ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] 159: วิญญาณแห่งฝันร้าย
บทที่ 159: วิญญาณแห่งฝันร้าย
ฉินเย่ยังคงเอ่ยต่อ “เมืองจูชาน เมืองหลวงของแม่น้ำจูเจียง และเมืองหยางเจียงในสามมณฑลทางตะวันออกเฉียงเหนือ….ผมยังไม่แน่ใจนักว่าตอนนี้พวกมันกำลังซ่อนตัวอยู่ที่ไหน แต่สิ่งที่ผมรู้ก็คือหากเราค้นหามันจากเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่ยังไม่สามารถคลี่คลายได้ เราจะต้องได้เบาะแสของพวกมันอย่างแน่นอน!”
“เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว…ที่ใดมีภูตผีคลุ้มคลั่ง ที่นั่นยอมมีปรากฏการณ์ที่เรียกว่าจุดตัดระหว่างสองภพเกิดขึ้น นักเรียนทุกคน ช่วยจดเรื่องนี้ลงไปด้วย ทุกคนที่ค้นพบจุดตัดระหว่างสองภพจะต้องถอยออกมาจากบริเวณนั้นทันที เว้นแต่ว่าพวกคุณจะอยู่ขั้นตุลาการนรก! มิฉะนั้นก็เหมือนพวกคุณเอาชีวิตไปทิ้งดี ๆ นี้เอง! นั่นเพราะว่า…รังของภูตผีมากกว่าหมื่นตนจะปรากฏขึ้นบริเวณนั้น และพื้นที่ทั้งหมดก็จะถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่หยิน ต่อให้พวกคุณจะมีอายุขัยยาวนานแค่ไหน มันก็จะลดลงอย่างรวดเร็วเมื่ออยู่ในพื้นที่แห่งนี้”
“รังของวิญญาณนับหมื่น? นั่นมันอะไรกัน?”
“ปรากฏการณ์จุดตัดระหว่างสองภพมันคืออะไรกันแน่?”
นักศึกษาที่นั่งฟังการบรรยายกำลังจะยกมือขึ้นถาม พลันมีเสียงสองเสียงดังขึ้นจากด้านหลังดังขึ้นพร้อมกัน เป็นโจวเซียนหลงและสวี่อันกั๋วนั่นเองที่อุทานพร้อมกัน
คำศัพท์ใหม่อีกแล้ว!
พวกเขาได้ยินความคิดและแนวคิดใหม่ ๆ จำนวนมากมาตั้งแต่การบรรยายนี้เริ่มขึ้น! แม้แต่พวกระดับสูงเองก็ไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อน! ในด้านหนึ่ง คุณอาจสามารถปัดข้อมูลพวกนี้ทั้งหมดได้โดยการบอกว่ามันเป็นเพียงความคิดเห็นที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่ในอีกด้านหนึ่ง แม้ว่าข้อสันนิษฐานพวกนี้จะมีพื้นฐานจากความจริงเป็นเล็กน้อย แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้เกิดกระแสในแวดวงวิชาการได้!
ตัวอย่างเช่นการถกเถียงทฤษฎีทางคณิตศาสตร์
ดังนั้น ชายสูงวัยทั้งสองจึงเอ่ยออกไปตามสัญชาตญาณ ลืมข้อเท็จจริงที่ว่าพวกตนคือผู้อำนวยการและหัวหน้าสาขาไปโดยปริยาย พอรู้สึกตัวพวกเขาก็นิ่งงันและนั่งตัวลงอย่างกระอักกระอ่วน
“เอ่อ…” ฉินเย่ที่เพิ่งปะติดปะต่อเนื้อหาทั้งหมดได้เมื่อเขาถูกขัดอีกครั้ง เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างไม่พอใจนักหลบบ่นในใจ เด็กพวกนี้นี่สอนยากจริง ๆ พวกคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญไม่ใช่เหรอ…แล้วทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนว่าพวกเขาไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่างเลยกันนะ?
เขาใช้เวลาพอสมควรในการจัดระเบียบความคิดของตัวเองก่อนจะอธิบายออกมา “จุดตัดระหว่างสองภพคือชื่อที่ผมคิดขึ้น มันหมายถึงพื้นที่ที่มีครึ่งหยินและครึ่งหยาง มันคืออีกมิติหนึ่งที่ซ่อนอยู่ซุกซ่อนอยู่ใต้เมือง!”
“หลักฐานล่ะ?” ผู้เฒ่ายวีถามกลับต่อทันที
“เมืองเป่าอัน!” ฉินเย่เอ่ย “เมืองเป่าอันคือหลักฐานที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้! หากเราดูจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองเป่าอันครั้งนั้น ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าวิญญาณระดับสูงตนอื่นจะไม่ใช้วิธีการเดียวกันนี้อีกครั้ง?”
เปรี้ยง!
ราวกับมีสายฟ้าที่ผ่าลงมาและขจัดหมอกควันที่ปกคลุมอยู่ให้หายไป ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบแทบจะทันที
ใช่แล้ว…หากเมืองเป่าอันยังสามารถเป็นเช่นนั้นได้ แล้ว…เมืองอื่น ๆ ล่ะ?
เมื่อตกดึกสถานที่ที่พวกเขาอยู่จะยังสามารถเรียกว่าแดนมนุษย์ได้อีกหรือไม่? พวกเขาจะแน่ใจได้อย่างไรว่ามันจะไม่มีดวงตาปริศนาอีกคู่หนึ่งที่มองมาที่พวกเขา ในขณะที่พวกเขาไม่รู้ตัว?
โจวเซียนหลงเงยหน้าขึ้นหลังจากครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน “ถ้าอย่างนั้น รังของวิญญาณกว่าหมื่นตนล่ะ?”
ฉินเย่ที่เตรียมตัวมาอย่างดีก็ตอบกลับไปทันทีราวกับเครื่องจักรที่มีน้ำมันหล่อลื่นอย่างดี
“นั่นง่ายมากครับ วิญญาณระดับสูงจะมีสติปัญญาในระดับหนึ่ง ไม่ว่าพวกมันไปที่ไหนก็จะมีวิญญาณจำนวนมากติดตาม ผมเรียกสิ่งนี้ว่าหลักการกาลักน้ำของวิญญาณหรือกาลักวิญญาณ มันค่อนข้างคล้ายกับวิธีที่มณฑลหาประโยชน์จากเมืองหลวงนั่นแหละ”
“และเนื่องด้วยเหตุผลนี้ พื้นที่สีแดงบนแผนที่จึงบ่งบอกว่ามีวิญญาณระดับสูงซุกซ่อนตัวอยู่ที่นั่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมันยังดึงวิญญาณที่อ่อนแอกว่ามาและทำให้เกิดเป็นผลลัพธ์ที่น่าสะพรึงกลัวจากกาลักวิญญาณขึ้น แล้วแบบนี้เราควรจะเรียกมันว่าอะไรหากไม่ใช่รังของผีนับพัน?”
