ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] 294: ราชทูตทั้ง 12 (2)
บทที่ 294: ราชทูตทั้ง 12 (2)
ความเงียบเกิดขึ้นภายในห้องโถงเสริมขณะที่ทุกคนนั่งฟังศาสตราจารย์ทั้งสองอย่างตั้งใจ “จักรวรรดิเขมร หรือที่รู้จักในชื่อฟูนันและเจนละ ถูกปกครองโดยนายพลกั๋วจื่ออี้”
“และนี่ เจ้าศักดินาแห่งสยามหาใช่ใครอื่นแต่คือฉางเย่ชุน เขาคือแม่ทัพผู้มีชื่อเสียงในสมัยราชวงศ์หมิง และความสำเร็จของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าราชทูตตนอื่น ๆ เลยแม้แต่น้อย” ศาสตราจารย์หลี่เอ่ยด้วยความกระตือรือร้น “ในปีที่ 15 ของจักรพรรดิชุนแห่งราชวงศ์หยวน เขาได้เข้าสวามิภักดิ์กับจูหยวนจาง จักรพรรดิผู้ก่อตั้งราชวงศ์หมิง ฉางเย่ชุนเป็นที่เลื่องลือในเรื่องของความกล้าหาญและความแข็งแกร่งในการสู้รบ ซึ่งนั่นทำให้เขาได้รับฉายาว่า ‘ฉางสิบหมื่น’ เพราะเขาได้รับคำกล่าวขานว่ามีกำลังรบเท่ากองทหารแสนนาย น่าเสียดายที่เขาต้องจบชีวิตลงด้วยวัยเพียง 40 ปีเนื่องจากโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่เขาได้รับตำแหน่ง ‘ราชาแห่งไคผิง’ และได้รับชื่อมรณกรรมว่า ‘จงหวู่’ จากนั้นจึงได้รับเกียรติสูงสุดให้ถูกฝังไว้ในศาลบูรพกษัตริย์ !”
ศาสตราจารย์อันเอ่ยต่อ “เขาเอาชนะบายันแห่งเมอร์คิดในการต่อสู้ที่ฉวี่โจว[1] และเขายังสามารถเอาชนะการต่อสู้ที่ฉ่ายสือจี ได้ด้วย นอกจากนี้ เขายังเข้าร่วมการต่อสู้กับศัตรูของจูหยวนจางอย่างเฉินโหยวเหลียง จากนั้นจึงยึดเมืองหลวงของราชวงศ์หยวนมาได้ เขาควรค่าแก่การได้รับเกียรติสูงสุดอย่างแท้จริง…”
ไม่มีใครเอ่ยขัดเลยแม้แต่น้อย ชายสูงวัยเอ่ยต่อ “คนต่อไปคือท่านหม่าฝูโปวแห่งพุกาม พุกามคืออาณาจักรโบราณของเบอร์มาเนีย ข้าจะไม่พูดซ้ำในสิ่งที่เขาได้พูดไปแล้ว ชายผู้นี้อาจไม่ได้มีชื่อเสียงเท่าบุคคลอื่น ๆ ในรายชื่อนี้ แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่ได้น่าตกตะลึงน้อยไปกว่ากันเลย !”
“ต่อไป อดีตขุนพลผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์สุย เจ้าแห่งซานฟอตซี[2] ขุนพลฮั่นฉินหู”
“ข้าเคยได้ยินชื่อของเขา” อาร์ทิสเอ่ยแทรกขึ้น ศาสตราจารย์หลี่พยักหน้าด้วยความรู้สึกมากมาย “ไม่แปลกเลยที่ท่านอรากษสจะเคยได้ยินชื่อของชายผู้นี้ ในสมัยราชวงศ์สุยนั้นมีแม่ทัพและขุนพลจำนวนไม่น้อยที่ได้สร้างชื่อให้ตนเอง แต่เขาคือหนึ่งในผู้ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เขาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ นักลอบสังหารและเจ้าเมือง เขายังสามารถปราบปรามการก่อจลาจลที่ฉีเหนือได้อีกด้วย ในปีที่แปดของราชวงศ์สุย เขาได้นำทัพข้ามแม่น้ำแยงซีในยามราตรี จู่โจมฉ่ายสือ พิชิตประตูแดง ยึดครองเมืองเจี้ยนคัง และจับตัวจักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์เฉิน เฉิน ชูเปา เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็น ‘เสาหลักของรัฐ’ ‘ขุนพลผู้ยิ่งใหญ่’ และเจ้าหน้าที่ของเทศมณฑลโซ่วกวง เขายังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าการของเหลียงโจวอีกด้วย น่าเสียดาย… ช่วงเวลา 30 ปีของราชวงศ์สุยนั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้ขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ได้เฉิดฉายอย่างแท้จริง…”
ฉินเย่มองอาร์ทิสด้วยสายตาประหลาดใจ
ด้วยเหตุผลบางประการ ยิ่งศาสตราจารย์พูดมากเท่าไหร่ สีหน้าของอาร์ทิสก็ยิ่งแปลกประหลาดมากขึ้นเท่านั้น จนกระทั่งใบหน้าของนางเผยรอยยิ้มเขินอายออกมาในที่สุด
“มีอะไร ? เขาแตกต่างจากฮั่นฉินหูที่ท่านจำได้หรือ ? ท่านไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับผู้ที่ศาสตราจารย์หลี่กำลังพูดถึงอย่างนั้นหรือ ?” ฉินเย่กระซิบกับอีกฝ่าย
อาร์ทิสเหลือบมองเด็กหนุ่มและเอ่ยเบา ๆ “มันต่างกันเล็กน้อย…”
หืม ?
มีเรื่องอะไรที่เขาควรรู้หรือเปล่า ? ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้น และเขาก็ถามออกไปทันที “บอกมา…”
บอกแม่เจ้าน่ะสิ !
เจ้าควรจะรู้จักที่จะปิดปากมากกว่าถามอะไรก็ไม่รู้นะ ! เจ้าคิดว่าเราจะยังสามารถเป็นเพื่อนกันได้อีกหรือหลังจากที่ข้าเปิดเผยเรื่องพวกนี้ให้เจ้าฟัง ? นี่มันจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ไม่คาดคิดของสถานการณ์เลยนะ…
อาร์ทิสพยายามข่มความต้องการที่จะตบหน้าฉินเย่ด้วยมือตัวเองและเพียงกระแอมออกมาเบา ๆ “ฮั่นฉินหูเป็นจังเกอร์มิใช่หรือ ? ข้าเพียงแต่เคยได้ยินมาว่าเขาสามารถแปลงกายเป็นเสือดาวได้… ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าฮั่นฉินหูที่ศาสตราจารย์หลี่พูดถึงนั้นต่างจากฮั่นฉินหูที่ข้าเคยเห็น ?!”
รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินเย่หายไป เขาจ้องมองอาร์ทิสเขม็งก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเย็น “Honour of Kings มันสนุกขนาดนั้นเลยหรือ ?” [3]
อาร์ทิสพยักหน้าราวกับนางกำลังทุบกระเทียม
“ก็ดี ถ้าเช่นนั้น… ท่านก็ควรเงียบปากเอาไว้สำหรับการวิจารณ์ฮีโร่ที่กำลังจะถูกเอ่ยถึงหลังจากนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าชายแห่งหลานหลิง ข้าไม่ต้องการได้ยินว่าเขาคือนักลอบสังหารและสามารถล่องหนได้ ! จะว่าไป ท่านช่วยหยุดเป็นภาระของยมโลกสักทีได้หรือไม่ ?! แค่มีท่านตนเดียวระดับความฉลาดทางด้านสติปัญญาโดยเฉลี่ยของยมโลกก็ลดลง 5 คะแนนแล้ว !”
และแน่นอน ศาสตราจารย์ทั้งสองไม่รับรู้ถึงบทสนทนาที่เกิดขึ้นระหว่างท่านจ้าวนรกและรัฐมนตรีอาร์ทิสเลยแม้แต่น้อย ในความคิดของพวกเขา ทั้งสองจะต้องหารือถึงเรื่องที่มีความสำคัญมากอย่างไม่น่าเชื่อ ดังนั้นทันทีที่การพูดคุยจบลง ศาสตราจารย์อันจึงกระแอมออกมาเบา ๆ และเอ่ยต่อ “ท่านต่อไปนั้นมีชื่อเสียงมากกว่าฮั่นฉินหูเสียอีก เขาคือบ้านติ้งหยวน หรือที่รู้จักกันในนามนายพลบ้านเจ้า !” [4]
นี่เป็นชื่อที่คุ้นหูดีสำหรับชาวจีนส่วนใหญ่ พวกเขาอาจจะไม่จำเป็นต้องเคยได้ยินความสำเร็จของชายผู้นี้ แต่พวกเขาจะต้องเคยได้ยินชื่อของอีกฝ่ายมาบ้างไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
เพราะอย่างไรแล้ว รายชื่อของบุคคลเหล่านี้ก็ดูเหมือนจะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันนั่นก็คือพวกเขาล้วนเป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียงในยุคสมัยของตนเอง
“นายพลบ้านเจ้า…” ใบหน้าของศาสตราจารย์อันแดงขึ้นเล็กน้อยและเสียงที่เอ่ยออกมาก็แหบพร่า “ข้าไม่คิดเลยว่าเขาจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าศักดินาของที่มาลายาหลังจากที่เสียชีวิตไป นักรบผู้กล้าที่เริ่มต้นด้วยการนำทหาร 36 นายไปเปิดเส้นทางการค้ากับภูมิภาคตะวันตก [5] แน่นอนว่าเขามีจำนวนมากกว่าฝ่ายตรงข้าม แต่เขาก็มักจะใช้กลยุทธ์เพื่อเอาชนะศัตรูของตน จากจุดนั้น เขาได้นำทัพทหารของราชวงศ์ฮั่นต่อสู้กับกองกำลังของตะวันตกกว่า 40-50 ประเทศ ! นายท่าน มันคงจะเป็นการดูถูกความสำเร็จของเขาหากจะบอกว่าชาติตะวันตกในตอนนั้นเป็นเพียงชนเผ่าเร่ร่อน เพราะอย่างไรแล้วพวกเขาก็มีจำนวนคนหลายพัน ! นี่คือความสำเร็จที่ไม่เคยมีมาก่อน และไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลยนับจากนั้น ! เขาเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถทำเช่นนี้ได้ในตลอดระยะเวลา 5 พันปี !”
“ในปีที่ห้าของฮั่นหย่งผิง พี่ชายฝาแฝดของบ้านเจ้า บ้านกูถูกเรียกตัวไปที่เมืองหลวงเพื่อรับหน้าที่บัณฑิตและนักประวัติศาสตร์ และแม่ของเขาก็ตามไปและใช้ชีวิตอยู่กับอีกฝ่าย ว่ากันว่าบ้านเจ้านั้นมีหน้าผากกว้างและลำคอหนาเหมือนเสือ เขายังโหดเหี้ยมจนคู่ต่อสู้ของเขายังบอกว่าเขาคือชายผู้กินเนื้อ ในปีที่เจ็ดของจักรพรรดิเหอแห่งฮั่น บ้านเจ้าได้รับการแต่งตั้งให้เป็นขุนนางแห่งติ้งหยวนและงานพระราชทานอื่น ๆ อีกจำนวนมาก”
คนทั้งหมดถอนหายใจออกมา ทุกรายชื่อในนี้ล้วนประสบความสำเร็จมากมายจนชื่อของพวกเขาถูกจดบันทึกไว้ในพงศาวดาร แค่เอ่ยถึงชื่อเหล่านี้ก็ทำให้พวกเขารู้สึกราวกับมีก้อนหินขนาดใหญ่หนักอึ้งอยู่ภายในใจแล้ว
“ต่อไปคือท่านเกาฉางกง บางทีชื่อนี้อาจจะไม่ได้คุ้นหูมากนัก แต่ข้าเชื่อว่าพวกท่านจะต้องรู้จักเจ้าชายแห่งหลานหลิงอย่างแน่นอน”
“เขาได้รับการยอมรับว่าหน้าตาดีที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน และเขาก็ไม่เคยพ่ายแพ้เลยแม้แต่ครั้งเดียว นอกจากนี้ มันยังเป็นเพราะเหตุผลที่มีใบหน้างดงามนี้ด้วยที่ทำให้เขาต้องสวมหน้ากากอยู่ตลอดเมื่อทำการต่อสู้ น่าเสียดาย ถึงแม้ว่าเขาจะมีระดับสติปัญญาที่ไม่ธรรมดาและมีความกล้าหาญเป็นอย่างมาก แต่การคาดการณ์ของเราจากความสำเร็จของเขา ชายผู้นี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากลุ่มคนก่อนหน้าเลย !”
