ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]บทที่ 480: 18 วัน
บทที่ 480: 18 วัน
จางเจ้อกวงระงับความดีใจของตัวเองและบังคับตัวเองให้อ่านเนื้อหาทั้งหมดอย่างละเอียด
หลายนาทีต่อมา เขาวางเอกสารทั้งหมดลงและเอ่ยออกมาเสียงดัง “หมายความว่ามันยังมีวิญญาณอีกจำนวนมากที่ยังเร่ร่อนอยู่ที่แดนมนุษย์ และพวกเขาก็มักจะถูกดึงดูดโดยเหล่าผู้มาเยือนจากยมโลกที่เดินทางกลับไปยังแดนมนุษย์สินะ…”
“แต่นั่นยังไม่ใช่ภัยคุกคามสูงสุด อันตรายสูงสุดอยู่ที่เขตไล่ล่าและเขตนักล่า และวิญญาณร้ายที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การตรวจจับ สัญชาตญาณบอกพวกเขาว่าวิธีที่ดีที่สุดในการเลื่อนขั้นก็คือกลืนกินซึ่งกันและกัน และบังเอิญการกลับไปยังแดนมนุษย์ของวิญญาณที่มีร่องรอยพลังหยินของยมโลกก็ถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในแหล่งอาหารชั้นยอดที่พวกเขาจะสามารถหาได้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมวิญญาณที่เดินทางไปยังแดนมนุษย์ถึงจำเป็นจะต้องมีผู้คุ้มกันติดตามไปด้วยระหว่างทาง”
“สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด มันยังมีองค์กรและผู้ฝึกตนเดี่ยวที่มักจะกำจัดวิญญาณทันทีที่เห็นอีกด้วย ข้าไม่เพียงต้องหลีกเลี่ยงเส้นทางของพวกเขาเท่านั้น แต่ข้ายังต้องคอยสังเกตสิ่งประดิษฐ์เวทย์และกับดักของพวกเขาอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น เหรียญทองแดงที่ดูเหมือนจะไม่เป็นภัยสามารถสั่งสมพลังหยางได้ในปริมาณมากจนขนาดที่ทำให้ดวงวิญญาณของข้าสลายไปได้…”
“แต่ถึงกระนั้น ความเสี่ยงพวกนี้ก็จะลดลงอย่างมากเมื่อมีเหล่าทหารของยมโลกเดินทางไปด้วย” เขาส่ายหน้าไปมาและอ่านต่อ
เนื้อหาส่วนที่เหลือของเอกสารนั้นเกี่ยวข้องกับจรรยาบรรณที่เขาจะต้องปฏิบัติตาม
“ประการที่ 1 ท่านสามารถเปิดเผยถึงการมีอยู่อย่างยมโลกได้ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่นอกเหนือจากนั้นจะต้องเป็นความลับสุดยอด ซึ่งนี่รวมถึงรายละเอียดที่เกี่ยวกับบุคลากรในยมโลก ตำแหน่งและข้อมูล หรือแม้แต่โครงสร้างภายในของยมโลก”
“ประการที่ 2 ท่านห้ามติดต่อกับมนุษย์คนใดนอกจากคนที่ท่านตั้งใจกลับไปหา นี่มันสมเหตุสมผลตรงไหนกัน? อ๋อ เข้าใจแล้ว…วิญญาณทุกตนที่เดินทางกลับไปยังคงถือว่าเป็นวิญญาณ มันอาจจะไม่เป็นอะไรที่จะติดต่อกับบุคคลอันเป็นที่รักหรือญาติของตนเอง แต่มนุษย์คนอื่นย่อมได้รับผลกระทบจากวิญญาณตนดังกล่าว และกระตุ้นให้เกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติขึ้น”
“ประการที่ 3 ท่านห้ามอยู่ในแดนมนุษย์เกินกำหนด”
“ประการที่ 4 ท่านไม่สามารถนำสิ่งของใด ๆ จากแดนมนุษย์กลับมาที่ยมโลกเป็นอันขาด ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องถูกส่งมาโดยผ่านการเผาเท่านั้น”
เลขาโจวยืนรออยู่ด้านข้างอย่างอดทนขณะที่จางเจ้อกวงอ่านเนื้อหาทั้งหมดในเอกสารเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมง เมื่อจางเจ้อกวงอ่านเสร็จ เขาก็เงยหน้าขึ้นและถอนหายใจออกมา
“ขอโทษด้วยที่ทำให้เจ้าต้องรอนาน” จางเจ้อกวงแย้มยิ้มและพยักหน้าให้กับเลขาโจว
“ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด รัฐมนตรีเจียง ท่านตัดสินใจได้แล้วหรือยัง? หากท่านตัดสินใจแล้ว ข้าจะนำคำตอบของท่านไปบอกท่านฉินทันที วันเดินทางนี้จะถือเป็นที่สิ้นสุดและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีกเมื่อเราระบุแล้ว”
“ข้าตัดสินใจได้แล้ว” จางเจ้อกวงยืนเอกสารให้กับเลขาโจว “เจ้าช่วยบอกให้ท่านจ้าวฉินช่วยเตรียมการสำหรับการเดินทางกลับไปยังแดนมนุษย์ของข้าในคืนพรุ่งนี้ทีได้หรือไม่?”