ตุบ…ผู้เฒ่ายวีหลับตาลงและทุบโต๊ะตรงหน้าของตน
ชายในชุดปฏิบัติการสีขาวมองผู้เฒ่ายวีอย่างประหลาดใจ ที่เห็นชายสูงวัยเหมือนกำลังระงับความตื่นเต้นภายในใจด้วยการทุบโต๊ะตรงหน้าตัวเอง
“โทรหาคนของเราที่เพิ่งออกไป” ดวงตาเขาแดงก่ำเล็กน้อย และเสียงที่เอ่ยออกมาก็แหบพร่า “บอกเขาว่าให้กลับมาที่นี่ทันทีหลังจากที่จับกุมวิญญาณได้!”
“ต้องรีบขนาดนั้นเลยหรือครับ?” หนึ่งในชายชุดขาวถามอย่างงุนงง
“พวกคุณ…” ศาสตราจารย์ยวีถอนหายใจออกมาพร้อมกับดวงตาที่ลุกโชน “พวกคุณไม่เข้าใจเรื่องที่เขาพูดมาว่ามันสำคัญขนาดไหนเลยอย่างนั้นหรือ?”
เขาไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ แต่ยิ่งผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมดคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ สีหน้าของพวกเขาก็ยิ่งเปลี่ยนไปมากเท่านั้น
สำคัญ…
มันไม่ใช่แค่สำคัญแล้ว!
นี้คือการจัดประเภทของวิญญาณ!
ลูกบอลผนึกวิญญาณสามารถใช้จับกุมวิญญาณได้ ซึ่งนั้นทำให้พวกเขาสามารถค้นคว้าเกี่ยวกับวิญญาณได้ และทำให้พวกเขาสามารถยืนยันคำกล่าวที่ว่าวิญญาณจะกลืนกินกันเองของอีกฝ่ายได้ นอกจากนี้มันจะทำให้พวกเขามีความเข้าใจเกี่ยวกับการพัฒนาของวิญญาณในระดับที่สูงขึ้น และทำให้อนุมานได้ว่าพื้นที่สีแดงเหล่านี้…แสดงถึงการก่อตัวขึ้นของอาณาเขตของภูตผี!
และเมื่อพวกเขาสามารถพิสูจน์การคาดเดาพวกนี้ได้สำเร็จ การวิจัยในเรื่องของวิญญาณก็จะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่!
ทิศทางของการวิจัย กลยุทธ์และวิธีการทั้งหมดจะได้รับการยกเครื่องครั้งใหญ่!
และทั้งหมดนี้ก็เกิดขึ้นจากสมมติฐานของอาจารย์มือใหม่คนหนึ่ง
“เด็กคนนี้…” ชายในชุดสูทสีดำที่แสดงความคิดเห็นก่อนหน้านี้จ้องฉินเย่ด้วยสายตาตะลึงงัน “นะ นี่…นี่มันไม่ใช่แค่จินตนาการที่คิดขึ้นมาเองแล้ว…”
“เขา…เขาคิดทั้งหมดนี้ขึ้นมาด้วยลูกบอลผนึกวิญญาณลูกเดียว…ไม่แปลกใจเลยที่ผู้เฒ่ายวีจะเดินทางมาเพื่อฟังการบรรยายในวันนี้ด้วยตัวเองให้ได้…”
ในที่สุดฉินเย่ก็อธิบายหัวข้อนี้จบ
เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นก็เหลือบตาไปมองที่หน้าจอโทรศัพท์ของตัวเอง แย่ล่ะ! ผ่านมา 42 นาทีแล้วเหรอ?!
แผนการเดิมของเขาก็คือแนะนำวิญญาณพิเศษสองชนิด และโยงมันกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่เกี่ยวข้อง แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาคงต้องถือว่าตัวเองโชคดีแล้วหากสามารถพูดถึงวิญญาณตนแรกได้จนจบ
ในท้ายที่สุดแล้ว…เขาก็ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าพูดถึงเศษเสี้ยวของเนื้อหาทั้งหมด ก่อนจะถูกขัดจังหวะโดยเหล่าสหายที่ขยันขันแข็งพวกนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า
เขามองเหล่าผู้ประเมินทั้งหมดด้วยสายตาไม่พอใจนัก ไม่ใช่ว่าพวกคุณจะต้องประเมินผมหรอกหรือ? คุณแน่ใจหรือเปล่าว่าตัวเองกำลังทำสิ่งที่ต้องทำอยู่…
เขาเก็บสีหน้าตัวเองให้เป็นปกติและกระแอมออกมาเบา ๆ “โอเค เมื่อครู่นี้ผมได้พูดถึงคำจำกัดความของภูตผีคลุ้มคลั่งและการวิวัฒนาการของวิญญาณไปแล้ว ทีนี้ผมอยากจะพูดถึงเรื่องอื่นบ้าง สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันก่อให้เกิดลักษณะและเชื้อชาติที่แตกต่างกันไปของมนุษย์ แล้ววิญญาณล่ะ?”
“เด็กคนนี้” สีหน้าของผู้เฒ่ายวีเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขณะที่เขาถอนหายใจออกมายาวเหยียด “ถึงกับกล้ามาท้าทายหัวข้อวิจัยที่ฉันเพิ่งคิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้…ฉันล่ะอยากจะเห็นจริง ๆ ว่าเขอจะยังมีเรื่องอะไรให้เราต้องประหลาดใจเรื่องไหนอีกบ้าง!”
ฉินเย่ยังคงเอ่ยต่อ “ตราบใดที่เรายังไม่คำนึงถึงประเภทต่าง ๆ ของวิญญาณ การมีอยู่ของพวกมันก็จะยิ่งน่าตกตะลึงและเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตของเรามากขึ้นเรื่อย ๆ ตัวผมเองก็มีโอกาสได้เจอกับวิญญาณที่ไม่เคยถูกบันทึกมาก่อน หลังจากที่ใช้เวลาในการสังเกตพวกมัน ผมก็พบว่าทุกตนล้วนมีอะไรบางอย่างที่เหมือนกันคือ พวกมันอันตรายกว่ามาก อีกทั้งการปกปิดตัวตนของพวกมันเองก็ดีเยี่ยม และยังยากที่จะกำจัดอีกด้วย”
นักศึกษาทุกคนต่างจดเนื้อหาที่ได้ยินลงในสมุดของตัวเองอย่างตั้งใจ ต่อมาก็เกิดเสียงฮือฮาดังขึ้นเบา ๆ เมื่อฉินเย่กดพอยน์เตอร์ไปที่หน้าจอ LED และภาพหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมา
“เหตุฆาตกรรมในตอนเที่ยงคืนที่เมืองไดซาน” ฉินเย่เอ่ยพาดหัวข่าวบนหน้าจอและหันกลับไปมองเหล่านักเรียน “ใครพอจะจำเหตุการณ์นี้ได้บ้าง?”
