ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] 113: ค่ำคืนที่น่าหวาดหวั่น (2)

Now you are reading ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] Chapter 113: ค่ำคืนที่น่าหวาดหวั่น (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

***หมายเหตุ บทนี้มีการใช้ถ้อยคำและการกระทำที่รุนแรง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน***

บทที่ 113: ค่ำคืนที่น่าหวาดหวั่น (2)

แสงจันทร์สลัวที่สาดส่องมาทำให้ทั่วทั้งบริเวณบ้านถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด แต่ช่างน่าเศร้า มันไม่ได้มีเพียงความมืดมิดที่มาแทนที่แสงสว่างเท่านั้น แต่มันยังเน้นย้ำถึงความมืดที่อยู่รอบ ๆ ด้วย

เสียงตะโกนและก่นด่าตามมาด้วยเสียงของมีดทำครัวที่แทงเข้าไปในเนื้ออย่างรวดเร็ว จากนั้นเสียงกรีดร้องโหยหวนก็ดังขึ้นท่ามกลางเสียงสาดกระเซ็นของเลือด ฉากนองเลือดดูเหมือนจะถูกฉายซ้ำอีกครั้งรอบตัวของฉินเย่ในเวลานี้ ใครก็ตามที่ยังสติดีอยู่ล้วนต้องรับไม่ได้กับฉากที่กำลังเกิดขึ้น

แม้แต่ฉินเย่เองก็ต้องขมวดคิ้วยุ่ง เสียงร้องที่ฟังดูสิ้นหวังอย่างไม่น่าเชื่อดังขึ้นสอดแทรกกับเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่งและดุร้ายของเด็กวัยรุ่นอยู่ภายในหูของเขาราวกับมีคลื่นยักษ์ที่ซัดสาด มันเหมือนกับว่าทั่วทั้งห้องกำลังสั่นไหวจากความน่ากลัวนั้น

ความหดหู่ ความบ้าคลั่ง และการนองเลือดปรากฏขึ้นในบ้านที่ว่างเปล่าหลังนี้อีกครั้ง

“หยะ หยุดแทงเถอะลูก…แม่เจ็บ…ระ รีบพาแม่ไปโรงพยาบาล…อึก…แล้วแม่จะไม่สนใจลูกอีก….โอ๊ยยย….”

“กูไม่ส่ง! กูจะแทงมึงให้ตายเลย!!”

ครืดด…เสียงของมีดที่เฉือนเข้าที่กระดูกดังขึ้น

“พูดสิ?! ใครบอกให้มึงมายุ่งเรื่องของกู?! ตายซะ!!”

ฉึก…ครืดด…เสียงแปลกประหลาดดังขึ้นผสานกับเสียงกระเซ็นของเลือด เสียงร้องของหญิงวัยกลางคนเปลี่ยนจากเสียงกรีดร้องอย่างตื่นตระหนกเป็นเสียงร่ำไห้อย่างน่าสังเวช จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นเสียงครางอู้อี้ และในท้ายที่สุด…เสียงนั้นก็เงียบสนิท

อย่างไรก็ตาม เสียงของเด็กชายเปลี่ยนจากเสียงตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยวแปรเปลี่ยนเป็นเสียงร้องอย่างบ้าคลั่ง จนเสียงตะโกนนั้นแหบพร่าและเงียบหายไป

เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเป็นเวลากว่าสิบนาที และในที่สุด ทั่วทั้งบ้านก็ตกสู่ความเงียบอีกครั้ง

สีหน้าของฉินเย่ซีดเผือด ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เป็นเพราะเขารู้สึกสะอิดสะเอียนกับภาพที่ปรากฏขึ้นในหัวของตัวเองตอนนี้

เหตุการณ์นี้สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้คนเป็นอย่างมาก ก่อนที่ข่าวนี้จะแพร่สะพัดไปทั่วละแวกใกล้เคียง เด็กชายวัย 12 ขวบได้ทำการสังหารแม่ของตัวเอง มันคือความล้มเหลวของพ่อแม่ในการแสดงความรักต่อลูก หรือเพียงเพราะเด็กชายมีอาการป่วยทางจิตกันแน่?