เลขาโจวพยักหน้าและเดินจากไปทันที จางเจ้อกวงอาศัยอยู่ค่อนข้างใกล้กับอาคารบริหารในเมืองชั้นในของพระราชวังแห่งการสะท้อนเงา ดังนั้นมันจึงใช้เวลาไม่นานก่อนที่เลขาโจวจะเดินทางกลับไปถึงที่ห้องทำงานของฉินเย่
เขาเคาะประตู จากนั้นก็เข้าไปทันทีที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป เขาโค้งคำนับ แต่ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยรายงาน เขาก็เงียบเอาไว้และรออยู่ที่ด้านข้างอย่างใจเย็นพร้อมกับรอยยิ้มบาง ๆ ที่ประดับอยู่บนใบหน้า
นายทหารผู้หนึ่งที่แต่งกายด้วยชุดเกราะโบราณกำลังนั่งอยู่ที่ตรงหน้าของฉินเย่ หลังจากที่ได้เป็นเลขานุการของฉินเย่มาเป็นระยะเวลาหนึ่ง เขารู้ดีว่าผู้ใดก็ตามที่สามารถนั่งอยู่ตรงข้ามฉินเย่และพูดคุยกับเด็กหนุ่มได้นั้นย่อมมีความสำคัญ ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่าตัวเองไม่ควรเอ่ยแทรก
“เจ้าจะเดินทางกลับไปที่เมืองเป่าอัน?” ฉินเย่พยักหน้าเบา ๆ ให้กับนายทหารตรงหน้า “มีเรื่องเร่งด่วนอย่างนั้นหรือ?”
“พอดีกระหม่อมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าอาทิตย์หน้าก็จะถึงวันเกิดของท่านพ่อแล้ว และมันก็จะเป็นวันเกิดแรกของท่านนับตั้งแต่ที่สวามิภักดิ์ต่อยมโลก ในฐานะของลูกชาย มันเป็นหน้าที่ของกระหม่อมในการเดินทางกลับไปแสดงความเคารพต่อท่าน” นายทหารหนุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เข้าใจแล้ว…” ฉินเย่เคาะนิ้วบนโต๊ะเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยอนุญาต “เช่นนั้นก็รีบไปและรีบกลับมา ตอนนี้เหล่าแม่ทัพตระกูลหยางได้เดินทางกลับไปที่ฟิลิปินัสหมดแล้ว ข้าหวังว่าจะฝากเรื่องเกี่ยวกับการทหารทั้งหมดให้เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะอย่างไรแล้ว การต่อสู้ทั้งหมดก็จะเกิดขึ้นโดยปราศจากอาวุธปืน และเจ้าก็คือผู้ที่มีประสบการณ์ในด้านนี้มากที่สุด แม่ทัพคนอื่น ๆ ที่ยอมจำนนต่อยมโลกยังคงมีสิ่งอื่นให้ต้องทำ”
“รับทราบ” ทหารวิญญาณนายนั้นลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับ “ท่านฉิน กระหม่อมอยากจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ ท่านพ่อชื่นชอบชาจีนเป็นอย่างมากในตอนที่ท่านยังมีชีวิต หากท่านอนุญาต กระหม่อมอยากจะขอนำชาไปให้ท่านด้วย”
ฉินเย่พยักหน้าเบา ๆ และโบกมือลาอีกฝ่าย หลังจากที่นายทหารหนุ่มเดินออกไป ฉินเย่ก็หันไปหาเลขาโจวและเอ่ยถาม “เลขาโจว ได้การว่าอย่างไรบ้าง?”
