ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]บทที่ 476: โน้มน้าว
บทที่ 476: โน้มน้าว
ฉินเย่รีบเดินทางกลับไปที่โลกใต้พิภพ เขาไม่ต้องการรับรู้สิ่งเล็กน้อยเหล่านั้นหากเขาสามารถทำได้!
ตอนนี้เขาเป็นผู้ปกครองเหนือวิญญาณนับ 20 ล้านตน!
เจ้าช่วยไปกังวลเกี่ยวกับศาสตร์แห่งยันต์ของท่านที่อื่นได้หรือไม่? ข้ายุ่งอยู่! เจ้าคิดหรือว่าข้ามีเวลามาจัดการกับสัมพันธภาพทางอานุภาควิญญาณ? หากข้าไม่เข้าใจ ข้าก็เพียงแค่ต้องถามผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้! มันมีเหตุผลอะไรที่ต้องเรียกตัวข้าไปที่นั่นและพูดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้กัน?! ความเคารพต่อผู้บังคับบัญชาของเจ้าอยู่ที่ใดกันหมด?!
เฮ้อ… แต่หัวหน้าอย่างเขาควรจะสนใจกับคำพูดของอสูรวิญญาณด้วยอย่างนั้นหรือ? ไม่ต้องห่วง ข้าจะยังมอบกัญชาแมวให้กับเจ้าอย่างต่อเนื่อง ข้าจะไม่มีทางปล่อยขั้นพระยม… ข้าหมายถึง…สัตว์เลี้ยงไปเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อย ๆ เพียงแค่นี้เด็ดขาด!
เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็เปลี่ยนร่างเป็นสายลมและหายไปจากตรงนั้นทันที เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เขาก็กลับมาถึงที่ยมโลกและยืนอยู่ตรงหน้าห้องทำงานของจ้าวนรกในชั้นที่ห้าของอาคารที่ตั้งอยู่ในเมืองชั้นในของพระราชวังแห่งการสะท้อนเงาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“นี่คือครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่เราได้มาที่นี่” เขาสำรวจที่ทำงานใหม่ของตัวเองด้วยความสนใจเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าเขาจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เขาก็ยังคงตื่นตะลึงกับภาพที่อยู่ตรงหน้าอยู่ดี
มันทั้งหรูหราและดูเป็นทางการในเวลาเดียวกัน ทั้งสองสไตล์ที่ดูแตกต่างกันกลับผสมผสานกันได้อย่างลงตัว
ทั้งสถานที่ทำงานมีพื้นที่ประมาณ 100 ตารางเมตร ในขณะที่ของตกแต่งส่วนใหญ่ล้วนถูกสร้างขึ้นมาจากไม้สีน้ำตาลแดงและเน้นด้วยสีดำเข้ม
โต๊ะทรงจีนโบราณยาวประมาณสองเมตร ในขณะที่เก้าอี้นั่งสมัยราชวงศ์หมิงพร้อมด้วยเบาะนั่งสีเหลืองถูกวางไว้อย่างสวยงาม เครื่องเรือนทั้งชุดดูเหมือนจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อกันและกันด้วยลวดลายของดอกบัวและปลาคาร์พที่ถูกแกะสลักไว้บนผิวของพวกมัน มันเป็นภาพที่งดงามเป็นอย่างมาก
ชั้นหนังสือถูกตั้งวางไว้ทั้งสองฝั่งของห้อง ในขณะที่ผ้าคลุมที่ปกปิดเนื้อหาทั้งหมดของชั้นประติดประต่อกันเป็นภาพของจงขุยกำลังจับกุมวิญญาณ แต่ละส่วนของชั้นล้วนถูกสลักด้วยลายเส้นสีทองซึ่งเป็นภาพของเซี่ยจื้อประดับอยู่ด้านข้าง มันดูมีรสนิยมและมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก
ที่มุมของห้องถูกตกแต่งด้วยแจกันเคลือบสีทองพร้อมกับดอกบัวสีทองแกะสลัก ที่นั่งของเขาภายในห้องอยู่ในจุดที่สามารถมองวิวทิวทัศน์ด้านนอกได้ดีที่สุด และมันก็ให้ความรู้สึกราวกับว่าเขากำลังยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลก มันเป็นภาพที่เหมาะสำหรับผู้ปกครองดินแดนอย่างแท้จริง
เด็กหนุ่มเคาะโต๊ะอย่างแผ่วเบา ระงับความตื่นเต้นที่พุ่งพล่านอยู่ภายในใจของตนเอง ทันใดนั้น วิญญาณตนหนึ่งก็เดินเข้ามาและโค้งคำนับให้กับเขาอย่างเคารพ “ท่านจ้าวนรก”
ฉินเย่ปรายตาไปมองทางด้านข้างของโต๊ะซึ่งมีปฏิทินวางอยู่ มันเป็นวันที่ 25 กรกฎาคม วันที่ถูกกำหนดให้เป็นวันสำหรับจัดการประชุมกับเหล่าคณะรัฐมนตรี
“การเตรียมการเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกเตรียมการอย่างเรียบร้อยที่สุดพะย่ะค่ะ…”
ฉินเย่พยักหน้า “เช่นนั้น เราก็มาเริ่มกันเถิด”
เต้ง…เต้ง…
เสียงระฆังดังขึ้นให้ได้ยินมาจากชั้นที่หกของอาคารก้องกังวาลไปทั่วทั้งเมืองชั้นในของพระราชวังแห่งการสะท้อนเงา
……………………………………………………..