บางที มันอาจจะทั้งสองอย่าง และความจริงก็อยู่กึ่งกลางระหว่างข้อเท็จจริงนั้น

แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ผู้เป็นลูกก็ไม่ควรหันมีดใส่พ่อแม่เป็นอันขาด การสื่อสารคือสิ่งสำคัญ และแม้ว่ามันจะล้มเหลวมาตั้งแต่ต้น เด็กชายก็สามารถเลือกที่จะหนีออกไปที่อื่นได้ แต่หลี่เฉิน….ได้ก้าวข้ามขอบเขตพฤติกรรมที่มนุษย์สามารถยอมรับได้ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินเย่รู้สึกถึงคลื่นความสะอิดสะเอียนแผ่ไปทั่วทั้งหัวใจ

“แฮ่ก แฮ่ก…” เสียงหอบเบา ๆ ดังก้องไปทั่ว มันคือเสียงของหลี่เฉิง แต่…ไม่กี่วินาทีต่อมา เสียงของเขาก็เปลี่ยนจากเสียงหอบเป็นเสียงหัวเราะคิกคักเป็นระยะ ๆ ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น!

“หึหึหึ….ฮ่า ๆๆๆ!!!!” ราวกับปีศาจที่ได้หลุดพ้นจากพันธนาการ เขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “จะไม่มีใครมายุ่งแล้ว…ในที่สุดก็จะไม่มีใครมายุ่งกับกูอีกแล้ว!”

“เป็นห่วงเหรอ? ช่างแม่งสิ!! หลังจากที่ไม่ดูดำดูดีกูมาตลอดหลายปี จู่ ๆ ก็มาชี้นิ้วสั่งให้ทำนู่นทำนี่เนี่ยนะ? ไปตายซะเถอะ!!”

“ซ่า~!”

สีหน้าของฉินเย่เปลี่ยนถมึงทึงอย่างน่าเหลือเชื่อเมื่อได้ยินเสียงสุดท้าย

เขารู้ว่ามันคือเสียงของหลี่เฉิงที่จิ้มบุหรี่ลงบนศพของผู้เป็นแม่

ทุกอย่างสลายหายไปอย่างกะทันหันเหมือนกับตอนแรกที่มันเกิดขึ้น หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ฉินเย่ก็โพล่งขึ้นว่า “ข้าจะเอาวิญญาณของมันมาให้ได้”

“อืม…” อาร์ทิสตอบกลับอย่างไม่ได้สนใจนัก

เด็กหนุ่มเอ่ยต่อ “ข้าเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่ามนุษย์ทุกคนควรมีขอบเขตของตัวเอง”

“เมื่อใดก็ตามที่ทำลายขอบเขตนั้น มันผู้นี้ก็ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป”

ฉินเย่เอ่ยต่อเสียงเรียบ “และในเมื่อไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว มันจะอยู่บนแดนมนุษย์ต่อไปเพื่ออะไร?”

เขาจัดเสื้อผ้าของตัวเอง “ในเมื่อนี่เป็นสิ่งที่กฎหมายของแดนมนุษย์ทำอะไรมันไม่ได้ ข้าจะรับหน้าที่เป็นคนสะสางเรื่องนี้เอง!”