ฮือฮา……เด็กนักเรียนหลายคนวางปากกาในมือและยกมือขึ้น
“ดี ดูเหมือนว่าเหตุการณ์นี้จะยังติดอยู่ในหัวของทุกคน ผมได้เดินทางไปที่สถานีตำรวจและแผนกนิติเวชของเมืองไดซานอยู่หลายครั้ง เพื่อขอตัวอย่างเกี่ยวกับเหตุการณ์แปลกประหลาดบางเหตุการณ์มา….”
หลินฮั่นที่นั่งฟังอยู่ตกตะลึงเป็นอย่างมาก “อะไรนะ…เจ้าเด็กนั่นมันไปทำแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่? เขาจะต้องโกหกเราแน่ ๆ ตอนที่บอกว่าตัวเองนอนหลับ เพราะแท้จริงแล้วเขากลับไปทำเรื่องพวกนี้!”
ซู่เฟิงถอนหายใจ “คนที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่พวกที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด แต่เป็นพวกฉลาดที่ขยันขันแข็งกว่านาย…ใช่แล้ว อันธพาลท้องถิ่น ฉันกำลังเปรียบเทียบเขากับนายนั่นแหละ”
ฉินเย่ยังคงเอ่ยต่อด้วยเสียงที่ดังฟังชัด “คดีนี้ไม่ได้ถูกบันทึกว่าเป็นเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ ผมแค่หยิบมันมาพูดถึงหลังจากที่ได้อ่านบันทึกของพวกเขาแล้วเท่านั้น ในวันที่ 8 มีนาคมของเมื่อสองปีก่อน จ้างซั่นห่าว ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ที่ถนนชิงฉุ่ย ถูกพบว่าละเมอเดินในตอนที่เขาฆ่าภรรยาและลูกชายของตัวเอง เมื่อเขาตื่นขึ้นและรับรู้ถึงสิ่งที่ตนได้กระทำลงไป เขาก็ฆ่าตัวตาย”
ภาพบนหน้าจอ LED เปลี่ยนเป็นภาพถ่ายที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวน มีทั้งภาพที่มีเลือดเล็กน้อยไปจนถึงมาก แต่ถึงกระนั้น ทุกคนที่อยู่ที่นี่ แม้แต่หวังเฉิงห่าว ต่างก็เคยเห็นการนองเลือดกันมาแล้วทั้งสิ้น จึงไม่มีใครรู้สึกสะอิดสะเอียนกับภาพที่เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว
“ทุกคนจดเรื่องนี้ลงไปด้วย” เขาชี้ไปที่ด้านล่างซ้ายของหน้าจอ “ผมจะบอกถึงเคล็ดลับในการตรวจสอบว่าสถานที่นั้นเป็นสถานที่ซึ่งเกิดเหตุเหนือธรรมชาติหรือไม่ให้ฟัง สัญญาณอย่างหนึ่งที่บอกได้อย่างชัดเจนก็คือ…เวลา”
ดวงตาของนักเรียนหลายคนเป็นประกายขึ้นทันที พวกเขาจดสิ่งนี้ลงไปในสมุดของตัวเองอย่างกระตือรือร้น เพราะฉินเย่ชี้ไปที่เวลาที่ปรากฏให้เห็นในรูปถ่ายใบแรก แสดงให้เห็นถึงเวลาที่ทางนิติเวชระบุไว้ว่าเป็นเวลาที่จ้างซั่นห่าวตื่นขึ้นจากการหลับใหล
ตอนเที่ยงคืน!
แม้แต่รายงานการสืบสวนของตำรวจเองก็บอกว่าจ้างซั่นห่าวได้ตื่นขึ้นและเด้งตัวออกจากเตียงราวกับแวมไพร์ในตอนเที่ยงคืนตรง จากนั้นเขาก็มองไปที่ภรรยาของตนอยู่สักพักใหญ่ ก่อนจะเดินไปที่ห้องครัวและหยิบมีดหั่นผักขึ้นมาอย่างไม่ลังเล
ทั้งหมดนี่สามารถสันนิษฐานได้จากร่องรอยที่เหลือทิ้งไว้ที่เตียงและองศาของมีด
“จากนั้น หลังจากที่แทงและหั่นศพของภรรยาและลูกชายของตัวเองแล้ว เขาก็กลับเข้านอนตามเดิม เมื่อเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง…” ฉินเย่ชี้ไปที่เวลาที่อยู่มุมล่างสุดของภาพ และดวงตาของทุกคนก็เป็นประกายขึ้นทันที
มันคือเวลา 05.00 น.!
ชั่วโมงปีศาจ!
เวลาเที่ยงคืนคือจุดตัดระหว่างกลางคืนและกลางวัน หรือหยินและหยาง ในขณะที่เวลาตี 5 คือชั่วโมงปีศาจ นี่มันนี่มันมากกว่าเรื่องบังเอิญแล้ว!
“นี่เป็นเพียงหนึ่งในหลาย ๆ เหตุการณ์เมื่อการโจมตีของวิญญาณดูเหมือนจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญเพียงเพราะว่ามันดูแปลกประหลาดเกินไป ผมกล้ายืนยันเลยว่ามันน่าจะมีอีกหลายกรณีที่ยังไม่สามารถหาตัวฆาตกรได้ หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าผมได้เดินทางไปที่นั่นโดยเฉพาะ ผมก็คงไม่รู้เรื่องนี้เช่นกัน…เอาล่ะ ผมชักจะนอกเรื่องไปแล้ว กลับมาที่หัวข้อของเราดีกว่า พวกคุณคิดว่าจ้างซั่นห่าวที่ฆาตกรรมภรรยากับลูกชายของเขานั้นอยู่ในสถานการณ์แบบใด? หวังเฉิงห่าว ทำไมคุณไม่ลองเดาดูล่ะ?”
หวังเฉิงห่าวลุกขึ้นยืนและถามว่า “การสิงสู่?”