กลับมาภายในอาคารราชการ ทันทีที่เสียงระฆังดังขึ้น เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่มีคุณสมบัติพอในการเข้าร่วมการประชุมระดับมณฑลก็รีบลุกขึ้นยืน เกาหมิง อดีตเทศมนตรีของเมืองหวู่หยางหยิบเอกสารทั้งหมดและแย้มยิ้มบาง “หัวหน้า ทุกอย่างได้ถูกเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว”
นี่คือกรมทรัพยากรวิญญาณ และรัฐมนตรีที่ได้รับการแต่งตั้งก็มิใช่ผู้ใดอื่นนอกจากจางเจ้อกวง อดีตผู้ว่าราชการลำดับที่ 11 แห่งมณฑลซานตง เกาหมิงเองก็เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขามาก่อนในขณะที่ยังมีชีวิต และพวกเขาก็คุ้นเคยกับการทำงานของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก พวกเขาสามารถเข้ากันได้เป็นอย่างดี
แต่อย่างไรก็ตาม จางเจ้อกวงไม่ได้ตอบอะไรออกไปโดยตรง กลับกันเขายังคงยืนอยู่ข้างหน้าต่างและมองไกลออกไป ถนนแต่ละสายทอดยาวออกไปภายใต้ท้องฟ้าเบื้องบนที่มีเมฆปกคลุมอยู่
นี่เขาประหม่าอย่างนั้นหรือ…?
หลังจากที่เงียบครู่หนึ่ง เขาก็ผลักประตูและก้าวออกไปนอกห้อง ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็ไปถึงที่หน้าหอประชุม ที่ซึ่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงได้มารวมตัวกันอยู่ก่อนแล้ว แต่ละคนทักทายกันเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน
จางเจ้อกวงเลิ่กคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจทันทีที่เดินเข้าไปด้านใน “นี่มัน…?” และมันก็ไม่ได้มีเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้น แต่วิญญาณแทบทั้งหมดต่างก็มองไปรอบ ๆ ด้วยความตกตะลึง
ขงโม่ไม่เคยให้ความสำคัญกับผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเลยแม้แต่น้อย การรวมตัวของเจ้าหน้าที่ระดับสูงในการประชุมที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้เป็นเพียงความฝันที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับพวกเขา
แต่ทันทีที่จางเจ้อกวงก้าวเข้าไปในหอประชุม เขาก็พบว่าทุกอย่างของยมโลกไม่ได้ย่ำแย่ไปกว่าการปฏิบัติที่เขาเคยได้รับในตอนที่อยู่ที่แดนมนุษย์เลยแม้แต่น้อย!!