มันเป็นเพียงคำถามง่ายๆ
ฉินเย่รู้สึกว่ามันคือสิ่งที่เขาควรจะทำ เพราะอย่างไรแล้ว มันก็สืบเนื่องมาจากคำสั่งของเขาก่อนหน้านี้…
“ฝ่าบาท รัฐมนตรีจางได้ตัดสินใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เลขาโจวตอบกลับพร้อมกับโค้งคำนับ “เขาอยากจะเดินทางกลับไปยังแดนมนุษย์ในคืนวันพรุ่งนี้พ่ะย่ะค่ะ แต่ฝ่าบาท…กระหม่อมขอถามได้หรือไม่ว่าผู้ใดจะรับหน้าที่ในการคุ้มกันรัฐมนตรีจางขณะเดินทาง? ในตอนนี้ทางเรายังไม่มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการส่งคนคุ้มกันนะพ่ะย่ะค่ะ”
สิ่งนี้เป็นปัญหาอย่างแท้จริง…
ฉินเย่กุมขมับ เขามั่นใจว่า 99% ของทหารวิญญาณภายในนครเผิงชิวไม่รู้ถึงขั้นตอนที่ถูกต้องในการทำภารกิจคุ้มกัน ไม่มีผู้ใดที่รู้ถึงกระบวนการเหล่านี้ได้ดีเท่าอาร์ทิสและตัวเขาเอง แต่เขาจะต้องเดินทางไปส่งอีกฝ่ายที่แดนมนุษย์ด้วยตนเองอย่างนั้นหรือ?
จะต้องจัดตั้งแผนกคุ้มกันขึ้นมาทันทีที่มีเวลา… เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็เก็บความคิดเหล่านั้นไปและกลับมาสนใจปัญหาที่มีอยู่ในมือ แต่ภายในไม่กี่วินาทีเขาก็ต้องขมวดคิ้วยุ่ง
เพราะมันไม่มีใครให้ขอความช่วยเหลืออย่างไรเล่า!
อันตรายจากการภารกิจคุ้มกันนั้นอยู่ที่พวกวิญญาณร้ายที่อยู่ในแดนมนุษย์ ในเวลานี้ที่แดนมนุษย์มีเขตไล่ล่าอยู่เต็มไปหมด และมันก็มีไม่น้อยเลยที่จะมีวิญญาณขั้นนักล่าวิญญาณอาศัยอยู่ ทางที่ปลอดภัยที่สุดก็คือส่งผู้คุ้มกันที่อยู่ขั้นนักล่าวิญญาณเหมือนกันไปในภารกิจนี้ นี่คือครั้งแรกที่บุคคลในยมโลกเดินทางกลับไปยังแดนมนุษย์ และเขาก็ไม่ต้องการให้มีเรื่องอะไรผิดพลาด
เพราะอย่างไรแล้ว นี่ก็เพื่อจะเป็นแรงจูงใจให้กับวิญญาณตนอื่นตั้งใจทำงาน
แต่ทว่าช่างน่าเสียดาย ยมทูตส่วนใหญ่ของเขาต่างกำลังทำงานในฐานะของผู้ตรวจสอบอดีตกรรมอยู่ที่เมืองเป่าอัน…
จากนั้น…หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉินเย่ก็ตัดสินใจ “ข้าอยากจะให้เจ้าไปหาชายที่เพิ่งเดินออกไปเมื่อครู่นี้”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอทราบได้หรือไม่ว่าเขามีนามว่าอะไร?”
“โอดะ โนบุทาดะ” ฉินเย่เอ่ยตอบ “บอกเขาให้อยู่คุ้มกันรัฐมนตรีจางก่อนที่เขาจะเดินทางกลับไปที่เมืองเป่าอัน มันอาจจะทำให้การเดินทางของเขาล่าช้าลงเล็กน้อย แต่เราจะชดเชยให้ จากนั้นให้เจ้านำทางเขาไปหารัฐมนตรีจางทันที”
………………………………………………………
ภายในที่พำนักเคลื่อนที่ ณ ที่ใดสักแห่ง
เปลวไฟจากเทียนลุกโชนอยู่บนเชิงเทียนที่ตั้งอยู่ทั้งสองฝั่งของห้อง ผ้าม่านสีเขียวอ่อนซึ่งถูกแขวนลงมาจากคานด้านบนพริ้วไหวไปมาตามสายลมที่พัดเข้ามา ร่างเงาของชายผู้หนึ่งสามารถมองเห็นได้จากด้านหลังของม่าน
สายลมที่กวาดไปทั่วห้องพัดพาเสียงร้องอันโหยหวนและคร่ำครวญอย่างน่าสะพรึงกลัวให้ได้ยินเบา ๆ บรรยากาศโดยรอบเย็นยะเยือก
ไร้เงาหมอบอยู่กับพื้นโดยที่ศีรษะก้มต่ำที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อย แต่ร่างกายของเขากลับสั่นเทาอย่างรุนแรง
เขาไม่แม้แต่จะกล้าเงยหน้าขึ้นมามองร่างเงาที่อยู่ด้านหลังม่าน พลังหยินอันน่าสะพรึงกลัวที่แผ่ออกมาจากร่างดังกล่าวนั้นราวกับภูเขาขนาดใหญ่และท้องทะเลอันไร้ขอบเขต มันน่ากลัวจนผู้ไร้เงาอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นอย่างยอมจำนน
หลังจากเงียบอยู่พักใหญ่ ชายที่อยู่หลังม่านก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่แหบพร่า “เจ้ากำลังจะบอกว่ายมทูตตนนั้นได้ขอให้เจ้านำข้อความมาให้ข้าอย่างนั้นหรือ?” ผู้ไร้เงาพยักหน้า “ถูกต้องแล้วนายท่าน เขาบอกว่าเขามาจากหมู่บ้านซึนะงาคุเระ และมีนามว่าซาโซริ ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลยสักนิด”
“ซาโซริ…แห่งหมู่บ้านซึนะงาคุเระ?” ชายที่อยู่หลังม่านครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแค่นหัวเราะออกมา “ไร้สาระ ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนั้นมาก่อน แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าผู้เลี้ยงวิญญาณนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเขาคือยมทูต”
“นายท่าน...” ผู้ไร้เงาลอบกลืนน้ำลาย “ขะ เขายังบอกอีกว่า…”
ชายหลังม่านจ้องคนตรงหน้าเขม็ง เขาสามารถบอกได้เลยว่าแววตาของไร้เงากำลังสั่นเทาอย่างรุนแรง และไม่กี่วินาทีต่อมา ผู้ไร้เงาก็ก้มศีรษะจนหน้าผากแนบติดกับพื้นและกัดฟันแน่นขณะที่เอ่ยออกมาจนจบประโยค “เขาบอกว่า…เขาคือนายเก่าของท่าน”
“บังอาจ!!” ชายคนดังกล่าวตะคอกออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว ส่งผลให้ผ้าม่านที่กั้นอยู่ระหว่างกลางของทั้งสองกระพืออย่างรุนแรง เผยให้เห็นชายผู้หนึ่งที่นั่งอยู่บนบัลลังก์อันสง่างามพร้อมกับจุดสีแดงสองจุดในส่วนที่ควรจะเป็นดวงตา
เช่นเดียวกันกับหลายจวิ่นเฉินและหลี่หลินฝู่ นี่คือสัญญาณของลูกไฟวิญญาณคน ๆ หนึ่งที่เหือดแห้งหลังจากที่ถูกปราบปรามโดยอำนาจของกงล้อแห่งสังสารวัฏมาเป็นเวลานาน!
“ยมโลกแห่งเก่าไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว” ชายที่อยู่หลังม่ายกัดฟันและเอ่ยออกมาเสียงเบา “นี่คือสิ่งที่หลิวอวี้ได้บอกข้าด้วยตัวเอง… หึหึ… เราอาจจะไม่ได้มีความสัมผัสอันดีต่อกัน แต่เขาไม่มีทางโกหกเกี่ยวกับเรื่องแบบนั้นเด็ดขาด นายเก่าอย่างนั้นหรือ? หึหึ…ถ้าคิดว่าข้าจะมานั่งอยู่ตรงนี้หรือหากจ้าวนรกองค์ที่สองยังอยู่แถวนี้? หรือบางที…”
พรึ่บ…
เสียงอู้อี้บางอย่างดังขึ้นติดต่อกัน และทันใดนั้นเปลวไฟในดวงตาของไร้เงาก็ต้องลุกโชนอย่างรุนแรง
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่ามีมือจำนวนมากยื่นออกมาจากเสื้อผ้า ผม และหลังของเขา! และจำนวนของมันก็ยังคงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ!
มันคือมือของทารก!
แต่ถึงกระนั้น พวกมันกลับปกคลุมไปด้วยรอยจ้ำสีคล้ำของศพ…จุดที่บ่งบอกถึงความตายอย่างชัดเจน!
