้ชื่อของเจ้า และเรื่องที่ว่าเจ้าอาศัยอยู่ที่แดฮัน นอกจากนั้น… สมุดแห่งความเป็นตายยังบอกอีกว่าพวกเจ้าทั้งสองเกิดมาเพื่อกันและกัน”
เงียบ…
ไม่กี่วินาทีต่อมา…เซี่ยจิ่นเส้อก็ยกมือปิดปากและหัวเราะออกมาเบาๆ
ไม่กี่วินาทีต่อมา เธอก็ระเบิดหัวเราะออกมาโดยไม่สนใจภาพลักษณ์ของตัวเอง ราวกับว่าเธอเพิ่งได้ยินเรื่องที่ตลกที่สุดในชีวิต “ชะ…โชคชะตา? ท่านกำลังไม่ได้ล้อฉันเล่นใช่ไหม? ตอนนี้ฉันใช้ชีวิตมาเจ็ดชีวิตแล้ว และในแต่ละชีวิต ฉันก็จะได้พบกับคนที่ฉันคิดว่าเขาถูกกำหนดมาเพื่อตัวเอง แต่ลองดูตัวฉันตอนนี้สิ?”
“โชคชะตาหมายความว่าอย่างไรกัน?” เธอส่ายหน้าไปมาขณะที่เปิดประตูและทำท่าจะเดินจากไป “ฉันเป็นผู้หญิงที่มีเจตจำนงเสรี จะโชคชะตาแล้วอย่างไร? หากฉันไม่ต้องการ โชคชะตาจะสามารถบังคับฉันได้อย่างนั้นหรือ?”
เมื่อเอ่ยจบ ทั้งพระอุโบสถก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ รูปปั้นของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ก็หลับตาลงในที่สุด
กลับมาบนชั้นดาดฟ้าของอาคารในเมืองหวู่หยาง ฉินเย่ได้ลืมตาขึ้นในเวลาเดียวกัน
เขาไม่รู้ว่าจิตวิญญาณของเขาได้เดินทางไปไกลเพียงใดในการเผชิญหน้าก่อนหน้านี้ แต่ถึงกระนั้น…เขาพอจะสามารถคาดเดาได้ว่าที่นั่นจะต้องไม่ใช่ที่ใดอื่นนอกจากเมืองชางหลาน
“อะไรจะบังเอิญขนาดนี้…” เขาลูบคางของตัวเองและพึมพำออกมาเบาๆ“ผู้หญิงคนนี้เองก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร… นางอาจจะดูดุไปบ้าง แต่นิสัยของนางค่อนข้างดีเลยทีเดียว ยิ่งกว่านั้น เรายังสามารถบอกได้ด้วยว่านางเป็นคนที่อ่อนโยนภายใต้ภาพลักษณ์อันดุดันนั้น….”
เขาไม่สามารถปฏิเสธข้อเท็จจริงที่ว่าหัวใจของตัวเองแทบจะเต้นผิดจังหวะไปครู่หนึ่งได้เลย…
มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใดกัน?
หรือว่ามันจะเป็นตอนที่เขาเข้าใจถึงความหมายที่แท้จริงเบื้องหลังบาดแผลบนร่างของนาง?
หรือว่ามันจะเป็นตอนที่เขาได้ฟังนางพูดเกี่ยวกับอดีตของตนเอง?
“ไม่…บางทีเราอาจจะไม่ได้ใจเต้นแรงเลยสักนิด มันอาจจะเป็นแค่…ความเห็นใจ?” เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “แต่นั่นก็ไม่น่าใช่เหมือนกัน! เพราะเราเองก็เผชิญหน้ากับคลื่นชะตากรรมมากมาย! และตอนนี้เราก็เป็นถึงขั้นตุลาการนรก และยังกำลังจะพิชิตชะตากรรมของตัวเองอีกด้วย! แล้วทำไมถึงไม่มีใครมาเห็นใจเราบ้าง?!”