ศาสตราจารย์หลี่พยายามสงบใจด้วยการสูดหายใจเข้าช้า ๆ ข้อเท็จจริงที่ว่าเหล่าบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์เหล่านี้เดินไปเดินมาในโลกใต้พิภพทำให้เขาตื่นเต้นมาก แทบจะเหมือนกับว่าเขาถูกย้ายกลับไปหลายพันปีเพื่อได้รับโอกาสในการได้เห็นความรุ่งโรจน์ของแผ่นดินจีนอย่างเต็มที่ เขามองไปที่แผนที่และชี้ไปยังจุดต่อไป “เจ้าศักดินาแห่งสิงหปุระ มาร์ควิสหวู่แห่งชิงเหอ หรือที่รู้จักในชื่อหวางเมิ่ง ! ทุกท่าน ชายผู้นี้… น่าทึ่งมาก หากไม่ใช่เพราะกาลเวลาที่ผ่านเลยไป ชื่อเสียงของเขาก็คงไม่ด้อยไปกว่าอีก 11 ท่านแน่นอน !” [6]
ฉินเย่นิ่งไป
เอาล่ะ เอาล่ะ เอาล่ะ… หากสิ่งที่เจ้าพูดถูก และรายชื่อทั้งหมดในที่นี้คือฮีโร่ระดับ SSR ถ้าเช่นนั้นข้าจะพยายามหลอกล่อพวกเขาไปทำไม ?!
ยิ่งเขาฟังศาสตราจารย์ทั้งสองมากเท่าไหร่… เขาก็ยิ่งคิดว่าการยอมแพ้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดมากเท่านั้น !
เด็กหนุ่มเหลือบสายตาไปมองอาร์ทิส เพียงเพื่อที่จะเห็นว่านางจ้องเขม็งมาที่เขาก่อนอยู่แล้ว เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ฉินเย่รีบนั่งตัวตรงทันที
ศาสตราจารย์อันกล่าวอย่างติดตลก “หวังเมิ่งนั้นมีความสามารถทั้งในด้านของสติปัญญาและการทหาร ข้าจะไม่ลงรายละเอียดมากนัก ข้าประเมินให้เขาอยู่ในระดับเดียวกับจูกัดเหลียงเมื่อเป็นเรื่องของการบริหารกิจการภายใน นอกจากนี้เขายังมีบทบาทสำคัญในการจัดการเฉียนเหลียง ใครก็ตามที่ให้ความสนใจกับประวัติศาสตร์ในช่วงเวลานั้นจะสามารถบอกได้ว่าชายผู้นี้ได้ 100 คะแนนเต็มในการบริหารและอย่างน้อย 70 คะแนนในด้านการทหาร”
“ต่อไปคือเจ้าศักดินาแห่งเกาะลูซอน หยาง จีเย่ เจ้าหน้าที่ศักดินาของฟิลิปินัส ข้ามั่นใจว่าพวกท่านทั้งหมดคงเคยได้ยินเรื่องของแม่ทัพหยางใช่หรือไม่ ? เพื่อที่จะทำให้ผลงานของเขาเป็นอมตะ หอระฆังที่ถูกสลักด้วยแผ่นศิลาขนาดใหญ่สองแผ่นที่สลักความสำเร็จอันน่าเหลือเชื่อของเขาเอาไว้ นายท่าน… จากรายชื่อทั้งหมดที่พูดมาถึงตรงนี้ ชายผู้นี้คือผู้ที่มีความเป็นไปได้ว่าจะกลับมาที่จีนและสวามิภักดิ์ต่อยมโลก !”
ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ และพยักหน้า
พระเจ้า โปรดช่วยอย่าเพิ่งทำให้เสียเรื่องตอนนี้เลย… เขาภาวนาเหลือเกินว่าอย่าให้เกิดเรื่องอะไรกับแม่ทัพหยาง…
ศาสตราจารย์หลี่มองแผนที่และเอ่ยอย่างใจเย็น “รายชื่อต่อไปอาจจะไม่คุ้นนัก แต่ความจริงก็คือ… เขาใกล้ชิดกับเรามากกว่าที่คิด”
คนทั้งหมดมองไปยังจุดที่เขาชี้
ภูฏาน
แต่บนแผนที่ มันถูกเขียนว่า – ‘ชากัน กษัตริย์ของดินแดนแห่งป่าไผ่’ !
“ภูฏานนั้นเคยเป็นที่รู้จักกันในชื่อของดินแดนแห่งป่าไผ่” ศาสตราจารย์หลี่เอ่ย “ชากันยังเป็นที่รู้จักกันในฐานะแม่ทัพคนแรกของราชวงศ์หยวนอีกด้วย ! พวกเราจะไม่ลงรายละเอียดว่าราชวงศ์หยวนนั้นครอบครองดินแดนมากเท่าไหร่ แต่ประเด็นก็คือชายผู้นี้… สามารถทำลายคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดสองกลุ่มของราชวงศ์หยวนอย่างเซี่ยตะวันตกและราชวงศ์จิ้นได้ในเวลานั้น”
“หนึ่งในเหตุผลหลักว่าทำไมเขาถึงไม่เป็นที่รู้จักนักก็เพราะสถานะพิเศษของราชวงศ์หยวน ความจริงของเรื่องนี้ก็คือผู้คนส่วนใหญ่ไม่คิดที่จะจดจำถึงการมีอยู่ของราชวงศ์หยวนด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นครั้งแรกที่แผ่นดินจีนถูกปกครองโดยชาวต่างชาติเป็นระยะเวลากว่าร้อยปี นอกจากนี้ ชาวจีนที่มีชีวิตอยู่ในสมัยนั้น หรือที่รู้จักกันในชื่อของชาวราชอาณาจักรกลางนั้นใช้ชีวิตกันอย่างยากลำบาก ราชวงศ์หยวนต้องการขึ้นปกครองโลก แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถทำได้ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงล่มสลายลงอย่างรวดเร็ว ภายใต้ปัจจัยเหล่านี้ ชื่อเสียงของเขาจึงถูกปกปิดโดยเหล่าคนรุ่นหลัง”
“แต่หากเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ ทุกคนก็คงไม่สามารถคาดเดาได้ว่าฉางเย่ชุนจะสามารถก่อตั้งราชวงศ์หมิงกับจูหยวนจางได้หรือไม่” ศาสตราจารย์หลี่แย้มยิ้มบางออกมา “ชื่อนี้ของเขาอาจจะฟังดูแปลกหูสำหรับพวกเรา แต่… ข้าจะพูดอีกชื่อหนึ่งที่ข้ามั่นใจว่าพวกท่านจะต้องรู้จัก”
เขาแย้มยิ้ม “มินมินเตมูร์”[7]
ทุกคนที่ได้ยินเช่นนั้นผงะไป ดวงตาของฉินเย่สั่นไหวอย่างรุนแรงขนาดที่เขาตบโต๊ะเสียงดัง “จ้าวหมิ่น ?! จากดาบมังกรหยกน่ะหรือ ?!” [8]
“ท่านทรงเข้าใจถูกแล้ว !” ศาสตราจารย์หลี่แย้มยิ้มกว้าง “จ้าวหมิ่น ตัวละครหญิงในนวนิยายเรื่องดาบมังกรหยกของกิมย้งนั้นได้ต้นแบบมาจากมินมินเตมูร์ ลูกสาวของชากัน เตมูร์ !”
“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชื่อของเขาถึงคุ้นหูนัก” ฉินเย่ยิ้มกว้าง “ผู้ใดจะไปคิดว่าเขาจะเป็นพ่อตาของข้านี่เอง…”
คนทั้งหมดชะงักไปทันที
หัวหน้าแผนกทั้งเจ็ดของบริษัทก่อสร้างหยินมองฉินเย่ราวกับตนเพิ่งเห็นผี อาร์ทิสยังคงนิ่งเงียบ กู่ชิงกระแอมออกมาเบา ๆ และปรับระดับแว่นตาของตัวเองเพื่อข่มคำพูดมากมายที่เกือบจะหลุดออกจากปากของตน
“แค่ก แค่ก… ข้าพูดเล่น เชิญพูดต่อเถอะ…” ฉินเย่เอ่ยมาเบา ๆ อย่างกระดากอาย
ตอนนี้เหลือข้าราชการศักดินาอยู่เพียงแค่สองตนเท่านั้น ศาสตราจารย์อันสูดหายใจเข้าช้า ๆ และเอ่ยต่อ “บุคคลต่อไปคือผู้ที่มีความเป็นไปได้ที่จะเดินทางกลับมายังบ้านเกิดของเขามากที่สุด หากเราบอกว่าหยางจีเย่มีความเป็นไปได้ 70% ที่จะกลับมา ความเป็นไปได้ของชายผู้นี้ก็จะอยู่ที่ 85% !”
“อวี๋เชียน อวี๋เช่าเป่า เจ้าศักดินาแห่งลิชชาวี[9]”
“อย่า…” ฉินเย่คว้าแขนเสื้อของอาร์ทิสเอาไว้เมื่อเห็นว่านางทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง
อาร์ทิสสะบัดแขนของตนออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายและหันไปมองฉินเย่ด้วยสายตาราวกับต้องการจะบอกว่ามันไม่มีตัวละครตัวนี้อยู่ใน Honour of Kings จากนั้นนางก็เอ่ยขึ้น “เขา… ไม่ใช่ว่าเขาคือคนที่ร่วมแสดง crosstalk กับกัวเต๋อกังหรอกหรือ ? เขาค่อนข้างดีเลยไม่ใช่หรืออย่างไร ?” [10]
ศาสตราจารย์หลี่และศาสตราจารย์อันแน่นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะมองอาร์ทิสด้วยสายตาไม่พอใจ
ในอีกด้านหนึ่ง ฉินเย่เอนตัวพิงพนักเก้าอี้และมองเพดานอย่างเหม่อลอย – อ่าาาา… เขารู้อยู่แล้วว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ ทันทีที่ชื่อของอวี๋เชียนถูกพูดออกมา เขารู้ได้ทันทีเลยว่านางจะพูดอะไร…
“แค่ก แค่ก… เอ่อ เกี่ยวกับเรื่องนั้น… ท่านอรากษส เรากำลังพูดถึงอวี๋เชียนแห่งราชวงศ์หมิง…” ศาสตราจารย์หลี่อธิบายประโยคเมื่อครู่ของตนด้วยสีหน้าเจ็บปวด “ราชวงศ์หมิงได้ยกย่องเขาในเรื่องของความภักดีและความชอบธรรม เมื่อนับรวมกับเยว่เฟยและจางหวงเหยียนแล้ว พวกเขาเป็นที่รู้จักในชื่อของสามวีรบุรุษแห่งแม่น้ำตะวันตก หากไม่ใช่เพราะอวี๋เชียน เมืองหลวงของราชวงศ์หมิงคงได้รับความเสียหายอย่างหนักจากผู้บุกรุกในระหว่างวิกฤตป้อมทูมูไปแล้ว!” [11]
ศาสตราจารย์อันมีอารมณ์ร่วมในจุดนี้อย่างไม่น่าเชื่อ “หากไม่นับรวมหยางจีเย่ ชายผู้ที่เหมาะที่จะได้รับตำแหน่งวีรบุรุษแห่งชาติมากที่สุด ไม่มีคำพูดใดที่สามารถบรรยายถึงสิ่งที่เขาได้ทำเพื่อจีนได้ นายท่าน ข้าจะไม่พูดเกี่ยวกับความสำเร็จของเขา แต่หากท่านต้องพบกับพวกเขาเหล่านี้ ข้าคิดว่าท่านควรสร้างสัมพันธ์กับอวี๋เชียนและหยาง จีเย่เป็นอันดับแรก ! เพราะพวกเขาคือผู้ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะยืนหยัดอยู่เคียงข้างเรา !”
ฉินเย่พยักหน้าและมองไปยังชื่อสุดท้ายที่ปรากฏบนรายชื่อ
มันเป็นชื่อที่เขาค่อนข้างคุ้นทีเดียว…
“กองกำลังรักษาการณ์พิเศษ ข้าราชการแห่งอาณาจักรสินธุ… กองซุน ฉี่” [12] ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้าๆและเอ่ยต่อ “อาณาจักรสินธุเป็นส่วนหนึ่งของฮินดูสถาน นี่คือข้าราชการศักดินาเพียงตนเดียวที่ประจำการอยู่ที่โลกใต้พิภพอื่น…” [13]
ทันใดนั้นเขาก็หยุดพูดไป เด็กหนุ่มก้มหน้าลงเล็กน้อยและจ้องอาร์ทิสเขม็ง “หุบปาก ! อย่าเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว !”
[1] นายพลชาวมองโกลของตระกูลเมอร์คิดและข้าราชการในราชวงศ์หมิง
[2] เกาะสุมาตรา
[3] เกม MOBA ของจีนซึ่งเป็นเกมต้นแบบของ RoV
[4] ชื่อมารยาท จงเฉิงเป็นนายพลทหารจีนนักสำรวจและนักการทูตของ ราชวงศ์ฮั่นตะวันออก
[5] เอเชียกลางในปัจจุบัน
[6] นายกรัฐมนตรีของอดีตจักรพรรดิฉินแห่งฝูเจี้ยน ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในรัฐบุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จีน
[7] เจ้าหญิงแห่งราชวงศ์หยวน
[8] หนึ่งในสุดยอดนิยายกำลังภายในชื่อดังที่ประพันธ์โดยกิมย้ง
[9] เนปาล
[10] นักแสดงตลกและนักแสดงชาวจีน
[11] ความขัดแย้งชายแดนระหว่างหยวนตอนเหนือและราชวงศ์หมิง
[12] ขุนพลของรัฐฉิน ในยุครณรัฐของจีน
[13] อาณาจักรของอินเดียโบราณทอดยาวไปตามริมฝั่งแม่น้ำสินธุ ปัจจุบันเป็นแถบปากีสถาน
Comments
ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] 294: ราชทูตทั้ง 12 (2)
บทที่ 294: ราชทูตทั้ง 12 (2)
ความเงียบเกิดขึ้นภายในห้องโถงเสริมขณะที่ทุกคนนั่งฟังศาสตราจารย์ทั้งสองอย่างตั้งใจ “จักรวรรดิเขมร หรือที่รู้จักในชื่อฟูนันและเจนละ ถูกปกครองโดยนายพลกั๋วจื่ออี้”
“และนี่ เจ้าศักดินาแห่งสยามหาใช่ใครอื่นแต่คือฉางเย่ชุน เขาคือแม่ทัพผู้มีชื่อเสียงในสมัยราชวงศ์หมิง และความสำเร็จของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าราชทูตตนอื่น ๆ เลยแม้แต่น้อย” ศาสตราจารย์หลี่เอ่ยด้วยความกระตือรือร้น “ในปีที่ 15 ของจักรพรรดิชุนแห่งราชวงศ์หยวน เขาได้เข้าสวามิภักดิ์กับจูหยวนจาง จักรพรรดิผู้ก่อตั้งราชวงศ์หมิง ฉางเย่ชุนเป็นที่เลื่องลือในเรื่องของความกล้าหาญและความแข็งแกร่งในการสู้รบ ซึ่งนั่นทำให้เขาได้รับฉายาว่า ‘ฉางสิบหมื่น’ เพราะเขาได้รับคำกล่าวขานว่ามีกำลังรบเท่ากองทหารแสนนาย น่าเสียดายที่เขาต้องจบชีวิตลงด้วยวัยเพียง 40 ปีเนื่องจากโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่เขาได้รับตำแหน่ง ‘ราชาแห่งไคผิง’ และได้รับชื่อมรณกรรมว่า ‘จงหวู่’ จากนั้นจึงได้รับเกียรติสูงสุดให้ถูกฝังไว้ในศาลบูรพกษัตริย์ !”
ศาสตราจารย์อันเอ่ยต่อ “เขาเอาชนะบายันแห่งเมอร์คิดในการต่อสู้ที่ฉวี่โจว[1] และเขายังสามารถเอาชนะการต่อสู้ที่ฉ่ายสือจี ได้ด้วย นอกจากนี้ เขายังเข้าร่วมการต่อสู้กับศัตรูของจูหยวนจางอย่างเฉินโหยวเหลียง จากนั้นจึงยึดเมืองหลวงของราชวงศ์หยวนมาได้ เขาควรค่าแก่การได้รับเกียรติสูงสุดอย่างแท้จริง…”
ไม่มีใครเอ่ยขัดเลยแม้แต่น้อย ชายสูงวัยเอ่ยต่อ “คนต่อไปคือท่านหม่าฝูโปวแห่งพุกาม พุกามคืออาณาจักรโบราณของเบอร์มาเนีย ข้าจะไม่พูดซ้ำในสิ่งที่เขาได้พูดไปแล้ว ชายผู้นี้อาจไม่ได้มีชื่อเสียงเท่าบุคคลอื่น ๆ ในรายชื่อนี้ แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่ได้น่าตกตะลึงน้อยไปกว่ากันเลย !”
“ต่อไป อดีตขุนพลผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์สุย เจ้าแห่งซานฟอตซี[2] ขุนพลฮั่นฉินหู”
“ข้าเคยได้ยินชื่อของเขา” อาร์ทิสเอ่ยแทรกขึ้น ศาสตราจารย์หลี่พยักหน้าด้วยความรู้สึกมากมาย “ไม่แปลกเลยที่ท่านอรากษสจะเคยได้ยินชื่อของชายผู้นี้ ในสมัยราชวงศ์สุยนั้นมีแม่ทัพและขุนพลจำนวนไม่น้อยที่ได้สร้างชื่อให้ตนเอง แต่เขาคือหนึ่งในผู้ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เขาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ นักลอบสังหารและเจ้าเมือง เขายังสามารถปราบปรามการก่อจลาจลที่ฉีเหนือได้อีกด้วย ในปีที่แปดของราชวงศ์สุย เขาได้นำทัพข้ามแม่น้ำแยงซีในยามราตรี จู่โจมฉ่ายสือ พิชิตประตูแดง ยึดครองเมืองเจี้ยนคัง และจับตัวจักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์เฉิน เฉิน ชูเปา เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็น ‘เสาหลักของรัฐ’ ‘ขุนพลผู้ยิ่งใหญ่’ และเจ้าหน้าที่ของเทศมณฑลโซ่วกวง เขายังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าการของเหลียงโจวอีกด้วย น่าเสียดาย… ช่วงเวลา 30 ปีของราชวงศ์สุยนั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้ขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ได้เฉิดฉายอย่างแท้จริง…”
ฉินเย่มองอาร์ทิสด้วยสายตาประหลาดใจ
ด้วยเหตุผลบางประการ ยิ่งศาสตราจารย์พูดมากเท่าไหร่ สีหน้าของอาร์ทิสก็ยิ่งแปลกประหลาดมากขึ้นเท่านั้น จนกระทั่งใบหน้าของนางเผยรอยยิ้มเขินอายออกมาในที่สุด
“มีอะไร ? เขาแตกต่างจากฮั่นฉินหูที่ท่านจำได้หรือ ? ท่านไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับผู้ที่ศาสตราจารย์หลี่กำลังพูดถึงอย่างนั้นหรือ ?” ฉินเย่กระซิบกับอีกฝ่าย
อาร์ทิสเหลือบมองเด็กหนุ่มและเอ่ยเบา ๆ “มันต่างกันเล็กน้อย…”
หืม ?
มีเรื่องอะไรที่เขาควรรู้หรือเปล่า ? ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้น และเขาก็ถามออกไปทันที “บอกมา…”
บอกแม่เจ้าน่ะสิ !
เจ้าควรจะรู้จักที่จะปิดปากมากกว่าถามอะไรก็ไม่รู้นะ ! เจ้าคิดว่าเราจะยังสามารถเป็นเพื่อนกันได้อีกหรือหลังจากที่ข้าเปิดเผยเรื่องพวกนี้ให้เจ้าฟัง ? นี่มันจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ไม่คาดคิดของสถานการณ์เลยนะ…
อาร์ทิสพยายามข่มความต้องการที่จะตบหน้าฉินเย่ด้วยมือตัวเองและเพียงกระแอมออกมาเบา ๆ “ฮั่นฉินหูเป็นจังเกอร์มิใช่หรือ ? ข้าเพียงแต่เคยได้ยินมาว่าเขาสามารถแปลงกายเป็นเสือดาวได้… ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าฮั่นฉินหูที่ศาสตราจารย์หลี่พูดถึงนั้นต่างจากฮั่นฉินหูที่ข้าเคยเห็น ?!”
รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินเย่หายไป เขาจ้องมองอาร์ทิสเขม็งก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเย็น “Honour of Kings มันสนุกขนาดนั้นเลยหรือ ?” [3]
อาร์ทิสพยักหน้าราวกับนางกำลังทุบกระเทียม
“ก็ดี ถ้าเช่นนั้น… ท่านก็ควรเงียบปากเอาไว้สำหรับการวิจารณ์ฮีโร่ที่กำลังจะถูกเอ่ยถึงหลังจากนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าชายแห่งหลานหลิง ข้าไม่ต้องการได้ยินว่าเขาคือนักลอบสังหารและสามารถล่องหนได้ ! จะว่าไป ท่านช่วยหยุดเป็นภาระของยมโลกสักทีได้หรือไม่ ?! แค่มีท่านตนเดียวระดับความฉลาดทางด้านสติปัญญาโดยเฉลี่ยของยมโลกก็ลดลง 5 คะแนนแล้ว !”
และแน่นอน ศาสตราจารย์ทั้งสองไม่รับรู้ถึงบทสนทนาที่เกิดขึ้นระหว่างท่านจ้าวนรกและรัฐมนตรีอาร์ทิสเลยแม้แต่น้อย ในความคิดของพวกเขา ทั้งสองจะต้องหารือถึงเรื่องที่มีความสำคัญมากอย่างไม่น่าเชื่อ ดังนั้นทันทีที่การพูดคุยจบลง ศาสตราจารย์อันจึงกระแอมออกมาเบา ๆ และเอ่ยต่อ “ท่านต่อไปนั้นมีชื่อเสียงมากกว่าฮั่นฉินหูเสียอีก เขาคือบ้านติ้งหยวน หรือที่รู้จักกันในนามนายพลบ้านเจ้า !” [4]
นี่เป็นชื่อที่คุ้นหูดีสำหรับชาวจีนส่วนใหญ่ พวกเขาอาจจะไม่จำเป็นต้องเคยได้ยินความสำเร็จของชายผู้นี้ แต่พวกเขาจะต้องเคยได้ยินชื่อของอีกฝ่ายมาบ้างไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
เพราะอย่างไรแล้ว รายชื่อของบุคคลเหล่านี้ก็ดูเหมือนจะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันนั่นก็คือพวกเขาล้วนเป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียงในยุคสมัยของตนเอง
“นายพลบ้านเจ้า…” ใบหน้าของศาสตราจารย์อันแดงขึ้นเล็กน้อยและเสียงที่เอ่ยออกมาก็แหบพร่า “ข้าไม่คิดเลยว่าเขาจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าศักดินาของที่มาลายาหลังจากที่เสียชีวิตไป นักรบผู้กล้าที่เริ่มต้นด้วยการนำทหาร 36 นายไปเปิดเส้นทางการค้ากับภูมิภาคตะวันตก [5] แน่นอนว่าเขามีจำนวนมากกว่าฝ่ายตรงข้าม แต่เขาก็มักจะใช้กลยุทธ์เพื่อเอาชนะศัตรูของตน จากจุดนั้น เขาได้นำทัพทหารของราชวงศ์ฮั่นต่อสู้กับกองกำลังของตะวันตกกว่า 40-50 ประเทศ ! นายท่าน มันคงจะเป็นการดูถูกความสำเร็จของเขาหากจะบอกว่าชาติตะวันตกในตอนนั้นเป็นเพียงชนเผ่าเร่ร่อน เพราะอย่างไรแล้วพวกเขาก็มีจำนวนคนหลายพัน ! นี่คือความสำเร็จที่ไม่เคยมีมาก่อน และไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลยนับจากนั้น ! เขาเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถทำเช่นนี้ได้ในตลอดระยะเวลา 5 พันปี !”
“ในปีที่ห้าของฮั่นหย่งผิง พี่ชายฝาแฝดของบ้านเจ้า บ้านกูถูกเรียกตัวไปที่เมืองหลวงเพื่อรับหน้าที่บัณฑิตและนักประวัติศาสตร์ และแม่ของเขาก็ตามไปและใช้ชีวิตอยู่กับอีกฝ่าย ว่ากันว่าบ้านเจ้านั้นมีหน้าผากกว้างและลำคอหนาเหมือนเสือ เขายังโหดเหี้ยมจนคู่ต่อสู้ของเขายังบอกว่าเขาคือชายผู้กินเนื้อ ในปีที่เจ็ดของจักรพรรดิเหอแห่งฮั่น บ้านเจ้าได้รับการแต่งตั้งให้เป็นขุนนางแห่งติ้งหยวนและงานพระราชทานอื่น ๆ อีกจำนวนมาก”
คนทั้งหมดถอนหายใจออกมา ทุกรายชื่อในนี้ล้วนประสบความสำเร็จมากมายจนชื่อของพวกเขาถูกจดบันทึกไว้ในพงศาวดาร แค่เอ่ยถึงชื่อเหล่านี้ก็ทำให้พวกเขารู้สึกราวกับมีก้อนหินขนาดใหญ่หนักอึ้งอยู่ภายในใจแล้ว
“ต่อไปคือท่านเกาฉางกง บางทีชื่อนี้อาจจะไม่ได้คุ้นหูมากนัก แต่ข้าเชื่อว่าพวกท่านจะต้องรู้จักเจ้าชายแห่งหลานหลิงอย่างแน่นอน”
“เขาได้รับการยอมรับว่าหน้าตาดีที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน และเขาก็ไม่เคยพ่ายแพ้เลยแม้แต่ครั้งเดียว นอกจากนี้ มันยังเป็นเพราะเหตุผลที่มีใบหน้างดงามนี้ด้วยที่ทำให้เขาต้องสวมหน้ากากอยู่ตลอดเมื่อทำการต่อสู้ น่าเสียดาย ถึงแม้ว่าเขาจะมีระดับสติปัญญาที่ไม่ธรรมดาและมีความกล้าหาญเป็นอย่างมาก แต่การคาดการณ์ของเราจากความสำเร็จของเขา ชายผู้นี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากลุ่มคนก่อนหน้าเลย !”
ศาสตราจารย์หลี่พยายามสงบใจด้วยการสูดหายใจเข้าช้า ๆ ข้อเท็จจริงที่ว่าเหล่าบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์เหล่านี้เดินไปเดินมาในโลกใต้พิภพทำให้เขาตื่นเต้นมาก แทบจะเหมือนกับว่าเขาถูกย้ายกลับไปหลายพันปีเพื่อได้รับโอกาสในการได้เห็นความรุ่งโรจน์ของแผ่นดินจีนอย่างเต็มที่ เขามองไปที่แผนที่และชี้ไปยังจุดต่อไป “เจ้าศักดินาแห่งสิงหปุระ มาร์ควิสหวู่แห่งชิงเหอ หรือที่รู้จักในชื่อหวางเมิ่ง ! ทุกท่าน ชายผู้นี้… น่าทึ่งมาก หากไม่ใช่เพราะกาลเวลาที่ผ่านเลยไป ชื่อเสียงของเขาก็คงไม่ด้อยไปกว่าอีก 11 ท่านแน่นอน !” [6]
ฉินเย่นิ่งไป
เอาล่ะ เอาล่ะ เอาล่ะ… หากสิ่งที่เจ้าพูดถูก และรายชื่อทั้งหมดในที่นี้คือฮีโร่ระดับ SSR ถ้าเช่นนั้นข้าจะพยายามหลอกล่อพวกเขาไปทำไม ?!
ยิ่งเขาฟังศาสตราจารย์ทั้งสองมากเท่าไหร่… เขาก็ยิ่งคิดว่าการยอมแพ้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดมากเท่านั้น !
เด็กหนุ่มเหลือบสายตาไปมองอาร์ทิส เพียงเพื่อที่จะเห็นว่านางจ้องเขม็งมาที่เขาก่อนอยู่แล้ว เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ฉินเย่รีบนั่งตัวตรงทันที
ศาสตราจารย์อันกล่าวอย่างติดตลก “หวังเมิ่งนั้นมีความสามารถทั้งในด้านของสติปัญญาและการทหาร ข้าจะไม่ลงรายละเอียดมากนัก ข้าประเมินให้เขาอยู่ในระดับเดียวกับจูกัดเหลียงเมื่อเป็นเรื่องของการบริหารกิจการภายใน นอกจากนี้เขายังมีบทบาทสำคัญในการจัดการเฉียนเหลียง ใครก็ตามที่ให้ความสนใจกับประวัติศาสตร์ในช่วงเวลานั้นจะสามารถบอกได้ว่าชายผู้นี้ได้ 100 คะแนนเต็มในการบริหารและอย่างน้อย 70 คะแนนในด้านการทหาร”
“ต่อไปคือเจ้าศักดินาแห่งเกาะลูซอน หยาง จีเย่ เจ้าหน้าที่ศักดินาของฟิลิปินัส ข้ามั่นใจว่าพวกท่านทั้งหมดคงเคยได้ยินเรื่องของแม่ทัพหยางใช่หรือไม่ ? เพื่อที่จะทำให้ผลงานของเขาเป็นอมตะ หอระฆังที่ถูกสลักด้วยแผ่นศิลาขนาดใหญ่สองแผ่นที่สลักความสำเร็จอันน่าเหลือเชื่อของเขาเอาไว้ นายท่าน… จากรายชื่อทั้งหมดที่พูดมาถึงตรงนี้ ชายผู้นี้คือผู้ที่มีความเป็นไปได้ว่าจะกลับมาที่จีนและสวามิภักดิ์ต่อยมโลก !”
ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ และพยักหน้า
พระเจ้า โปรดช่วยอย่าเพิ่งทำให้เสียเรื่องตอนนี้เลย… เขาภาวนาเหลือเกินว่าอย่าให้เกิดเรื่องอะไรกับแม่ทัพหยาง…
ศาสตราจารย์หลี่มองแผนที่และเอ่ยอย่างใจเย็น “รายชื่อต่อไปอาจจะไม่คุ้นนัก แต่ความจริงก็คือ… เขาใกล้ชิดกับเรามากกว่าที่คิด”
คนทั้งหมดมองไปยังจุดที่เขาชี้
ภูฏาน
แต่บนแผนที่ มันถูกเขียนว่า – ‘ชากัน กษัตริย์ของดินแดนแห่งป่าไผ่’ !
“ภูฏานนั้นเคยเป็นที่รู้จักกันในชื่อของดินแดนแห่งป่าไผ่” ศาสตราจารย์หลี่เอ่ย “ชากันยังเป็นที่รู้จักกันในฐานะแม่ทัพคนแรกของราชวงศ์หยวนอีกด้วย ! พวกเราจะไม่ลงรายละเอียดว่าราชวงศ์หยวนนั้นครอบครองดินแดนมากเท่าไหร่ แต่ประเด็นก็คือชายผู้นี้… สามารถทำลายคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดสองกลุ่มของราชวงศ์หยวนอย่างเซี่ยตะวันตกและราชวงศ์จิ้นได้ในเวลานั้น”
“หนึ่งในเหตุผลหลักว่าทำไมเขาถึงไม่เป็นที่รู้จักนักก็เพราะสถานะพิเศษของราชวงศ์หยวน ความจริงของเรื่องนี้ก็คือผู้คนส่วนใหญ่ไม่คิดที่จะจดจำถึงการมีอยู่ของราชวงศ์หยวนด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นครั้งแรกที่แผ่นดินจีนถูกปกครองโดยชาวต่างชาติเป็นระยะเวลากว่าร้อยปี นอกจากนี้ ชาวจีนที่มีชีวิตอยู่ในสมัยนั้น หรือที่รู้จักกันในชื่อของชาวราชอาณาจักรกลางนั้นใช้ชีวิตกันอย่างยากลำบาก ราชวงศ์หยวนต้องการขึ้นปกครองโลก แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถทำได้ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงล่มสลายลงอย่างรวดเร็ว ภายใต้ปัจจัยเหล่านี้ ชื่อเสียงของเขาจึงถูกปกปิดโดยเหล่าคนรุ่นหลัง”
“แต่หากเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ ทุกคนก็คงไม่สามารถคาดเดาได้ว่าฉางเย่ชุนจะสามารถก่อตั้งราชวงศ์หมิงกับจูหยวนจางได้หรือไม่” ศาสตราจารย์หลี่แย้มยิ้มบางออกมา “ชื่อนี้ของเขาอาจจะฟังดูแปลกหูสำหรับพวกเรา แต่… ข้าจะพูดอีกชื่อหนึ่งที่ข้ามั่นใจว่าพวกท่านจะต้องรู้จัก”
เขาแย้มยิ้ม “มินมินเตมูร์”[7]
ทุกคนที่ได้ยินเช่นนั้นผงะไป ดวงตาของฉินเย่สั่นไหวอย่างรุนแรงขนาดที่เขาตบโต๊ะเสียงดัง “จ้าวหมิ่น ?! จากดาบมังกรหยกน่ะหรือ ?!” [8]
“ท่านทรงเข้าใจถูกแล้ว !” ศาสตราจารย์หลี่แย้มยิ้มกว้าง “จ้าวหมิ่น ตัวละครหญิงในนวนิยายเรื่องดาบมังกรหยกของกิมย้งนั้นได้ต้นแบบมาจากมินมินเตมูร์ ลูกสาวของชากัน เตมูร์ !”
“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชื่อของเขาถึงคุ้นหูนัก” ฉินเย่ยิ้มกว้าง “ผู้ใดจะไปคิดว่าเขาจะเป็นพ่อตาของข้านี่เอง…”
คนทั้งหมดชะงักไปทันที
หัวหน้าแผนกทั้งเจ็ดของบริษัทก่อสร้างหยินมองฉินเย่ราวกับตนเพิ่งเห็นผี อาร์ทิสยังคงนิ่งเงียบ กู่ชิงกระแอมออกมาเบา ๆ และปรับระดับแว่นตาของตัวเองเพื่อข่มคำพูดมากมายที่เกือบจะหลุดออกจากปากของตน
“แค่ก แค่ก… ข้าพูดเล่น เชิญพูดต่อเถอะ…” ฉินเย่เอ่ยมาเบา ๆ อย่างกระดากอาย
ตอนนี้เหลือข้าราชการศักดินาอยู่เพียงแค่สองตนเท่านั้น ศาสตราจารย์อันสูดหายใจเข้าช้า ๆ และเอ่ยต่อ “บุคคลต่อไปคือผู้ที่มีความเป็นไปได้ที่จะเดินทางกลับมายังบ้านเกิดของเขามากที่สุด หากเราบอกว่าหยางจีเย่มีความเป็นไปได้ 70% ที่จะกลับมา ความเป็นไปได้ของชายผู้นี้ก็จะอยู่ที่ 85% !”
“อวี๋เชียน อวี๋เช่าเป่า เจ้าศักดินาแห่งลิชชาวี[9]”
“อย่า…” ฉินเย่คว้าแขนเสื้อของอาร์ทิสเอาไว้เมื่อเห็นว่านางทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง
อาร์ทิสสะบัดแขนของตนออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายและหันไปมองฉินเย่ด้วยสายตาราวกับต้องการจะบอกว่ามันไม่มีตัวละครตัวนี้อยู่ใน Honour of Kings จากนั้นนางก็เอ่ยขึ้น “เขา… ไม่ใช่ว่าเขาคือคนที่ร่วมแสดง crosstalk กับกัวเต๋อกังหรอกหรือ ? เขาค่อนข้างดีเลยไม่ใช่หรืออย่างไร ?” [10]
ศาสตราจารย์หลี่และศาสตราจารย์อันแน่นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะมองอาร์ทิสด้วยสายตาไม่พอใจ
ในอีกด้านหนึ่ง ฉินเย่เอนตัวพิงพนักเก้าอี้และมองเพดานอย่างเหม่อลอย – อ่าาาา… เขารู้อยู่แล้วว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ ทันทีที่ชื่อของอวี๋เชียนถูกพูดออกมา เขารู้ได้ทันทีเลยว่านางจะพูดอะไร…
“แค่ก แค่ก… เอ่อ เกี่ยวกับเรื่องนั้น… ท่านอรากษส เรากำลังพูดถึงอวี๋เชียนแห่งราชวงศ์หมิง…” ศาสตราจารย์หลี่อธิบายประโยคเมื่อครู่ของตนด้วยสีหน้าเจ็บปวด “ราชวงศ์หมิงได้ยกย่องเขาในเรื่องของความภักดีและความชอบธรรม เมื่อนับรวมกับเยว่เฟยและจางหวงเหยียนแล้ว พวกเขาเป็นที่รู้จักในชื่อของสามวีรบุรุษแห่งแม่น้ำตะวันตก หากไม่ใช่เพราะอวี๋เชียน เมืองหลวงของราชวงศ์หมิงคงได้รับความเสียหายอย่างหนักจากผู้บุกรุกในระหว่างวิกฤตป้อมทูมูไปแล้ว!” [11]
ศาสตราจารย์อันมีอารมณ์ร่วมในจุดนี้อย่างไม่น่าเชื่อ “หากไม่นับรวมหยางจีเย่ ชายผู้ที่เหมาะที่จะได้รับตำแหน่งวีรบุรุษแห่งชาติมากที่สุด ไม่มีคำพูดใดที่สามารถบรรยายถึงสิ่งที่เขาได้ทำเพื่อจีนได้ นายท่าน ข้าจะไม่พูดเกี่ยวกับความสำเร็จของเขา แต่หากท่านต้องพบกับพวกเขาเหล่านี้ ข้าคิดว่าท่านควรสร้างสัมพันธ์กับอวี๋เชียนและหยาง จีเย่เป็นอันดับแรก ! เพราะพวกเขาคือผู้ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะยืนหยัดอยู่เคียงข้างเรา !”
ฉินเย่พยักหน้าและมองไปยังชื่อสุดท้ายที่ปรากฏบนรายชื่อ
มันเป็นชื่อที่เขาค่อนข้างคุ้นทีเดียว…
“กองกำลังรักษาการณ์พิเศษ ข้าราชการแห่งอาณาจักรสินธุ… กองซุน ฉี่” [12] ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้าๆและเอ่ยต่อ “อาณาจักรสินธุเป็นส่วนหนึ่งของฮินดูสถาน นี่คือข้าราชการศักดินาเพียงตนเดียวที่ประจำการอยู่ที่โลกใต้พิภพอื่น…” [13]
ทันใดนั้นเขาก็หยุดพูดไป เด็กหนุ่มก้มหน้าลงเล็กน้อยและจ้องอาร์ทิสเขม็ง “หุบปาก ! อย่าเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว !”
[1] นายพลชาวมองโกลของตระกูลเมอร์คิดและข้าราชการในราชวงศ์หมิง
[2] เกาะสุมาตรา
[3] เกม MOBA ของจีนซึ่งเป็นเกมต้นแบบของ RoV
[4] ชื่อมารยาท จงเฉิงเป็นนายพลทหารจีนนักสำรวจและนักการทูตของ ราชวงศ์ฮั่นตะวันออก
[5] เอเชียกลางในปัจจุบัน
[6] นายกรัฐมนตรีของอดีตจักรพรรดิฉินแห่งฝูเจี้ยน ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในรัฐบุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จีน
[7] เจ้าหญิงแห่งราชวงศ์หยวน
[8] หนึ่งในสุดยอดนิยายกำลังภายในชื่อดังที่ประพันธ์โดยกิมย้ง
[9] เนปาล
[10] นักแสดงตลกและนักแสดงชาวจีน
[11] ความขัดแย้งชายแดนระหว่างหยวนตอนเหนือและราชวงศ์หมิง
[12] ขุนพลของรัฐฉิน ในยุครณรัฐของจีน
[13] อาณาจักรของอินเดียโบราณทอดยาวไปตามริมฝั่งแม่น้ำสินธุ ปัจจุบันเป็นแถบปากีสถาน
Comments
ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] 294: ราชทูตทั้ง 12 (2)
บทที่ 294: ราชทูตทั้ง 12 (2)
ความเงียบเกิดขึ้นภายในห้องโถงเสริมขณะที่ทุกคนนั่งฟังศาสตราจารย์ทั้งสองอย่างตั้งใจ “จักรวรรดิเขมร หรือที่รู้จักในชื่อฟูนันและเจนละ ถูกปกครองโดยนายพลกั๋วจื่ออี้”
“และนี่ เจ้าศักดินาแห่งสยามหาใช่ใครอื่นแต่คือฉางเย่ชุน เขาคือแม่ทัพผู้มีชื่อเสียงในสมัยราชวงศ์หมิง และความสำเร็จของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าราชทูตตนอื่น ๆ เลยแม้แต่น้อย” ศาสตราจารย์หลี่เอ่ยด้วยความกระตือรือร้น “ในปีที่ 15 ของจักรพรรดิชุนแห่งราชวงศ์หยวน เขาได้เข้าสวามิภักดิ์กับจูหยวนจาง จักรพรรดิผู้ก่อตั้งราชวงศ์หมิง ฉางเย่ชุนเป็นที่เลื่องลือในเรื่องของความกล้าหาญและความแข็งแกร่งในการสู้รบ ซึ่งนั่นทำให้เขาได้รับฉายาว่า ‘ฉางสิบหมื่น’ เพราะเขาได้รับคำกล่าวขานว่ามีกำลังรบเท่ากองทหารแสนนาย น่าเสียดายที่เขาต้องจบชีวิตลงด้วยวัยเพียง 40 ปีเนื่องจากโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่เขาได้รับตำแหน่ง ‘ราชาแห่งไคผิง’ และได้รับชื่อมรณกรรมว่า ‘จงหวู่’ จากนั้นจึงได้รับเกียรติสูงสุดให้ถูกฝังไว้ในศาลบูรพกษัตริย์ !”
ศาสตราจารย์อันเอ่ยต่อ “เขาเอาชนะบายันแห่งเมอร์คิดในการต่อสู้ที่ฉวี่โจว[1] และเขายังสามารถเอาชนะการต่อสู้ที่ฉ่ายสือจี ได้ด้วย นอกจากนี้ เขายังเข้าร่วมการต่อสู้กับศัตรูของจูหยวนจางอย่างเฉินโหยวเหลียง จากนั้นจึงยึดเมืองหลวงของราชวงศ์หยวนมาได้ เขาควรค่าแก่การได้รับเกียรติสูงสุดอย่างแท้จริง…”
ไม่มีใครเอ่ยขัดเลยแม้แต่น้อย ชายสูงวัยเอ่ยต่อ “คนต่อไปคือท่านหม่าฝูโปวแห่งพุกาม พุกามคืออาณาจักรโบราณของเบอร์มาเนีย ข้าจะไม่พูดซ้ำในสิ่งที่เขาได้พูดไปแล้ว ชายผู้นี้อาจไม่ได้มีชื่อเสียงเท่าบุคคลอื่น ๆ ในรายชื่อนี้ แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่ได้น่าตกตะลึงน้อยไปกว่ากันเลย !”
“ต่อไป อดีตขุนพลผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์สุย เจ้าแห่งซานฟอตซี[2] ขุนพลฮั่นฉินหู”
“ข้าเคยได้ยินชื่อของเขา” อาร์ทิสเอ่ยแทรกขึ้น ศาสตราจารย์หลี่พยักหน้าด้วยความรู้สึกมากมาย “ไม่แปลกเลยที่ท่านอรากษสจะเคยได้ยินชื่อของชายผู้นี้ ในสมัยราชวงศ์สุยนั้นมีแม่ทัพและขุนพลจำนวนไม่น้อยที่ได้สร้างชื่อให้ตนเอง แต่เขาคือหนึ่งในผู้ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เขาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ นักลอบสังหารและเจ้าเมือง เขายังสามารถปราบปรามการก่อจลาจลที่ฉีเหนือได้อีกด้วย ในปีที่แปดของราชวงศ์สุย เขาได้นำทัพข้ามแม่น้ำแยงซีในยามราตรี จู่โจมฉ่ายสือ พิชิตประตูแดง ยึดครองเมืองเจี้ยนคัง และจับตัวจักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์เฉิน เฉิน ชูเปา เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็น ‘เสาหลักของรัฐ’ ‘ขุนพลผู้ยิ่งใหญ่’ และเจ้าหน้าที่ของเทศมณฑลโซ่วกวง เขายังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าการของเหลียงโจวอีกด้วย น่าเสียดาย… ช่วงเวลา 30 ปีของราชวงศ์สุยนั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้ขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ได้เฉิดฉายอย่างแท้จริง…”
ฉินเย่มองอาร์ทิสด้วยสายตาประหลาดใจ
ด้วยเหตุผลบางประการ ยิ่งศาสตราจารย์พูดมากเท่าไหร่ สีหน้าของอาร์ทิสก็ยิ่งแปลกประหลาดมากขึ้นเท่านั้น จนกระทั่งใบหน้าของนางเผยรอยยิ้มเขินอายออกมาในที่สุด
“มีอะไร ? เขาแตกต่างจากฮั่นฉินหูที่ท่านจำได้หรือ ? ท่านไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับผู้ที่ศาสตราจารย์หลี่กำลังพูดถึงอย่างนั้นหรือ ?” ฉินเย่กระซิบกับอีกฝ่าย
อาร์ทิสเหลือบมองเด็กหนุ่มและเอ่ยเบา ๆ “มันต่างกันเล็กน้อย…”
หืม ?
มีเรื่องอะไรที่เขาควรรู้หรือเปล่า ? ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้น และเขาก็ถามออกไปทันที “บอกมา…”
บอกแม่เจ้าน่ะสิ !
เจ้าควรจะรู้จักที่จะปิดปากมากกว่าถามอะไรก็ไม่รู้นะ ! เจ้าคิดว่าเราจะยังสามารถเป็นเพื่อนกันได้อีกหรือหลังจากที่ข้าเปิดเผยเรื่องพวกนี้ให้เจ้าฟัง ? นี่มันจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ไม่คาดคิดของสถานการณ์เลยนะ…
อาร์ทิสพยายามข่มความต้องการที่จะตบหน้าฉินเย่ด้วยมือตัวเองและเพียงกระแอมออกมาเบา ๆ “ฮั่นฉินหูเป็นจังเกอร์มิใช่หรือ ? ข้าเพียงแต่เคยได้ยินมาว่าเขาสามารถแปลงกายเป็นเสือดาวได้… ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าฮั่นฉินหูที่ศาสตราจารย์หลี่พูดถึงนั้นต่างจากฮั่นฉินหูที่ข้าเคยเห็น ?!”
รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินเย่หายไป เขาจ้องมองอาร์ทิสเขม็งก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเย็น “Honour of Kings มันสนุกขนาดนั้นเลยหรือ ?” [3]
อาร์ทิสพยักหน้าราวกับนางกำลังทุบกระเทียม
“ก็ดี ถ้าเช่นนั้น… ท่านก็ควรเงียบปากเอาไว้สำหรับการวิจารณ์ฮีโร่ที่กำลังจะถูกเอ่ยถึงหลังจากนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าชายแห่งหลานหลิง ข้าไม่ต้องการได้ยินว่าเขาคือนักลอบสังหารและสามารถล่องหนได้ ! จะว่าไป ท่านช่วยหยุดเป็นภาระของยมโลกสักทีได้หรือไม่ ?! แค่มีท่านตนเดียวระดับความฉลาดทางด้านสติปัญญาโดยเฉลี่ยของยมโลกก็ลดลง 5 คะแนนแล้ว !”
และแน่นอน ศาสตราจารย์ทั้งสองไม่รับรู้ถึงบทสนทนาที่เกิดขึ้นระหว่างท่านจ้าวนรกและรัฐมนตรีอาร์ทิสเลยแม้แต่น้อย ในความคิดของพวกเขา ทั้งสองจะต้องหารือถึงเรื่องที่มีความสำคัญมากอย่างไม่น่าเชื่อ ดังนั้นทันทีที่การพูดคุยจบลง ศาสตราจารย์อันจึงกระแอมออกมาเบา ๆ และเอ่ยต่อ “ท่านต่อไปนั้นมีชื่อเสียงมากกว่าฮั่นฉินหูเสียอีก เขาคือบ้านติ้งหยวน หรือที่รู้จักกันในนามนายพลบ้านเจ้า !” [4]
นี่เป็นชื่อที่คุ้นหูดีสำหรับชาวจีนส่วนใหญ่ พวกเขาอาจจะไม่จำเป็นต้องเคยได้ยินความสำเร็จของชายผู้นี้ แต่พวกเขาจะต้องเคยได้ยินชื่อของอีกฝ่ายมาบ้างไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
เพราะอย่างไรแล้ว รายชื่อของบุคคลเหล่านี้ก็ดูเหมือนจะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันนั่นก็คือพวกเขาล้วนเป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียงในยุคสมัยของตนเอง
“นายพลบ้านเจ้า…” ใบหน้าของศาสตราจารย์อันแดงขึ้นเล็กน้อยและเสียงที่เอ่ยออกมาก็แหบพร่า “ข้าไม่คิดเลยว่าเขาจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าศักดินาของที่มาลายาหลังจากที่เสียชีวิตไป นักรบผู้กล้าที่เริ่มต้นด้วยการนำทหาร 36 นายไปเปิดเส้นทางการค้ากับภูมิภาคตะวันตก [5] แน่นอนว่าเขามีจำนวนมากกว่าฝ่ายตรงข้าม แต่เขาก็มักจะใช้กลยุทธ์เพื่อเอาชนะศัตรูของตน จากจุดนั้น เขาได้นำทัพทหารของราชวงศ์ฮั่นต่อสู้กับกองกำลังของตะวันตกกว่า 40-50 ประเทศ ! นายท่าน มันคงจะเป็นการดูถูกความสำเร็จของเขาหากจะบอกว่าชาติตะวันตกในตอนนั้นเป็นเพียงชนเผ่าเร่ร่อน เพราะอย่างไรแล้วพวกเขาก็มีจำนวนคนหลายพัน ! นี่คือความสำเร็จที่ไม่เคยมีมาก่อน และไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลยนับจากนั้น ! เขาเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถทำเช่นนี้ได้ในตลอดระยะเวลา 5 พันปี !”
“ในปีที่ห้าของฮั่นหย่งผิง พี่ชายฝาแฝดของบ้านเจ้า บ้านกูถูกเรียกตัวไปที่เมืองหลวงเพื่อรับหน้าที่บัณฑิตและนักประวัติศาสตร์ และแม่ของเขาก็ตามไปและใช้ชีวิตอยู่กับอีกฝ่าย ว่ากันว่าบ้านเจ้านั้นมีหน้าผากกว้างและลำคอหนาเหมือนเสือ เขายังโหดเหี้ยมจนคู่ต่อสู้ของเขายังบอกว่าเขาคือชายผู้กินเนื้อ ในปีที่เจ็ดของจักรพรรดิเหอแห่งฮั่น บ้านเจ้าได้รับการแต่งตั้งให้เป็นขุนนางแห่งติ้งหยวนและงานพระราชทานอื่น ๆ อีกจำนวนมาก”
คนทั้งหมดถอนหายใจออกมา ทุกรายชื่อในนี้ล้วนประสบความสำเร็จมากมายจนชื่อของพวกเขาถูกจดบันทึกไว้ในพงศาวดาร แค่เอ่ยถึงชื่อเหล่านี้ก็ทำให้พวกเขารู้สึกราวกับมีก้อนหินขนาดใหญ่หนักอึ้งอยู่ภายในใจแล้ว
“ต่อไปคือท่านเกาฉางกง บางทีชื่อนี้อาจจะไม่ได้คุ้นหูมากนัก แต่ข้าเชื่อว่าพวกท่านจะต้องรู้จักเจ้าชายแห่งหลานหลิงอย่างแน่นอน”
“เขาได้รับการยอมรับว่าหน้าตาดีที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน และเขาก็ไม่เคยพ่ายแพ้เลยแม้แต่ครั้งเดียว นอกจากนี้ มันยังเป็นเพราะเหตุผลที่มีใบหน้างดงามนี้ด้วยที่ทำให้เขาต้องสวมหน้ากากอยู่ตลอดเมื่อทำการต่อสู้ น่าเสียดาย ถึงแม้ว่าเขาจะมีระดับสติปัญญาที่ไม่ธรรมดาและมีความกล้าหาญเป็นอย่างมาก แต่การคาดการณ์ของเราจากความสำเร็จของเขา ชายผู้นี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากลุ่มคนก่อนหน้าเลย !”
ศาสตราจารย์หลี่พยายามสงบใจด้วยการสูดหายใจเข้าช้า ๆ ข้อเท็จจริงที่ว่าเหล่าบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์เหล่านี้เดินไปเดินมาในโลกใต้พิภพทำให้เขาตื่นเต้นมาก แทบจะเหมือนกับว่าเขาถูกย้ายกลับไปหลายพันปีเพื่อได้รับโอกาสในการได้เห็นความรุ่งโรจน์ของแผ่นดินจีนอย่างเต็มที่ เขามองไปที่แผนที่และชี้ไปยังจุดต่อไป “เจ้าศักดินาแห่งสิงหปุระ มาร์ควิสหวู่แห่งชิงเหอ หรือที่รู้จักในชื่อหวางเมิ่ง ! ทุกท่าน ชายผู้นี้… น่าทึ่งมาก หากไม่ใช่เพราะกาลเวลาที่ผ่านเลยไป ชื่อเสียงของเขาก็คงไม่ด้อยไปกว่าอีก 11 ท่านแน่นอน !” [6]
ฉินเย่นิ่งไป
เอาล่ะ เอาล่ะ เอาล่ะ… หากสิ่งที่เจ้าพูดถูก และรายชื่อทั้งหมดในที่นี้คือฮีโร่ระดับ SSR ถ้าเช่นนั้นข้าจะพยายามหลอกล่อพวกเขาไปทำไม ?!
ยิ่งเขาฟังศาสตราจารย์ทั้งสองมากเท่าไหร่… เขาก็ยิ่งคิดว่าการยอมแพ้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดมากเท่านั้น !
เด็กหนุ่มเหลือบสายตาไปมองอาร์ทิส เพียงเพื่อที่จะเห็นว่านางจ้องเขม็งมาที่เขาก่อนอยู่แล้ว เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ฉินเย่รีบนั่งตัวตรงทันที
ศาสตราจารย์อันกล่าวอย่างติดตลก “หวังเมิ่งนั้นมีความสามารถทั้งในด้านของสติปัญญาและการทหาร ข้าจะไม่ลงรายละเอียดมากนัก ข้าประเมินให้เขาอยู่ในระดับเดียวกับจูกัดเหลียงเมื่อเป็นเรื่องของการบริหารกิจการภายใน นอกจากนี้เขายังมีบทบาทสำคัญในการจัดการเฉียนเหลียง ใครก็ตามที่ให้ความสนใจกับประวัติศาสตร์ในช่วงเวลานั้นจะสามารถบอกได้ว่าชายผู้นี้ได้ 100 คะแนนเต็มในการบริหารและอย่างน้อย 70 คะแนนในด้านการทหาร”
“ต่อไปคือเจ้าศักดินาแห่งเกาะลูซอน หยาง จีเย่ เจ้าหน้าที่ศักดินาของฟิลิปินัส ข้ามั่นใจว่าพวกท่านทั้งหมดคงเคยได้ยินเรื่องของแม่ทัพหยางใช่หรือไม่ ? เพื่อที่จะทำให้ผลงานของเขาเป็นอมตะ หอระฆังที่ถูกสลักด้วยแผ่นศิลาขนาดใหญ่สองแผ่นที่สลักความสำเร็จอันน่าเหลือเชื่อของเขาเอาไว้ นายท่าน… จากรายชื่อทั้งหมดที่พูดมาถึงตรงนี้ ชายผู้นี้คือผู้ที่มีความเป็นไปได้ว่าจะกลับมาที่จีนและสวามิภักดิ์ต่อยมโลก !”
ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ และพยักหน้า
พระเจ้า โปรดช่วยอย่าเพิ่งทำให้เสียเรื่องตอนนี้เลย… เขาภาวนาเหลือเกินว่าอย่าให้เกิดเรื่องอะไรกับแม่ทัพหยาง…
ศาสตราจารย์หลี่มองแผนที่และเอ่ยอย่างใจเย็น “รายชื่อต่อไปอาจจะไม่คุ้นนัก แต่ความจริงก็คือ… เขาใกล้ชิดกับเรามากกว่าที่คิด”
คนทั้งหมดมองไปยังจุดที่เขาชี้
ภูฏาน
แต่บนแผนที่ มันถูกเขียนว่า – ‘ชากัน กษัตริย์ของดินแดนแห่งป่าไผ่’ !
“ภูฏานนั้นเคยเป็นที่รู้จักกันในชื่อของดินแดนแห่งป่าไผ่” ศาสตราจารย์หลี่เอ่ย “ชากันยังเป็นที่รู้จักกันในฐานะแม่ทัพคนแรกของราชวงศ์หยวนอีกด้วย ! พวกเราจะไม่ลงรายละเอียดว่าราชวงศ์หยวนนั้นครอบครองดินแดนมากเท่าไหร่ แต่ประเด็นก็คือชายผู้นี้… สามารถทำลายคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดสองกลุ่มของราชวงศ์หยวนอย่างเซี่ยตะวันตกและราชวงศ์จิ้นได้ในเวลานั้น”
“หนึ่งในเหตุผลหลักว่าทำไมเขาถึงไม่เป็นที่รู้จักนักก็เพราะสถานะพิเศษของราชวงศ์หยวน ความจริงของเรื่องนี้ก็คือผู้คนส่วนใหญ่ไม่คิดที่จะจดจำถึงการมีอยู่ของราชวงศ์หยวนด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นครั้งแรกที่แผ่นดินจีนถูกปกครองโดยชาวต่างชาติเป็นระยะเวลากว่าร้อยปี นอกจากนี้ ชาวจีนที่มีชีวิตอยู่ในสมัยนั้น หรือที่รู้จักกันในชื่อของชาวราชอาณาจักรกลางนั้นใช้ชีวิตกันอย่างยากลำบาก ราชวงศ์หยวนต้องการขึ้นปกครองโลก แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถทำได้ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงล่มสลายลงอย่างรวดเร็ว ภายใต้ปัจจัยเหล่านี้ ชื่อเสียงของเขาจึงถูกปกปิดโดยเหล่าคนรุ่นหลัง”
“แต่หากเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ ทุกคนก็คงไม่สามารถคาดเดาได้ว่าฉางเย่ชุนจะสามารถก่อตั้งราชวงศ์หมิงกับจูหยวนจางได้หรือไม่” ศาสตราจารย์หลี่แย้มยิ้มบางออกมา “ชื่อนี้ของเขาอาจจะฟังดูแปลกหูสำหรับพวกเรา แต่… ข้าจะพูดอีกชื่อหนึ่งที่ข้ามั่นใจว่าพวกท่านจะต้องรู้จัก”
เขาแย้มยิ้ม “มินมินเตมูร์”[7]
ทุกคนที่ได้ยินเช่นนั้นผงะไป ดวงตาของฉินเย่สั่นไหวอย่างรุนแรงขนาดที่เขาตบโต๊ะเสียงดัง “จ้าวหมิ่น ?! จากดาบมังกรหยกน่ะหรือ ?!” [8]
“ท่านทรงเข้าใจถูกแล้ว !” ศาสตราจารย์หลี่แย้มยิ้มกว้าง “จ้าวหมิ่น ตัวละครหญิงในนวนิยายเรื่องดาบมังกรหยกของกิมย้งนั้นได้ต้นแบบมาจากมินมินเตมูร์ ลูกสาวของชากัน เตมูร์ !”
“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชื่อของเขาถึงคุ้นหูนัก” ฉินเย่ยิ้มกว้าง “ผู้ใดจะไปคิดว่าเขาจะเป็นพ่อตาของข้านี่เอง…”
คนทั้งหมดชะงักไปทันที
หัวหน้าแผนกทั้งเจ็ดของบริษัทก่อสร้างหยินมองฉินเย่ราวกับตนเพิ่งเห็นผี อาร์ทิสยังคงนิ่งเงียบ กู่ชิงกระแอมออกมาเบา ๆ และปรับระดับแว่นตาของตัวเองเพื่อข่มคำพูดมากมายที่เกือบจะหลุดออกจากปากของตน
“แค่ก แค่ก… ข้าพูดเล่น เชิญพูดต่อเถอะ…” ฉินเย่เอ่ยมาเบา ๆ อย่างกระดากอาย
ตอนนี้เหลือข้าราชการศักดินาอยู่เพียงแค่สองตนเท่านั้น ศาสตราจารย์อันสูดหายใจเข้าช้า ๆ และเอ่ยต่อ “บุคคลต่อไปคือผู้ที่มีความเป็นไปได้ที่จะเดินทางกลับมายังบ้านเกิดของเขามากที่สุด หากเราบอกว่าหยางจีเย่มีความเป็นไปได้ 70% ที่จะกลับมา ความเป็นไปได้ของชายผู้นี้ก็จะอยู่ที่ 85% !”
“อวี๋เชียน อวี๋เช่าเป่า เจ้าศักดินาแห่งลิชชาวี[9]”
“อย่า…” ฉินเย่คว้าแขนเสื้อของอาร์ทิสเอาไว้เมื่อเห็นว่านางทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง
อาร์ทิสสะบัดแขนของตนออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายและหันไปมองฉินเย่ด้วยสายตาราวกับต้องการจะบอกว่ามันไม่มีตัวละครตัวนี้อยู่ใน Honour of Kings จากนั้นนางก็เอ่ยขึ้น “เขา… ไม่ใช่ว่าเขาคือคนที่ร่วมแสดง crosstalk กับกัวเต๋อกังหรอกหรือ ? เขาค่อนข้างดีเลยไม่ใช่หรืออย่างไร ?” [10]
ศาสตราจารย์หลี่และศาสตราจารย์อันแน่นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะมองอาร์ทิสด้วยสายตาไม่พอใจ
ในอีกด้านหนึ่ง ฉินเย่เอนตัวพิงพนักเก้าอี้และมองเพดานอย่างเหม่อลอย – อ่าาาา… เขารู้อยู่แล้วว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ ทันทีที่ชื่อของอวี๋เชียนถูกพูดออกมา เขารู้ได้ทันทีเลยว่านางจะพูดอะไร…
“แค่ก แค่ก… เอ่อ เกี่ยวกับเรื่องนั้น… ท่านอรากษส เรากำลังพูดถึงอวี๋เชียนแห่งราชวงศ์หมิง…” ศาสตราจารย์หลี่อธิบายประโยคเมื่อครู่ของตนด้วยสีหน้าเจ็บปวด “ราชวงศ์หมิงได้ยกย่องเขาในเรื่องของความภักดีและความชอบธรรม เมื่อนับรวมกับเยว่เฟยและจางหวงเหยียนแล้ว พวกเขาเป็นที่รู้จักในชื่อของสามวีรบุรุษแห่งแม่น้ำตะวันตก หากไม่ใช่เพราะอวี๋เชียน เมืองหลวงของราชวงศ์หมิงคงได้รับความเสียหายอย่างหนักจากผู้บุกรุกในระหว่างวิกฤตป้อมทูมูไปแล้ว!” [11]
ศาสตราจารย์อันมีอารมณ์ร่วมในจุดนี้อย่างไม่น่าเชื่อ “หากไม่นับรวมหยางจีเย่ ชายผู้ที่เหมาะที่จะได้รับตำแหน่งวีรบุรุษแห่งชาติมากที่สุด ไม่มีคำพูดใดที่สามารถบรรยายถึงสิ่งที่เขาได้ทำเพื่อจีนได้ นายท่าน ข้าจะไม่พูดเกี่ยวกับความสำเร็จของเขา แต่หากท่านต้องพบกับพวกเขาเหล่านี้ ข้าคิดว่าท่านควรสร้างสัมพันธ์กับอวี๋เชียนและหยาง จีเย่เป็นอันดับแรก ! เพราะพวกเขาคือผู้ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะยืนหยัดอยู่เคียงข้างเรา !”
ฉินเย่พยักหน้าและมองไปยังชื่อสุดท้ายที่ปรากฏบนรายชื่อ
มันเป็นชื่อที่เขาค่อนข้างคุ้นทีเดียว…
“กองกำลังรักษาการณ์พิเศษ ข้าราชการแห่งอาณาจักรสินธุ… กองซุน ฉี่” [12] ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้าๆและเอ่ยต่อ “อาณาจักรสินธุเป็นส่วนหนึ่งของฮินดูสถาน นี่คือข้าราชการศักดินาเพียงตนเดียวที่ประจำการอยู่ที่โลกใต้พิภพอื่น…” [13]
ทันใดนั้นเขาก็หยุดพูดไป เด็กหนุ่มก้มหน้าลงเล็กน้อยและจ้องอาร์ทิสเขม็ง “หุบปาก ! อย่าเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว !”
[1] นายพลชาวมองโกลของตระกูลเมอร์คิดและข้าราชการในราชวงศ์หมิง
[2] เกาะสุมาตรา
[3] เกม MOBA ของจีนซึ่งเป็นเกมต้นแบบของ RoV
[4] ชื่อมารยาท จงเฉิงเป็นนายพลทหารจีนนักสำรวจและนักการทูตของ ราชวงศ์ฮั่นตะวันออก
[5] เอเชียกลางในปัจจุบัน
[6] นายกรัฐมนตรีของอดีตจักรพรรดิฉินแห่งฝูเจี้ยน ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในรัฐบุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จีน
[7] เจ้าหญิงแห่งราชวงศ์หยวน
[8] หนึ่งในสุดยอดนิยายกำลังภายในชื่อดังที่ประพันธ์โดยกิมย้ง
[9] เนปาล
[10] นักแสดงตลกและนักแสดงชาวจีน
[11] ความขัดแย้งชายแดนระหว่างหยวนตอนเหนือและราชวงศ์หมิง
[12] ขุนพลของรัฐฉิน ในยุครณรัฐของจีน
[13] อาณาจักรของอินเดียโบราณทอดยาวไปตามริมฝั่งแม่น้ำสินธุ ปัจจุบันเป็นแถบปากีสถาน
Comments
ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] 294: ราชทูตทั้ง 12 (2)
บทที่ 294: ราชทูตทั้ง 12 (2)
ความเงียบเกิดขึ้นภายในห้องโถงเสริมขณะที่ทุกคนนั่งฟังศาสตราจารย์ทั้งสองอย่างตั้งใจ “จักรวรรดิเขมร หรือที่รู้จักในชื่อฟูนันและเจนละ ถูกปกครองโดยนายพลกั๋วจื่ออี้”
“และนี่ เจ้าศักดินาแห่งสยามหาใช่ใครอื่นแต่คือฉางเย่ชุน เขาคือแม่ทัพผู้มีชื่อเสียงในสมัยราชวงศ์หมิง และความสำเร็จของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าราชทูตตนอื่น ๆ เลยแม้แต่น้อย” ศาสตราจารย์หลี่เอ่ยด้วยความกระตือรือร้น “ในปีที่ 15 ของจักรพรรดิชุนแห่งราชวงศ์หยวน เขาได้เข้าสวามิภักดิ์กับจูหยวนจาง จักรพรรดิผู้ก่อตั้งราชวงศ์หมิง ฉางเย่ชุนเป็นที่เลื่องลือในเรื่องของความกล้าหาญและความแข็งแกร่งในการสู้รบ ซึ่งนั่นทำให้เขาได้รับฉายาว่า ‘ฉางสิบหมื่น’ เพราะเขาได้รับคำกล่าวขานว่ามีกำลังรบเท่ากองทหารแสนนาย น่าเสียดายที่เขาต้องจบชีวิตลงด้วยวัยเพียง 40 ปีเนื่องจากโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่เขาได้รับตำแหน่ง ‘ราชาแห่งไคผิง’ และได้รับชื่อมรณกรรมว่า ‘จงหวู่’ จากนั้นจึงได้รับเกียรติสูงสุดให้ถูกฝังไว้ในศาลบูรพกษัตริย์ !”
ศาสตราจารย์อันเอ่ยต่อ “เขาเอาชนะบายันแห่งเมอร์คิดในการต่อสู้ที่ฉวี่โจว[1] และเขายังสามารถเอาชนะการต่อสู้ที่ฉ่ายสือจี ได้ด้วย นอกจากนี้ เขายังเข้าร่วมการต่อสู้กับศัตรูของจูหยวนจางอย่างเฉินโหยวเหลียง จากนั้นจึงยึดเมืองหลวงของราชวงศ์หยวนมาได้ เขาควรค่าแก่การได้รับเกียรติสูงสุดอย่างแท้จริง…”
ไม่มีใครเอ่ยขัดเลยแม้แต่น้อย ชายสูงวัยเอ่ยต่อ “คนต่อไปคือท่านหม่าฝูโปวแห่งพุกาม พุกามคืออาณาจักรโบราณของเบอร์มาเนีย ข้าจะไม่พูดซ้ำในสิ่งที่เขาได้พูดไปแล้ว ชายผู้นี้อาจไม่ได้มีชื่อเสียงเท่าบุคคลอื่น ๆ ในรายชื่อนี้ แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่ได้น่าตกตะลึงน้อยไปกว่ากันเลย !”
“ต่อไป อดีตขุนพลผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์สุย เจ้าแห่งซานฟอตซี[2] ขุนพลฮั่นฉินหู”
“ข้าเคยได้ยินชื่อของเขา” อาร์ทิสเอ่ยแทรกขึ้น ศาสตราจารย์หลี่พยักหน้าด้วยความรู้สึกมากมาย “ไม่แปลกเลยที่ท่านอรากษสจะเคยได้ยินชื่อของชายผู้นี้ ในสมัยราชวงศ์สุยนั้นมีแม่ทัพและขุนพลจำนวนไม่น้อยที่ได้สร้างชื่อให้ตนเอง แต่เขาคือหนึ่งในผู้ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เขาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ นักลอบสังหารและเจ้าเมือง เขายังสามารถปราบปรามการก่อจลาจลที่ฉีเหนือได้อีกด้วย ในปีที่แปดของราชวงศ์สุย เขาได้นำทัพข้ามแม่น้ำแยงซีในยามราตรี จู่โจมฉ่ายสือ พิชิตประตูแดง ยึดครองเมืองเจี้ยนคัง และจับตัวจักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์เฉิน เฉิน ชูเปา เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็น ‘เสาหลักของรัฐ’ ‘ขุนพลผู้ยิ่งใหญ่’ และเจ้าหน้าที่ของเทศมณฑลโซ่วกวง เขายังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าการของเหลียงโจวอีกด้วย น่าเสียดาย… ช่วงเวลา 30 ปีของราชวงศ์สุยนั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้ขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ได้เฉิดฉายอย่างแท้จริง…”
ฉินเย่มองอาร์ทิสด้วยสายตาประหลาดใจ
ด้วยเหตุผลบางประการ ยิ่งศาสตราจารย์พูดมากเท่าไหร่ สีหน้าของอาร์ทิสก็ยิ่งแปลกประหลาดมากขึ้นเท่านั้น จนกระทั่งใบหน้าของนางเผยรอยยิ้มเขินอายออกมาในที่สุด
“มีอะไร ? เขาแตกต่างจากฮั่นฉินหูที่ท่านจำได้หรือ ? ท่านไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับผู้ที่ศาสตราจารย์หลี่กำลังพูดถึงอย่างนั้นหรือ ?” ฉินเย่กระซิบกับอีกฝ่าย
อาร์ทิสเหลือบมองเด็กหนุ่มและเอ่ยเบา ๆ “มันต่างกันเล็กน้อย…”
หืม ?
มีเรื่องอะไรที่เขาควรรู้หรือเปล่า ? ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้น และเขาก็ถามออกไปทันที “บอกมา…”
บอกแม่เจ้าน่ะสิ !
เจ้าควรจะรู้จักที่จะปิดปากมากกว่าถามอะไรก็ไม่รู้นะ ! เจ้าคิดว่าเราจะยังสามารถเป็นเพื่อนกันได้อีกหรือหลังจากที่ข้าเปิดเผยเรื่องพวกนี้ให้เจ้าฟัง ? นี่มันจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ไม่คาดคิดของสถานการณ์เลยนะ…
อาร์ทิสพยายามข่มความต้องการที่จะตบหน้าฉินเย่ด้วยมือตัวเองและเพียงกระแอมออกมาเบา ๆ “ฮั่นฉินหูเป็นจังเกอร์มิใช่หรือ ? ข้าเพียงแต่เคยได้ยินมาว่าเขาสามารถแปลงกายเป็นเสือดาวได้… ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าฮั่นฉินหูที่ศาสตราจารย์หลี่พูดถึงนั้นต่างจากฮั่นฉินหูที่ข้าเคยเห็น ?!”
รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินเย่หายไป เขาจ้องมองอาร์ทิสเขม็งก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเย็น “Honour of Kings มันสนุกขนาดนั้นเลยหรือ ?” [3]
อาร์ทิสพยักหน้าราวกับนางกำลังทุบกระเทียม
“ก็ดี ถ้าเช่นนั้น… ท่านก็ควรเงียบปากเอาไว้สำหรับการวิจารณ์ฮีโร่ที่กำลังจะถูกเอ่ยถึงหลังจากนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าชายแห่งหลานหลิง ข้าไม่ต้องการได้ยินว่าเขาคือนักลอบสังหารและสามารถล่องหนได้ ! จะว่าไป ท่านช่วยหยุดเป็นภาระของยมโลกสักทีได้หรือไม่ ?! แค่มีท่านตนเดียวระดับความฉลาดทางด้านสติปัญญาโดยเฉลี่ยของยมโลกก็ลดลง 5 คะแนนแล้ว !”
และแน่นอน ศาสตราจารย์ทั้งสองไม่รับรู้ถึงบทสนทนาที่เกิดขึ้นระหว่างท่านจ้าวนรกและรัฐมนตรีอาร์ทิสเลยแม้แต่น้อย ในความคิดของพวกเขา ทั้งสองจะต้องหารือถึงเรื่องที่มีความสำคัญมากอย่างไม่น่าเชื่อ ดังนั้นทันทีที่การพูดคุยจบลง ศาสตราจารย์อันจึงกระแอมออกมาเบา ๆ และเอ่ยต่อ “ท่านต่อไปนั้นมีชื่อเสียงมากกว่าฮั่นฉินหูเสียอีก เขาคือบ้านติ้งหยวน หรือที่รู้จักกันในนามนายพลบ้านเจ้า !” [4]
นี่เป็นชื่อที่คุ้นหูดีสำหรับชาวจีนส่วนใหญ่ พวกเขาอาจจะไม่จำเป็นต้องเคยได้ยินความสำเร็จของชายผู้นี้ แต่พวกเขาจะต้องเคยได้ยินชื่อของอีกฝ่ายมาบ้างไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
เพราะอย่างไรแล้ว รายชื่อของบุคคลเหล่านี้ก็ดูเหมือนจะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันนั่นก็คือพวกเขาล้วนเป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียงในยุคสมัยของตนเอง
“นายพลบ้านเจ้า…” ใบหน้าของศาสตราจารย์อันแดงขึ้นเล็กน้อยและเสียงที่เอ่ยออกมาก็แหบพร่า “ข้าไม่คิดเลยว่าเขาจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าศักดินาของที่มาลายาหลังจากที่เสียชีวิตไป นักรบผู้กล้าที่เริ่มต้นด้วยการนำทหาร 36 นายไปเปิดเส้นทางการค้ากับภูมิภาคตะวันตก [5] แน่นอนว่าเขามีจำนวนมากกว่าฝ่ายตรงข้าม แต่เขาก็มักจะใช้กลยุทธ์เพื่อเอาชนะศัตรูของตน จากจุดนั้น เขาได้นำทัพทหารของราชวงศ์ฮั่นต่อสู้กับกองกำลังของตะวันตกกว่า 40-50 ประเทศ ! นายท่าน มันคงจะเป็นการดูถูกความสำเร็จของเขาหากจะบอกว่าชาติตะวันตกในตอนนั้นเป็นเพียงชนเผ่าเร่ร่อน เพราะอย่างไรแล้วพวกเขาก็มีจำนวนคนหลายพัน ! นี่คือความสำเร็จที่ไม่เคยมีมาก่อน และไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลยนับจากนั้น ! เขาเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถทำเช่นนี้ได้ในตลอดระยะเวลา 5 พันปี !”
“ในปีที่ห้าของฮั่นหย่งผิง พี่ชายฝาแฝดของบ้านเจ้า บ้านกูถูกเรียกตัวไปที่เมืองหลวงเพื่อรับหน้าที่บัณฑิตและนักประวัติศาสตร์ และแม่ของเขาก็ตามไปและใช้ชีวิตอยู่กับอีกฝ่าย ว่ากันว่าบ้านเจ้านั้นมีหน้าผากกว้างและลำคอหนาเหมือนเสือ เขายังโหดเหี้ยมจนคู่ต่อสู้ของเขายังบอกว่าเขาคือชายผู้กินเนื้อ ในปีที่เจ็ดของจักรพรรดิเหอแห่งฮั่น บ้านเจ้าได้รับการแต่งตั้งให้เป็นขุนนางแห่งติ้งหยวนและงานพระราชทานอื่น ๆ อีกจำนวนมาก”
คนทั้งหมดถอนหายใจออกมา ทุกรายชื่อในนี้ล้วนประสบความสำเร็จมากมายจนชื่อของพวกเขาถูกจดบันทึกไว้ในพงศาวดาร แค่เอ่ยถึงชื่อเหล่านี้ก็ทำให้พวกเขารู้สึกราวกับมีก้อนหินขนาดใหญ่หนักอึ้งอยู่ภายในใจแล้ว
“ต่อไปคือท่านเกาฉางกง บางทีชื่อนี้อาจจะไม่ได้คุ้นหูมากนัก แต่ข้าเชื่อว่าพวกท่านจะต้องรู้จักเจ้าชายแห่งหลานหลิงอย่างแน่นอน”
“เขาได้รับการยอมรับว่าหน้าตาดีที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน และเขาก็ไม่เคยพ่ายแพ้เลยแม้แต่ครั้งเดียว นอกจากนี้ มันยังเป็นเพราะเหตุผลที่มีใบหน้างดงามนี้ด้วยที่ทำให้เขาต้องสวมหน้ากากอยู่ตลอดเมื่อทำการต่อสู้ น่าเสียดาย ถึงแม้ว่าเขาจะมีระดับสติปัญญาที่ไม่ธรรมดาและมีความกล้าหาญเป็นอย่างมาก แต่การคาดการณ์ของเราจากความสำเร็จของเขา ชายผู้นี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากลุ่มคนก่อนหน้าเลย !”
ศาสตราจารย์หลี่พยายามสงบใจด้วยการสูดหายใจเข้าช้า ๆ ข้อเท็จจริงที่ว่าเหล่าบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์เหล่านี้เดินไปเดินมาในโลกใต้พิภพทำให้เขาตื่นเต้นมาก แทบจะเหมือนกับว่าเขาถูกย้ายกลับไปหลายพันปีเพื่อได้รับโอกาสในการได้เห็นความรุ่งโรจน์ของแผ่นดินจีนอย่างเต็มที่ เขามองไปที่แผนที่และชี้ไปยังจุดต่อไป “เจ้าศักดินาแห่งสิงหปุระ มาร์ควิสหวู่แห่งชิงเหอ หรือที่รู้จักในชื่อหวางเมิ่ง ! ทุกท่าน ชายผู้นี้… น่าทึ่งมาก หากไม่ใช่เพราะกาลเวลาที่ผ่านเลยไป ชื่อเสียงของเขาก็คงไม่ด้อยไปกว่าอีก 11 ท่านแน่นอน !” [6]
ฉินเย่นิ่งไป
เอาล่ะ เอาล่ะ เอาล่ะ… หากสิ่งที่เจ้าพูดถูก และรายชื่อทั้งหมดในที่นี้คือฮีโร่ระดับ SSR ถ้าเช่นนั้นข้าจะพยายามหลอกล่อพวกเขาไปทำไม ?!
ยิ่งเขาฟังศาสตราจารย์ทั้งสองมากเท่าไหร่… เขาก็ยิ่งคิดว่าการยอมแพ้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดมากเท่านั้น !
เด็กหนุ่มเหลือบสายตาไปมองอาร์ทิส เพียงเพื่อที่จะเห็นว่านางจ้องเขม็งมาที่เขาก่อนอยู่แล้ว เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ฉินเย่รีบนั่งตัวตรงทันที
ศาสตราจารย์อันกล่าวอย่างติดตลก “หวังเมิ่งนั้นมีความสามารถทั้งในด้านของสติปัญญาและการทหาร ข้าจะไม่ลงรายละเอียดมากนัก ข้าประเมินให้เขาอยู่ในระดับเดียวกับจูกัดเหลียงเมื่อเป็นเรื่องของการบริหารกิจการภายใน นอกจากนี้เขายังมีบทบาทสำคัญในการจัดการเฉียนเหลียง ใครก็ตามที่ให้ความสนใจกับประวัติศาสตร์ในช่วงเวลานั้นจะสามารถบอกได้ว่าชายผู้นี้ได้ 100 คะแนนเต็มในการบริหารและอย่างน้อย 70 คะแนนในด้านการทหาร”
“ต่อไปคือเจ้าศักดินาแห่งเกาะลูซอน หยาง จีเย่ เจ้าหน้าที่ศักดินาของฟิลิปินัส ข้ามั่นใจว่าพวกท่านทั้งหมดคงเคยได้ยินเรื่องของแม่ทัพหยางใช่หรือไม่ ? เพื่อที่จะทำให้ผลงานของเขาเป็นอมตะ หอระฆังที่ถูกสลักด้วยแผ่นศิลาขนาดใหญ่สองแผ่นที่สลักความสำเร็จอันน่าเหลือเชื่อของเขาเอาไว้ นายท่าน… จากรายชื่อทั้งหมดที่พูดมาถึงตรงนี้ ชายผู้นี้คือผู้ที่มีความเป็นไปได้ว่าจะกลับมาที่จีนและสวามิภักดิ์ต่อยมโลก !”
ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ และพยักหน้า
พระเจ้า โปรดช่วยอย่าเพิ่งทำให้เสียเรื่องตอนนี้เลย… เขาภาวนาเหลือเกินว่าอย่าให้เกิดเรื่องอะไรกับแม่ทัพหยาง…
ศาสตราจารย์หลี่มองแผนที่และเอ่ยอย่างใจเย็น “รายชื่อต่อไปอาจจะไม่คุ้นนัก แต่ความจริงก็คือ… เขาใกล้ชิดกับเรามากกว่าที่คิด”
คนทั้งหมดมองไปยังจุดที่เขาชี้
ภูฏาน
แต่บนแผนที่ มันถูกเขียนว่า – ‘ชากัน กษัตริย์ของดินแดนแห่งป่าไผ่’ !
“ภูฏานนั้นเคยเป็นที่รู้จักกันในชื่อของดินแดนแห่งป่าไผ่” ศาสตราจารย์หลี่เอ่ย “ชากันยังเป็นที่รู้จักกันในฐานะแม่ทัพคนแรกของราชวงศ์หยวนอีกด้วย ! พวกเราจะไม่ลงรายละเอียดว่าราชวงศ์หยวนนั้นครอบครองดินแดนมากเท่าไหร่ แต่ประเด็นก็คือชายผู้นี้… สามารถทำลายคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดสองกลุ่มของราชวงศ์หยวนอย่างเซี่ยตะวันตกและราชวงศ์จิ้นได้ในเวลานั้น”
“หนึ่งในเหตุผลหลักว่าทำไมเขาถึงไม่เป็นที่รู้จักนักก็เพราะสถานะพิเศษของราชวงศ์หยวน ความจริงของเรื่องนี้ก็คือผู้คนส่วนใหญ่ไม่คิดที่จะจดจำถึงการมีอยู่ของราชวงศ์หยวนด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นครั้งแรกที่แผ่นดินจีนถูกปกครองโดยชาวต่างชาติเป็นระยะเวลากว่าร้อยปี นอกจากนี้ ชาวจีนที่มีชีวิตอยู่ในสมัยนั้น หรือที่รู้จักกันในชื่อของชาวราชอาณาจักรกลางนั้นใช้ชีวิตกันอย่างยากลำบาก ราชวงศ์หยวนต้องการขึ้นปกครองโลก แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถทำได้ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงล่มสลายลงอย่างรวดเร็ว ภายใต้ปัจจัยเหล่านี้ ชื่อเสียงของเขาจึงถูกปกปิดโดยเหล่าคนรุ่นหลัง”
“แต่หากเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ ทุกคนก็คงไม่สามารถคาดเดาได้ว่าฉางเย่ชุนจะสามารถก่อตั้งราชวงศ์หมิงกับจูหยวนจางได้หรือไม่” ศาสตราจารย์หลี่แย้มยิ้มบางออกมา “ชื่อนี้ของเขาอาจจะฟังดูแปลกหูสำหรับพวกเรา แต่… ข้าจะพูดอีกชื่อหนึ่งที่ข้ามั่นใจว่าพวกท่านจะต้องรู้จัก”
เขาแย้มยิ้ม “มินมินเตมูร์”[7]
ทุกคนที่ได้ยินเช่นนั้นผงะไป ดวงตาของฉินเย่สั่นไหวอย่างรุนแรงขนาดที่เขาตบโต๊ะเสียงดัง “จ้าวหมิ่น ?! จากดาบมังกรหยกน่ะหรือ ?!” [8]
“ท่านทรงเข้าใจถูกแล้ว !” ศาสตราจารย์หลี่แย้มยิ้มกว้าง “จ้าวหมิ่น ตัวละครหญิงในนวนิยายเรื่องดาบมังกรหยกของกิมย้งนั้นได้ต้นแบบมาจากมินมินเตมูร์ ลูกสาวของชากัน เตมูร์ !”
“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชื่อของเขาถึงคุ้นหูนัก” ฉินเย่ยิ้มกว้าง “ผู้ใดจะไปคิดว่าเขาจะเป็นพ่อตาของข้านี่เอง…”
คนทั้งหมดชะงักไปทันที
หัวหน้าแผนกทั้งเจ็ดของบริษัทก่อสร้างหยินมองฉินเย่ราวกับตนเพิ่งเห็นผี อาร์ทิสยังคงนิ่งเงียบ กู่ชิงกระแอมออกมาเบา ๆ และปรับระดับแว่นตาของตัวเองเพื่อข่มคำพูดมากมายที่เกือบจะหลุดออกจากปากของตน
“แค่ก แค่ก… ข้าพูดเล่น เชิญพูดต่อเถอะ…” ฉินเย่เอ่ยมาเบา ๆ อย่างกระดากอาย
ตอนนี้เหลือข้าราชการศักดินาอยู่เพียงแค่สองตนเท่านั้น ศาสตราจารย์อันสูดหายใจเข้าช้า ๆ และเอ่ยต่อ “บุคคลต่อไปคือผู้ที่มีความเป็นไปได้ที่จะเดินทางกลับมายังบ้านเกิดของเขามากที่สุด หากเราบอกว่าหยางจีเย่มีความเป็นไปได้ 70% ที่จะกลับมา ความเป็นไปได้ของชายผู้นี้ก็จะอยู่ที่ 85% !”
“อวี๋เชียน อวี๋เช่าเป่า เจ้าศักดินาแห่งลิชชาวี[9]”
“อย่า…” ฉินเย่คว้าแขนเสื้อของอาร์ทิสเอาไว้เมื่อเห็นว่านางทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง
อาร์ทิสสะบัดแขนของตนออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายและหันไปมองฉินเย่ด้วยสายตาราวกับต้องการจะบอกว่ามันไม่มีตัวละครตัวนี้อยู่ใน Honour of Kings จากนั้นนางก็เอ่ยขึ้น “เขา… ไม่ใช่ว่าเขาคือคนที่ร่วมแสดง crosstalk กับกัวเต๋อกังหรอกหรือ ? เขาค่อนข้างดีเลยไม่ใช่หรืออย่างไร ?” [10]
ศาสตราจารย์หลี่และศาสตราจารย์อันแน่นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะมองอาร์ทิสด้วยสายตาไม่พอใจ
ในอีกด้านหนึ่ง ฉินเย่เอนตัวพิงพนักเก้าอี้และมองเพดานอย่างเหม่อลอย – อ่าาาา… เขารู้อยู่แล้วว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ ทันทีที่ชื่อของอวี๋เชียนถูกพูดออกมา เขารู้ได้ทันทีเลยว่านางจะพูดอะไร…
“แค่ก แค่ก… เอ่อ เกี่ยวกับเรื่องนั้น… ท่านอรากษส เรากำลังพูดถึงอวี๋เชียนแห่งราชวงศ์หมิง…” ศาสตราจารย์หลี่อธิบายประโยคเมื่อครู่ของตนด้วยสีหน้าเจ็บปวด “ราชวงศ์หมิงได้ยกย่องเขาในเรื่องของความภักดีและความชอบธรรม เมื่อนับรวมกับเยว่เฟยและจางหวงเหยียนแล้ว พวกเขาเป็นที่รู้จักในชื่อของสามวีรบุรุษแห่งแม่น้ำตะวันตก หากไม่ใช่เพราะอวี๋เชียน เมืองหลวงของราชวงศ์หมิงคงได้รับความเสียหายอย่างหนักจากผู้บุกรุกในระหว่างวิกฤตป้อมทูมูไปแล้ว!” [11]
ศาสตราจารย์อันมีอารมณ์ร่วมในจุดนี้อย่างไม่น่าเชื่อ “หากไม่นับรวมหยางจีเย่ ชายผู้ที่เหมาะที่จะได้รับตำแหน่งวีรบุรุษแห่งชาติมากที่สุด ไม่มีคำพูดใดที่สามารถบรรยายถึงสิ่งที่เขาได้ทำเพื่อจีนได้ นายท่าน ข้าจะไม่พูดเกี่ยวกับความสำเร็จของเขา แต่หากท่านต้องพบกับพวกเขาเหล่านี้ ข้าคิดว่าท่านควรสร้างสัมพันธ์กับอวี๋เชียนและหยาง จีเย่เป็นอันดับแรก ! เพราะพวกเขาคือผู้ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะยืนหยัดอยู่เคียงข้างเรา !”
ฉินเย่พยักหน้าและมองไปยังชื่อสุดท้ายที่ปรากฏบนรายชื่อ
มันเป็นชื่อที่เขาค่อนข้างคุ้นทีเดียว…
“กองกำลังรักษาการณ์พิเศษ ข้าราชการแห่งอาณาจักรสินธุ… กองซุน ฉี่” [12] ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้าๆและเอ่ยต่อ “อาณาจักรสินธุเป็นส่วนหนึ่งของฮินดูสถาน นี่คือข้าราชการศักดินาเพียงตนเดียวที่ประจำการอยู่ที่โลกใต้พิภพอื่น…” [13]
ทันใดนั้นเขาก็หยุดพูดไป เด็กหนุ่มก้มหน้าลงเล็กน้อยและจ้องอาร์ทิสเขม็ง “หุบปาก ! อย่าเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว !”
[1] นายพลชาวมองโกลของตระกูลเมอร์คิดและข้าราชการในราชวงศ์หมิง
[2] เกาะสุมาตรา
[3] เกม MOBA ของจีนซึ่งเป็นเกมต้นแบบของ RoV
[4] ชื่อมารยาท จงเฉิงเป็นนายพลทหารจีนนักสำรวจและนักการทูตของ ราชวงศ์ฮั่นตะวันออก
[5] เอเชียกลางในปัจจุบัน
[6] นายกรัฐมนตรีของอดีตจักรพรรดิฉินแห่งฝูเจี้ยน ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในรัฐบุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จีน
[7] เจ้าหญิงแห่งราชวงศ์หยวน
[8] หนึ่งในสุดยอดนิยายกำลังภายในชื่อดังที่ประพันธ์โดยกิมย้ง
[9] เนปาล
[10] นักแสดงตลกและนักแสดงชาวจีน
[11] ความขัดแย้งชายแดนระหว่างหยวนตอนเหนือและราชวงศ์หมิง
[12] ขุนพลของรัฐฉิน ในยุครณรัฐของจีน
[13] อาณาจักรของอินเดียโบราณทอดยาวไปตามริมฝั่งแม่น้ำสินธุ ปัจจุบันเป็นแถบปากีสถาน
Comments
Pengaturan Membaca
The quick brown fox jumps over the lazy dog
Background :
Font :
Size :