ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]บทที่ 481: 17 วัน
บทที่ 481: 17 วัน
ทันใดนั้น เสียงระฆังก็ดังขึ้น ทำให้ทุกอย่างภายในห้องพลันเงียบลงเสียง
มันเป็นเสียงระฆังที่ดังขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น!
ระฆังดังกล่าวห้อยอยู่ภายในพระราชวัง และการลั่นเพียงครั้งเดียวก็หมายความอีกวันหนึ่งวันได้ผ่านไปแล้ว…
ด้วยเหตุผลบางประการ เสียงที่คุ้นเคยของระฆังดูเหมือนจะทำให้ชายที่อยู่หลังม่านสงบลง เขาชะงักไปครู่หนึ่งและรวบรวมสติ ก่อนจะโยนร่างของไร้เงาลงกับพื้นดังเดิมและเงียบไป
แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าชายคนดังกล่าวไม่เอ่ยอะไรออกมาไม่ได้หมายความว่าไร้เงาก็จะไม่เอ่ยอะไรออกมาเช่นกัน ไร้เงารีบแนบหน้าผากลงกับพื้นอีกครั้ง ตัวสั่นเทาขณะที่เอ่ยวิงวอนด้วยเสียงที่เบาหวิว “เขาบอกว่า…เขาต้องการจะพบท่าน แต่เขาไม่ได้บอกว่าเพราะเหตุใด ข้าสาบานได้เลยว่านี่คือทั้งหมดที่เขาพูดมา! เขาไม่ได้เอ่ยอะไรอีกเลย!”
ชายหลังม่านขมวดคิ้วเล็กน้อย เดิมทีเขาคิดที่จะกำจัดดวงวิญญาณของไร้เงาทิ้งเสีย แต่เสียงระฆังที่ดังขึ้นกลับทำให้เขาละทิ้งเจตนาฆ่าไปอย่างน่าประหลาด
เงียบกริบ…
เขาจ้องมองไปยังร่างที่หมอบอยู่ตรงหน้า ก่อนจะหันไปมองเกล็ดสีทองที่ลอยอยู่กลางอากาศ พลังหยินพรั่งพรูออกมาจากร่าง ก่อนจะถูกดูดกลับไป และระเบิดออกมา จากนั้นก็หายไปอีกครั้ง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็สลายพลังหยินทั้งหมดและเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่แหบพร่า “กลับไปบอกเขา”
“บอกให้เขามาที่เมืองชางหลานภายในลิมโบ ข้าจะเป็นคนต้อนรับเขาด้วยตัวเอง!”
……………………………………………
กลับมาที่ลิมโบ
พรึ่บ…
ตี้ทิงจ้องมองไปอย่างใจจดใจจ่อขณะที่โชคชะตาเริ่มทำงานเมื่อเข็มนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืน
ชื่อแรก...ฉินฮุ่ย!
“ราชาผีแห่งพิภพอสูร…” ดวงตาของตี้ทิงหรี่ลงเล็กน้อย วงล้อแห่งโชคชะตาไม่สามารถหยุดลงได้อีกต่อไปเมื่อมันเริ่มหมุน ราชาผีแห่งพิภพอสูรจะต้องพบกับฉินเย่อยู่แล้วแม้ว่าโชคชะตาจะไม่ได้เข้ามาแทรกก็ตาม แต่ถึงกระนั้น ตี้ทิงก็ไม่เข้าใจเลยว่าทั้งสองจะมาพบกันได้อย่างไรภายในระยะเวลาแค่ 18 วัน… เรื่องทั้งหมดนี้จะจบลงอย่างไร?