จากนั้น ด้วยการปะทุของพลังหยิน มือจำนวนนับไม่ถ้วนก็จับร่างของไร้เงาเอาไว้อย่างแน่นหนา แทงนิ้วของพวกมันเข้าไปในผิวหนัง ดวงตา และริมฝีปากของเขา! ไร้เงาส่งเสียงกรีดร้องออกมาทันทีขณะที่เขาดิ้นรนไปมากับพื้น!
“นายท่าน... นายท่าน!! เมตตา!!! โปรดเมตตา!!” เสียงร้องของเขาดังก้องไปทั่วทั้งห้อง แต่อีกฝ่ายกลับเอ่ยด้วยเสียงที่เรียบนิ่งดังเดิม แทบจะเหมือนกับว่าเขาจะไม่ได้สนใจเกี่ยวกับชีวิตของไร้เงาเลยสักนิด “หรือเจ้ากำลังจะบอกข้าว่าตอนนี้…เจ้าได้กลายเป็นข้ารับใช้ของยมโลกไปแล้ว?”
ความเจ็บปวดที่มากเกินจะบรรยายได้ฉีกกระชากดวงวิญญาณของไร้เงา
เขารู้สึกได้ว่าการโจมตีนี้กำลังพุ่งตรงไปที่ดวงวิญญาณของเขา และพลังหยินจำนวนมากก็รั่วไหลออกมาจากร่างราวกับลูกโป่งที่ยุบตัวเร็วอย่างรวดเร็ว เสียงของเขาแหลมสูงขึ้นจากความตื่นตระหนกที่มากเกินไป “ไม่…หยุดเถิดนายท่าน! หยุดเถิด! ข้าเพียงแค่ได้รับคำสั่งมาให้ส่งสารเท่านั้น! ข้ายังไม่อยากตาย!”
นี่คืออำนาจของขั้นฝู่จวิน
มันคือตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดรองลงมาจากขั้นพระยม ตัวตนที่สามารถปกครองวิญญาณครั้งมณฑลได้อย่างง่ายดาย
“ข้าได้ยินเจ้า…เอ่ยชื่อของข้าที่เมืองหวู่หยาง” ขณะที่ไร้เงายังคงกรีดร้องออกมาสุดปอด เขาก็รู้สึกได้ว่ามีมือจำนวนมากโผล่ออกมาจากลำคอและปากของเขา! มันแทบจะเหมือนกับว่าในร่างของเขามีวิญญาณร้ายอาศัยอยู่ และมันก็พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะทลายเปลือกที่อยู่ด้านนอกออก! มันเป็นภาพที่แปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก!
“อึก...อ่อก...แค่ก แค่ก อั่กกก!!”
ไร้เงายังคงดิ้นไปมา ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความกลัว และร่างของเขาก็สั่นเทาอย่างบ้าคลั่ง น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถเปล่งคำพูดอะไรออกไปได้อีกแล้วเนื่องจากมือจำนวนมากที่ยื่นออกมาจากปาก
“ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าข้าจะรู้ได้ทันทีหากมีผู้ใดเอ่ยชื่อของข้า แต่แม้ว่าจะรู้อย่างนั้น…เจ้าก็ยังเอ่ยชื่อของข้าออกไป?”
“ทำไม?”
“และกับผู้ใด?”
“แถมเจ้ายังกล้ากลับมาที่นี่ทั้ง ๆ ที่กระทำเช่นนั้นไปแล้ว? ไร้เงา…เจ้าคิดจริง ๆ น่ะหรือว่าข้าจะไม่กล้าทำอะไรเจ้าเพียงเพราะว่าเจ้าคือตุลาการนรก?”
ทันใดนั้น ชายคนดังกล่าวก็กรีดร้องออกมาสุดเสียง มือขาวซีดที่ทรมานร่างของไร้เงาอยู่พลันสลายไป และลำแสงสีทองก็ปะทุออกมาจากอกของไร้เงาพร้อมกับเสียงที่ดังสนั่น!
พรึ่บ…
แสงสว่างสาดส่องไปทั่วทั้งห้องภายในฉับพลัน สะท้อนให้เห็นร่างของชายที่อยู่หลังม่านเป็นครั้งแรก
เขาสวมเสื้อคลุมสีแดงเข้มที่ปักด้วยลายดอกไม้สีขาวและเข็มขัดที่เข้าชุดกัน ดาบหยกที่ประดับด้วยพู่ห้อยอยู่ข้างเอว ใบหน้าของเขาซีดเผือด ราวกับว่ามันไม่มีเลือดไหลผ่านเส้นเลือดเลยแม้แต่นิดเดียว นอกจากนี้ร่างของเขายังผอมแห้งราวกับกระดูก และมีเพียงจุดสีแดงเล็ก ๆ สองจุดอยู่ที่ดวงตาเท่านั้น
ในวินาทีนั้น ชายหลังม่านก็อ้าปากกว้างและกรีดร้องออกมาอย่างโหยหวนขณะที่พยายามหาที่กำบังตัวเองจากแสงประกายเจิดจ้าดังกล่าว “อ๊ากกกกก!!!!” โชคดี ที่การปะทุของแสงนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว และไม่กี่เสี้ยววินาทีถัดมา แสงทั้งหมดจะถูกดึงกลับไปรวมอยู่ที่กลางห้อง ก่อนจะก่อตัวเป็นเกล็ดสีทองที่ยังคงลอยอยู่กลางอากาศ
“แฮ่ก...แฮ่ก...”
ม่านที่กระพืออย่างรุนแรงกลับเป็นปกติอีกครั้ง ในขณะที่เขากุมเข้าที่หน้าอกของตัวเอง จ้องมองไปยังเกล็ดที่ยังลอยอยู่บนฟ้าด้วยความตกตะลึง หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็กรีดร้องออกมา “นี่มัน… ตะ ตี้ทิงอย่างนั้นหรือ?!!!”
“เป็นไปได้อย่างไร?! เหตุใดตี้ทิงถึงยังอยู่?! หากเขายังอยู่ เหตุใดเขาถึงไม่ทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเขา?! นี่มันเป็นไปไม่ได้!!”
เขากรีดร้องและพูดกับตัวเองราวกับคนเสียสติ ความหวาดกลัวที่มีต่อยมโลกแห่งเก่าผุดขึ้นมาจากส่วนลึกของจิตใจ มันเป็นฝันร้ายที่เขาอยากจะทิ้งไว้ในอดีต และเขาก็ไม่ต้องการที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนั้นอีก!
ยมโลกแห่งเก่ามียมทูตอยู่มากมาย และยังประกอบไปด้วยฝู่จวิน พระยมแห่งพระตำหนักทั้งสิบ รวมถึงราชันย์วิญญาณทั้งหกที่เดินเตร่ไปทั่วทั้งดินแดน ตัวตนเหล่านี้ล้วนสามารถดึงเขากลับไปยังพื้นดินที่เขาเคยถูกทรมานมาหลายชั่วอายุคนได้!
และนี่…ก็เป็นเกล็ดของหนึ่งในตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในยมโลกแห่งเก่า สัตว์เลี้ยงที่น่ารักของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ ตี้ทิง อย่างไม่ต้องสงสัย!
กึก กึก กึก…
ฟันของเขาเริ่มกระทบกันขณะที่เขายังคงจับจ้องไปที่เกล็ดที่ยังลอยอยู่กลางอากาศ ร่างของเขาโค้งงอเล็กน้อย พร้อมที่จะลงมือทันทีที่สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ แทบจะเหมือนกับว่าเขาคือเม่นที่ได้พบกับนักล่าที่ดุร้ายไม่มีผิด
เขามีความคิดที่จะหนี แต่ก็ไม่สามารถเช่นนั้นทำได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงจ้องมองมันต่อไปเป็นระยะเวลากว่าสิบนาที จนกระทั่งพบว่าเกล็ดดังกล่าวเพียงแค่เปล่งแสงสีทองออกมา จากนั้น เขาก็ผ่อนคลายความเครียดและนั่งลงบนบัลลังก์ตามเดิม
แกร็ก!
แต่ทันทีที่เขาทำเช่นนั้น บริเวณอกช่วงล่างของเขาก็แยกออก เผยให้เห็นช่องว่างขนาดใหญ่อยู่ที่กลางอก
ร่างของทารกที่เปียกโชกไปด้วยน้ำของศพได้ยื่นหน้าออกมา ดวงตาของเขาลุกโชนด้วยเปลวไฟนรกสีแดง พร้อมกับเสียงกรีดร้องที่แหลมสูง เด็กทารกเปิดปากออก และลิ้นของเขาก็พุ่งออกไปราวกับสายฟ้า พันรอบลำคอของไร้เงาและดึงร่างของอีกฝ่ายเข้ามาหาตัว
“เขาพูดว่าอย่างไร?!” ทารกคนนั้นกัดฟันแน่น “บอกข้ามาให้ละเอียด อย่าปกปิดแม้แต่นิดเดียว…”
Comments