ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]บทที่ 479: เรื่องที่ต้องตกตะลึง
บทที่ 479: เรื่องที่ต้องตกตะลึง
“ฝ่าบาท…” หนึ่งในรัฐมนตรีที่นั่งอยู่ภายในหอประชุมไม่สามารถทนได้อีกต่อไปและเอ่ยถามด้วยเสียงแหบพร่า “พวกเรา…สามารถเดินทางกลับไปยังแดนมนุษย์ได้จริง ๆ น่ะหรือ?”
ครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้คือในการประชุมเมื่อสองสัปดาห์ก่อน อย่างไรก็ตาม… มันไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการได้เห็นมันด้วยตาของตัวเอง!
ในตอนนั้น มันให้ความรู้สึกราวกับสิ่งที่อยู่ไกลแสนไกลเนื่องจากยังไม่มีผู้ใดที่มีค่าคุณธรรมหยิน และนั่นก็ทำให้ไม่มีผู้ใดสามารถเดินทางกลับไปยังแดนมนุษย์ได้ แต่ตอนนี้… ใครบางคนกลับได้รับค่าคุณธรรมหยินที่เพียงพอสำหรับสิทธิเศษนั้นต่อหน้าต่อตาของพวกเขาเอง!
เพื่อนร่วมงานของพวกเขา จางเจ้อกวง กำลังจะเป็นวิญญาณตนแรกของยมโลกที่จะเดินทางกลัยไปยังแดนมนุษย์!
จางเจ้อกวงได้รับสายตาริษยาจากผู้คนจำนวนมาก แม้แต่รัฐมนตรีที่อายุมากที่สุดหรือประสบความสำเร็จมากที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่นอยู่ใต้โต๊ะ
จางเจ้อกวงไม่ได้แสดงที่ท่าใด ๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย หากมันเป็นรางวัลอื่น ๆ เขาคงจะอ้าแขนรับมันและนั่งเชิดหน้าอย่างสง่างาม แต่ในวันนี้ เขากลับแน่นิ่งไป
เขามึนงงเป็นอย่างมาก
กลับไปที่แดนมนุษย์… เขาสามารถเดินทางกลับไปที่แดนมนุษย์ได้จริง ๆ อย่างนั้นหรือ?!
“เป็นอะไร? ตื่นเต้นกันอย่างนั้นหรือ?” ฉินเย่แย้มยิ้มบางๆ
เยี่ยมมาก…! ดูเหมือนว่าตราบใดที่สมุดแห่งความเป็นตายยังคงอยู่ในความครอบครองของเขา มันก็จะไม่มีผู้ใดที่สามารถแย่งชิงการปกครองของยมโลกไปจากเขาได้ เขาหมายถึง ดูอย่างรัฐมนตรีจางสิ! ข้อเท็จจริงที่ว่าอดีตผู้ว่าราชการของแดนมนุษย์ได้ตกตะลึงเป็นอย่างมากกับสิทธิพิเศษนี้นั้นอยู่เหนือความคาดหมายของเขามาก
“ไม่…ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ!” จางเจ้อกวงกลับมาได้สติในที่สุด เขารีบประสานมือและกำปั้นเพื่อทำความเคารพและขอบคุณ “ขอบคุณ…ขอบคุณมาก!! ขอบคุณจริงๆ!!!”
ความตื่นเต้นที่แฝงอยู่ภายในน้ำเสียงของเขานั้นชัดเจน และเสียงของเขาก็แหลมเสียดหูราวกับเสียงของกรงเล็บแมวที่ลากไปตามกระดานดำ ในวินาทีนั้น สมองของทุกคนถูกกระตุ้นอย่างเต็มที่ พยายามหาว่ามีสิ่งใดอีกที่ยมโลกอาจต้องการในอนาคต…
ฉินเย่ได้กระตุ้นหัวสมองของรัฐมนตรีทั้งหมดให้ทำงานโดยไม่รู้ตัว โชคดีที่คนที่นั่งอยู่ภายในหอประชุมในตอนนี้ล้วนเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่คุ้นชินกับการรักษาท่าทางของตนแม้ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่มีความกดดันสูง ไม่เช่นนั้น ทั้งหอประชุมอาจเกิดความโกลาหลขึ้นแล้ว
จางเจ้อกวงไม่สามารถหุบยิ้มได้ “พระองค์…สามารถส่งกระหม่อมกลับไปยังแดนมนุษย์ได้จริง ๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เขารู้ดีว่าคำถามนี้ฉายชัดถึงความสงสัยอย่างชัดเจน แต่ถึงอย่างนั้น…เขาก็อดไม่ได้จริง ๆ ที่จะถามออกไป
“นี่คือสิ่งที่มีเพียงยมโลกดั้งเดิมเท่านั้นที่สามารถทำได้” ฉินเย่ใช้โอกาสนี้ในการอธิบายเกี่ยวกับอุดมการณ์และการเมืองให้กับรัฐมนตรีทั้งหมด การให้รางวัลแก่จางเจ้อกวงในลักษณะนี้ยังเป็นการยกตัวเองและตั้งเป้าหมายให้กับคนอื่น ๆ ปฏิบัติตามเช่นกัน มันเปรียบได้กับการบอกรัฐมนตรีของนครเผิงชิวว่าตราบใดที่พวกเขายังคงสาบานว่าจะสวามิภักดิ์ต่อยมโลก มันก็จะมีสิ่งดี ๆ รอพวกเขาอยู่ข้างหน้า และมันยังเป็นการส่งข้อความถึงอีกฝ่ายอีกด้วย บอกว่าตราบใดที่พวกเขาตั้งใจและขยันทำงาน ยมโลกจะไม่มีทางมองข้ามความพยายามของพวกเขา!
ต่อให้ตายไปแล้ว แล้วอย่างไร? หรือว่าอยากจะรอจนกว่าจะได้พบคนรักอีกครั้งก่อนจะเริ่มจ่ายค่าใช้จ่ายมากมายเพื่อเดินทางไปยังสถานที่อันแสนสวยงามของยมโลก?
หรือว่าต้องการจะไปท่องเที่ยวในป่าในช่วงอาทิตย์อัสดง? เขาสามารถรับรองได้เลยว่าสถานที่เหล่านี้นั้นงดงามจนพวกเจ้าจะต้องตกตะลึง!
แล้วตัวเขาได้พูดหรือยังว่าเรามีแม้กระทั่งการเดินทางท่องเที่ยวไปยังเมืองวิญญาณที่แดฮัน ฟิลิปินัส และประเทศอื่น ๆ อีก? เขาหมายถึง…เขาไม่ได้พยายามจะยกหางตัวเอง แต่เด็กหนุ่มก็ค่อนข้างมั่นใจว่าตนเองนั้นมิเป็นสองรองใครเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับความคิดที่เจ้าเล่ห์เช่นนั้น…
ในวินาทีนั้น อาร์ทิสก็เอ่ยขึ้น “แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่พวกเจ้าควรพึงระวังก็คือการกลับไปยังแดนมนุษย์นั้นมีความเสี่ยง เนื่องด้วยดวงวิญญาณของพวกเจ้าทุกตนได้เจือปนไปด้วยพลังของยมโลก ดังนั้นพวกเจ้าจะต้องตกเป็นเป้าหมายของวิญญาณเร่ร่อนที่อยู่ด้านนอกนั้นอย่างแน่นอน แต่เจ้าก็สามารถนำผู้คุ้มกันส่วนตัวไปด้วยได้ในขณะที่เดินทางไปยังแดนมนุษย์ ดังนั้นโปรดวางใจ”
จางเจ้อกวงสูดหายใจเข้าช้า ๆ โค้งคำนับฉินเย่อีกครั้ง ก่อนจะนั่งลงในที่สุด
แม้ว่าการประชุมจะดำเนินต่อไปอีกเป็นระยะเวลาหนึ่ง แต่มันกลับไม่มีสิ่งใดเข้ามาภายในหัวของเขาเลย
ความคิดเดียวที่ยังคงผุดขึ้นมาในหัวของเขาก็คือ ‘หลานชายของเขาแต่งงานหรือยัง? หลานสะใภ้ของเขาหน้าตาเป็นอย่างไร? พวกเขามีลูกหรือเปล่า? แล้วอีกฝ่ายได้แวะไปเยี่ยมหลุมฝังศพของเขาบ้างหรือไม่?’
ผลกระทบจากระเบิดของฉินเย่ได้ทำให้หัวสมองของพวกเขายังคงอยู่ในความตกตะลึง ฉินเย่สามารถบอกได้เลยว่ากลุ่มรัฐมนตรีตรงหน้าต่างเสียสมาธิอย่างมากจากสิ่งที่ตนเพิ่งได้เห็น และมันก็คงจะไม่เกิดผลอะไรมากนักหากเขายังคงดำเนินการประชุมต่อไป ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงตัดสินใจที่จะสรุปเนื้อหาทั้งหมด “พวกเราเหลือเวลาอีก 18 วันก่อนที่จะเทศกาลวันสารทจีนจะมาถึง ข้าต้องการให้ทั้งหน่วยงานร่วมมือกันและทำงานร่วมกันเพื่อนำเราไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด รัฐมนตรีจาง…ข้าอยากให้เจ้าจัดตั้งคณะกรรมการที่จะรับผิดชอบงานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่นี้ขึ้น และสามารถปรึกษากับข้าได้ตลอดเวลา ข้าต้องการเห็นรายชื่อทั้งหมดภายในคืนนี้ และข้าก็อยากจะเห็นรายละเอียดทั้งหมดของแผนการในการจัดงานเทศกาลภายในระยะเวลาสามวัน”
“รับทราบ!”
“จบการประชุม”
จากนั้น เหล่ารัฐมนตรีก็เดินออกจากหอประชุมไปพร้อมกับความรู้สึกเสียดาย รัฐมนตรีหลายท่านที่หันไปทำความเคารพจางเจ้อกวงอย่างอิจฉาก่อนที่จะเดินจากไป พวกเขาไม่มีอารมณ์ที่จะอยู่ต่ออีกแล้ว ทั้งหมดที่พวกเขาอยากจะทำตอนนี้ก็คือกลับไปที่ห้องทำงานของตนและตรวจสอบแผนงานที่พวกตนคิดขึ้นมาได้จนถึงตอนนี้
ภายในเวลาเพียงชั่วครู่ ทั้งหอประชุมตกสู่ความเงียบ ฉินเย่กำลังจะเก็บข้าวของของตนและจากไป แต่อาร์ทิสก็เอ่ยขึ้นเสียก่อน “ท่านสามารถรับผิดชอบงานทั้งหมดนี้ได้หรือไม่?”
ฉินเย่ลุกขึ้นยืน “ข้าทำได้”
“ท่านคือผู้ที่อาสาจะรับผิดชอบงานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่นี้” อาร์ทิสเอ่ยต่อ “มันเป็นความจริงที่ท่านคือผู้ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับหน้าที่ดังกล่าว ท่านจำเป็นจะต้องเดินสำรวจพื้นที่ทั้งหมดในนครเผิงชิวภายใน 18 วันเพื่อที่จะได้กำหนดรูปแบบงานที่ควรจะเป็น นอกจากนี้ท่านยังต้องตัดสินใจในเรื่องของจุดสนใจหลักและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่จะต้องเตรียมการอีกด้วย ไหนจะธีมของงานทั้งหมด เมื่อคณะกรรมการถูกจัดตั้งขึ้นแล้ว ท่านจะตรวจดูการทำงานของพวกเขาได้อย่างไร? ท่านจะต้องกลับมาที่นี่ในตอนกลางคืนเพื่อตรวจดูแผนงานของพวกเขาก่อนจะทิ้งข้อเสนอแนะไว้และกลับไปยังแดนมนุษย์ในตอนกลางวันอยู่หรือไม่?”
“หากพวกเขามีสิ่งที่ต้องการจะเสนอ พวกเขาจะพูดคุยมันกับท่านอย่างไร? ข้าสามารถบอกท่านได้เลยว่ามันจะต้องมีความยากลำบากอย่างมากเกี่ยวกับการจัดการพวกนี้ ปัญหาเรื่องการดำเนินการจำเป็นจะต้องได้รับการแก้ไขในทันที ท่านแน่ใจหรือว่าท่านมีเวลาพอที่จะจัดการกับสิ่งเหล่านี้?”
“มันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป” ฉินเย่เตรียมที่จะจากไป “ในฐานะของผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรกของแดนมนุษย์ ข้าน่าจะมีขอบเขตเกี่ยวกับสิ่งที่ตัวเองต้องการจะทำและเวลาที่มีมากขึ้น ดังนั้น ข้าก็น่าจะสามารถเตรียมการทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นได้”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็หายตัวไป ทิ้งไว้เพียงอาร์ทิสที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม นางหลับตาลงและถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน
“ไม่มีผู้ใดมีอิสรภาพโดยแท้จริง” นางพึมพำออกมาเบาๆ “สิ่งที่พวกเรามีก็คือ…หน้าที่และความรับผิดชอบ”
“และในเรื่องนี้ มันก็เห็นได้ชัดว่าท่านยังขาดอะไรอีกหลาย ๆ อย่าง”
“ท่านรู้ว่าท่านต้องทำอะไร และท่านก็รู้ถึงขีดจำกัดของตนเอง มันใกล้จะถึงเวลาแล้วที่ท่านจะต้องหยุดชีวิตในแดนมนุษย์ของตัวเองเสียที”
“จ้าวนรกไม่สามารถทำตามอำเภอใจได้”
เมื่อเอ่ยจบ อาร์ทิสก็หายตัวไป เมื่อนางปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง นางก็ยืนอยู่เบื้องหน้าของตี้ทิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพราะว่านางสามารถเคลื่อนย้ายระหว่างโลกใต้พิภพและลิมโบได้อย่างอิสระ แต่มันเป็นเพียงเพราะว่าที่ตำแหน่งอยู่ของตี้ทิงนั้นสามารถสัมผัสได้จากส่วนต่าง ๆ ของลิมโบ
นางโค้งคำนับและยังคงนิ่งเงียบ
“มันไม่ได้ผลใช่หรือไม่?” ตี้ทิงแค่นหัวเราะ “ภายนอกเขาอาจจะดูเป็นคนง่าย ๆ แต่ความจริงแล้วเขามีความคิดเป็นของตนเอง เจ้าสามารถโน้มน้าวเขาด้วยความคิดของเจ้าได้หรือไม่?”
อาร์ทิสส่ายหน้า “เขาบอกว่า…เขาต้องการเวลาอีกหนึ่งปี… นะ…นี่มันอะไรกัน?!!”
วินาทีนั้น นางสังเกตเห็นตัวอักษรสีทองลอยอยู่กลางอากาศ ในขณะที่โชคชะตาลอยอยู่ติด ๆ กัน แทบจะเหมือนกับว่ามันพร้อมที่จะเขียนอีกครั้ง
“ท่าน...ได้เริ่มหมุนวงล้อแห่งโชคชะตาแล้วอย่างนั้นหรือ?” นางหันไปมองตี้ทิงด้วยสีหน้าตกใจ ก่อนจะพบว่ามันส่ายหน้าไปมา “ไม่ใช่ข้า”
“ถ้าเช่นนั้น…”
“เมื่อครู่นี้ ท่านจ้าวนรกองค์ที่สองแห่งยมโลกได้เดินทางมาที่นี่”
อาร์ทิสอ้าปากค้างและมองไปรอบ ๆ ก่อนจะถามด้วยความตื่นเต้น “เขา…ยังสุขสบายดีหรือไม่?”
มุมปากของตี้ทิงกระตุกเล็กน้อยขณะที่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย แต่มันก็ตอบกลับไปอย่างไม่เต็มใจนัก “เขาสบายดีเลยล่ะ…”
มันก็แค่เขายังไม่เปลี่ยนแปลงนิสัยเก่าๆ…
ไม่คิดเลยว่าเขาคิดที่จะใช้คราบเทพเจ้าเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง… ข้ามั่นใจว่าพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์จะต้องหวาดหวั่นเป็นแน่เมื่อได้รู้เรื่องนี้…
“แล้วเขา…” อาร์ทิสเตรียมจะเอ่ยคำถามต่อไปของนาง แต่แล้วก็เงียบไปและส่ายหน้ากับตัวเอง
นางกำลังจะถามว่าจ้าวนรกองค์ที่สองมีความคิดที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยในการพัฒนายมโลกแห่งใหม่บ้างหรือไม่
แต่ไม่นาน นางก็ตระหนักได้ว่ามันไม่จำเป็นจะต้องถามคำถามเช่นนั้น
จ้าวนรกองค์แรกได้สร้างยมโลกขึ้นมาโดยการสังหารคู่แข่งทั้งหมดในสังเวียนเลือด จ้าวนรกองค์ที่สองได้ทำให้ยมโลกไปยืนอยู่บนเวทีโลกโดยการบุกโจมตีโลกใต้พิภพขนาดใหญ่หลายแห่ง
ดังนั้นนางมีสิทธิ์อะไรเพื่อที่จะขอความช่วยเหลือสำหรับจ้าวนรกองค์ที่สามของยมโลก?
มันไม่มีใครอื่นที่กำลังแข่งขันกันเพื่อตำแหน่งจ้าวนรกองค์ และยมโลกเองก็ยังมีอาณาเขตเวทแห่งมหาเทพทั้งเก้า ตี้ทิง นครเผิงชิวและวิญญาณหลายล้านตน! สถานการณ์ในตอนนี้ยังดีกว่าตอนที่จ้าวนรกองค์แรกขึ้นครองราชย์อยู่หลายเท่า! หากฉินเย่ยังไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ทั้ง ๆ ที่เริ่มต้นด้วยสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นเขาก็อาจจะไม่ใช่ผู้ที่เหมาะสมสำหรับหน้าที่นี้
ในความเป็นจริง ฉินเย่จะต้องพยายามและทำให้มันดีกว่าด้วยซ้ำ! เขาจะต้องทำให้ยมโลกกลับไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกอีกครั้ง! นี่คือความรับผิดชอบของจ้าวนรกองค์ที่สามของยมโลก!
นางมองไปยังตัวอักษรสีทองที่ลอยอยู่บนฟ้า และทันใดนั้นดวงตาของนางก็ต้องไหววูบ
เทศกาลวันสารทจีน...จางเจ้อกวง…ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น! วงล้อแห่งโชคชะตาได้เริ่มหมุนแล้วอย่างนั้นหรือ?!
“นายท่าน เหตุใดชื่อของจางเจ้อกวงจึงยังถูกเขียนไม่สมบูรณ์กัน?” นางขมวดคิ้ว
ตี้ทิงมองไปยังตัวอักษรที่ยืนอยู่บนท้องฟ้าก่อนจะเอ่ยตอบ “นั่นหมายความว่าในอนาคตมันอาจจะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นเกี่ยวกับชายผู้นี้”
“โชคชะตาทำงานร่วมกับการมาบรรจบกันของความบังเอิญ คน ๆ หนึ่งอาจจะไม่ได้มีส่วนร่วมในความบังเอิญเพียงอย่างเดียว เขาอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับความบังเอิญหลาย ๆ อย่าง หรือเขาอาจจะเกี่ยวข้องกับความบังเอิญอย่างหนึ่งโดยตรง แล้วจะส่งผลกับความบังเอิญอีกอย่างหนึ่งก็ได้ จางเจ้อกวงอาจจะเป็นหนึ่งในผู้ที่มีส่วนร่วมในความบังเอิญแรกเริ่มนี้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นความบังเอิญสุดท้ายที่เขาจะเข้าไปพัวพัน”
“ความบังเอิญทั้งหมดจะมาบรรจบกันในวันที่ 18 และทำให้ฉินเย่ตระหนักได้ว่า…จ้าวนรกจะต้องปฏิบัติหน้าที่และมีความรับผิดชอบ”
ทันใดนั้น โชคชะตาก็ระเบิดแสงสีทองออกมาขณะที่มันเริ่มเขียนอีกครั้งหนึ่ง
ครั้งนี้… มันไม่ได้มีเพียงชื่อเดียวเท่านั้นที่ถูกเขียนขึ้น
โชคชะตาไม่เพียงแต่เขียนชื่อของจางเจ้อกวงจนสมบูรณ์เท่านั้น แต่มันยังเขียนชื่อที่สองหลังจากนั้นอีกด้วย…โอดะ โนบุทาดะ!
ทั้งสองดูเหมือนว่าจะไม่มีความเกี่ยวข้องกัน แต่นั่นคือการทำงานของโชคชะตา มันมีอิสระที่จะผูกมัดใครก็ได้ แม้แต่คนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยก็ตาม
มันเป็นเหมือนกับแนวคิดของทฤษฎีผลกระทบผีเสื้อ ที่ว่าการประพือปีกของผีเสื้อที่ดูเหมือนจะไม่มีพิษมีภัยที่ชายฝั่งของมหาสมุทรอาจทำให้เกิดพายุเฮอริเคนขึ้นที่อีกฝั่งหนึ่งได้
ครืดด…
การปรากฏของรายชื่อทั้งสองทำให้เกิดคลื่นเสียงสั่นสะเทือนที่ดังก้องไปทั่วทั้งลิมโบ แทบจะเหมือนกับว่ามันได้เริ่มกำหนดชุดของเหตุการณ์ที่ไม่สามารถย้อนกลับไปได้ให้เกิดขึ้น
จากนั้น…โชคชะตาก็เขียนต่อ
“18 วัน”
“โชคชะตาจะนับถอยหลังอย่างต่อเนื่อง และทุกรายชื่อที่ถูกเขียนก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของภาพรวมอันลึกลับนี้” ตี้ทิงถอนหายใจออกมา “ทุก ๆ คนและทุก ๆ สิ่งสามารถเชื่อมโยงกันได้ ตราบใดที่พวกเขาหรือมันยังคงอยู่บนแผ่นดินจีน ข้าไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดมันจึงถูกเรียกกว่าเป็นวัตถุหยินที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดนอกเหนือจากวัตถุศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามของยมโลก แถมลำดับของมันยังอยู่สูงกว่าพระราชวังแห่งการสะท้อนเงาอีกด้วย หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าโชคชะตาสามารถใช้ได้เพียงหนึ่งครั้งในทุก ๆ ร้อยปี ข้าเกรงว่ามันคงจะถูกจัดให้เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ชิ้นที่สี่ของยมโลกเป็นแน่”
“แล้วเรามาดูกัน…” มันหลับตาลง “วงล้อแห่งโชคชะตาได้เริ่มหมุนแล้ว อีกไม่นานทุกอย่างจะมาบรรจบกัน…”
………………………………………….
จางเจ้อกวงเดินทางกลับไปยังที่พักของตนเอง
ขงโม่ไม่ได้สร้างบ้านที่สวยงามสำหรับผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเอง และทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังคงเป็นเหมือนอย่างที่มันเคยเป็นมาในอดีต เนื่องจากฉินเย่ยังไม่มีเวลาที่จะควบคุมตลาดอสังหา ข้าราชการระดับสูงทั้งหมดของนครเผิงชิวจึงอาศัยอยู่บนถนนสายเดียวกันไปก่อนในเวลานี้ และจางเจ้อกวงเองก็อาศัยอยู่ในบ้านขนาดเล็กหลังหนึ่ง
เขาเพิ่งทำงานเสร็จ และมันก็เป็นเวลาสำหรับการพักผ่อน อย่างไรก็ตาม เขาเดินไปรอบ ๆ บ้าน ไม่สามารถระงับความว้าวุ่นภายในใจของตนเองได้!
เขาหยิบของที่ระลึกขึ้นมา มันมีทั้งรูปภาพและแหวน สิ่งเหล่านี้ล้วนถูกเผามาให้เขา จางเจ้อกวงกำลังคิดว่าเขาควรจะนำสิ่งเหล่านี้กลับไปยังแดนมนุษย์เพื่อระบุตัวตนของตัวเองหรือไม่
แต่ยิ่งเขานึกถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ความคิดเหล่านี้ก็ยิ่งผุดเข้ามาภายในหัวของเขา เขาจะพูดอะไรเมื่อเขาได้พบกับครอบครัวของตนเอง? เขาควรจะบอกกับอีกฝ่ายหรือไม่ว่ายมโลกเป็นอย่างไร?
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เขาก็ถอนหายใจออกมาและนั่งลงที่ขอบเตียง “ช่างเถิด เก็บความคิดเหล่านี้ไว้ทีหลังก็แล้วกัน ท่านจ้าวฉินคงจะเตรียมการที่จำเป็นทั้งหมดเอง ส่วนจะออกเดินทางเมื่อใดนั้น…”
ดวงตาของเขาเป็นประกายสดใสขณะที่เขามองไปยังกองของที่ระลึก สิ่งของเหล่านี้ทำให้เขานึกถึงช่วงเวลาในขณะที่ยังมีชีวิต
“พรุ่งนี้!’
“ข้าจะเดินทางในคืนวันพรุ่งนี้! ข้าไม่สามารถอดทนรอต่อไปได้อีกแล้ว!”
ทันใดนั้นเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“นายท่าน” ชายวัยกลางคนเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม “ข้าคือเลขานุการส่วนตัวของท่านจ้าวฉิน หรือท่านจะเรียกข้าว่าเสี่ยวโจวก็ได้ ท่านจ้าวฉินได้รับสั่งให้ข้านำรายการสิ่งที่ต้องรู้เมื่อเดินทางกลับไปยังแดนมนุษย์มาให้ท่าน ท่านช่วยดูเอกสารเหล่านี้ก่อนได้หรือไม่? เมื่อท่านอ่านทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ท่านสามารถเลือกวันในการเดินทางได้ และทางเราจะได้เตรียมการทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อที่ท่านจะได้สามารถออกเดินทางได้ตามเวลาที่กำหนด”
“ดี…” จางเจ้อกวงสูดหายใจเข้าช้า ๆ และหยิบเอกสารขึ้นมา
บรรทัดแรกระบุเอาไว้ว่า “ความเสี่ยงในการกลับไปยังแดนมนุษย์!”
Comments