ทันใดนั้นเอง หางตาของเขาก็กระตุก และฉินเย่ก็หันไปมองยังส่วนอื่น ๆ ของเมือง
พลังหยินในบริเวณโดยรอบได้จางหายไปแล้ว และเขาก็สามารถมองเห็นเมืองทั้งเมืองได้อีกครั้ง
ฉินเย่ก้มมองโทรศัพท์มือถือของตัวเอง ตอนนี้เป็นเวลา 05.00 น.
ชั่วโมงแม่มด…
เขาอยากจะรีบกลับไปที่ยมโลกและถามอาร์ทิสเกี่ยวกับการเผชิญหน้าก่อนหน้านี้ของตัวเอง! ทำไมจู่ ๆ เขาถึงถูกอัญเชิญไปราวกับปีศาจ? อย่างไรก็ตาม เขารู้ดีว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมนัก
มีเรื่องมากมายเกิดขึ้นในคืนแรกของการทำงานของเขา และเขาก็ต้องกลับไปที่ศาลากลางของเมืองหวู่หยางเพื่อทำหน้าที่ต่อ อย่างน้อยที่สุด เขาก็ต้องทำให้แน่ใจว่ามันจะไม่มีอะไรที่ต้องให้เขาช่วยเหลือก่อนที่เขาจะกลับไปยังยมโลก…
“และเราก็ต้องกลับไปร่วมประชุมกับพวกรัฐมนตรีของยมโลกในอีกหนึ่งสัปดาห์หลังจากนี้เพื่อหารือเกี่ยวกับทิศทางในการก้าวไปข้างหน้าของนครเผิงชิวอีกด้วย เราจะรอจนกว่าจะถึงตอนนั้นก็แล้วกัน เพราะไม่ว่าอย่างไร มันก็คงจะไม่ดีนักหากจะหายตัวไปหลังจากที่เพิ่งออกจากการปิดประตูบ่มเพาะได้ไม่นาน.…”
ในท้ายที่สุดแล้ว…ฉินเย่ก็ยังเป็นคนที่ค่อนข้างมีความรับผิดชอบอยู่ดี
ใช่แล้ว! มันไม่ใช่เพราะเงิน! และมันก็ไม่ใช่เพราะว่าเขาหวังที่จะได้รับรางวัลในลักษณะต่างๆ!
เขาเป็นจ้าวนรกที่มีความรับผิดชอบ! มันเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องสร้างความสมดุลระหว่างโลกใต้พิภพและแดนมนุษย์!
ด้วยเหตุนี้ จ้าวนรกฉินเย่จึงเปลี่ยนร่างเป็นกระแสลมและพุ่งตัวกลับไปที่ศาลากลางทันที และเช่นเดียวกับทุกครั้ง พลังหยินที่ใช้ของเขาถูกปลอมแปลงให้เป็นคลื่นของพลังปราณ
“หืม?” แต่ยิ่งเขาเข้าไปใกล้ สัมผัสอันเฉียบคมของเขาก็บอกทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ตุลาการนรก…
มันเพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น แต่ตอนนี้เขากลับสัมผัสได้ถึงการปรากฏตัวของขั้นตุลาการนรกอีกคนภายในศาลากลาง!
ดูเหมือนว่า…อีกฝ่ายจะเป็นขั้นตุลาการนรกระดับต้น? เราทั้งสองดูเหมือนจะคล้ายกันในแง่ของความสามารถ หรืออย่างน้อยที่สุด เขาก็สามารถบอกได้ว่าคน ๆ นี้อ่อนแอกว่าโจวเซียนหลงมาก ผู้มาใหม่ผู้นี้มาจากที่ไหนกัน?