สิ้นสุดเสียงพูด ฉินเย่ก็เดินตรงเข้าไปในห้องครัว

เห็นได้ชัดเจนว่าตระกูลหลี่เป็นคนที่ค่อนข้างมักง่าย ยกตัวอย่างเช่นห้องครัวเป็นต้น อ่างล้างจานในครัวที่มีไว้สำหรับล้างจาน แต่เขามองเห็นว่ามีแปรงสีฟันเปื้อนฝุ่นและยาสีฟันวางอยู่ มันมีแม้กระทั่งกระจกที่ดูน่ากลัวยังถูกติดอยู่ด้านหน้าของอ่างล้างจาน…

ไม่มีใครอยู่ในครัวเลยสักคน มันเหมือนกับว่าฉากที่ฉายซ้ำก่อนหน้านี้เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น

แต่…ทันทีที่เขาเดินเข้าไปใกล้อ่างล้างจาน ก๊อกน้ำที่ขึ้นสนิม…ก็บิดเล็กน้อย และของเหลวสีแดงก็ไหลออกมา!

ฉินเย่ก้มหน้าลงมอง จากนั้นจึงจุ่มนิ้วลงไปในของเหลวนั้น ยกมือขึ้นมาดู และดมเล็กน้อย “เลือด”

เขากลับไปยืนเต็มความสูงของตัวเองอีกครั้ง ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็เห็นร่างร่างหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังของตน!

มันคือร่างที่เปื้อนเลือดและขาดวิ่น

ศีรษะแหลกละเอียด และใบหน้าก็เต็มไปด้วยบาดแผลที่เกิดจากคมมีด เลือดไหลลงมาจากใบหน้านั้น อีกฝ่ายยืนอยู่ในความมืด นัยน์ตาสีเลือดจ้องมองมาที่เขาเขม็ง!

ฉินเย่รีบกลับหลังหันไปมองทันที แต่เขากลับไม่พบอะไรเลยอีกแล้ว เด็กหนุ่มหันกลับไปมองกระจกอีกครั้ง แต่ทุกอย่างกลับดูเหมือนราวกับภาพลวงตา

เขาสำรวจดูรอบ ๆ บ้าน จนเดินไปถึงห้องนอนของหลี่เฉิงในที่สุด ฉินเย่หยิบกรอบรูปที่วางอยู่ข้างหัวเตียงขึ้นมาดู

มันคือภาพของครอบครัวที่ดูมีความสุขและรักใคร่กลมเกลียวกัน

หลี่เจียงคัง หลี่เฉิง และซงเจียฝางต่างแย้มยิ้มบาง ๆ น่าเศร้าที่เวลานี้ ภาพดังกล่าวถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นหนาเตอะ

ห้องนอนของคนทั้งหมดตั้งอยู่ที่ชั้นหนึ่งของบ้าน ในขณะที่ชั้นที่สองคือที่ตั้งของตู้แช่แข็งสำหรับเก็บอาหารทะเล เขาเปิดตู้ออกดูทีละตู้ แต่ก็ไม่เจออะไรเลยสักนิด

มันคือตู้แช่แข็งขนาดใหญ่ที่ว่างเปล่า

“ไปกันเถอะ” อาร์ทิสเอ่ยขึ้นในที่สุด “เจ้าไม่เจออะไรที่นี่หรอก และมันก็จะไม่แสดงตัวให้เจ้าเห็นเช่นกัน”

“เจ้าคือยมบาล และยังอยู่ขั้นนักล่าวิญญาณอีกด้วย ไม่ว่าเรื่องนี้จะแปลกประหลาดสักเพียงไหน สุดท้ายแล้ว มันก็เป็นเพียงวิญญาณอาฆาตขั้นยมเทพเท่านั้น ด้วยอำนาจจากตำแหน่งและสายเลือดของเจ้า มันไม่มีทางปรากฏตัวออกมาในขณะที่มีเจ้าอยู่รอบ ๆ แน่”

ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยอย่างไม่เต็มใจนัก “ถ้าเช่นนั้น เราพอจะมีทางอื่นไหม?”