มันจำได้ว่าก่อนหน้านี้จ้าวนรกองค์ที่สองเคยพูดเอาไว้ว่า โชคชะตาจะนำมาซึ่งการมาบรรจบกันของความบังเอิญ แต่ไม่มีผู้ใดสามารถพูดได้อย่างแน่ใจว่ามันจะมีอันตรายใด ๆ รออยู่ท่ามกลางความบังเอิญเหล่านี้หรือไม่
นอกจากนี้ เขายังสามารถบอกได้ด้วยว่าโชคชะตายังเขียนชื่อของฉินฮุ่ยไม่จบ
นี่หมายความว่าอีกฝ่ายจะต้องมีส่วนร่วมอีกครั้งในภายหลัง
ปัจจัยและความบังเอิญที่ดูเหมือนจะไม่เชื่อมโยงกันเหล่านี้จะมาบรรจบกันอย่างสมบูรณ์ภายในช่วย 18 วันนี้ราวกับการแสดงบนเวทีขนาดใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างมีวัตถุประสงค์ และทั้งหมดก็จะชี้ไปที่จุดจบเดียวกัน และนั่นก็คือตอนที่ม่านการแสดงปิดฉากลง
และในขณะที่ตี้ทิงกำลังจะจมอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง โชคชะตาก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง
พรึ่บ…
ลีจองซุก!
ยักษ์ทมิฬ คาราสุเท็งงุ!
“ยักษ์ทมิฬ… คาราสุเท็งงุ?” ตี้ทิงมองชื่อทั้งสองเป็นเวลานาน ก่อนจะถอยกลับมาและหรี่ตาลงเล็กน้อย “พวกนั้นมาที่จีนอย่างนั้นหรือ? กล้าดีจริง ๆ! พวกเขาแอบลอดผ่านอาณาเขตเวทแห่งมหาเทพทั้งเก้ามาได้อย่างไร? โชคไม่ดีจริง ๆ ที่พวกเขามาในตอนที่ข้าสามารถรวบรวมพลังได้แต่สำหรับการโจมตีเดียวเท่านั้น แถมข้ายังไม่สามารถระบุตำแหน่งการโจมตีได้อีกด้วย ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ข้าจะมองผ่านลิมโบและทะลุไปยังแดนมนุษย์เพื่อดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่…”
อสูรศักดิ์สิทธิ์ขมวดคิ้วเข้าหากันราวกับมนุษย์ มันอยากรู้จริง ๆว่าภัยอันตรายนั้นจะมาจากที่ใด?
ราชาผี?
วิญญาณญี่ปุ่นอีกสองตน?
“พวกนี้ไม่ใช่วิญญาณธรรมดา… อย่างน้อยก็เคยถูกยกย่องว่าเป็นพี่น้องกับเทพแห่งความตายของญี่ปุ่น แต่น่าเสียดายที่สำหรับพวกเขาแล้ว ญี่ปุ่นนั้นเล็กเกินไป และระดับการฝึกตนของพวกเขาก็สามารถไปถึงได้แค่ขั้นตุลาการนรกระดับสูงเท่านั้น ด้วยการมีอิซานามิที่ยังคงยึดจุดสูงสุดเอาไว้แน่น มันจะไม่มีผู้ใดสามารถเติบโตขึ้นได้ แต่ถึงกระนั้น วิญญาณญี่ปุ่นทั้งสองตนนี้ก็สามารถอัญเชิญกลุ่มวิญญาณของตัวเองได้ มันไม่ต่างอะไรกับราตรีขบวนร้อยอสูรของฉินเย่ ต่อให้เป็นในยมโลกแห่งเก่า ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็สามารถทำให้พวกเขาอยู่ใน 50 อันดับแรกได้อย่างง่ายดาย หรืออาจจะ 20 อันดับแรกของขั้นตุลาการนรกทั้งหมดเลยก็ได้”
พวกเขาเหล่านี้มีความสามารถที่จะคุกคามจ้าวนรกองค์ปัจจุบันแห่งยมโลกได้อย่างแน่นอน
มันจ้องไปที่ชื่อของฉินฮุ่ย จากนั้นก็เหลือบไปที่ชื่อของญี่ปุ่นทั้งสอง… มันไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะดำเนินไปเช่นไร?