และแน่นอน ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาสามารถตรวจจับได้ถึงการมีอยู่ของขั้นตุลาการนรกอีกคนก็หมายความว่าฝ่ายตรงข้ามก็สามารถตรวจจับได้ถึงการมาถึงของเขาเช่นกัน ดังนั้น ด้วยรอยยิ้มบางที่ประดับบนใบหน้า ฉินเย่พุ่งตัวลงไปที่พื้นและลงเดินเท้า
มันยังมีประชาชนอยู่จำนวนหนึ่งที่ยังไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของผู้ฝึกตน และมันก็ต้องใช้อะไรหลายอย่างในการรักษาความสมดุลที่แสนละเอียดอ่อนและเปราะบางของทั้งสองดินแดนที่ดูตรงข้ามกันนี้
ทันทีที่ฉินเย่มาถึง อู๋เหวินชิ่งก็เดินเข้ามาหาเขาด้วยดวงตาที่เป็นประกาย เขาประสานฝ่ามือและกำปั้นเข้าด้วยกันอย่างเคารพ “คุณฉิน ข่าวดีครับ!”
“เกิดอะไรขึ้นครับ?” ฉินเย่แย้มยิ้มขณะที่เดินตามการนำของอู๋เหวินชิ่งไป ในขณะเดียวกัน อู๋เหวินชิ่งก็อธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้น “หลังจากที่คุณออกไป พวกเราได้ทำการแจ้งบอกทุกคนเกี่ยวกับข่าวการบรรลุของคุณ เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน ผู้อำนวยการหน่วยสอบสวนพิเศษสาขาฉีโจว โม่ฉางห่าว ได้เดินทางมาที่นี่ด้วยตัวเอง เขาเดินทางมาพร้อมกับกลุ่มผู้ประเมินของทาง SRC และพวกเราก็ได้ยินมาว่ากลุ่มนักข่าวจากเมืองเยียนจิงกำลังเดินทางมาที่นี่อีกด้วย! นอกจากนั้น มันยังมีกลุ่มบรรณาธิการออนไลน์และนักข่าวจากเว็บไซต์ฤกษ์มงคลที่กำลังเดินทางมาเช่นกัน พวกเราทั้งหมดน่าจะมาถึงที่เมืองหวู่หยางในตอน 8 โมงเช้าครับ! ครั้งนี้เมืองหวู่หยางของเราจะต้องสร้างเสียงฮือฮาให้กับโลกแห่งการบ่มเพาะอย่างแน่นอน!”
หึหึหึ…แต่ละคนย่อมมีวันของตัวเอง…แต่พูดกันตามตรง เขาไม่ได้สนใจเลยสักนิด สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเขาสามารถมีชีวิตรอดไปจนถึงวันสุดท้ายได้!
แต่…ในที่สุดเขาก็สามารถก้าวขึ้นไปเป็นระดับสูงของหน่วยสอบสวนพิเศษได้แล้วหรือ?
“อ้อ ใช่แล้ว สถานที่ทำงานเก่าของคุณ สำนักฝึกตนแห่งแรกเองก็ได้ส่งขั้นตุลาการนรกมาที่นี่เช่นกัน”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถามออกไปอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก “และเขาคนนั้นก็คือ?”
“โจวเซียนหลง! คุณโจวเซียนหลงครับ!” อู๋เหวินชิ่งตอบกลับด้วยความตื่นเต้นเป็นอย่างมาก “อดีตรองผู้อำนวยการหน่วยสอบสวนพิเศษ! ผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรกระดับสูง! พระเจ้า! นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมจะได้เห็นการรวมตัวกันของขั้นตุลาการนรกที่มากขนาดนี้!”
ฉินเย่แทบจะกัดลิ้นของตัวเอง ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้นขณะที่หันไปมอบรอบ ๆ อีกครั้ง “ใครนะครับ?!”
“รองผู้อำนวยการโจว…” อู๋เหวินชิ่งเกาศีรษะ มึนงงเล็กน้อย “เรื่องนั้น…มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ?”
แน่นอนว่ามี!
เขาเพิ่งอยู่แค่ขั้นยมทูตขาวดำเท่านั้นในตอนที่ออกมาจากสถาบัน แต่มันกลับใช้เวลาไม่นานก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ขั้นตุลาการนรก จะไม่คิดว่านี่จะเป็นปัญหาหรืออย่างไร?!