“แน่นอนว่ามี ที่เจ้าพูดก่อนหน้านี้นั้นถูกต้อง จงหลีกเลี่ยงการต่อสู้ที่เจ้าไม่ได้เตรียมตัวมา เมื่อเป็นเรื่องของวิญญาณมรดกสายเลือด มันมีบางอย่างที่เจ้าจะต้องเตรียมการล่วงหน้า นอกจากนี้…” นกกระเรียนกระดาษหมุนตัวไปมาบนไหล่ของเด็กหนุ่ม “บางอย่างบอกข้าว่าเหตุการณ์นี้มันมีอะไรมากกว่าที่ตาเห็น…”

ฉินเย่พยักหน้าและมองไปยังห้องมืดตรงหน้าตนอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเขาก็หมุนกายเดินจากไปโดยที่ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง

เมื่อเด็กหนุ่มเดินจากไป กล้องโทรทรรศน์ก็ค่อย ๆ ถอยห่างออกมาจากบ้านร้าง

แสงไฟภายในบ้านหลังนี้ไม่ได้ถูกจุดขึ้น ชายหนุ่มสองคนที่แต่งกายด้วยชุดไปรเวตสรุปการเฝ้าระวังของพวกตน และชายหนึ่งคนในนั้นก็เปิดโทรศัพท์ของตนขึ้น และแอปโม่โม่ก็ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ

เขาแตะนิ้วไปบน ‘รายชื่อผู้ติดต่อ’ จากนั้นจึงแตะไปที่กลุ่ม ‘หน่วยสอบสวนพิเศษประจำเมืองไดซาน’ และส่งข้อความไปถึงหนึ่งในผู้ดูแลระบบ

“รหัส S9527 ล้มเหลว ระยะเวลาที่ใช้: 1 ชั่วโมง 5 นาที ไม่มีเสียงของการต่อสู้ ผมคิดว่าเขาน่าจะประสบกับปัญหาเดียวกันกับเราคือ ไม่สามารถตรวจจับตำแหน่งของวิญญาณได้”

อีกฝ่ายใช้ชื่อบัญชีว่า ‘ทุ่งดอกไม้และที่ราบหิมะ’ เขาตอบกลับอย่างรวดเร็ว “คุณมั่นใจหรือว่าไม่มีร่องรอยของการต่อสู้? มันดูเหมือนจะไม่ถูกต้องนะ วิญญาณตนนั้นเลือดเย็นและกระหายเลือดอย่างไม่น่าเชื่อ และมันก็ไม่น่าจะยอมปล่อยให้อาหารอันโอชะเดินผ่านไปเฉยแบบนี้หรอกมั้ง”

“ผมมั่นใจ” ชายหนุ่มตอบ “ผมคาดว่ามันอาจเป็นเพราะว่าความสามารถของ รหัส S9527 นั้นสูงกว่ามันมาก มันจึงไม่กล้าปรากฏตัวออกมา เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว คนที่เรากำลังพูดถึงคือผู้ที่สามารถทลายเขตไล่ล่าเก้าเขตได้ภายในคืนเดียวคนนั้นนะ”

ทุ่งดอกไม้และที่ราบหิมะไม่ได้ตอบอะไรอีก

ฉินเย่ไม่ได้รับรู้เรื่องนี้เลยสักนิด เขายังคงขมวดคิ้วขณะที่เดินไปยังถนนเทียนซีที่ 4 แต่แล้วจู่ ๆ เขาก็โพล่งออกมาว่า “อย่างนี้นี่เอง!”

“หืม?”

“ตอนที่นั่งรถบัสมาที่เมืองไดซาน รองผู้อำนวยการหลี่ได้พูดย้ำบางอย่างอยู่หลายครั้ง แต่มันก็ไม่มีใครใส่ใจเรื่องนี้นักในตอนนั้น”

“ซึ่งมันก็คือ… ‘การทำตามความต้องการของตัวเอง’”

“ห้ามทำสิ่งใดตามความต้องการของตนและการแทรกแซงงานของรัฐป็นอันขาด ตอนนี้สิ่งที่เราทำก็เหมือนเป็นแทรกแซงงานของรัฐด้วยเช่นกัน ตอนที่ข้าได้รับคำร้องขอจากหลี่เจียงคัง ท่านจำได้หรือไม่…เขาเคยบอกว่า SRC ก็กำลังทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เช่นกัน และเราก็ห้ามเข้าไปขัดขวางหรือความร่วมมือนี้เป็นอันขาดใช่หรือไม่?”

อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยว่า “เจ้ากำลังจะบอกว่าเรื่องนี้เป็นเพียงการปรากฏตัวของวิญญาณอาฆาตที่เป็นผลมาจากการทำมาตุฆาตอย่างนั้นหรือ?”

“ไม่ใช่” ฉินเย่ส่ายหน้าตอบอย่างไม่คาดคิด “ที่นี่น่าจะมีการตรวจสอบเกิดขึ้นหลายครั้งแล้วเมื่อไม่นานมานี้ สิ่งที่ข้าคิดก็คือชื่อของโครงการนี้น่าจะเป็นชื่อประมาณ ‘การกลายพันธุ์ของวิญญาณ’ หรืออะไรประมาณนี้ ภารกิจของข้ามีความยากระดับ C ที่มีรหัสว่า ‘ภารกิจเขตไล่ล่าที่สาบสูญ’ อาจารย์อีกคนที่ได้อันดับ 1 ร่วมเองก็ได้รับภารกิจระดับ C ที่มีรหัสว่า ‘ภารกิจอาคารร้าง’ เช่นกัน หรือพูดอีกอย่างก็คือ โครงการนี้น่าจะมีหัวข้อที่ครอบคลุมการวิจัยทั้งหมด และภารกิจพวกนี้ก็คงจะเป็นหัวข้อแยกย่อยที่แตกออกมาอีกที”

“และหัวข้อแยกย่อยพวกนี้ก็น่าจะเป็นส่วนที่ทำให้คะแนนของของเราหายไป ข้าคิดว่าน่าจะเป็นเพราะว่าหัวข้อพวกนี้เป็นการวิจัยโดย SRC ของทางรัฐบาลจึงไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ขั้นยมทูตขาวดำ เนื่องด้วยเกรงว่าพวกเขาจะกำจัดเขตไล่ล่าทั้งหมดโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด”

นกกระเรียนกระดาษพยักหน้า “แต่…แล้วที่เจ้าทำอยู่มันจะมีความหมายอะไรเล่า?”

ฉินเย่เปิดโทรทัศน์ของตนและมองไปยังรายชื่อของเหล่าอาจารย์ที่อยู่ภายในกลุ่ม โจวเซียนหลงยังไม่ได้โพสต์อะไร ซึ่งนั่นหมายความว่าคะแนนการสอนของอาจารย์ทุกคนยังคงอยู่ในระดับเดียวกัน

คืนนี้คงจะเป็นคืนที่ทุกคนมุ่งมั่นที่จะเพิ่มคะแนนของตนเพื่อให้ไล่ล่าเลี่ยกับคนที่นำอยู่อย่างสุดความสามารถ

“ไม่มีความหมายอะไรหรอก” เขาปิดหน้าจอโทรศัพท์และเสยผมตัวเองอย่างเครียด ๆ “ข้าเพียงรู้สึกอึดอัดจนต้องระบายออกมาน่ะ”

ฉินเย่ถอนหายใจแล้วพูดต่อ “อาร์ตี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าปรารถนาที่จะกำจัดภูตผีตนหนึ่งมากมายถึงเพียงนี้ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ต้องการที่จะเป็นมนุษย์ เช่นนั้นข้าก็จะไม่ปฏิบัติกับเขาดั่งเช่นมนุษย์อีกต่อไป ข้าจะทำให้ความหย่อนยานของแดนมนุษย์ พิพากษาสิ่งที่มันสมควรจะได้รับ ข้าไม่สนใจเรื่องของสิทธิมนุษยชนอะไรนั่น ถ้าภายในใจของข้าตัดสินว่าเขามีความผิด เช่นนั้นมันก็หมายความว่าเขาผิด!”