……………………………………………………
“นี่มันอะไรกัน?” นิ้วมือเรียวยาวชี้ไปที่ตู้กระจก มัคคุเทศก์ชายที่สวมเสื้อกั๊กสีดำและเสื้อเชิ้ตสีขาวรีบอธิบายด้วยรอยยิ้ม “นี่คือวัตถุโบราณจากสมัยราชวงศ์ซาง ชิ้นนั้นคือรูปปั้นบรอนซ์รูปเสือ ส่วนอีกชิ้นคือรูปปั้นมังกรทองสัมฤทธิ์ครับ ที่ผ่านมาจากทั่วทั้งแผ่นดินจีน เราขุดเจอรูปปั้นนี้เพียงแค่ชุดเดียวเท่านั้น ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่ของที่พิเศษนัก แต่มันก็ยังมีมูลค่ามากมายมหาศาล ตามรายงานแล้ว…”
“ฉันไม่ได้พูดถึงพวกนั้น” บุคคลที่มัคคุเทศก์ชายกำลังอธิบายรายละเอียดทั้งหมดลดมือลง เธอคือหญิงสาวที่มีใบหน้างดงามผู้สวมแว่นตากันแดดเอาไว้ ราวกับว่ามันถูกออกแบบมาเพื่อปกปิดใบหน้าของเธอจากโลกภายนอก
เธอคือสาวงามผู้ครอบครองเรือนร่างอันสมบูรณ์แบบ ทักษะการแต่งตัวที่เป็นเลิศ และออร่าของความสูงศักดิ์ มันอาจจะสามารถพูดได้เลยว่าคำ ๆ เดียวที่สามารถอธิบายเธอได้ก็คือ…พิเศษ
และนั่นก็คือเธอ
แม้ว่าจะกำลังสวมแว่นกันแดด แต่ผู้ที่พบเห็นก็สามารถคาดเดาสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่จากสิ่งที่พวกเขาเห็นได้ ทุกสิ่งทุกอย่างชี้ชัดไปที่เครื่องหน้าที่ลงตัวและสมบูรณ์แบบ ไหนจะเครื่องแต่งกายที่เรียบง่ายแต่หรูหราอย่างเสื้อเชิ้ตคอปกลายลูกไม้สีขาวและกระโปรงที่มีความยาวพอดีเข่า และยังต่างหูทับทิมประดับพู่สองชิ้นช่วยเพิ่มความสูงศักดิ์ให้กับเธอมากขึ้นอีก
ไม่มีผู้ใดอยู่ภายในหอจัดแสดงอีกนอกจากเธอและคนคุ้มกันทั้งเจ็ด นอกจากนี้ยังมีเด็กอีกสองคนที่จับมือของเธออยู่ ทั้งคู่ดูน่าจะอายุประมาณ 7-8 ขวบเท่านั้น
มัคคุเทศก์ชายไม่กล้าสบตากับเธอเลยสักนิด เขารู้ดีว่าพิพิธภัณฑ์ทุกแห่งภายในเมืองชางหลานได้ถูกปิดลงเป็นเวลาหนึ่งวันเพียงเพราะเหตุผลที่ว่าผู้หญิงคนนี้เดินทางมาเข้าชม ถึงแม้ว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะถูกเปิดมากว่าหลายสิบปีแล้ว แต่เหตุการณ์เช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง เขาไม่กล้าแม้แต่จะเดาว่าผู้หญิงคนนี้คือใคร ทั้งหมดที่เขารู้ก็คือเธอถูกเรียกว่า ‘คุณลี’ และเธอก็ดูสง่างามและสูงศักดิ์อย่างไม่น่าเชื่อ
และตอนนี้ คุณลีก็กำลังชี้ไปที่แผ่นหินแผ่นหนึ่ง
แผ่นหินดังกล่าวเก่าและมีฝุ่นขึ้นเต็มไปหมด ไหนจะรอยแตกที่ปรากฏให้เห็นไปทั่ว แต่ถึงกระนั้น ทางพิพิธภัณฑ์ก็ไม่มีทางแสดงสินค้าลอกเลียนแบบ ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่จะต้องเป็นของแท้ทั้งหมด มัคคุเทศก์ชายเหลือบมองไปที่มันและแย้มยิ้มให้กับหญิงสาว “นี่คือวัตถุโบราณที่ถูกขุดขึ้นมาพร้อมกับรูปปั้นเสือและรูปปั้นมังกร เราสันนิษฐานว่ามันน่าจะถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมบางอย่างในสมัยราชวงศ์ซาง มันคือแผ่นหินที่มีรูปสลักของท่านจ้าวนรกครับ หากคุณลองสังเกตดี ๆ รูปสลักนี้สลักให้เห็นรูปเต็มตัวของท่านจ้าวนรก มันมีอยู่เพียงแค่สามแผ่นเท่านั้นจากทั่วทั้งจีน”
ร่างของหญิงสาวสั่นเทาเล็กน้อย จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นและแย้มยิ้มออกมาขณะที่กลับหลังหันและเดินจากไป “ช่างเป็นการเปิดหูเปิดตาจริง ๆ ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่าท่านจ้าวนรกของยมโลกมีนามว่าฉินเย่”
มัคคุเทศก์ชายยิ้มและพยักหน้า จากนั้นเขาก็นิ่งไป
“ฉินเย่?” มัคคุเทศก์ชายถาม “ไม่ใช่นะครับ ท่านจ้าวนรกของยมโลกนั้นมักเป็นที่รู้จักกันในฐานะของเทพผู้ไร้นามมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล...”
หญิงสาวที่เพิ่งเดินจากไปชะงักและกลับหันหลังทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น “ไร้นาม?”
“ครับ” มัคคุเทศก์ชายหันไปมองที่แผ่นหิน “ในทำนองเดียวกัน แผ่นหินแผ่นนี้ก็ไม่มีชื่อของท่านจ้าวนรก...เอ๊ะ?!”
เขาคือมัคคุเทศก์ที่มีฝีมือดีที่สุดในพิพิธภัณฑ์ และเขาก็มีชื่อเสียงจากการดำเนินข้อมูลที่ไหลลื่นและปะติดปะต่อกัน หากพูดกันโดยทั่วไปแล้ว มันจะไม่มีการสะดุดเลยในขณะที่เขาพาแขกเดินชมพิพิธภัณฑ์ แต่ถึงกระนั้น แม้แต่เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไปกับสิ่งที่เห็นบนแผ่นหิน
แผ่นหินดังกล่าวมีความสูงประมาณสองเมตร และประติมากรรมนูนที่สลักอยู่บนแผ่นคือรูปของชายหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมยาวพร้อมด้วยสีหน้าสดใส แต่สิ่งที่น่ากระหลาดใจมาที่สุดก็คือคำที่ปรากฏอยู่ด้านหลังของรูปนั้นอย่างลึกลับ
จ้าวนรก...ฉินเย่
เป็นไปได้อย่างไร?!
นี่มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่?!
เป็นไปไม่ได้! นี่คือแผ่นหินแท้…แต่มันกลับไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่ามีคำเหล่านี้ถูกเขียนอยู่! คำพวกนี้ปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่?
ในขณะนั้นเอง คลื่นกระแทกก็กระเพื่อมออกมา และทั้งหอแสดงก็ถูกปกคลุมไปด้วยม่านหมอกสีดำ ทันใดนั้นเหล่าผู้คุ้มกันและล้มลงกับพื้น
“ลีจองซุก… นี่เจ้าลืมคำเตือนของเราไปแล้วอย่างนั้นหรือ?” เด็กชายที่อยู่ทางซ้ายมือยังคงนิ่งเฉยขณะที่เขาหันหน้าไปเผชิญหน้ากับหญิงสาว พลังหยินจำนวนมากหลั่งไหลออกมาจากรูขุมจนทั้งหมด และยักษ์ทมิฬก็ปรากฏขึ้นจากกลุ่มก้อนพลังหยินนั้น มันมีลักษณะคล้ายกับสุนัขสีขาว เสื้อคลุมและเส้นผมพริ้วไหวอย่างรุนแรงขณะที่มันแยกเขี้ยวอันแหลมคมใส่ลีจองซุก
“ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว… แต่เจ้ากลับดูเหมือนจะไม่ได้เก็บมันมาใส่ใจเลยสักนิด…” ทันใดนั้นเด็กชายทางด้านขวาก็เงยหน้าขึ้นมา ผิวหนังของเขาฉีกออก และคาราสุเท็งงุก็โผล่ออกมาจากกลุ่มก้อนพลังหยิน น้ำลายที่มีกลิ่นเหม็นเน่าของมันหยดลงมาไม่หยุด จากนั้นมันก็คว้ามือของลีจองซุกและง้างมันออก เผยให้เห็นเล็บสีดำที่จิกลึกเข้าไปในฝ่ามือของหญิงสาว แต่สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือมันกลับไม่มีร่องรอยของเลือดให้เห็นเลยสักนิด
และมันก็เป็นเพราะเล็บนี้เองที่ทำให้ร่างของเธอสั่นเทาก่อนหน้านี้
“เจ้ากำลังพยายามขอความช่วยเหลือจากยมโลกของจีนอย่างนั้นหรือ?” ยักษ์ทมิฬจ้องมองลีจองซุกเขม็ง
แต่ถึงกระนั้น เธอกลับหัวเราะออกมาเบา ๆ “คุณคิดว่าฉันจะทำเรื่องโง่ ๆ พวกนั้นหรือ? ฉันเพียงแค่สงสัยเท่านั้น”
ฟึ่บ!