“ในทางวิชาการแล้วคุณจะต้องใช้ศัพท์ที่เจาะจงมากกว่านี้ การสิงสู่ไม่ใช่คำที่คุณจะเอามาใช้ง่าย ๆ ได้” ฉินเย่กดมือของตัวเองลง และหวังเฉิงห่าวก็นั่งลงอย่างเชื่อฟัง ตอนแรกเขาคิดว่าตัวเองจะต้องรู้สึกแปลกประหลาดเมื่อต้องมานั่งฟังการบรรยายของฉินเย่ แต่หลังจากที่ฉินเย่เริ่มบรรยายเขาก็พบว่าฉินเย่นั้นมีความสามารถในการดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ดีมาก
ฉินเย่กดพอยน์เตอร์ไปที่หน้าจอ LED อีกครั้ง และคำสองคำก็ปรากฏขึ้น กระซิบ และ คำใบ้
กระซิบ?
ผู้ประเมินทั้งหมดขมวดคิ้วอีกครั้ง แต่ครั้งนี้พวกเขารู้ดีว่าไม่ควรถามอะไรดี
แม้แต่ผู้เฒ่ายวีเองก็ไม่เอ่ยอะไรออกมา เขาเพียงจับจ้องไปที่ฉินเย่ขณะที่รอสิ่งที่เด็กหนุ่มตรงหน้ากำลังจะพูดต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ ตอนนี้มีใครมีสิทธิ์ที่จะถามคำถามที่ไหนกัน?
ฉินเย่เองก็ไม่ได้สนใจความกระอักกระอ่วนภายในใจของพวกระดับสูงเลยสักนิด กลับกัน เขาหยิบเอกสารจำนวนหนึ่งออกมาและแสดงให้ทุกคนเห็นโดยรอบ “นี่คือข้อมูลที่ผมได้มาตอนที่ผมได้ไปสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากสมาชิกครอบครัวของจ้างซั่นห่าวในวันที่ 10 ของเมื่อเดือนที่ผ่านมา นักเรียนคนไหนที่สนใจอยากจะศึกษาเพิ่มเติม พวกคุณสามารถนำเอกสารพวกนี้ไปถ่ายเอกสารและลองหาดูว่า ผมสามารถค้นพบการมีส่วนร่วมของสิ่งเหนือธรรมชาติได้อย่างไร นี่จะอยู่ในเนื้อหาของการบรรยายครั้งถัดไป ในหัวข้อที่ผมจะพูดถึง นั่นก็คือการสัมผัสที่เฉียบคมของผู้ฝึกตน…เอาล่ะ ตอนนี้กลับมาพูดเรื่องของเราต่อ เพื่อย่นระยะเวลาของเรื่องทั้งหมด เมื่อ 7 ปีก่อน จ้างซั่นห่าวฝันเห็นชายชราที่สวมชุดคลุมสีเทาโบราณคนหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศโดยที่หันหลังให้เขา”
“ตั้งแต่นั้นมา ทุกครึ่งเดือนเมื่อมีพระจันทร์เต็มดวงเขาก็ฝันเหมือนเดิมทุกครั้ง เป็นแบบนี้มาตลอด 7 ปีเต็ม ซึ่งวิญญาณชนิดนี้…ก็ไม่ใช่วิญญาณทั่วไปเช่นกัน มันมีชื่อเรียกว่าวิญญาณแห่งฝันร้าย”
“จดที่เขาพูด…” ผู้เฒ่ายวีอดไม่ได้ที่จะเอ่ยสั่งผู้ช่วยของตนให้จดสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดโดยที่ไม่ละสายตาไปจากฉินเย่เลยแม้แต่น้อย แต่มันก็ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องเอ่ยสั่งเลยสักนิด เพราะผู้ช่วยของเขาได้จดมันลงไปก่อนที่เขาจะพูดเสียอีก
สวี่อันกั๋วและเหล่าผู้ระดับสูง รวมถึงโจวเซียนหลงต่างก็จ้องไปที่ฉินเย่ตาไม่กะพริบ
วิญญาณแห่งฝันร้าย
นี่ก็เป็นอีกชื่อหนึ่งที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน!
จิตศาสตร์อาถรรพณ์คือสาขาวิชาที่ได้รับการก่อตั้งและพัฒนามาตลอดหลายปี นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาในสาขาแยกย่อยอีกมากมาย ตลอดจนระบบการตั้งชื่อของมันเองด้วย แต่ละชื่อที่ถูกอ้างอิงลงไปจะต้องผ่านการถกเถียงและไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ซึ่งมันเห็นได้ชัดเจนเลยว่ามันเป็นเรื่องยากเพียงใดกว่าที่พวกเขาจะสร้างรายชื่อพวกนี้ขึ้นมาได้
แต่กลับไม่มีใครสงสัยเลยว่าทฤษฎีและคำศัพท์มากมายของฉินเย่นั้นสามารถพิสูจน์ได้หรือไม่…และดูเหมือนว่าพวกเขาจะต้องจัดระบบการตั้งชื่อใหม่ทั้งหมดเสียแล้ว
ทันใดนั้นเอง ประตูหลังของห้องก็ถูกเปิดออกเสียงดัง และชายในชุดปฏิบัติการสีขาวก็พรวดพราดเข้ามาในห้องโดยที่ยังคงถือลูกบอลผนึกอยู่ในมือ “หัวหน้า มันได้ผล! มันได้ผลจริง ๆ ครับ!! นะ นี่…นี่จะต้องนำไปสู่ยุคสมัยใหม่ของการวิจัยทางวิญญาณแน่ ๆ!!”
วัตถุที่อยู่ในมือของเขาแผ่พลังหยินอ่อน ๆ ออกมาขณะที่อักขระโบราณยังคงเปล่งแสงออกมาราวกับตราประทับที่กักขังและผนึกวิญญาณไว้ด้านใน
ฟึ่บ! ก่อนที่เขาจะพูดจบ ลูกบอลผนึกในมือก็ลอยไปอยู่ในมือสวี่อันกั๋วอย่างรวดเร็ว ชายสูงวัยจ้องมองของในมือใกล้ ๆ เพื่อสัมผัสถึงสิ่งที่อยู่ด้านใน จากนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง แม้แต่ขนบนใบหน้าของเขาก็สั่นเทาเล็กน้อย จากนั้นจึงหันไปมองฉินเย่ด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดาก่อนจะส่งลูกบอลผนึกให้กับโจวเซียนหลง
“คุณลองดู….”
เขากลัว…กลัวว่าตัวเองอาจจะเข้าใจผิดไป แต่อีกฝ่ายเป็นถึงขั้นตุลาการนรก ดังนั้นไม่มีทางผิดแน่นอน!
หากลูกบอลผนึกวิญญาณนี้สามารถผนึกวิญญาณได้จริง ๆ…สิ่งนี้จะเป็นหนึ่งในความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาของประวัติศาสตร์ของผู้ฝึกตน!
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าการบรรยายธรรมดา ๆ นี้อาจจะมีเรื่องให้น่าตื่นเต้น แต่ใครจะคิดว่ามันจะเหนือกว่าที่เขาคาดหวังเอาไว้ขนาดนี้!
Comments
ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] 159: วิญญาณแห่งฝันร้าย
บทที่ 159: วิญญาณแห่งฝันร้าย
ฉินเย่ยังคงเอ่ยต่อ “เมืองจูชาน เมืองหลวงของแม่น้ำจูเจียง และเมืองหยางเจียงในสามมณฑลทางตะวันออกเฉียงเหนือ….ผมยังไม่แน่ใจนักว่าตอนนี้พวกมันกำลังซ่อนตัวอยู่ที่ไหน แต่สิ่งที่ผมรู้ก็คือหากเราค้นหามันจากเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่ยังไม่สามารถคลี่คลายได้ เราจะต้องได้เบาะแสของพวกมันอย่างแน่นอน!”
“เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว…ที่ใดมีภูตผีคลุ้มคลั่ง ที่นั่นยอมมีปรากฏการณ์ที่เรียกว่าจุดตัดระหว่างสองภพเกิดขึ้น นักเรียนทุกคน ช่วยจดเรื่องนี้ลงไปด้วย ทุกคนที่ค้นพบจุดตัดระหว่างสองภพจะต้องถอยออกมาจากบริเวณนั้นทันที เว้นแต่ว่าพวกคุณจะอยู่ขั้นตุลาการนรก! มิฉะนั้นก็เหมือนพวกคุณเอาชีวิตไปทิ้งดี ๆ นี้เอง! นั่นเพราะว่า…รังของภูตผีมากกว่าหมื่นตนจะปรากฏขึ้นบริเวณนั้น และพื้นที่ทั้งหมดก็จะถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่หยิน ต่อให้พวกคุณจะมีอายุขัยยาวนานแค่ไหน มันก็จะลดลงอย่างรวดเร็วเมื่ออยู่ในพื้นที่แห่งนี้”
“รังของวิญญาณนับหมื่น? นั่นมันอะไรกัน?”
“ปรากฏการณ์จุดตัดระหว่างสองภพมันคืออะไรกันแน่?”
นักศึกษาที่นั่งฟังการบรรยายกำลังจะยกมือขึ้นถาม พลันมีเสียงสองเสียงดังขึ้นจากด้านหลังดังขึ้นพร้อมกัน เป็นโจวเซียนหลงและสวี่อันกั๋วนั่นเองที่อุทานพร้อมกัน
คำศัพท์ใหม่อีกแล้ว!
พวกเขาได้ยินความคิดและแนวคิดใหม่ ๆ จำนวนมากมาตั้งแต่การบรรยายนี้เริ่มขึ้น! แม้แต่พวกระดับสูงเองก็ไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อน! ในด้านหนึ่ง คุณอาจสามารถปัดข้อมูลพวกนี้ทั้งหมดได้โดยการบอกว่ามันเป็นเพียงความคิดเห็นที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่ในอีกด้านหนึ่ง แม้ว่าข้อสันนิษฐานพวกนี้จะมีพื้นฐานจากความจริงเป็นเล็กน้อย แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้เกิดกระแสในแวดวงวิชาการได้!
ตัวอย่างเช่นการถกเถียงทฤษฎีทางคณิตศาสตร์
ดังนั้น ชายสูงวัยทั้งสองจึงเอ่ยออกไปตามสัญชาตญาณ ลืมข้อเท็จจริงที่ว่าพวกตนคือผู้อำนวยการและหัวหน้าสาขาไปโดยปริยาย พอรู้สึกตัวพวกเขาก็นิ่งงันและนั่งตัวลงอย่างกระอักกระอ่วน
“เอ่อ…” ฉินเย่ที่เพิ่งปะติดปะต่อเนื้อหาทั้งหมดได้เมื่อเขาถูกขัดอีกครั้ง เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างไม่พอใจนักหลบบ่นในใจ เด็กพวกนี้นี่สอนยากจริง ๆ พวกคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญไม่ใช่เหรอ…แล้วทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนว่าพวกเขาไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่างเลยกันนะ?
เขาใช้เวลาพอสมควรในการจัดระเบียบความคิดของตัวเองก่อนจะอธิบายออกมา “จุดตัดระหว่างสองภพคือชื่อที่ผมคิดขึ้น มันหมายถึงพื้นที่ที่มีครึ่งหยินและครึ่งหยาง มันคืออีกมิติหนึ่งที่ซ่อนอยู่ซุกซ่อนอยู่ใต้เมือง!”
“หลักฐานล่ะ?” ผู้เฒ่ายวีถามกลับต่อทันที
“เมืองเป่าอัน!” ฉินเย่เอ่ย “เมืองเป่าอันคือหลักฐานที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้! หากเราดูจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองเป่าอันครั้งนั้น ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าวิญญาณระดับสูงตนอื่นจะไม่ใช้วิธีการเดียวกันนี้อีกครั้ง?”
เปรี้ยง!
ราวกับมีสายฟ้าที่ผ่าลงมาและขจัดหมอกควันที่ปกคลุมอยู่ให้หายไป ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบแทบจะทันที
ใช่แล้ว…หากเมืองเป่าอันยังสามารถเป็นเช่นนั้นได้ แล้ว…เมืองอื่น ๆ ล่ะ?
เมื่อตกดึกสถานที่ที่พวกเขาอยู่จะยังสามารถเรียกว่าแดนมนุษย์ได้อีกหรือไม่? พวกเขาจะแน่ใจได้อย่างไรว่ามันจะไม่มีดวงตาปริศนาอีกคู่หนึ่งที่มองมาที่พวกเขา ในขณะที่พวกเขาไม่รู้ตัว?
โจวเซียนหลงเงยหน้าขึ้นหลังจากครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน “ถ้าอย่างนั้น รังของวิญญาณกว่าหมื่นตนล่ะ?”
ฉินเย่ที่เตรียมตัวมาอย่างดีก็ตอบกลับไปทันทีราวกับเครื่องจักรที่มีน้ำมันหล่อลื่นอย่างดี
“นั่นง่ายมากครับ วิญญาณระดับสูงจะมีสติปัญญาในระดับหนึ่ง ไม่ว่าพวกมันไปที่ไหนก็จะมีวิญญาณจำนวนมากติดตาม ผมเรียกสิ่งนี้ว่าหลักการกาลักน้ำของวิญญาณหรือกาลักวิญญาณ มันค่อนข้างคล้ายกับวิธีที่มณฑลหาประโยชน์จากเมืองหลวงนั่นแหละ”
“และเนื่องด้วยเหตุผลนี้ พื้นที่สีแดงบนแผนที่จึงบ่งบอกว่ามีวิญญาณระดับสูงซุกซ่อนตัวอยู่ที่นั่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมันยังดึงวิญญาณที่อ่อนแอกว่ามาและทำให้เกิดเป็นผลลัพธ์ที่น่าสะพรึงกลัวจากกาลักวิญญาณขึ้น แล้วแบบนี้เราควรจะเรียกมันว่าอะไรหากไม่ใช่รังของผีนับพัน?”