ภายในน้ำเสียงที่ทุ้มเข้มนั้นแฝงไปด้วยประกายแห่งความมุ่งมั่นที่น้อยครั้งจะได้เห็น “ข้าคิดว่า…จ้าวนรกองค์แรกที่สร้างโลกใต้พิภพขึ้นมา ก็คงมีความเช่นนี้เหมือนกัน เขาคงจะเห็นฉากที่คล้ายกันนี่มามาก จนมันทำให้เขาต้องสร้างยมโลกขึ้นมา ผู้กระทำกรรมดีไม่ได้รับการตอบแทน ในขณะที่ผู้กระทำกรรมชั่วยังคงร่ำรวยขึ้นทุกวัน…และเขา ก็คงเห็นภาพพวกนี้มามากกว่าข้าหลายเท่านัก….”

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นและมองไปยังดวงดาวที่ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้า

อาร์ทิสที่อยู่ในร่างนกกระเรียนกระดาษเพียงเอ่ยเรียบ ๆ ไม่แสดงอารมณ์ใด “อาจเป็นเช่นนั้น…”

“ความดีและความชั่วจะต้องได้รับการตอบแทน นี่เป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่ไม่เคยแปรเปลี่ยนไปภายใต้กฎแห่งการเวียนว่ายตายเกิดของสวรรค์ จ้าวนรกองค์แรก…หากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้หลายพันปี…ชีวิตในตอนนั้นน่าสังเวชกว่ายุคปัจจุบันนี้หลายเท่านัก มันคงไม่ใช่การพูดเกินจริงจนเกินไป หากจะบอกว่าผู้คนสมัยนั้นแทบจะต้องแทะกินเศษโครงกระดูกของลูกตัวเอง…ข้าเองก็เช่นกัน ข้าคิดว่าจ้าวนรกองค์แรกคงจะเป็นผู้ที่มีจุดเริ่มต้นที่ต่ำต้อย และอาจเพราะความอดสูที่เขาได้เห็นมาทั้งหมดทั้งปวง อาจนำให้เขาก่อตั้งนครวิญญาณซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของเรามานานนับพันปีนี้ก็ได้…”

“อะแฮ่ม….” ฉินเย่กระแอมเบา ๆ “เกี่ยวกับเรื่องนั้น…ข้าเองก็มีจุดเริ่มต้นที่ต่ำต้อยเช่นกัน…”

นกกระเรียนกระดาษรีบหันกลับไปมองทันที หากมันมีดวงตา มันก็คงจะต้องไปที่ฉินเย่เขม็งเป็นแน่ “เจ้ากำลังจะพูดว่าเจ้าโดยพื้นฐานแล้ว ตัวเจ้าเองก็ไม่ต่างอะไรจากจ้างนรกองค์แรก ผู้ซึ่งก่อตั้งยมโลกขึ้นมาอย่างนั้นหรือ? ด้วยความเคารพนะ แต่เจ้ากำลังเปรียบเทียบม้ากับกระทิงอยู่”

“…ท่านไม่คิดสักนิดเลยหรือว่าระหว่างเรานั้นมีอะไรบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน…” ฉินเย่เอ่ยยกประเด็นขึ้นมา “ยกตัวอย่างเช่น…พวกเราต่างหน้าตาดีเหมือนกัน หรืออะไรทำนองนั้น?”

อาร์ทิสยิ้มหยัน “หากเจ้ายังมีเวลาและกำลังเหลือเฟือ แทนที่จะมาคิดเรื่องพวกนี้ สู้เจ้าไปคิดหาวิธีการที่จะทำให้ตัวเองประสบความสำเร็จในการปกครองยมโลกได้เร็ว ๆ ดั่งเช่นเจ้านรกองค์แรกทำไม่ดีกว่าหรือ?! รีบสร้างยมโลกขึ้นมาเสีย! คนอย่างหลี่เฉิงสมควรที่จะได้ลิ้มรสของขุมนรกทั้ง 18 ก่อนที่จะเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในพิภพเดรัจฉานสักสิบชาติเพื่อชดใช้บาปกรรมทั้งหมดที่มันได้ก่อเอาไว้”

“นรกทั้ง 18 ขุมอยู่ที่ไหน?”