ที่เขาออกมาจากสำนักฝึกตนแห่งแรกก็เพราะว่าเขาไม่ต้องการดึงดูดความสนใจที่ไม่จำเป็น ด้วยวิธีนี้ เขาก็จะสามารถหาข้อแก้ตัวสำหรับการบรรลุคอขวดและแอบเล็ดลอดเข้าไปในเงาของกลุ่มระดับสูงของหน่วยสอบสวนพิเศษ สิ่งสุดท้ายที่เขาต้องการก็คือการดึงดูดความอิจฉาและความไม่พอใจจากอาจารย์ผู้สอบและอาจจะอาจารย์ใหญ่ของสำนักฝึกตนแห่งแรก ผู้ใดจะไปคิดว่าคนตรงหน้าจะเชิญหัวหน้าใหญ่ของที่นั่นมาที่นี่กัน?!
“เปล่าครับๆ…” ฉินเย่กัดฟันแน่น “ผู้อำนวยการโม่อยู่ไหนเหรอครับ? เดี๋ยวผมไปพบเขาด้วยตัวเองก็ได้ครับ”
“ได้ครับ พวกเราเองก็ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ต้องเตรียมการสำหรับการต้อนรับ ขอบคุณครับคุณฉินที่เข้าใจ” อู๋เหวินชิ่งเดินจากไปในทันที เห็นได้ชัดว่าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นในการดำเนินการดังกล่าว
ฉินเย่เลี้ยวที่หัวมุมและเดินตรงเข้าห้องน้ำ บิดก๊อกน้ำอย่างใจเย็น และ—…
ทุบอ่างล้างมืออย่างเดือดดาล
เวรเอ้ย… โจวเซียนหลงกำลังจะมาที่นี่!! เขาควรจะอธิบายเรื่องทั้งหมดนี้กับอีกฝ่ายอย่างไร?! เขายังไม่มีเวลาให้คิดหาข้อแก้ตัวดี ๆ เลยสักนิด! อู๋เหวินชิ่ง นี่รู้บ้างหรือเปล่าว่าครั้งนี้ได้ขุดหลุมอะไรเอาไว้ให้กับเขา?!
เด็กหนุ่มไม่อยากจะถูกส่งตัวไปที่ SRC และถูกผ่าร่างเป็นชิ้น ๆ! เขาแฝงตัวอยู่ในเงามืดของหน่วยสอบสวนพิเศษมาเป็นเวลานานมากแล้ว! อู๋เหวินชิ่ง ฉินเย่ไม่คิดเลยว่าตนจะต้องตกเป็นเหยื่อของหัวหน้าสาขาคนหนึ่ง! คุณจะต้องเป็นสายลับที่คนอื่นจ้างมาเพื่อทำตามอุบายพวกนี้ใช่ไหม?!
น่าโมโหชะมัด… หลังจากที่ทุบอ่างล้างมือเป็นระยะเวลาหนึ่ง ฉินเย่ก็ยืดตัวตรงและล้างหน้าของตัวเองเพื่อเตรียมตัวสำหรับการสัมภาษณ์ที่กำลังจะมาถึง
และมันก็เป็นตอนนั้นเองที่เขาสังเกตเห็นชายคนหนึ่ง ยืนอยู่ด้านหลังของเขา และกำลังจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาราวกับเห็นผี
มันเป็นการพบกันที่แปลกประหลาด
หัวใจของฉินเย่หยุดเต้นไปกระทันหัน ให้ตายเถอะ…นี่คุณมาทำบ้าอะไรในห้องน้ำตอนตี 5 แบบนี้?! ถ้าระบบท่อปัสสาวะมีปัญหา ก็ควรจะไปหาหมอซะ!
ชายทั้งสองต่างพูดอะไรไม่ออก ไม่กี่วินาทีต่อมา คนแปลกหน้าในห้องน้ำก็แย้มยิ้มบาง ๆ ออกมาขณะที่เดินมาที่อ่างล้างมือและล้างมืออย่างใจเย็น “นั่นเป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้ หากผมต้องก้าวสู่ขั้นตุลาการนรกในวัย 19 ปี ผมก็คงจะมีปฏิกิริยาเหมือนคุณเช่นกัน พอมาลองนึกย้อนดู ในตอนแรกที่ผมก้าวเข้าสู่ขั้นตุลาการนรก ผมเองก็ดีใจจนขังตัวเองอยู่ในบ้านเป็นเวลาสามวันติดต่อกัน ตะโกนออกมาจนเสียงแหบไปหมด น่าเสียดาย ที่ตอนนั้นผมก็อายุ 50 กว่าแล้ว…”
มันเป็นเรื่องที่น่าอายมาก ฉินเย่รู้ดีว่าสาเหตุที่ชายผู้นี้ยกเรื่องที่น่าอายของตัวเองขึ้นมาก็เพื่อที่จะทำให้บรรยากาศดีขึ้น แต่ถึงกระนั้น บรรยากาศก็ยังอึดอัดดังเดิม…
ชายคนดังกล่าวสูง 1.86 เมตร และสวมชุดสูทจีน
ใบหน้ายาว และเส้นผมบริเวณขมับก็เริ่มหงอกไปตามวัย บาดแผลพาดผ่านแก้มของเขาจนสามารถมองเห็นได้ชัดเจน แต่ดวงตาของเขากลับยังดูสดใสเป็นอย่างมาก
ฉินเย่ถอนหายใจออกมา ช่างเถอะ… มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะโวยวายกับเรื่องที่เกิดไปแล้ว และเขาก็ไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถล้างสมองหรือลบความทรงจำของผู้ชายคนนี้ได้ด้วย… ฉินเย่ฝืนยิ้มออกมา “คุณคงจะเป็น…ผู้อำนวยการสาขาโม่?”
“ใช่แล้วครับ” ชายทั้งสองผึ่งมือให้แห้งด้วยเครื่องเป่าลมร้อน จากนั้น โม่ฉางห่าวก็แย้มยิ้มและผายมือเชิญ “มาครับ ขอให้ผมได้เห็นขั้นตุลาการนรกที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์จีนชัด ๆ หน่อย ทางร้านอาหารของรัฐบาลได้เตรียมอาหารเช้าไว้ให้สำหรับเราแล้ว เรามาทานไปคุยไปดีกว่า”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็เดินนำฉินเย่ไปที่ห้องโถงซึ่งมีอาหารมากมายวางอยู่บนโต๊ะ รวมถึงไข่ตุ๋น โดนัทและน้ำเต้าหู้ ซาลาเปานึ่งและอาหารอื่น ๆ ขณะที่พวกเขานั่งประจำที่ โม่ฉางห่าวก็มองไปที่ฉินเย่ด้วยแววตาที่ซับซ้อน “ผมล่ะอิจฉาคุณจริง ๆ ที่สามารถบรรลุคอขวดสู่ขั้นตุลาการนรกได้ตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่อภารกิจของคุณที่นี่สิ้นสุดลง ผมมั่นใจว่าคุณจะได้รับการโยกย้ายอย่างแน่นอน”
ฉินเย่ดื่มน้ำเต้าหูของตนก่อนจะเลิ่กคิ้วขึ้นอย่างสงสัย “โยกย้าย?”
“บางทีอาจจะเป็นเมืองเยียนจิง” โม่ฉางห่าวถือแก้วน้ำเต้าหู้ไว้ในมือ แต่เขาไม่ได้ดื่มมันเลยแม้แต่น้อย กลับกัน เขาเพียงแย้มยิ้มออกมาและเอ่ยต่อ “ขั้นตุลาการนรกทุกคนของจีนจะต้องไปศึกษางานที่เมืองเยียนจิงเป็นระยะเวลาหนึ่ง นอกจากนี้ มันมีความลับบางอย่างสำหรับขั้นตุลาการนรกที่สามารถเข้าถึงได้เฉพาะที่เมืองเยียนจิงเท่านั้น”
คงต้องขออภัยเป็นอย่างสูง…แต่มันจะใกล้ถึงเวลาสำหรับการแกล้งตายของผมแล้ว… ไม่เช่นนั้นเมืองเยียนจิงและศาสตราจารย์วีอาจจะได้เห็นปาฏิหาริย์ด้วยตาของพวกเขาเอง…
เห็นได้ชัดเลยว่าโม่ฉางห่าวพยายามจะสร้างสายสัมพันธ์อันดีกับฉินเย่ ดังนั้นเขาจึงยิ้มต่อไปขณะที่พูด “นอกจากนี้ ขั้นตุลาการนรกที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งใหม่ทั้งหมดมักจะได้รับความรับผิดชอบที่เพิ่มมากขึ้น ผมสามารถรับรองได้เลยว่ามันคงจะใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก่อนที่คุณจะพบว่าตัวเองต้องรับผิดชอบแผนกหรือหน่วยงานที่ถูกก่อตั้งขึ้นมาใหม่ เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว หน่วยสอบสวนพิเศษก็ไม่ได้มีขั้นตุลาการนรกอยู่มากนัก”
“เหรอครับ?” ฉินเย่วางแก้วน้ำเต้าหู้ลง “แล้วแผนกที่ว่านั้นคืออะไรกัน?”
“มันยากที่จะพูด” โม่ฉางห่าวส่ายศีรษะไปมาก่อนจะลดระดับเสียงลง “แต่ผมได้ยินข่าวลือมาว่าเมื่อไม่นานมานี้…พวกเราได้ติดต่อกับทางโลกใต้พิภพอีกครั้ง และพวกเขาก็แสดงเจตจำนงที่จะทำงานร่วมกับแดนมนุษย์อีกด้วย จากที่ผมได้รู้มา มันดูเหมือนว่าโลกใต้พิภพได้เผชิญหน้ากับหายนะครั้งใหญ่ในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา ระดับสูงทั้งหมดเองก็ได้ยืนยันสิ่งนี้แล้ว พวกเขากำลังรวบรวมกองกำลังเฉพาะกิจอยู่ แต่มันดูเหมือนว่าพวกเขาจะยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในเวลานี้ได้”
เอ่อ…ขอโทษจริง ๆ แต่ผู้บงการที่รับผิดชอบต่อการทำงานร่วมกันที่คุณกำลังพูดถึงได้นั่งอยู่ตรงหน้าของคุณแล้ว… ฉินเย่กระแอมออกมาแห้ง ๆ เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับการขาดความกระตือรือร้นของแดนมนุษย์ “ทำไมล่ะครับ?”
โม่ฉางห่าวเป่าน้ำเต้าหู้ของตัวเองเบาๆ “ทุกองค์กรใหญ่ ๆ ล้วนเผชิญหน้ากับการแบ่งอำนาจในการตัดสินใจและมุมมองที่แตกต่างกัน ผมได้ยินมาว่ามีคนบางส่วนแนะนำให้ทำการสื่อสารกันอย่างจริงจัง แต่ในขณะที่บางส่วนกลับไม่เต็มใจนัก เพราะความถี่ในการติดต่อสื่อสารจะทำลายความสมดุลของความเชื่อและความศรัทธาที่มีอยู่ในเวลานี้”
“พวกเราชาวจีนมักจะชอบสร้างเทพเจ้าของตัวเองเชื่อขึ้นมาอย่างง่ายดาย หากพูดกันตามตรง จักรพรรดิแทบทุกองค์มักจะถูกเคารพและบูชาราวกับเทพเจ้า และมันก็ใช้เวลานานเป็นอย่างมากสำหรับรัฐบาลของพวกเขาในการดึงผู้คนออกจากความเชื่อเหล่านั้นและนำพวกเขาไปสู่วิทยาศาสตร์ คุณลองจินตนาการดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากพวกเราก่อตั้งช่องทางการติดต่อสื่อสารกับยมโลก? ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร?”
ฉินเย่หัวเราะออกมาเบาๆ
นี่ผู้ชายคนนี้กำลังจะบอกว่าไม่ต้องการให้ชาวจีนสร้างเทพเจ้าหรือเทิดทูนคนกลุ่มหนึ่งอีกแล้วอย่างนั้นเหรอ?
หลังจากที่ได้สร้างเทพเจ้าและการเทิดทูนผู้คนมาเป็นระยะเวลานานขนาดนี้ คุณคิดว่าชาวจีนจะไม่รู้เลยเหรอว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่?
นอกจากนี้ คุณรู้หรือเปล่าว่าการเทิดทูนและความศรัทธานั้นเป็นแนวคิดสองแนวคิดที่ถูกแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง? ความศรัทธานั้นไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายแต่อย่างใด อย่างน้อยที่สุด การดำรงอยู่ของมันก็สอนให้มนุษย์รู้ถึงขอบเขตและมอบเข็มทิศทางศีลธรรมให้กับพวกเขา เพราะอย่างไรแล้ว มันก็เป็นเพราะความศรัทธาที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวผลที่จะตามมาจากการทำบาปของพวกเขา
โชคดีที่โม่ฉางห่าวตระหนักได้ว่าหัวข้อสนทนาเหล่านี้นั้นซับซ้อนเกินกว่าที่จะดำเนินต่อไปบนโต๊ะอาหารเช้า และมันคงจะเป็นการดีที่สุดที่จะไม่เอ่ยอะไรไปมากกว่านี้ ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนเรื่องและแย้มยิ้มออกมาอย่างจริงใจ “ผมคิดว่าสุดท้ายแล้วเรื่องนี้ก็จะต้องผ่านไปได้ เพราะสถานการณ์ของจีนนั้นแย่ลงเรื่อย ๆ ผมยังได้ยินมาอีกด้วยว่าจำนวนผู้นำที่เห็นด้วยต่อการดำเนินงานร่วมกันนั้นมีจำนวนมากกว่าอีกฝั่งหนึ่ง เมื่อเหตุการณ์นี้ผ่านไป พวกเขาจะต้องก่อตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นเพื่อจัดการกับปัญหาเหล่านี้เป็นแน่ ด้วยเหตุนี้…ผมเลยอดคิดไม่ได้ว่านั่นอาจจะตรงกับการมอบหมายงานครั้งต่อไปของคุณอย่างพอดิบพอดี”
ฉินเย่พยักหน้า เขาไม่ได้รีบนัก การทำงานร่วมกันระหว่างแดนมนุษย์และโลกใต้พิภพถูกพูดถึงครั้งแรกในเมืองกู่เฉิง ระหว่างตัวเขาที่อยู่ในร่างยมทูตและหนึ่งในระดับสูงของแดนมนุษย์ ในเวลานั้น เขาได้กำหนดตารางเวลาไว้อีกสองปีข้างหน้า เพื่อที่เขาจะได้กำจัดกองกำลังกบฏของขงโม่ไปจนหมดเสียก่อน…
เพราะอย่างไรแล้ว เขาก็ต้องกำจัดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติทั้งหมดออกจากมณฑลซานตงเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการเจรจาต่อรองกับแดนมนุษย์ที่กำลังจะมาถึง
ในขณะนั้นเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ชายในชุดปฏิบัติการสีขาวกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง พวกเขาทั้งหมดล้วนมีตราสัญลักษณ์ของ SRC ประทับไว้บนอก
“คุณฉิน การเตรียมการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วครับ” หัวหน้านักวิจัยถูมือของตนอย่างละโมบ “เชิญครับ ขั้นตุลาการนรกที่อายุ 19 ปี ขอพวกเราดูหน่อยว่าโครงสร้างร่างกายของคุณนั้นแตกต่างไปจากคนธรรมดาอย่างไร และในเวลาเดียวกัน เราก็จะได้ทำการวัดระดับพลังปราณของคุณด้วย”
เดี๋ยวก่อนนะ… ฉินเย่หันไปมองที่หัวหน้านักวิจัยด้วยสายตาตื่นตกใจ
นี่คุณ…จัดลำดับความสำคัญสลับกันหรือเปล่า?!
พวกเขาควรจะวัดระดับพลังปราณของเขาก่อนที่จะตรวจดูโครงสร้างร่างกายไม่ใช่หรือ? ด้วยการเรียงลำดับคำพูดของพวกเขา…มันทำให้ฉินเย่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น…
Comments