ใบหน้าที่น่าเกลียดของคาราสุเท็งงุพุ่งขึ้นมาจ่อตรงหน้าของเธอด้วยสีหน้าที่บิดเบี้ยว “สงสัย?”
“คุณไม่คิดว่ามันน่าสงสัยหรอกหรือ?” ลีจองซุกดันหัวของคาราสุเท็งงุออกไปอย่างไม่เกรงกลัวและชี้ไปที่ตู้กระจกอีกครั้ง “ฉันค่อนข้างคุ้นเคยกับวัฒนธรรมของจีนเป็นอย่างดี ท่านจ้าวนรกแห่งยมโลกนั้นเป็นที่รู้กันว่าเป็นตัวตนที่ไร้นาม ดังนั้นเหตุใดถึงมีชื่อปรากฏขึ้นบนแผ่นหินที่สลักถึงท่านจ้าวนรกแห่งยมโลกกัน?”
“นี่คือสิ่งที่แสดงถึงยุคศักดินาของจีน มันเป็นข้อห้ามที่จะเอ่ยนามของท่านโดยตรง แต่จะใช้สรรพนามแทน พวกคุณเคยได้ยินกษัตริย์องค์ใดถูกเอ่ยถึงโดยใช้ชื่อของพระองค์บ้างล่ะ? นอกจากนี้ คุณเห็นสีหน้าของมัคคุเทศก์ชายไหม? มันเห็นได้ชัดเลยว่าเขาไม่เคยเห็นคำพวกนี้ปรากฏอยู่บนแผ่นหินมาก่อน”
คาราสุเท็งงุหรี่ตาลง “แผ่นหินนี่…อาจจะเป็นของปลอม?”
“มันเป็นของจริง” ยักษ์ทมิฬเดินเข้ามาใกล้ตู้กระจกและวิเคราะห์แผ่นหินดังกล่าว “ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความโบราณออกมาจากมัน และมันยังมีแม้กระทั่ง…ร่องรอยของพลังหยินที่ทรงอำนาจอีกด้วย มันน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก แทบจะเหมือนกับว่าเราจะถูกบดขยี้ได้ในทันทีที่เราสัมผัสกับอะไรแบบนั้น นอกจากนี้ ตัวตนของลีจองซุกและเงินลงทุนมหาศาลที่นางได้ทุ่มเทไปกับเมืองชางหลาน พวกเขาไม่มีทางคิดที่จะหลอกตานางด้วยของปลอมเป็นอันขาด”
“แล้ว… มันหมายความว่าอย่างไร?”
เงียบ…
ไม่กี่วินาทีต่อมา ยักษ์ทมิฬก็เอ่ยออกมาว่า “การเปลี่ยนแปลงของราชวงศ์”
“จ้าวนรกองค์ใหม่ของยมโลกกำลังจะปรากฏตัว–… หรือบางทีข้าควรจะพูดว่า เขาได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว และเขาก็กำลังแสดงตัวให้ทั่วทั้งโลกได้รู้จัก!”
เขาเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดอย่างไม่สามารถหาที่เปรียบได้!
นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เลยสักนิด การเปลี่ยนแปลงยุคสมัยของราชวงศ์อาจไม่ได้มีความหมายอะไรต่อยมโลก แต่…การเปลี่ยนแปลงยุคสมัยราชวงศ์ของโลกใต้พิภพอันทรงพลังที่สุดแห่งหนึ่งนั้นถือว่าเป็นข่าวที่สร้างความตกตะลึงให้กับโลกใต้พิภพขนาดเล็กกว่าที่อยู่โดยรอบอย่างไม่ต้องสงสัย!
จ้าวนรกองค์ใหม่ของยมโลกเป็นอย่างไร?
เขาเป็นพวกเก่งกาจหรืออ่อนแอ?
เขาจะเดินทัพโจมตีชาติอื่นหรือไม่? ข้อเสนอทางการเมืองของเขาเป็นอย่างไร? และเขามีความคิดเห็นอย่างไรต่อสถานการณ์โลกในตอนนี้?
บางทีนี่อาจจะเหมือนกับการเปลี่ยนแปลงประธานาธิบดีของหนึ่งในประเทศมหาอำนาจของโลกอย่างอูโซเนียก็เป็นได้!
“ข้าคิดว่า…ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดข้าจึงไม่เห็นยมทูตของจีนอยู่แถวนี้” ยักษ์ทมิฬลดมือลงและเอ่ยด้วยแววตาที่เป็นประกาย
ลีจองซุกที่ยืนอยู่ด้านหลังวิญญาณร้ายทั้งสองหลับตาลง “พวกคุณไม่คิดที่จะหาแหล่งข้อมูลของข่าวนี้ให้ดีก่อนหรือ?”
“ไม่” ยักษ์ทมิฬหันหลังไปหาอีกฝ่ายและเก็บมือเข้าไปในแขนเสื้อตามเดิม “นี่คือการเปลี่ยนแปลงราชวงศ์ของโลกใต้พิภพลำดับต้น ๆ ของโลก เจ้าคิดว่ามันเหมาะสมหรือที่จะสอดรู้สอดเห็นไปทั่ว? นี่เป็นเรื่องภายในของพวกเขา การสอดรู้สอดเห็นอาจจบด้วยการสูญสลายของดวงวิญญาณของพวกเรา”
“ไม่จำเป็นเสมอไป” ลีจองซุกไล่นิ้วไปตามตู้กระจกขณะเอ่ยต่อ “เทศกาลวันสารทจีนกำลังจะถูกจัดขึ้น และประตูนรกก็จะถูกเปิดอีกครั้ง หากมันมีการเปลี่ยนแปลงของราชวงศ์จริง ๆ พวกเราจะต้องสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ระหว่างงานเทศกาลอย่างแน่นอน”
“ยกตัวอย่างเช่น เราสามารถหาข้อมูลได้จากวิธีการที่ยมทูตปฏิบัติต่อวิญญาณ หรือจุดที่วิญญาณอยู่รวมกัน หรืออาจจะลอบมองเข้าไปในประตูนรก และหากเราสามารถจับตัวยมทูตของยมโลกได้ เช่นนั้นต่อให้พวกเราหาตัวโอดะ โนบูนากะไม่พบ ฉันก็มั่นใจว่าอิซานามิคงจะไม่มีทางไม่ตบรางวัลให้หรอกใช่หรือไม่?”
ทันใดนั้นกรงเล็บของยักษ์ทมิฬก็จ่อเข้าที่ลำคอของลีจองซุกโดยปราศจากความปรานีใด ๆ ใบหน้างามของหญิงสาวแดงก่ำจากการหายใจไม่ออกทันที
“เจ้าล่อเรามาที่นี่…เพื่อที่จะให้เราประจันหน้ากับยมทูตของจีนอย่างนั้นหรือ?” ยักษ์ทมิฬโน้มหน้าเข้าไปใกล้อย่างน่าขนลุก “เพื่อตัวเจ้าเอง ข้าหวังว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้น ลีจองซุก…เจ้าควรจะจำเอาไว้ให้ดีว่าเจ้าเพิ่งใช้ชีวิตมาเพียงไม่กี่ร้อยปีเท่านั้น…”
“แต่พวกเรา…อยู่แถวนี้มาตั้งแต่ก่อนที่เจ้าจะเกิดเสียอีก!”
Comments