ตุบ…ผู้เฒ่ายวีหลับตาลงและทุบโต๊ะตรงหน้าของตน
ชายในชุดปฏิบัติการสีขาวมองผู้เฒ่ายวีอย่างประหลาดใจ ที่เห็นชายสูงวัยเหมือนกำลังระงับความตื่นเต้นภายในใจด้วยการทุบโต๊ะตรงหน้าตัวเอง
“โทรหาคนของเราที่เพิ่งออกไป” ดวงตาเขาแดงก่ำเล็กน้อย และเสียงที่เอ่ยออกมาก็แหบพร่า “บอกเขาว่าให้กลับมาที่นี่ทันทีหลังจากที่จับกุมวิญญาณได้!”
“ต้องรีบขนาดนั้นเลยหรือครับ?” หนึ่งในชายชุดขาวถามอย่างงุนงง
“พวกคุณ…” ศาสตราจารย์ยวีถอนหายใจออกมาพร้อมกับดวงตาที่ลุกโชน “พวกคุณไม่เข้าใจเรื่องที่เขาพูดมาว่ามันสำคัญขนาดไหนเลยอย่างนั้นหรือ?”
เขาไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ แต่ยิ่งผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมดคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ สีหน้าของพวกเขาก็ยิ่งเปลี่ยนไปมากเท่านั้น
สำคัญ…
มันไม่ใช่แค่สำคัญแล้ว!
นี้คือการจัดประเภทของวิญญาณ!
ลูกบอลผนึกวิญญาณสามารถใช้จับกุมวิญญาณได้ ซึ่งนั้นทำให้พวกเขาสามารถค้นคว้าเกี่ยวกับวิญญาณได้ และทำให้พวกเขาสามารถยืนยันคำกล่าวที่ว่าวิญญาณจะกลืนกินกันเองของอีกฝ่ายได้ นอกจากนี้มันจะทำให้พวกเขามีความเข้าใจเกี่ยวกับการพัฒนาของวิญญาณในระดับที่สูงขึ้น และทำให้อนุมานได้ว่าพื้นที่สีแดงเหล่านี้…แสดงถึงการก่อตัวขึ้นของอาณาเขตของภูตผี!
และเมื่อพวกเขาสามารถพิสูจน์การคาดเดาพวกนี้ได้สำเร็จ การวิจัยในเรื่องของวิญญาณก็จะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่!
ทิศทางของการวิจัย กลยุทธ์และวิธีการทั้งหมดจะได้รับการยกเครื่องครั้งใหญ่!
และทั้งหมดนี้ก็เกิดขึ้นจากสมมติฐานของอาจารย์มือใหม่คนหนึ่ง
“เด็กคนนี้…” ชายในชุดสูทสีดำที่แสดงความคิดเห็นก่อนหน้านี้จ้องฉินเย่ด้วยสายตาตะลึงงัน “นะ นี่…นี่มันไม่ใช่แค่จินตนาการที่คิดขึ้นมาเองแล้ว…”
“เขา…เขาคิดทั้งหมดนี้ขึ้นมาด้วยลูกบอลผนึกวิญญาณลูกเดียว…ไม่แปลกใจเลยที่ผู้เฒ่ายวีจะเดินทางมาเพื่อฟังการบรรยายในวันนี้ด้วยตัวเองให้ได้…”
ในที่สุดฉินเย่ก็อธิบายหัวข้อนี้จบ
เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นก็เหลือบตาไปมองที่หน้าจอโทรศัพท์ของตัวเอง แย่ล่ะ! ผ่านมา 42 นาทีแล้วเหรอ?!
แผนการเดิมของเขาก็คือแนะนำวิญญาณพิเศษสองชนิด และโยงมันกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่เกี่ยวข้อง แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาคงต้องถือว่าตัวเองโชคดีแล้วหากสามารถพูดถึงวิญญาณตนแรกได้จนจบ
ในท้ายที่สุดแล้ว…เขาก็ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าพูดถึงเศษเสี้ยวของเนื้อหาทั้งหมด ก่อนจะถูกขัดจังหวะโดยเหล่าสหายที่ขยันขันแข็งพวกนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า
เขามองเหล่าผู้ประเมินทั้งหมดด้วยสายตาไม่พอใจนัก ไม่ใช่ว่าพวกคุณจะต้องประเมินผมหรอกหรือ? คุณแน่ใจหรือเปล่าว่าตัวเองกำลังทำสิ่งที่ต้องทำอยู่…
เขาเก็บสีหน้าตัวเองให้เป็นปกติและกระแอมออกมาเบา ๆ “โอเค เมื่อครู่นี้ผมได้พูดถึงคำจำกัดความของภูตผีคลุ้มคลั่งและการวิวัฒนาการของวิญญาณไปแล้ว ทีนี้ผมอยากจะพูดถึงเรื่องอื่นบ้าง สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันก่อให้เกิดลักษณะและเชื้อชาติที่แตกต่างกันไปของมนุษย์ แล้ววิญญาณล่ะ?”
“เด็กคนนี้” สีหน้าของผู้เฒ่ายวีเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขณะที่เขาถอนหายใจออกมายาวเหยียด “ถึงกับกล้ามาท้าทายหัวข้อวิจัยที่ฉันเพิ่งคิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้…ฉันล่ะอยากจะเห็นจริง ๆ ว่าเขอจะยังมีเรื่องอะไรให้เราต้องประหลาดใจเรื่องไหนอีกบ้าง!”
ฉินเย่ยังคงเอ่ยต่อ “ตราบใดที่เรายังไม่คำนึงถึงประเภทต่าง ๆ ของวิญญาณ การมีอยู่ของพวกมันก็จะยิ่งน่าตกตะลึงและเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตของเรามากขึ้นเรื่อย ๆ ตัวผมเองก็มีโอกาสได้เจอกับวิญญาณที่ไม่เคยถูกบันทึกมาก่อน หลังจากที่ใช้เวลาในการสังเกตพวกมัน ผมก็พบว่าทุกตนล้วนมีอะไรบางอย่างที่เหมือนกันคือ พวกมันอันตรายกว่ามาก อีกทั้งการปกปิดตัวตนของพวกมันเองก็ดีเยี่ยม และยังยากที่จะกำจัดอีกด้วย”
นักศึกษาทุกคนต่างจดเนื้อหาที่ได้ยินลงในสมุดของตัวเองอย่างตั้งใจ ต่อมาก็เกิดเสียงฮือฮาดังขึ้นเบา ๆ เมื่อฉินเย่กดพอยน์เตอร์ไปที่หน้าจอ LED และภาพหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมา
“เหตุฆาตกรรมในตอนเที่ยงคืนที่เมืองไดซาน” ฉินเย่เอ่ยพาดหัวข่าวบนหน้าจอและหันกลับไปมองเหล่านักเรียน “ใครพอจะจำเหตุการณ์นี้ได้บ้าง?”
ฮือฮา……เด็กนักเรียนหลายคนวางปากกาในมือและยกมือขึ้น
“ดี ดูเหมือนว่าเหตุการณ์นี้จะยังติดอยู่ในหัวของทุกคน ผมได้เดินทางไปที่สถานีตำรวจและแผนกนิติเวชของเมืองไดซานอยู่หลายครั้ง เพื่อขอตัวอย่างเกี่ยวกับเหตุการณ์แปลกประหลาดบางเหตุการณ์มา….”
หลินฮั่นที่นั่งฟังอยู่ตกตะลึงเป็นอย่างมาก “อะไรนะ…เจ้าเด็กนั่นมันไปทำแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่? เขาจะต้องโกหกเราแน่ ๆ ตอนที่บอกว่าตัวเองนอนหลับ เพราะแท้จริงแล้วเขากลับไปทำเรื่องพวกนี้!”
ซู่เฟิงถอนหายใจ “คนที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่พวกที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด แต่เป็นพวกฉลาดที่ขยันขันแข็งกว่านาย…ใช่แล้ว อันธพาลท้องถิ่น ฉันกำลังเปรียบเทียบเขากับนายนั่นแหละ”
ฉินเย่ยังคงเอ่ยต่อด้วยเสียงที่ดังฟังชัด “คดีนี้ไม่ได้ถูกบันทึกว่าเป็นเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ ผมแค่หยิบมันมาพูดถึงหลังจากที่ได้อ่านบันทึกของพวกเขาแล้วเท่านั้น ในวันที่ 8 มีนาคมของเมื่อสองปีก่อน จ้างซั่นห่าว ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ที่ถนนชิงฉุ่ย ถูกพบว่าละเมอเดินในตอนที่เขาฆ่าภรรยาและลูกชายของตัวเอง เมื่อเขาตื่นขึ้นและรับรู้ถึงสิ่งที่ตนได้กระทำลงไป เขาก็ฆ่าตัวตาย”
ภาพบนหน้าจอ LED เปลี่ยนเป็นภาพถ่ายที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวน มีทั้งภาพที่มีเลือดเล็กน้อยไปจนถึงมาก แต่ถึงกระนั้น ทุกคนที่อยู่ที่นี่ แม้แต่หวังเฉิงห่าว ต่างก็เคยเห็นการนองเลือดกันมาแล้วทั้งสิ้น จึงไม่มีใครรู้สึกสะอิดสะเอียนกับภาพที่เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว
“ทุกคนจดเรื่องนี้ลงไปด้วย” เขาชี้ไปที่ด้านล่างซ้ายของหน้าจอ “ผมจะบอกถึงเคล็ดลับในการตรวจสอบว่าสถานที่นั้นเป็นสถานที่ซึ่งเกิดเหตุเหนือธรรมชาติหรือไม่ให้ฟัง สัญญาณอย่างหนึ่งที่บอกได้อย่างชัดเจนก็คือ…เวลา”
ดวงตาของนักเรียนหลายคนเป็นประกายขึ้นทันที พวกเขาจดสิ่งนี้ลงไปในสมุดของตัวเองอย่างกระตือรือร้น เพราะฉินเย่ชี้ไปที่เวลาที่ปรากฏให้เห็นในรูปถ่ายใบแรก แสดงให้เห็นถึงเวลาที่ทางนิติเวชระบุไว้ว่าเป็นเวลาที่จ้างซั่นห่าวตื่นขึ้นจากการหลับใหล
ตอนเที่ยงคืน!
แม้แต่รายงานการสืบสวนของตำรวจเองก็บอกว่าจ้างซั่นห่าวได้ตื่นขึ้นและเด้งตัวออกจากเตียงราวกับแวมไพร์ในตอนเที่ยงคืนตรง จากนั้นเขาก็มองไปที่ภรรยาของตนอยู่สักพักใหญ่ ก่อนจะเดินไปที่ห้องครัวและหยิบมีดหั่นผักขึ้นมาอย่างไม่ลังเล
ทั้งหมดนี่สามารถสันนิษฐานได้จากร่องรอยที่เหลือทิ้งไว้ที่เตียงและองศาของมีด
“จากนั้น หลังจากที่แทงและหั่นศพของภรรยาและลูกชายของตัวเองแล้ว เขาก็กลับเข้านอนตามเดิม เมื่อเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง…” ฉินเย่ชี้ไปที่เวลาที่อยู่มุมล่างสุดของภาพ และดวงตาของทุกคนก็เป็นประกายขึ้นทันที
มันคือเวลา 05.00 น.!
ชั่วโมงปีศาจ!
เวลาเที่ยงคืนคือจุดตัดระหว่างกลางคืนและกลางวัน หรือหยินและหยาง ในขณะที่เวลาตี 5 คือชั่วโมงปีศาจ นี่มันนี่มันมากกว่าเรื่องบังเอิญแล้ว!
“นี่เป็นเพียงหนึ่งในหลาย ๆ เหตุการณ์เมื่อการโจมตีของวิญญาณดูเหมือนจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญเพียงเพราะว่ามันดูแปลกประหลาดเกินไป ผมกล้ายืนยันเลยว่ามันน่าจะมีอีกหลายกรณีที่ยังไม่สามารถหาตัวฆาตกรได้ หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าผมได้เดินทางไปที่นั่นโดยเฉพาะ ผมก็คงไม่รู้เรื่องนี้เช่นกัน…เอาล่ะ ผมชักจะนอกเรื่องไปแล้ว กลับมาที่หัวข้อของเราดีกว่า พวกคุณคิดว่าจ้างซั่นห่าวที่ฆาตกรรมภรรยากับลูกชายของเขานั้นอยู่ในสถานการณ์แบบใด? หวังเฉิงห่าว ทำไมคุณไม่ลองเดาดูล่ะ?”
หวังเฉิงห่าวลุกขึ้นยืนและถามว่า “การสิงสู่?”
“ในทางวิชาการแล้วคุณจะต้องใช้ศัพท์ที่เจาะจงมากกว่านี้ การสิงสู่ไม่ใช่คำที่คุณจะเอามาใช้ง่าย ๆ ได้” ฉินเย่กดมือของตัวเองลง และหวังเฉิงห่าวก็นั่งลงอย่างเชื่อฟัง ตอนแรกเขาคิดว่าตัวเองจะต้องรู้สึกแปลกประหลาดเมื่อต้องมานั่งฟังการบรรยายของฉินเย่ แต่หลังจากที่ฉินเย่เริ่มบรรยายเขาก็พบว่าฉินเย่นั้นมีความสามารถในการดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ดีมาก
ฉินเย่กดพอยน์เตอร์ไปที่หน้าจอ LED อีกครั้ง และคำสองคำก็ปรากฏขึ้น กระซิบ และ คำใบ้
กระซิบ?
ผู้ประเมินทั้งหมดขมวดคิ้วอีกครั้ง แต่ครั้งนี้พวกเขารู้ดีว่าไม่ควรถามอะไรดี
แม้แต่ผู้เฒ่ายวีเองก็ไม่เอ่ยอะไรออกมา เขาเพียงจับจ้องไปที่ฉินเย่ขณะที่รอสิ่งที่เด็กหนุ่มตรงหน้ากำลังจะพูดต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ ตอนนี้มีใครมีสิทธิ์ที่จะถามคำถามที่ไหนกัน?
ฉินเย่เองก็ไม่ได้สนใจความกระอักกระอ่วนภายในใจของพวกระดับสูงเลยสักนิด กลับกัน เขาหยิบเอกสารจำนวนหนึ่งออกมาและแสดงให้ทุกคนเห็นโดยรอบ “นี่คือข้อมูลที่ผมได้มาตอนที่ผมได้ไปสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากสมาชิกครอบครัวของจ้างซั่นห่าวในวันที่ 10 ของเมื่อเดือนที่ผ่านมา นักเรียนคนไหนที่สนใจอยากจะศึกษาเพิ่มเติม พวกคุณสามารถนำเอกสารพวกนี้ไปถ่ายเอกสารและลองหาดูว่า ผมสามารถค้นพบการมีส่วนร่วมของสิ่งเหนือธรรมชาติได้อย่างไร นี่จะอยู่ในเนื้อหาของการบรรยายครั้งถัดไป ในหัวข้อที่ผมจะพูดถึง นั่นก็คือการสัมผัสที่เฉียบคมของผู้ฝึกตน…เอาล่ะ ตอนนี้กลับมาพูดเรื่องของเราต่อ เพื่อย่นระยะเวลาของเรื่องทั้งหมด เมื่อ 7 ปีก่อน จ้างซั่นห่าวฝันเห็นชายชราที่สวมชุดคลุมสีเทาโบราณคนหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศโดยที่หันหลังให้เขา”
“ตั้งแต่นั้นมา ทุกครึ่งเดือนเมื่อมีพระจันทร์เต็มดวงเขาก็ฝันเหมือนเดิมทุกครั้ง เป็นแบบนี้มาตลอด 7 ปีเต็ม ซึ่งวิญญาณชนิดนี้…ก็ไม่ใช่วิญญาณทั่วไปเช่นกัน มันมีชื่อเรียกว่าวิญญาณแห่งฝันร้าย”
“จดที่เขาพูด…” ผู้เฒ่ายวีอดไม่ได้ที่จะเอ่ยสั่งผู้ช่วยของตนให้จดสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดโดยที่ไม่ละสายตาไปจากฉินเย่เลยแม้แต่น้อย แต่มันก็ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องเอ่ยสั่งเลยสักนิด เพราะผู้ช่วยของเขาได้จดมันลงไปก่อนที่เขาจะพูดเสียอีก
สวี่อันกั๋วและเหล่าผู้ระดับสูง รวมถึงโจวเซียนหลงต่างก็จ้องไปที่ฉินเย่ตาไม่กะพริบ
วิญญาณแห่งฝันร้าย
นี่ก็เป็นอีกชื่อหนึ่งที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน!
จิตศาสตร์อาถรรพณ์คือสาขาวิชาที่ได้รับการก่อตั้งและพัฒนามาตลอดหลายปี นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาในสาขาแยกย่อยอีกมากมาย ตลอดจนระบบการตั้งชื่อของมันเองด้วย แต่ละชื่อที่ถูกอ้างอิงลงไปจะต้องผ่านการถกเถียงและไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ซึ่งมันเห็นได้ชัดเจนเลยว่ามันเป็นเรื่องยากเพียงใดกว่าที่พวกเขาจะสร้างรายชื่อพวกนี้ขึ้นมาได้
แต่กลับไม่มีใครสงสัยเลยว่าทฤษฎีและคำศัพท์มากมายของฉินเย่นั้นสามารถพิสูจน์ได้หรือไม่…และดูเหมือนว่าพวกเขาจะต้องจัดระบบการตั้งชื่อใหม่ทั้งหมดเสียแล้ว
ทันใดนั้นเอง ประตูหลังของห้องก็ถูกเปิดออกเสียงดัง และชายในชุดปฏิบัติการสีขาวก็พรวดพราดเข้ามาในห้องโดยที่ยังคงถือลูกบอลผนึกอยู่ในมือ “หัวหน้า มันได้ผล! มันได้ผลจริง ๆ ครับ!! นะ นี่…นี่จะต้องนำไปสู่ยุคสมัยใหม่ของการวิจัยทางวิญญาณแน่ ๆ!!”
วัตถุที่อยู่ในมือของเขาแผ่พลังหยินอ่อน ๆ ออกมาขณะที่อักขระโบราณยังคงเปล่งแสงออกมาราวกับตราประทับที่กักขังและผนึกวิญญาณไว้ด้านใน
ฟึ่บ! ก่อนที่เขาจะพูดจบ ลูกบอลผนึกในมือก็ลอยไปอยู่ในมือสวี่อันกั๋วอย่างรวดเร็ว ชายสูงวัยจ้องมองของในมือใกล้ ๆ เพื่อสัมผัสถึงสิ่งที่อยู่ด้านใน จากนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง แม้แต่ขนบนใบหน้าของเขาก็สั่นเทาเล็กน้อย จากนั้นจึงหันไปมองฉินเย่ด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดาก่อนจะส่งลูกบอลผนึกให้กับโจวเซียนหลง
“คุณลองดู….”
เขากลัว…กลัวว่าตัวเองอาจจะเข้าใจผิดไป แต่อีกฝ่ายเป็นถึงขั้นตุลาการนรก ดังนั้นไม่มีทางผิดแน่นอน!
หากลูกบอลผนึกวิญญาณนี้สามารถผนึกวิญญาณได้จริง ๆ…สิ่งนี้จะเป็นหนึ่งในความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาของประวัติศาสตร์ของผู้ฝึกตน!
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าการบรรยายธรรมดา ๆ นี้อาจจะมีเรื่องให้น่าตื่นเต้น แต่ใครจะคิดว่ามันจะเหนือกว่าที่เขาคาดหวังเอาไว้ขนาดนี้!
Comments