“แล้วกงล้อแห่งสังสารวัฏอยู่ที่ใด?”

“โอเค โอเค ข้าเข้าใจแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็จะมาเองเมื่อถึงเวลาของมัน ตอนนี้ เราควรเริ่มจากการรักษาตำแหน่งของอาจารย์ดีเด่นไว้ให้ได้ก่อน ตกลงไหม?”

“อะแฮ่ม…” ทันทีที่ฉินเย่เดินมาถึงที่ปลายสุดของถนนเทียนซีที่ 4 ประตูของรถสีดำคันหนึ่งที่จอดอยู่ข้างถนน ออกมาพร้อมกับร่างอ้วนท้วมของชายวัยกลางคนมคนหนึ่งที่เดินลงมา หลังจากที่มองไปถนนที่มืดมิดด้านหลังของฉินเย่ด้วยสายตาหวั่น ๆ แล้ว เขาก็แย้มยิ้มและยืนนามบัตรให้กับเด็กหนุ่ม “สวัสดีครับ คุณคือคนของหน่วยสอบสวนพิเศษใช่หรือเปล่าครับ?”

“คุณคือ?” ฉินเย่จำได้ว่าเขาไม่รู้จักคนตรงหน้า ดังนั้นเขาจึงถามออกไปอย่างงุนงง

ชายร่างอ้วนยิ้มอย่างเป็นมิตร “ผมขออนุญาตแนะนำตัวก็แล้วกัน ผมมาจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เถิงหลง หนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลอันฮุ่ย เราค่อนข้างเป็นที่รู้จักอยู่พอสมควร แม้แต่ในมณฑลทั้งห้าที่อยู่โดยรอบก็ตาม ผม ซุนคังเหลียง เป็นหัวหน้าผู้จัดการที่รับผิดชอบ….”

เขาชี้ไปที่ถนนด้านหลังของเด็กหนุ่ม “โครงการพัฒนาถนนเทียนซีที่ 4”

“นี่คือโครงการของทางรัฐบาลครับ แต่มันก็ถูกหยุดไว้ด้วยเหตุผลบางประการที่ผมมั่นใจว่าคุณเองก็คงรู้ดี การหยุดงานก่อสร้างเป็นระยะเวลาหกเดือนถือเป็นการละเมิดสัญญาที่ได้ทำไว้ ตัวผมเองก็เป็นกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างมาก มากจนเส้นผมบนศีรษะจะร่วงหมดแล้ว พวกทีมวิศวกรก็ถูกหยุดงานมาหลายเดือน…จนถึงตอนนี้ต้องบอกว่าพวกเราได้มาถึงทางตันแล้ว…ผมได้ยินมาจากคนของผมว่ามีใครบางคนได้เข้าไปและออกมาจากบ้านผีสิงหลังนั้น ดังนั้นผมจะรีบเดินทางมาที่นี่เพื่อดูด้วยตัวเอง ถ้าคุณมีเวลา…ผมของทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดีและเชิญคุณไปทานอาหารเย็นจะได้หรือเปล่าครับ?”

ฉินเย่ยังไม่ได้ตอบอะไรออกไปทันที กลับกัน เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย “เพราะเหตุผลแค่นั้นเองเหรอ?”

ซุนคังเหลียงกระแอมออกมาอย่างอึดอัด จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นเบา ๆ “ไม่ใช่ทั้งหมดครับ…”

“แต่คุณคือคนแรกที่เข้าไปในบ้านผีสิงหลังนั้นและออกมาได้โดยที่ยังมีชีวิต…”

“เพียงแค่นี้ก็มากพอที่จะทำให้ผมเชิญคุณมาทานอาหารเย็นด้วยกันแล้วครับ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด