ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] 321: ตัวเลือก (1)
บทที่ 321: ตัวเลือก (1)
หลี่จีสี่ตกตะลึง
อย่างน้อย เขาก็ดูเหมือนจะตกตะลึง
“เป็นไปได้อย่างไร ?!” เขาจ้องมอนิเตอร์ราวกับตกใจเป็นอย่างมาก “นั่นเป็นไปไม่ได้… มันมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับสิ่งประดิษฐ์เวทย์ของทางสำนักได้อย่างไรกัน ? นี่มันวิญญาณขั้นนักล่าวิญญาณ ! นักเรียนหวังคงต้านได้ไม่ไม่ถึงสิบนาทีแน่ ๆ!”
“อาจารย์ฉิน เราจะทำอย่างไรกันดี ?”
ความคิดภายในหัวของฉินเย่ตีกันยุ่งไปหมด
หวังเฉิงห่าวเป็นเพื่อนของเขา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สนิทกันเท่ากับที่เขาสนิทกับหลินฮั่น แต่เขาก็ยังถือว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนของเขา
เพื่อนคือหนึ่งในสิ่งที่เขาให้ความสำคัญมากที่สุดในชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยอายุของเขา เขาเห็นเพื่อนตายมามากเกินไปแล้ว
นอกจากนี้ การที่หลี่จีสี่มอบปัญหานี้ให้เขาตัดสินใจมันก็ยิ่งทำให้เรื่องนี้น่าสงสัยขึ้นไปอีก
มันดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้มองสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องใหญ่เลยไม่ใช่หรือ ?
หากคุณลองคิดกลับกัน เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้น และคนข้าง ๆ คุณถามว่าเขาควรทำอย่างไรดี สิ่งแรกที่เข้ามาในหัวของคุณคืออะไร ?
แน่นอน คุณก็คงจะรีบเอ่ยความคิดหรือแผนในการรับมือที่คิดอยู่ออกมา
มันเป็นการตอบสนองเบื้องต้น สิ่งที่พูดออกไปโดยไม่ได้ผ่านกระบวนการคิดอย่างถี่ถ้วนดั่งเช่นปกติ
นี่อีกฝ่าย… กำลังบอกให้เขาไปช่วยหวังเฉิงห่าวหรือเปล่า ?
แต่ด้วยระยะห่างของพวกเขา ผู้ที่อยู่ขั้นนักล่าวิญญาณไม่มีทางไปถึงทันเวลา ! เว้นแต่…
โดยไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา ฉินเย่มองหลี่จีสี่ก่อนจะนั่งลงอย่างใจเย็น หวังเฉิงห่าว… น่าเสียดาย แต่เราไม่ได้สนิทกันมากขนาดนั้น… อย่างน้อย เราก็ไม่ได้สนิทกันมากพอที่ฉันจะต้องยอมเสี่ยงทุกอย่างที่ตัวเองมีเพื่อไปช่วยชีวิตนาย… แต่ไม่ต้องห่วง ฉันสัญญาว่าฉันจะดูแลนายอย่างดีหลังจากที่นายตายไป
“ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้คุณพูดเอาไว้หรอกเหรอว่าจะรับผิดชอบปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดด้วยตัวเอง ?” ฉินเย่เอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “ทำไมตอนนี้คุณถึงมาถามผมล่ะ ? ผมจะสามารถทำอะไรได้ ? ขั้นนักล่าวิญญาณจะไปช่วยเขาได้ทันเวลาได้อย่างไรกัน ? ศาสตราจารย์หลี่ คุณดูไม่ได้สนใจชีวิตของพวกนักเรียนเลยนี่ครับ ? ไม่ต้องห่วง ผมจะรายงานเรื่องทั้งหมดนี่ให้กับทางสำนักฟังทันทีที่พวกเรากลับไปถึงเอง”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็คว้าอุปกรณ์สื่อสารบนโต๊ะ “อาจารย์ฉินถึงนักเรียนทุกคน มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น…”
ทว่าทันใดนั้น หลี่จีสี่ก็ปิดการเชื่อมต่อของเขาก่อนที่เขาจะเอ่ยจบ
“แบบนี้มันหมายความว่าอะไรกันครับ ?” ฉินเย่ถามเสียงเย็น
“พวกเราจะไม่ยุติมัน” หลี่จีสี่ตอบด้วยเสียงที่เย็นชาไม่แพ้กัน “จนถึงตอนนี้ มีนักเรียนหวังเป็นคนเดียวที่ประสบกับปัญหา เขตไล่ล่าอื่น ๆ ยังไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ให้พวกเขาปฏิบัติภารกิจต่อไป ในระหว่างนี้พวกเราจะมุ่งหน้าไปหานักเรียนหวังและเก็บศพของเขา”
หลี่จีสี่ไม่คิดว่าฉินเย่จะสามารถทนอยู่เฉยได้
หวังเฉิงห่าวจะต้องเกี่ยวข้องกับฉินเย่อย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่ได้รับการยืนยันเกี่ยวกับขอบเขตความสัมพันธ์ของทั้งคู่ แต่เขาก็ไม่คิดว่าฉินเย่จะสามารถทนนิ่งเฉยต่อการตายของหวังเฉิงห่าวได้มากขนาดนี้ !
หวังเฉิงห่าวยังคงมีชีวิตอยู่
แต่… มันก็ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปไม่ใช่หรือ ?
พวกเขาอยู่ห่างกันห้ากิโลเมตร บวกกับข้อเท็จจริงที่ว่าหลี่จีสี่ได้ดัดแปลงสิ่งประดิษฐ์เวทย์ที่ถูกมอบให้กับหวังเฉิงห่าว มันไม่มีทางที่เด็กหนุ่มจะสามารถรอดชีวิตได้เกินสิบนาทีแน่ ๆ แต่ในเมื่อฉินเย่นั้นสามารถใจแข็งกับการตายของหวังเฉิงห่าวได้มากขนาดนี้ เราก็มาดูกันว่าคุณสามารถทนต่อการตายของนักเรียนคนอื่น ๆ ได้อีกหรือเปล่า !
“คุณบ้าไปแล้วเหรอ !” ฉินเย่รู้สึกว่าคลื่นของความโกรธกำลังปะทุออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจของเขา เด็กหนุ่มลุกพรวดขึ้น “ตอนนี้คุณกำลังเล่นกับชีวิตของคนอื่นอยู่ !”
“คุณกำลังตามหาอะไรอยู่ ?” เขาจ้องหลี่จีสี่เขม็ง “คุณกำลังต้องการอะไรกันแน่ ?”
“แต่ไม่ว่าสิ่งนั้นมันจะเป็นอะไร คุณก็ไม่ควรเล่นกับชีวิตของมนุษย์คนอื่นแบบนี้ ! นี่มันเหมือนคุณกำลังส่งพวกเขาไปโรงเชือดชัด ๆ!”
หลี่จีสี่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “อาจารย์ฉิน ในที่สุดคุณก็ยอมรับแล้วหรือว่าคุณรู้แล้วว่าเรากำลังสงสัยคุณอยู่? ”
“คุณมัวแต่กลัวอะไร ?”
“คุณกำลังปกปิดอะไรอยู่ ?”
“หรือผมควรจะบอกว่า คุณ… กำลังกลัวว่าเราจะค้นพบสิ่งที่คุณทำลงไปในตอนที่อยู่ที่ช่องแคบสึชิมะดี ?”
ฉินเย่เกือบจะโต้กลับไป แต่ทันใดนั้นเขาก็พบว่ามือของหลี่จีสี่ที่ยัดอยู่ในกระเป๋ากางเกงขยับเล็กน้อย
เครื่องบันทึกเสียง… และอาจจะเป็นแบบที่ส่งข้อความไปที่ปลายทางทันทีด้วย…
“ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดเรื่องบ้าอะไรอยู่ !” เขาตะคอกกลับไป นั่งลง และหยิบถ้วยชาขึ้นมาดื่ม
หลี่จีสี่ตกตะลึง
เขาไม่คิดว่าฉินเย่จะสามารถยับยั้งตัวเองได้ในการยั่วยุเมื่อครู่
แต่ภายในเสี้ยวนาทีต่อมา ขณะที่เขาเริ่มลดการป้องกันของตัวเองลง หลี่จีสี่ก็สังเกตเห็นว่ามุมปากของฉินเย่กระตุกยิ้มขึ้นที่ขอบถ้วย
แย่แน่ !
น่าเสียดาย เพราะก่อนที่เขาจะได้ตอบสนอง ฉินเย่ก็สลัดหยดน้ำขนาดเล็กที่ปลายนิ้วของตนตรงไปที่กระเป๋ากางเกงของเขาเสียแล้ว
ซ่าา…
ราวกับกระสุน หยดน้ำดังกล่าวพุ่งทะลุกระเป๋ากางเกงและเครื่องบันทึกเสียงที่พังก็กระเด็นออกมาจากกระเป๋าของเขาทันที
นั่นไม่ใช่สิ่งขั้นนักล่าวิญญาณจะสามารถทำได้…
เป็นไปไม่ได้ที่ขั้นนักล่าวิญญาณจะสามารถทำลายการป้องกันของเขาได้อย่างง่ายดายแบบนี้… เพราะฉะนั้น มันก็หมายความว่าเด็กหนุ่มคนนี้…
ขั้นยมทูตขาวดำ !
ขั้นยมทูตขาวดำทั้ง ๆ ที่อายุแค่ 18 เนี่ยนะ ?!
ปฏิกิริยาตอบสนองต่อการต่อสู้ของหลี่จีสี่ทำงานทันที และสายโซ่สีเงินที่หนาประมาณหนึ่งนิ้วมือก็พุ่งไปที่ลำคอของฉินเย่ด้วยความเร็วสูง ทว่าทันใดนั้นเอง แสงไฟในบริเวณโดยรอบทั้งหมดก็กะพริบและดับลงพร้อมกัน !
หมับ… ฉินเย่คว้าโซ่เอาไว้ก่อนที่มันจะถึงตัวของเขา จากนั้นเสียงของเด็กหนุ่มก็ดังก้องไปทั่วห้องที่มืดสนิท “ดูเหมือนว่าทางหน่วยอัลบาทรอสจะส่งคุณมากจริง ๆ สินะ…”
“ฉินเย่ !” หลี่จีสี่ร้องออกมาอย่างสุดเสียง “มอบตัวซะ ! คุณเป็นมนุษย์ ! อัลบาทรอสไม่มีทางทำอะไรคุณ ! ทุกอย่างจะไม่เป็นไรหากคุณยอมกลับไปที่สำนักงานใหญ่และตอบคำถามของผม !!”
“มีอะไรให้ต้องถามกัน ?” เสียงที่เอ่ยออกมาของฉินเย่เย็นยะเยือก และยังแฝงไปด้วยความขบขัน “เกี่ยวกับเรื่องเหตุการณ์ที่ช่องแคบสึชิมะอย่างนั้นเหรอ ?”
มันคือเขา… มันคือเขาจริง ๆ!!!
ร่างของหลี่จีสี่สั่นเทาด้วยความตื่นเต้นขณะที่เขาเอ่ยเสียงพร่า “ผมสัญญาว่าจะไม่ปล่อยให้ใครทำร้ายคุณเด็ดขาดถ้าคุณยอมไปกับเราแต่โดยดี ! ทั้งหมดที่คุณต้องทำก็คือบอกความจริงกับเราเท่านั้น !”
ฉินเย่แค่นหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้น… ใครจะเป็นคนชดใช้ให้กับชีวิตของหวังเฉิงห่าวล่ะ ?”
“ในสถานการณ์แบบนี้มันก็ต้องมีการเสียสละกันบ้าง !” หลี่จีสี่เอ่ยออกมาเสียงดังและพยายามดึงโซ่ของตนอย่างแรง น่าเสียดาย… มันไม่ขยับเลยแม้แต่นิดเดียว
“แม้ว่านั่นจะหมายความว่าผมจะต้องเสียสละชีวิตของตัวเองก็ตาม ! คุณรู้หรือเปล่าว่าข้อมูลพวกนี้มีความสำคัญกับจีนมากเพียงใด ?!”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นเพียงเอ่ยถามเสียงเรียบ “แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่าตัวเองไม่ควรเล่นกับชีวิตของมนุษย์คนอื่น ?”
“ไม่ต้องมาพูดเรื่องสัญญาปากเปล่าพวกนี้กับผม… ผมรู้ดีว่าสุดท้ายแล้วคนที่ไม่ปกติแบบผมก็มีแต่จะต้องถูกผ่าร่างเพื่อศึกษาทันทีที่ก้าวเข้าไปในศูนย์วิจัย SRC คุณไม่จำเป็นต้องปฏิเสธเรื่องนั้น… มนุษย์เรานั้น…เต็มไปด้วยความซับซ้อนมากมาย ยกตัวอย่างเช่น… คุณรู้หรือเปล่าว่าตอนนี้ผมกำลังทำอะไรอยู่ ? รู้หรือเปล่าว่าจู่ ๆ ทำไมผมถึงว่ายืนพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้กับคุณ ?”
หลี่จีสี่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีนัก เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ “คุณ…”
“ผมได้เตือนคุณไปแล้วว่ามีวิญญาณขั้นนักล่าวิญญาณเข้ามาในนี้ และมันก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากมัจจุราชแห่งยมโลก ตัวตนที่เส้นตรวจจับตัวตนเหนือธรรมชาติจะไม่มีทางส่งสัญญาณเตือน แล้วคุณเชื่อผมหรือเปล่า ?”
เสียงของฉินเย่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ “และตอนนี้… เขาก็มาอยู่ด้านหลังของคุณแล้ว”
“ทีนี้ จงเป็นเด็กดีและตายไปพร้อมกับความลับพวกนี้ซะ ผมจะปล่อยให้คุณอยู่กับเขา และเดี๋ยวผมจะล้างแค้นให้คุณทีหลัง…”
สิ้นสุดเสียงพูด หลี่จีสี่ก็รู้สึกว่าโซ่ในมือของเขาคลายออกและเขาก็สามารถบอกได้ว่าเสียงของฉินเย่เริ่มห่างออกไปไกลแล้ว
เคร้ง… สายโซ่ร่วงลงกับพื้นจนเกิดเป็นเสียงดังชัดเจน หลี่จีสี่กัดฟันแน่ และขณะที่เขากำลังจะดึงโซ่กลับมา เขาก็ได้ตระหนักถึงบางอย่าง
ทำไมเสียงนั้นมันชัดเจนขนาดนี้ ?
เขากะพริบตาปริบ ๆ จากนั้น ในเสี้ยววินาทีต่อมา ขนของเขาก็ลุกชันไปทั่วทั้งร่าง !
มันเป็นค่ำคืนที่ฝนตกหนัก และเต็มไปด้วยเสียงฟ้าร้องและฟ้าผ่าด้านนอก แต่ด้วยเหตุผลที่แปลกประหลาดบางประการ เขากลับไม่ได้ยินเสียงพวกนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว !
มันเงียบราวกับห้องเก็บศพ
จากนั้น เสียงปิดประตูก็ดังขึ้น ปั้ง ! ประตูและหน้าต่างโดยรอบถูกเปิดออกอย่างกะทันหันและสายฝนก็สาดซัดเข้ามาภายในห้อง ! และขณะที่เขากำลังจะยกมือขึ้นมากำบังตัวเองจากสายฝนที่พร่างพรม หลี่จีสี่ก็ต้องนิ่งไป
รอยเท้าเริ่มปรากฏขึ้นบนพื้น และยิ่งชัดขึ้นเมื่อเดินบนพื้นที่เปียกชื้น…
อันที่จริง รอยเท้าพวกนั้นถูกนำมาด้วยรอยมือสองข้าง แทบจะเหมือนกับว่ามีใครบางคนกำลังคลานอยู่ภายในห้อง !
แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ทั่วทั้งห้องกลับดูว่างเปล่าและเงียบเชียบอย่างที่มันเคยเป็นมา
“แกรนหาที่ตายแล้ว !!” หลี่จีสี่ขนลุกไปทั่วร่าง เขากระชับมือที่กำโซ่แน่นกว่าเดิมและกำลังจะยกมือขึ้นแต่แล้วก็ต้องชะงักไปอีกครั้ง หลังจากนั้นเขาก็ก้มหน้าลงมองที่เท้าของตัวเอง
มีอะไรบางอย่างจับขากางเกงของเขาเอาไว้
หากพูดให้ชัดเจนก็คือเขาเห็นมือสีขาวซีดคู่หนึ่งกำรอบขาของเขาอยู่
เมื่อหันหลังกลับไป เขาก็พบว่ามีเด็กอายุประมาณ 5 ขวบที่สวมเพียงกางเกงชั้นในกำลังคว้าโซ่ของเขาเอาไว้
ร่างของเด็กตรงหน้าขาวซีดและมีรอยจ้ำสีม่วงเต็มไปหมด ผมของเด็กคนนั้นถูกถักเป็นทรงเดรดล็อค และดวงตาของมันก็เป็นสีดำสนิท !
“เจ้า… ดูน่าอร่อยจัง…” น้ำศพสีดำไหลออกมาจากมุมปากของอีกฝ่ายและมันก็อ้าปากออกกว้างขณะที่จ้องมองหลี่จีสี่อย่างหิวโหย “ท่านแม่… ข้าขอ… กินเขาได้หรือไม่ ?”
“เวรเอ้ย !!” หลี่จีสี่สบถออกมาเสียงดังขณะที่ตะเกียกตะกายถอยหลัง แต่เขาก็ไม่สามารถหนีออกมาไกลมากนักเนื่องจากร่างของเขาชนเข้ากับบางอย่าง
มันเย็นชืด
และเหม็นหืน
มันเป็นความรู้สึกที่คุ้นเคยสำหรับเขา มันคือ… ศพ
“เด็กน้อย เรามากินมันด้วยกัน ตกลงไหม ?” เสียงแหบพร่าดังขึ้นภายในห้องเฝ้าระวัง และหลี่จีสี่ก็หลับตาลงอย่างหมดหวัง
“หลังจากเรากินเขาแล้ว… เราจะไปตามหาชายอีกคนที่เคยอยู่ที่นี่กัน…”
มันมีวิญญาณขั้นยมทูตขาวดำอยู่ตรงนั้น… !
หมับ ! มือที่ซีดเผือดทั้งสองข้างกำเข้าที่รอบลำคอของเขา การขาดอากาศหายใจอย่างกะทันหันทำให้ดวงตาของเขาแดงก่ำ จากนั้น ด้วยแรงที่เหลืออยู่ เขาหันไปมองที่หน้าต่าง
และจากเงาสะท้อนของมัน เขาก็พบว่ามีผู้หญิงในชุดกระโปรงสีน้ำเงินกรมท่าและสวมรองเท้าปักสีแดงยืนอยู่ด้านหลังของตัวเอง มือของเธอยาวเกือบหนึ่งเมตรและมีข้อต่อประมาณสองหรือสามข้อ และมันก็กำลังบีบรอบลำคอของเขาแน่น
บัดซบ… นี่คือความคิดสุดท้ายของเขา
…………………………………………………
เขตไล่ล่า D-69.
ชั้นที่ 12
หวังเฉิงห่าววิ่งไปข้างบนด้วยความเร็วสูงสุด ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร เขารู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถอยู่ที่ตรงนั้นได้อีกต่อไป
ไม่นานเขาก็วิ่งขึ้นมาถึงหน้าทางออกบนชั้นที่ 13 มันแปลกมาก ป้ายคำว่า ‘EXIT’ บนประตูสว่างด้วยสีแดงเข้ม แทบจะเหมือนกับถูกทาทับด้วยเลือด เขาพยายามบิดลูกบิดประตูอย่างสุดความสามารถ แต่มันก็ไม่ยอมเปิดออกไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรก็ตาม !
“เปิดสิ… เปิดสิ !!!” เสียงหอบหายใจดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ! มันอยู่ห่างจากเขาอีกแค่ชั้นเดียวเท่านั้น เด็กหนุ่มผลักและเตะประตูอย่างแรง แต่ประตูก็ยังไม่ขยับเลยแม้แต่นิดเดียว !
“อ๊ากกกก !!!” ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาทรุดตัวลงกับพื้นและทึ้งผมของตัวเองอย่างแรงด้วยความสิ้นหวัง “ไม่นะ… ยังไม่อยากตาย… ผมยังไม่อยากตาย !!”
หมับ… ทันใดนั้น เสียงบางอย่างก็ดังขึ้นที่หัวมุมของบันได ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าอันแผ่วเบา
มือขาวซีดโผล่ขึ้นมาและจับลงบนราวบันได
มือสีขาวที่ซีดเผือด ซีดเกินกว่าปกติ มันซีดมาก และเต็มไปด้วยรอยจ้ำสีม่วงเข้ม ความซีดนั่นถูกขับเน้นด้วยกรงเล็บสีดำวาวที่ปลายนิ้ว มือดังกล่าวไล่มาตาราวบันไดอย่างแผ่วเบา แต่กลับให้ความรู้สึกอันตรายอย่างไม่น่าเชื่อ
“ไม่นะ… ไม่ !!” หวังเฉิงห่าวลุกขึ้นยืนราวกับคนเสียสติและเริ่มเตะและทุบประตูอย่างแรง แต่มันก็เปล่าประโยชน์
ทำยังไงดี ?!!
เขาไม่อยากตาย ไม่อยากเลยสักนิด ! แต่เขาจะสามารถทำอะไรเพื่อให้รอดออกไปจากสถานการณ์นี้ได้บ้าง?
“ทำไมถึงวิ่งหนี…” เสียงแหบห้าวของผู้ชายดังขึ้นที่มุมบันได “ทำไม… ถึงไม่อยู่ด้วยกันก่อน ?”
“ทุกคนเอาแต่วิ่งหนี… ทุกคน ! ฉันตะโกนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อให้รถหยุด… แต่ทุกคน… ก็ไม่สนใจ !”
สติของหวังเฉิงห่าวใกล้จะพังทลายลงมาเต็มที เขาไม่แม้แต่จะกล้าหันกลับไปมองด้านหลัง เปิดสิ… เปิดสิ ได้โปรด !! หากเขาสามารถออกไปจากตรงนี้ได้ เขาจะยอมเสี่ยงทุกอย่างและกระโดดลงจากดาดฟ้าของอาคาร ! หากโชคดี เขาก็อาจจะยังรอดชีวิต ! แต่ถ้ายังอยู่ตรงนี้ต่อไปเขาจะต้องตายแน่นอน !
ต้องทำอย่างไรเขาถึงจะเปิดประตูได้ ?
ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้น และเด็กหนุ่มก็หยิบยันต์ที่อยู่ในเครื่องแบบของตนออกมาทันที
นี่คือยันต์ที่ฉินเย่มอบให้กับเขา มันมีไว้เพื่อป้องกันตัว และเขาก็ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นประโยชน์ขึ้นมาในวันหนึ่ง
เขากำยันต์ในมือแน่นและบิดลูกบิดประตู เสียงกรีดร้องที่น่าสะพรึงกลัวดังขึ้นที่ราวจับ และประตูที่ไม่สามารถขยับได้… ก็เปิดออก !
ด้านนอกฝนตกลงมาอย่างไม่หยุดหย่อน นี่คือดาดฟ้าชั้นที่ 13 ของอาคาร แต่สำหรับเขา… มันกลับดูไม่ต่างจากสวรรค์เลยสักนิด
“รอดแล้ว… เรา…” สีหน้าสิ้นหวังเปลี่ยนเป็นมีความหวังภายในชั่วพริบตา แต่ขณะที่เขาจะตะโกนออกไปด้วยความสุขและวิ่งเข้าไปในสายฝน เด็กหนุ่มกลับรู้สึกเย็นยะเยือกที่บริเวณลำคอของตัวเอง
ซากศพที่ซีดเผือดเกาะอยู่ที่ด้านหลังของเขา และมันก็กระซิบข้างหูของเขาเสียงเบา “เจ้า… หนีทำไม ?”
และทันใดนั้น ศพดังกล่าวก็กัดลงมาด้วยฟันที่แหลมคมของมัน !
Comments
ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] 321: ตัวเลือก (1)
บทที่ 321: ตัวเลือก (1)
หลี่จีสี่ตกตะลึง
อย่างน้อย เขาก็ดูเหมือนจะตกตะลึง
“เป็นไปได้อย่างไร ?!” เขาจ้องมอนิเตอร์ราวกับตกใจเป็นอย่างมาก “นั่นเป็นไปไม่ได้… มันมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับสิ่งประดิษฐ์เวทย์ของทางสำนักได้อย่างไรกัน ? นี่มันวิญญาณขั้นนักล่าวิญญาณ ! นักเรียนหวังคงต้านได้ไม่ไม่ถึงสิบนาทีแน่ ๆ!”
“อาจารย์ฉิน เราจะทำอย่างไรกันดี ?”
ความคิดภายในหัวของฉินเย่ตีกันยุ่งไปหมด
หวังเฉิงห่าวเป็นเพื่อนของเขา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สนิทกันเท่ากับที่เขาสนิทกับหลินฮั่น แต่เขาก็ยังถือว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนของเขา
เพื่อนคือหนึ่งในสิ่งที่เขาให้ความสำคัญมากที่สุดในชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยอายุของเขา เขาเห็นเพื่อนตายมามากเกินไปแล้ว
นอกจากนี้ การที่หลี่จีสี่มอบปัญหานี้ให้เขาตัดสินใจมันก็ยิ่งทำให้เรื่องนี้น่าสงสัยขึ้นไปอีก
มันดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้มองสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องใหญ่เลยไม่ใช่หรือ ?
หากคุณลองคิดกลับกัน เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้น และคนข้าง ๆ คุณถามว่าเขาควรทำอย่างไรดี สิ่งแรกที่เข้ามาในหัวของคุณคืออะไร ?
แน่นอน คุณก็คงจะรีบเอ่ยความคิดหรือแผนในการรับมือที่คิดอยู่ออกมา
มันเป็นการตอบสนองเบื้องต้น สิ่งที่พูดออกไปโดยไม่ได้ผ่านกระบวนการคิดอย่างถี่ถ้วนดั่งเช่นปกติ
นี่อีกฝ่าย… กำลังบอกให้เขาไปช่วยหวังเฉิงห่าวหรือเปล่า ?
แต่ด้วยระยะห่างของพวกเขา ผู้ที่อยู่ขั้นนักล่าวิญญาณไม่มีทางไปถึงทันเวลา ! เว้นแต่…
โดยไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา ฉินเย่มองหลี่จีสี่ก่อนจะนั่งลงอย่างใจเย็น หวังเฉิงห่าว… น่าเสียดาย แต่เราไม่ได้สนิทกันมากขนาดนั้น… อย่างน้อย เราก็ไม่ได้สนิทกันมากพอที่ฉันจะต้องยอมเสี่ยงทุกอย่างที่ตัวเองมีเพื่อไปช่วยชีวิตนาย… แต่ไม่ต้องห่วง ฉันสัญญาว่าฉันจะดูแลนายอย่างดีหลังจากที่นายตายไป
“ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้คุณพูดเอาไว้หรอกเหรอว่าจะรับผิดชอบปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดด้วยตัวเอง ?” ฉินเย่เอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “ทำไมตอนนี้คุณถึงมาถามผมล่ะ ? ผมจะสามารถทำอะไรได้ ? ขั้นนักล่าวิญญาณจะไปช่วยเขาได้ทันเวลาได้อย่างไรกัน ? ศาสตราจารย์หลี่ คุณดูไม่ได้สนใจชีวิตของพวกนักเรียนเลยนี่ครับ ? ไม่ต้องห่วง ผมจะรายงานเรื่องทั้งหมดนี่ให้กับทางสำนักฟังทันทีที่พวกเรากลับไปถึงเอง”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็คว้าอุปกรณ์สื่อสารบนโต๊ะ “อาจารย์ฉินถึงนักเรียนทุกคน มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น…”
ทว่าทันใดนั้น หลี่จีสี่ก็ปิดการเชื่อมต่อของเขาก่อนที่เขาจะเอ่ยจบ
“แบบนี้มันหมายความว่าอะไรกันครับ ?” ฉินเย่ถามเสียงเย็น
“พวกเราจะไม่ยุติมัน” หลี่จีสี่ตอบด้วยเสียงที่เย็นชาไม่แพ้กัน “จนถึงตอนนี้ มีนักเรียนหวังเป็นคนเดียวที่ประสบกับปัญหา เขตไล่ล่าอื่น ๆ ยังไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ให้พวกเขาปฏิบัติภารกิจต่อไป ในระหว่างนี้พวกเราจะมุ่งหน้าไปหานักเรียนหวังและเก็บศพของเขา”
หลี่จีสี่ไม่คิดว่าฉินเย่จะสามารถทนอยู่เฉยได้
หวังเฉิงห่าวจะต้องเกี่ยวข้องกับฉินเย่อย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่ได้รับการยืนยันเกี่ยวกับขอบเขตความสัมพันธ์ของทั้งคู่ แต่เขาก็ไม่คิดว่าฉินเย่จะสามารถทนนิ่งเฉยต่อการตายของหวังเฉิงห่าวได้มากขนาดนี้ !
หวังเฉิงห่าวยังคงมีชีวิตอยู่
แต่… มันก็ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปไม่ใช่หรือ ?
พวกเขาอยู่ห่างกันห้ากิโลเมตร บวกกับข้อเท็จจริงที่ว่าหลี่จีสี่ได้ดัดแปลงสิ่งประดิษฐ์เวทย์ที่ถูกมอบให้กับหวังเฉิงห่าว มันไม่มีทางที่เด็กหนุ่มจะสามารถรอดชีวิตได้เกินสิบนาทีแน่ ๆ แต่ในเมื่อฉินเย่นั้นสามารถใจแข็งกับการตายของหวังเฉิงห่าวได้มากขนาดนี้ เราก็มาดูกันว่าคุณสามารถทนต่อการตายของนักเรียนคนอื่น ๆ ได้อีกหรือเปล่า !
“คุณบ้าไปแล้วเหรอ !” ฉินเย่รู้สึกว่าคลื่นของความโกรธกำลังปะทุออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจของเขา เด็กหนุ่มลุกพรวดขึ้น “ตอนนี้คุณกำลังเล่นกับชีวิตของคนอื่นอยู่ !”
“คุณกำลังตามหาอะไรอยู่ ?” เขาจ้องหลี่จีสี่เขม็ง “คุณกำลังต้องการอะไรกันแน่ ?”
“แต่ไม่ว่าสิ่งนั้นมันจะเป็นอะไร คุณก็ไม่ควรเล่นกับชีวิตของมนุษย์คนอื่นแบบนี้ ! นี่มันเหมือนคุณกำลังส่งพวกเขาไปโรงเชือดชัด ๆ!”
หลี่จีสี่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “อาจารย์ฉิน ในที่สุดคุณก็ยอมรับแล้วหรือว่าคุณรู้แล้วว่าเรากำลังสงสัยคุณอยู่? ”
“คุณมัวแต่กลัวอะไร ?”
“คุณกำลังปกปิดอะไรอยู่ ?”
“หรือผมควรจะบอกว่า คุณ… กำลังกลัวว่าเราจะค้นพบสิ่งที่คุณทำลงไปในตอนที่อยู่ที่ช่องแคบสึชิมะดี ?”
ฉินเย่เกือบจะโต้กลับไป แต่ทันใดนั้นเขาก็พบว่ามือของหลี่จีสี่ที่ยัดอยู่ในกระเป๋ากางเกงขยับเล็กน้อย
เครื่องบันทึกเสียง… และอาจจะเป็นแบบที่ส่งข้อความไปที่ปลายทางทันทีด้วย…
“ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดเรื่องบ้าอะไรอยู่ !” เขาตะคอกกลับไป นั่งลง และหยิบถ้วยชาขึ้นมาดื่ม
หลี่จีสี่ตกตะลึง
เขาไม่คิดว่าฉินเย่จะสามารถยับยั้งตัวเองได้ในการยั่วยุเมื่อครู่
แต่ภายในเสี้ยวนาทีต่อมา ขณะที่เขาเริ่มลดการป้องกันของตัวเองลง หลี่จีสี่ก็สังเกตเห็นว่ามุมปากของฉินเย่กระตุกยิ้มขึ้นที่ขอบถ้วย
แย่แน่ !
น่าเสียดาย เพราะก่อนที่เขาจะได้ตอบสนอง ฉินเย่ก็สลัดหยดน้ำขนาดเล็กที่ปลายนิ้วของตนตรงไปที่กระเป๋ากางเกงของเขาเสียแล้ว
ซ่าา…
ราวกับกระสุน หยดน้ำดังกล่าวพุ่งทะลุกระเป๋ากางเกงและเครื่องบันทึกเสียงที่พังก็กระเด็นออกมาจากกระเป๋าของเขาทันที
นั่นไม่ใช่สิ่งขั้นนักล่าวิญญาณจะสามารถทำได้…
เป็นไปไม่ได้ที่ขั้นนักล่าวิญญาณจะสามารถทำลายการป้องกันของเขาได้อย่างง่ายดายแบบนี้… เพราะฉะนั้น มันก็หมายความว่าเด็กหนุ่มคนนี้…
ขั้นยมทูตขาวดำ !
ขั้นยมทูตขาวดำทั้ง ๆ ที่อายุแค่ 18 เนี่ยนะ ?!
ปฏิกิริยาตอบสนองต่อการต่อสู้ของหลี่จีสี่ทำงานทันที และสายโซ่สีเงินที่หนาประมาณหนึ่งนิ้วมือก็พุ่งไปที่ลำคอของฉินเย่ด้วยความเร็วสูง ทว่าทันใดนั้นเอง แสงไฟในบริเวณโดยรอบทั้งหมดก็กะพริบและดับลงพร้อมกัน !
หมับ… ฉินเย่คว้าโซ่เอาไว้ก่อนที่มันจะถึงตัวของเขา จากนั้นเสียงของเด็กหนุ่มก็ดังก้องไปทั่วห้องที่มืดสนิท “ดูเหมือนว่าทางหน่วยอัลบาทรอสจะส่งคุณมากจริง ๆ สินะ…”
“ฉินเย่ !” หลี่จีสี่ร้องออกมาอย่างสุดเสียง “มอบตัวซะ ! คุณเป็นมนุษย์ ! อัลบาทรอสไม่มีทางทำอะไรคุณ ! ทุกอย่างจะไม่เป็นไรหากคุณยอมกลับไปที่สำนักงานใหญ่และตอบคำถามของผม !!”
“มีอะไรให้ต้องถามกัน ?” เสียงที่เอ่ยออกมาของฉินเย่เย็นยะเยือก และยังแฝงไปด้วยความขบขัน “เกี่ยวกับเรื่องเหตุการณ์ที่ช่องแคบสึชิมะอย่างนั้นเหรอ ?”
มันคือเขา… มันคือเขาจริง ๆ!!!
ร่างของหลี่จีสี่สั่นเทาด้วยความตื่นเต้นขณะที่เขาเอ่ยเสียงพร่า “ผมสัญญาว่าจะไม่ปล่อยให้ใครทำร้ายคุณเด็ดขาดถ้าคุณยอมไปกับเราแต่โดยดี ! ทั้งหมดที่คุณต้องทำก็คือบอกความจริงกับเราเท่านั้น !”
ฉินเย่แค่นหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้น… ใครจะเป็นคนชดใช้ให้กับชีวิตของหวังเฉิงห่าวล่ะ ?”
“ในสถานการณ์แบบนี้มันก็ต้องมีการเสียสละกันบ้าง !” หลี่จีสี่เอ่ยออกมาเสียงดังและพยายามดึงโซ่ของตนอย่างแรง น่าเสียดาย… มันไม่ขยับเลยแม้แต่นิดเดียว
“แม้ว่านั่นจะหมายความว่าผมจะต้องเสียสละชีวิตของตัวเองก็ตาม ! คุณรู้หรือเปล่าว่าข้อมูลพวกนี้มีความสำคัญกับจีนมากเพียงใด ?!”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นเพียงเอ่ยถามเสียงเรียบ “แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่าตัวเองไม่ควรเล่นกับชีวิตของมนุษย์คนอื่น ?”
“ไม่ต้องมาพูดเรื่องสัญญาปากเปล่าพวกนี้กับผม… ผมรู้ดีว่าสุดท้ายแล้วคนที่ไม่ปกติแบบผมก็มีแต่จะต้องถูกผ่าร่างเพื่อศึกษาทันทีที่ก้าวเข้าไปในศูนย์วิจัย SRC คุณไม่จำเป็นต้องปฏิเสธเรื่องนั้น… มนุษย์เรานั้น…เต็มไปด้วยความซับซ้อนมากมาย ยกตัวอย่างเช่น… คุณรู้หรือเปล่าว่าตอนนี้ผมกำลังทำอะไรอยู่ ? รู้หรือเปล่าว่าจู่ ๆ ทำไมผมถึงว่ายืนพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้กับคุณ ?”
หลี่จีสี่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีนัก เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ “คุณ…”
“ผมได้เตือนคุณไปแล้วว่ามีวิญญาณขั้นนักล่าวิญญาณเข้ามาในนี้ และมันก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากมัจจุราชแห่งยมโลก ตัวตนที่เส้นตรวจจับตัวตนเหนือธรรมชาติจะไม่มีทางส่งสัญญาณเตือน แล้วคุณเชื่อผมหรือเปล่า ?”
เสียงของฉินเย่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ “และตอนนี้… เขาก็มาอยู่ด้านหลังของคุณแล้ว”
“ทีนี้ จงเป็นเด็กดีและตายไปพร้อมกับความลับพวกนี้ซะ ผมจะปล่อยให้คุณอยู่กับเขา และเดี๋ยวผมจะล้างแค้นให้คุณทีหลัง…”
สิ้นสุดเสียงพูด หลี่จีสี่ก็รู้สึกว่าโซ่ในมือของเขาคลายออกและเขาก็สามารถบอกได้ว่าเสียงของฉินเย่เริ่มห่างออกไปไกลแล้ว
เคร้ง… สายโซ่ร่วงลงกับพื้นจนเกิดเป็นเสียงดังชัดเจน หลี่จีสี่กัดฟันแน่ และขณะที่เขากำลังจะดึงโซ่กลับมา เขาก็ได้ตระหนักถึงบางอย่าง
ทำไมเสียงนั้นมันชัดเจนขนาดนี้ ?
เขากะพริบตาปริบ ๆ จากนั้น ในเสี้ยววินาทีต่อมา ขนของเขาก็ลุกชันไปทั่วทั้งร่าง !
มันเป็นค่ำคืนที่ฝนตกหนัก และเต็มไปด้วยเสียงฟ้าร้องและฟ้าผ่าด้านนอก แต่ด้วยเหตุผลที่แปลกประหลาดบางประการ เขากลับไม่ได้ยินเสียงพวกนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว !
มันเงียบราวกับห้องเก็บศพ
จากนั้น เสียงปิดประตูก็ดังขึ้น ปั้ง ! ประตูและหน้าต่างโดยรอบถูกเปิดออกอย่างกะทันหันและสายฝนก็สาดซัดเข้ามาภายในห้อง ! และขณะที่เขากำลังจะยกมือขึ้นมากำบังตัวเองจากสายฝนที่พร่างพรม หลี่จีสี่ก็ต้องนิ่งไป
รอยเท้าเริ่มปรากฏขึ้นบนพื้น และยิ่งชัดขึ้นเมื่อเดินบนพื้นที่เปียกชื้น…
อันที่จริง รอยเท้าพวกนั้นถูกนำมาด้วยรอยมือสองข้าง แทบจะเหมือนกับว่ามีใครบางคนกำลังคลานอยู่ภายในห้อง !
แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ทั่วทั้งห้องกลับดูว่างเปล่าและเงียบเชียบอย่างที่มันเคยเป็นมา
“แกรนหาที่ตายแล้ว !!” หลี่จีสี่ขนลุกไปทั่วร่าง เขากระชับมือที่กำโซ่แน่นกว่าเดิมและกำลังจะยกมือขึ้นแต่แล้วก็ต้องชะงักไปอีกครั้ง หลังจากนั้นเขาก็ก้มหน้าลงมองที่เท้าของตัวเอง
มีอะไรบางอย่างจับขากางเกงของเขาเอาไว้
หากพูดให้ชัดเจนก็คือเขาเห็นมือสีขาวซีดคู่หนึ่งกำรอบขาของเขาอยู่
เมื่อหันหลังกลับไป เขาก็พบว่ามีเด็กอายุประมาณ 5 ขวบที่สวมเพียงกางเกงชั้นในกำลังคว้าโซ่ของเขาเอาไว้
ร่างของเด็กตรงหน้าขาวซีดและมีรอยจ้ำสีม่วงเต็มไปหมด ผมของเด็กคนนั้นถูกถักเป็นทรงเดรดล็อค และดวงตาของมันก็เป็นสีดำสนิท !
“เจ้า… ดูน่าอร่อยจัง…” น้ำศพสีดำไหลออกมาจากมุมปากของอีกฝ่ายและมันก็อ้าปากออกกว้างขณะที่จ้องมองหลี่จีสี่อย่างหิวโหย “ท่านแม่… ข้าขอ… กินเขาได้หรือไม่ ?”
“เวรเอ้ย !!” หลี่จีสี่สบถออกมาเสียงดังขณะที่ตะเกียกตะกายถอยหลัง แต่เขาก็ไม่สามารถหนีออกมาไกลมากนักเนื่องจากร่างของเขาชนเข้ากับบางอย่าง
มันเย็นชืด
และเหม็นหืน
มันเป็นความรู้สึกที่คุ้นเคยสำหรับเขา มันคือ… ศพ
“เด็กน้อย เรามากินมันด้วยกัน ตกลงไหม ?” เสียงแหบพร่าดังขึ้นภายในห้องเฝ้าระวัง และหลี่จีสี่ก็หลับตาลงอย่างหมดหวัง
“หลังจากเรากินเขาแล้ว… เราจะไปตามหาชายอีกคนที่เคยอยู่ที่นี่กัน…”
มันมีวิญญาณขั้นยมทูตขาวดำอยู่ตรงนั้น… !
หมับ ! มือที่ซีดเผือดทั้งสองข้างกำเข้าที่รอบลำคอของเขา การขาดอากาศหายใจอย่างกะทันหันทำให้ดวงตาของเขาแดงก่ำ จากนั้น ด้วยแรงที่เหลืออยู่ เขาหันไปมองที่หน้าต่าง
และจากเงาสะท้อนของมัน เขาก็พบว่ามีผู้หญิงในชุดกระโปรงสีน้ำเงินกรมท่าและสวมรองเท้าปักสีแดงยืนอยู่ด้านหลังของตัวเอง มือของเธอยาวเกือบหนึ่งเมตรและมีข้อต่อประมาณสองหรือสามข้อ และมันก็กำลังบีบรอบลำคอของเขาแน่น
บัดซบ… นี่คือความคิดสุดท้ายของเขา
…………………………………………………
เขตไล่ล่า D-69.
ชั้นที่ 12
หวังเฉิงห่าววิ่งไปข้างบนด้วยความเร็วสูงสุด ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร เขารู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถอยู่ที่ตรงนั้นได้อีกต่อไป
ไม่นานเขาก็วิ่งขึ้นมาถึงหน้าทางออกบนชั้นที่ 13 มันแปลกมาก ป้ายคำว่า ‘EXIT’ บนประตูสว่างด้วยสีแดงเข้ม แทบจะเหมือนกับถูกทาทับด้วยเลือด เขาพยายามบิดลูกบิดประตูอย่างสุดความสามารถ แต่มันก็ไม่ยอมเปิดออกไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรก็ตาม !
“เปิดสิ… เปิดสิ !!!” เสียงหอบหายใจดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ! มันอยู่ห่างจากเขาอีกแค่ชั้นเดียวเท่านั้น เด็กหนุ่มผลักและเตะประตูอย่างแรง แต่ประตูก็ยังไม่ขยับเลยแม้แต่นิดเดียว !
“อ๊ากกกก !!!” ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาทรุดตัวลงกับพื้นและทึ้งผมของตัวเองอย่างแรงด้วยความสิ้นหวัง “ไม่นะ… ยังไม่อยากตาย… ผมยังไม่อยากตาย !!”
หมับ… ทันใดนั้น เสียงบางอย่างก็ดังขึ้นที่หัวมุมของบันได ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าอันแผ่วเบา
มือขาวซีดโผล่ขึ้นมาและจับลงบนราวบันได
มือสีขาวที่ซีดเผือด ซีดเกินกว่าปกติ มันซีดมาก และเต็มไปด้วยรอยจ้ำสีม่วงเข้ม ความซีดนั่นถูกขับเน้นด้วยกรงเล็บสีดำวาวที่ปลายนิ้ว มือดังกล่าวไล่มาตาราวบันไดอย่างแผ่วเบา แต่กลับให้ความรู้สึกอันตรายอย่างไม่น่าเชื่อ
“ไม่นะ… ไม่ !!” หวังเฉิงห่าวลุกขึ้นยืนราวกับคนเสียสติและเริ่มเตะและทุบประตูอย่างแรง แต่มันก็เปล่าประโยชน์
ทำยังไงดี ?!!
เขาไม่อยากตาย ไม่อยากเลยสักนิด ! แต่เขาจะสามารถทำอะไรเพื่อให้รอดออกไปจากสถานการณ์นี้ได้บ้าง?
“ทำไมถึงวิ่งหนี…” เสียงแหบห้าวของผู้ชายดังขึ้นที่มุมบันได “ทำไม… ถึงไม่อยู่ด้วยกันก่อน ?”
“ทุกคนเอาแต่วิ่งหนี… ทุกคน ! ฉันตะโกนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อให้รถหยุด… แต่ทุกคน… ก็ไม่สนใจ !”
สติของหวังเฉิงห่าวใกล้จะพังทลายลงมาเต็มที เขาไม่แม้แต่จะกล้าหันกลับไปมองด้านหลัง เปิดสิ… เปิดสิ ได้โปรด !! หากเขาสามารถออกไปจากตรงนี้ได้ เขาจะยอมเสี่ยงทุกอย่างและกระโดดลงจากดาดฟ้าของอาคาร ! หากโชคดี เขาก็อาจจะยังรอดชีวิต ! แต่ถ้ายังอยู่ตรงนี้ต่อไปเขาจะต้องตายแน่นอน !
ต้องทำอย่างไรเขาถึงจะเปิดประตูได้ ?
ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้น และเด็กหนุ่มก็หยิบยันต์ที่อยู่ในเครื่องแบบของตนออกมาทันที
นี่คือยันต์ที่ฉินเย่มอบให้กับเขา มันมีไว้เพื่อป้องกันตัว และเขาก็ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นประโยชน์ขึ้นมาในวันหนึ่ง
เขากำยันต์ในมือแน่นและบิดลูกบิดประตู เสียงกรีดร้องที่น่าสะพรึงกลัวดังขึ้นที่ราวจับ และประตูที่ไม่สามารถขยับได้… ก็เปิดออก !
ด้านนอกฝนตกลงมาอย่างไม่หยุดหย่อน นี่คือดาดฟ้าชั้นที่ 13 ของอาคาร แต่สำหรับเขา… มันกลับดูไม่ต่างจากสวรรค์เลยสักนิด
“รอดแล้ว… เรา…” สีหน้าสิ้นหวังเปลี่ยนเป็นมีความหวังภายในชั่วพริบตา แต่ขณะที่เขาจะตะโกนออกไปด้วยความสุขและวิ่งเข้าไปในสายฝน เด็กหนุ่มกลับรู้สึกเย็นยะเยือกที่บริเวณลำคอของตัวเอง
ซากศพที่ซีดเผือดเกาะอยู่ที่ด้านหลังของเขา และมันก็กระซิบข้างหูของเขาเสียงเบา “เจ้า… หนีทำไม ?”
และทันใดนั้น ศพดังกล่าวก็กัดลงมาด้วยฟันที่แหลมคมของมัน !
Comments