หอประชุมมีความกว้างประมาณ 200 เมตรและเต็มไปด้วยที่นั่งกว่าร้อยที่นั่ง แต่ละที่นั่งนั้นมาพร้อมกับโต๊ะยาวและเก้าอี้นั่งอันหรูหราสำหรับการใช้งานส่วนตัวของเจ้าหน้าที่ระดับสูงแต่ละคน มันมีแม้กระทั่งโคมไฟระย้าที่ห้อยลงมาเหนือโต๊ะแต่ละตัว ส่องสว่างด้วยเปลวไฟนรกที่ลุกโชนสำหรับจุดประสงค์ในการอ่านเอกสาร
แต่ละโต๊ะล้วนถูกตกแต่งด้วยถ้วยน้ำชาและแผ่นรองเขียน สาวรับใช้เดินไปเดินมาอย่างเงียบ ๆ ระหว่างแถวของที่นั่ง คอยเติมชาหรือเครื่องดื่มให้อย่างไม่ขาดสาย ด้านหลังของหอประชุมมีอารักษ์อีกหลายสิบตนนั่งเรียงรายอยู่ เตรียมพร้อมที่จะจดคำพูดทุกอย่างที่ถูกพูดออกมาขณะประชุมด้วยความแม่นยำ
เวทีหลักถูกตั้งอยู่ตรงหน้าสุดของชุดโต๊ะและเก้าอี้ทั้งหมด ในขณะที่ภาพกระเบื้องโมเสคของขุมนรกแห่งการลงทัณฑ์ทั้ง 18 ประดับอยู่ที่ผนังด้านหลังของเวทีหลัก สร้างความหวาดหวั่นและหวาดกลัวให้กับจิตใจของทุกคนที่เข้าร่วมประชุมในวันนี้ได้เป็นอย่างดี
มันมีความยิ่งใหญ่และจริงจังอย่างไม่สามารถบรรยายได้ ตระการตาและงดงามอย่างไม่น่าเชื่อ มันอยู่เหนือสิ่งที่พวกเขาเคยจินตนาการเอาไว้อย่างสิ้นเชิง! เหมาะสมอย่างยิ่งกับการประชุมระดับมณฑลของพวกเขา!
บรรยากาศภายในหอประชุมถูกปกคลุมไปด้วยความรู้สึกของพิธีกรรม
ฉินเย่นั่งอยู่บนเวทีหลัก สำรวจสีหน้าและท่าทางของวิญญาณทั้งหมดที่เดินเข้ามาในห้อง หัวใจของเขาพลันรู้สึกถึงการประสบความสำเร็จ ทันใดนั้นเอง กระแสน้ำวนพลังหยินก็ปะทุขึ้นจากด้านหลังของเขา และอาร์ทิสก็ปรากฏตัวขึ้นในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา…
“เหตุใดจึงช้านัก?” ฉินเย่แย้มยิ้มและเลิกคิ้วขึ้นถาม แต่เขากลับพบว่าอาร์ทิสนั้นดูค่อนข้างอึดอัดเล็กน้อย
“เป็นอะไรไป?” เด็กหนุ่มนิ่งไป ก่อนจะยิ้มออกมาอีกครั้ง “เป็นเพราะว่าเจ้าไม่พอใจกับตำแหน่งที่นั่งของตัวเองอย่างนั้นหรือ? ดูสิ ตอนนี้บนเวทีหลักมีที่นั่งอยู่เพียงสองที่เท่านั้น และมันก็เป็นของเจ้าและข้า ไม่มีผู้ใดสามารถปฏิเสธการมีส่วนร่วมของเจ้าในยมโลกได้”
“ท่านจ้าวฉิน” อาร์ทิสเอ่ยเสียงแข็ง “ท่านคิดว่า…ท่านสามารถรับมือกับทุกอย่างได้หรือไม่?”
ฉินเย่ขมวดคิ้ว
อาร์ทิสดูแปลกไป แม้แต่รอยยิ้มของนางเองก็ดูไม่เป็นธรรมชาติ…
มันไม่มีเหตุผลสำหรับปฏิกิริยาเช่นนี้ของนางเลยสักนิด เพราะไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็กำลังเพลิดเพลินไปกับกองสิ่งของที่ได้รับมาจากสงคราม และพวกเขาก็กำลังจะตรวจดูรายการทั้งหมดผ่านการประชุมวันนี้ สิ่งนี้จะเป็นการกำหนดทิศทางการพัฒนาของยมโลกต่อไป แม้แต่เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นและประสบความสำเร็จ แล้วนี่นางเป็นอะไรกัน?
“วัยทองอย่างนั้นหรือ?” ฉินเย่กระซิบตอบกลับไปเบา ๆ อย่างหยอกล้อ
ในวินาทีนั้น จิตสังหารที่รุนแรงก็ปะทุออกมาจากร่างของอาร์ทิสก่อนที่มันจะสลายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นนางก็หันไปจ้องหน้าฉินเย่อีกครั้ง “ตอบข้า”
ฉินเย่ขมวดคิ้วและจ้องไปยังอาร์ทิสขณะที่ลูบคางของตัวเอง “เจ้าเป็นอะไรกันแน่? อ่า…ช่างเถิด ผู้หญิงเช่นเจ้าล้วนมีความลับที่ไม่อยากบอกใครทั้งสิ้น แต่…ข้าสามารถตอบคำถามนี้ของเจ้าได้”
“แน่นอนว่าข้าสามารถทำได้!” เขาเอ่ยออกไปอย่างมั่นใจ “ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นเหมือนกับก่อนหน้านี้หรอกหรือ? ใช่ อาณาเขตของยมโลกอาจจะขยายใหญ่ขึ้นเล็กน้อย แต่ข้าเองก็ไม่จำเป็นจะต้องนอนหลับอีกต่อไปหลังจากที่กลายเป็นขั้นตุลาการนรก ดังนั้นข้าก็น่าจะสามารถจัดการงานทั้งหมดได้ภายในระยะเวลาหกชั่วโมงต่อวันไม่ใช่หรือ?”
“แต่ที่เรากำลังพูดถึงคือหกชั่วโมงหลังจากเวลาทำการปกติ” อาร์ทิสตอบกลับเสียงเรียบ “หากมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นในขณะที่ท่านกำลังจัดการงานพวกนั้น มันจะไม่มีวิญญาณตนใดที่คอยอยู่ตอบคำถามของท่าน”
“ท่านจะไม่สามารถสื่อสารกับพวกเขาได้โดยตรง นอกจากนั้น… ท่านมั่นใจในความสามารถของตัวเองมากขนาดนั้นเลยหรือ?”
นางมองฉินเย่ “นครเผิงชิวมีประชากรวิญญาณทั้งสิ้น 20 ล้านตน และมีพื้นที่กว่า 100 ตารางกิโลเมตร นอกจากนี้ มันยังมีเรื่องของทั้งมณฑลซานตงและมณฑลเจียงซูให้พิจารณาอีกด้วย ท่านแน่ใจหรือว่าทุกสิ่งทุกอย่างสามารถจัดการได้ด้วยการทำงานเพียงหกชั่วโมงต่อวัน? และหากท่านมีงานในเมืองหวู่หยาง และไม่สามารถกลับมายังยมโลกในตอนกลางคืนได้เล่า? ไม่มีข้าราชการระดับสูงคนใดที่จะสามารถเฟซไทม์กับท่านได้จนกว่าท่านจะหาเวลาพบกับพวกเขาในการประชุมเช่นนี้ ดังนั้น ด้วยการสละเวลาไม่กี่ชั่วโมงในแต่ละวัน ท่านมั่นใจจริง ๆ น่ะหรือว่าท่านจะสามารถวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับการพัฒนาของยมโลกตั้งแต่นี้ไปได้?”
รอยยิ้มของฉินเย่จางหายไป…
“เจ้าต้องการจะพูดอะไรกันแน่?” เขาจ้องลึกเข้าไปในตาของอีกฝ่าย “เจ้ากำลังจะบอกว่าข้ายังพยายามไม่มากพออย่างนั้นหรือ?”
“หากข้าไม่พยายามมากพอ หากข้าไม่ทุ่มเทมากพอ เราจะได้มายืนอยู่ที่นี่อย่างทุกวันนี้หรือไม่?!”
เขาพอจะสามารถเดาได้ว่าอาร์ทิสต้องการจะสื่ออะไร แต่เขาก็รู้สึกไม่พอใจเช่นกันเมื่อต้องนึกถึงเรื่องเหล่านี้
เรื่องในวันนี้มันไม่ควรจะเป็นเช่นนี้…
อาร์ทิสเองก็ไม่ได้หลบสายตาอีกฝ่ายเช่นกัน ทั้งสองจ้องตากันเขม็งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่อาร์ทิสจะเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น “ท่านใช้เวลาในแดนมนุษย์มากเกินไป”
“มันไม่มีความจำเป็นที่ท่านจะต้องอยู่ในแดนมนุษย์อีกต่อไปแล้ว”
“การล่มสลายครั้งใหญ่ของยมโลกหมายความว่าผู้ที่ยืนอยู่กึ่งกลางระหว่างทั้งสองโลกอย่างท่านจะต้องดับสูญไป แน่นอน ท่านสามารถบอกได้ว่าท่านกำลังช่วยยมโลก แต่ยมโลกเองก็กำลังช่วยขยายเส้นชีวิตของท่านด้วยเช่นกัน ในเมื่อท่านตกลงรับหน้าที่นี้แล้ว ท่านก็ควรที่จะคำนึงถึงความรับผิดชอบที่ท่านแบกรับอยู่บนบ่าด้วย”
นางเอ่ยต่อด้วยเสียงที่เข้มกว่าเดิม “นครเผิงชิวนั้นไม่เหมือนกับยมโลกแห่งเก่า”
“นี่ท่านไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งนี้เลยหรือ? หรือว่าท่านแค่ไม่ต้องการที่จะพิจารณาถึงสิ่งเหล่านี้กันแน่?”
จนถึงจุดนี้ รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าของฉินเย่ได้จางหายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพึมพำออกมา “ตี้ทิงคงจะพูดบางอย่างกับเจ้าใช่หรือไม่?”
“ไม่ใช่”
“เป็นไปไม่ได้!” ฉินเย่หันหน้าหนี “ข้ารู้จักเจ้าดี ความคิดเช่นนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นกับเจ้าในเวลาปกติ ช่างกล้าอะไรเช่นนี้…ไม่คิดว่าเขาจะสามารถจับผิดข้าได้ในทันทีที่ฟื้นคืนสติ… เขาคิดว่าตนเองเป็นใคร?! นี่ตกลงว่าข้าผู้นี้คือเจ้านรกแห่งยมโลก หรือว่าเขากันแน่ที่เป็น?!”
ปั้ง!
ฉินเย่ทุบโต๊ะอย่างแรงด้วยความโกรธ ส่งผลให้คลื่นพลังหยินปะทุออกมาในลักษณะของคลื่นกระแทกอันรุนแรงที่แพร่กระจายไปทั่ว ชุดแต่งกายของวิญญาณทั้งหมดที่อยู่โดยรอบกระพืออย่างรุนแรง และทุกอย่างก็ถูกปกคลุมด้วยความเงียบภายในฉับพลัน
ทุกคนที่อยู่ภายในหอประชุมต่างหันไปมองฉินเย่เป็นตาเดียว – เกิดอะไรขึ้น? ไม่ใช่ว่าท่านจ้าวฉินและท่านอรากษสมักจะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันหรอกหรือ? เหตุใดจู่ ๆ มันจึงรู้ราวกับว่าพวกเขากำลังเกิดความแตกแยกขึ้นกัน?
“คำพูดของข้ามันจี้ใจท่านอย่างนั้นหรือ?” อาร์ทิสมองฉินเย่ “ดูเหมือนว่าท่านจะไม่ได้คิดเรื่องพวกนี้เลยสินะ?”
ฉินเย่ถอนหายใจออกมา “ข้าขอเวลาหนึ่งปี”
“แล้วข้าจะขึ้นครองบัลลังก์นี้”
อาร์ทิสหลุบตาลง “ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้…ท่านคิดจริง ๆ หรือว่าเวลานั้นอยู่ข้างเดียวกันท่าน? ท่านคิดจริง ๆ หรือว่าท่านมีเวลาถึงหนึ่งปีในการจัดการเรื่องพวกนั้น?”
“จะเกิดอะไรขึ้นระหว่างนี้? ขงโม่ยังคงเป็นอิสระ ในขณะที่ราชาผีเองก็กำลังเคาะประตูหน้าบ้านเราพร้อมกับกองกำลังขนาดใหญ่ของเขา ตอนนี้เรามีวิญญาณที่อยู่ภายใต้การปกครองมากเพียงพอ และเราก็สามารถส่งหน่วยสอดแนมออกไปสำรวจกองกำลังของศัตรูได้ แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องได้รับการตัดสินใจในทันที ท่านแน่ใจหรือว่าท่านสามารถให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้ได้ในขณะที่ท่านยังอยู่ในแดนมนุษย์?”
“ท่านได้พิจารณาบ้างหรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในกรณีที่เกิดวิกฤตอย่างเร่งด่วน? หากยมโลกจำเป็นจะต้องจัดการประชุมขึ้นอย่างกระทันหัน แต่ท่านกลับยังติดอยู่กับภาระหน้าที่ในแดนมนุษย์เล่า? ท่านจะทำเช่นไร?”
“ท่านคงไม่กลับมา…เช่นเดียวกันกับที่ท่านรู้จักข้า ข้าเองก็รู้จักท่านดีเช่นกัน แน่นอน ท่านอาจจะรู้ว่าท่านจะต้องทำสิ่งใดในฐานะของจ้าวนรก แต่จิตใจของท่านไม่ได้อยู่กับยมโลกเลยสักนิด หากทุกสิ่งทุกอย่างยังดำเนินต่อไปเช่นนั้น…อีกไม่นาน ความหายนะจะบังเกิดแก่เราทั้งหมดอย่างแน่นนอน”
“ข้าจะจัดการทุกอย่างโดยเร็วที่สุด” ฉินเย่เอ่ยตอบเสียงเรียบ “บางสิ่งบางอย่างต้องใช้เวลา และบางความสัมพันธ์ก็ต้องการ…การเอ่ยคำร่ำลาเช่นกัน…”
จากนั้น เขาก็หันไปหาวิญญาณทั้งหมดที่ได้มารวมตัวกันและเริ่มเอ่ยกับพวกเขาโดยไม่เปิดโอกาสให้อาร์ทิสได้เอ่ยอะไรไปมากกว่านี้ “ทุกท่าน ขอบคุณสำหรับการรอคอย”
ผ่านไปแล้ว 15 นาทีนับตั้งแต่กำหนดการดั้งเดิมของการประชุม แต่มันกลับไม่มีวิญญาณตนใดเอ่ยหรือบ่นอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อย
“ข้าขอประกาศว่าการประชุมกับคณะรัฐมนตรีของระดับมณฑลครั้งที่หนึ่งจะเริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้” เสียงของเขาแฝงไปด้วยความจริงจังและอำนาจ “แต่ก่อนที่เราจะเริ่มพูดถึงวาระแรกของการประชุม ข้ามีบางอย่างที่อยากจะพูด”
เขากวาดตามองวิญญาณทั้งหมด “ยมโลกนั้นยังขาดแคลนในอีกหลาย ๆ อย่าง และหน้าที่ของพวกเราทั้งหมดก็คือจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ข้าไม่สนใจเรื่องการเสแสร้งหรือประจบประแจงที่พวกเจ้าบางตนอาจคุ้นชินจากตอนที่อยู่ในแดนมนุษย์ และข้าก็ไม่สนใจคำพูดซ้ำซากด้วยเช่นกัน หากพวกเจ้าไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบการปกครองของที่นี่ได้ เช่นนั้นก็จงเตรียมใจที่จะเป็นประชากรวิญญาณธรรมดาของยมโลกและรอคอยให้กงล้อแห่งสังสารวัฏถูกสร้างขึ้น เงินเดือนของยมโลกจะมีเพื่อวิญญาณที่สามารถสร้างประโยชน์ให้กับเราได้เท่านั้น”
“นอกจากนี้ ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะไม่นำมาตรฐานเดิม ๆ ของตัวเองมาที่ยมโลก นี่คือยมโลกแห่งใหม่ และผลลัพธ์ก็เป็นเพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่จะสร้างแต้มกุศลให้กับตัวเจ้าและรับประกันว่าพวกเจ้าจะสามารถกลับไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่ดี เยี่ยมเยียนแดนมนุษย์ หรือแม้แต่เข้าฝันเหล่าบุคคลอันเป็นที่รักของเจ้าได้ จงจำไว้ พวกเจ้าคือข้าราชการ ไม่ใช่นายของเหล่าทาส! ผู้ใดก็ตามที่ใช้พลังอำนาจของตนในทางที่ผิดจะต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง!”
“สำหรับตอนนี้ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า!”
Comments