ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] 344: การรวมตัวกันของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ (3)
บทที่ 344: การรวมตัวกันของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ (3)
ฉินเย่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว หากพูดตามความจริง เขายังคงมีสีหน้านิ่งเฉยขณะที่กวาดสายตามองผนึกทั้งเจ็ดที่ลอยอยู่บนฟ้า
เยี่ยมยอดมาก… เยี่ยมยอดมากจริง ๆ ตลอดร้อยปีที่มีชีวิตอยู่มา เขายังไม่เคยถูกเหยียบย่ำด้วยการยั่วยุเช่นนี้มาก่อน ข้าราชการศักดินาเหล่านี้ไม่เคารพความเป็นคนของเขาเลยแม้แต่น้อย !
เช่นนั้น… เราก็มาดูกันว่าใครจะได้หัวเราะออกมาเป็นคนสุดท้ายเมื่อจบการประชุมราชสำนักในครั้งนี้ !
ตราสัญลักษณ์ทั้งเจ็ดเปล่งประกายอยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง ราวกับต้องการจะแสดงให้ฉินเย่เห็นถึงความรุ่งโรจน์ในชื่อของพวกเขา จากนั้น ก่อนที่ฉินเย่จะเอ่ยสั่ง ทั้งหมดก็ถูกดึงกลับไปยังที่ที่มันจากมา
ไม่มีใครถามใด ๆ
และพวกเขาก็ไม่แม้แต่จะหันไปหาจ้าวนรกที่สถาปนาตัวเองเพื่อขออนุญาตเช่นกัน
ฉินเย่แย้มยิ้ม
ความเงียบที่น่ากดดันปกคลุมทั่วทั้งสถานที่อยู่ครู่หนึ่งก่อนที่หลิวอวี้จะแค่นหัวเราะออกมา “อวี๋เชียน หยางจีเย่… ทั้ง ๆ ที่ข้าอุตส่าห์เชิญเจ้าทั้งสองมาที่ฮันยางด้วยตัวเองเพื่อพูดคุยสั้น ๆ นี่คือคำตอบของพวกเจ้าสำหรับคำเชิญของข้าเช่นนั้นหรือ ?”
“มันคงไม่เป็นการดีนักที่เราจะหันดาบเข้าหากันไม่ใช่หรือ ?”
ทว่าคำตอบที่หลิวอวี้ได้รับกลับมีเพียงการก่อค่ายกลหอกที่กระชับมากขึ้น และบรรยากาศที่บีบคั้นจนทุกคนสามารถสัมผัสได้
“หลิวอวี้ !” หยางจีเย่เอ่ยตอบออกไปโดยไม่หวาดหวั่น “ท่านจ้าวนรกทรงยืนอยู่เบื้องหน้าของท่าน เหตุใดจึงยังไม่รีบทำความเคารพพระองค์ ?! นี่ท่านยังกล้าเรียกตนว่าเป็นข้าราชการศักดินาของยมโลกอยู่อีกอย่างนั้นหรือ ?!”
“หืม ? ท่านจ้าวนรกอยู่ที่นี่ด้วยหรือ ?” เสียงที่ค่อนข้างอ่อนหวานดังมาจากที่นั่งของเกาฉางกงแห่งเจียวจื่อ แต่มันก็แทบจะไม่สัมผัสถึงอารมณ์ใด ๆ จากน้ำเสียงของเขาได้เลย “เหตุใดข้าจึงมองไม่เห็นเขากัน ?”
ทว่าก่อนที่จะเอ่ยจบ เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นจากที่ไหนสักแห่ง “ฮ่า ๆๆ นอกจากนี้ ตั้งแต่เมื่อใดกันที่ท่านจ้าวนรกของยมโลกเห็นค่าของพวกเราข้าราชการศักดินาตัวจ้อยอยู่ในสายตา ? พวกเราไม่แม้แต่จะสามารถเทียบได้กับพระยมแห่งพระตำหนักทั้งสิบเสียด้วยซ้ำ ฉะนั้นเพราะเหตุใดจู่ ๆ ท่านจ้าวนรกถึงนึกเราขึ้นมากัน ? ไม่ใช่ว่าเรามักจะได้รับการต้อนรับจากเจ้าหน้าที่ระดับล่างของยมโลกในทุกครั้งที่ตอบรับหมายเรียกสำหรับประชุมราชสำนัก และกลับมาเพื่อมอบเครื่องบรรณาการหรอกหรือ ? หรือว่ายมโลกไม่สามารถมอบหมายงานอันต่ำต้อยเช่นนี้ได้อีกต่อไป ? ท่านจ้าวนรกจำเป็นจะต้องปรากฏตัวด้วยองค์เองเพียงเพราะเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ ? รถม้าหยกของพระองค์อยู่ที่ใด ? ธงประจำพระองค์เล่า ? หรือพวกเจ้ากำลังจะบอกข้าว่า…”
เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะแค่นหัวเราะออกมาด้วยเสียงเย็นยะเยือก “ยมโลกในตอนนี้กำลังแร้นแค้นและยากจนเป็นอย่างมาก ? มากจึงถึงขนาดที่ต้องขอความช่วยเหลือจากรัฐบริวารของตนเอง ?”
ทันใดนั้นชายอีกคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้น “และข้ายังได้ยินมาอีกว่าท่านจ้าวนรกองค์ใหม่ของยมโลกทรงเจริญพระชนมพรรษาไม่ถึง 20 พรรษาด้วยซ้ำมิใช่หรือ ?”
“ฮ่า ๆๆ …การแต่งตั้งชั่วคราวนั้นมักจะมีผลเสียตามมาเสมอ เพราะไม่ว่าอย่างไร ยมโลกก็กำลังเริ่มต้นจากการไม่มีอะไรเลย” เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้น “ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งความรุ่งโรจน์และความงดงามของยมโลกแห่งเก่าจะตกต่ำลงจนถึงขั้นขอเศษเหลือจากรัฐบริวารเช่นนั้น แต่ไม่เป็นไร… หึหึหึ… หากท่านจ้าวนรกทรงอยู่แถวนี้จริง ๆ เช่นนั้นก็กรุณาส่งคนมารับเครื่องบรรณาการจากเราไปด้วยเถิด เพราะไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็เคยเป็นครอบครัวเดียวกัน และพวกข้าก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้เมื่อต้องเห็นยมโลกแห่งใหม่กัดฟันและอดทนต่อความยากลำบากด้วยตนเองเพียงลำพัง… ข้านำหินวิญญาณมาด้วย 100,000 ก้อน หวังว่าท่านจ้าวนรกจะไม่ทรงปฏิเสธน้ำใจนี้…”
ใบหน้าของอาร์ทิสกระตุกและบิดเบี้ยวด้วยความโกรธเกรี้ยว
เจ้าพวกเนรคุณ ! ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะหันกลับมาแว้งกัดผู้ที่คอยให้อาหารตนมาเป็นเวลานาน ไม่คิดเลยว่าข้าราชการศักดินาเหล่านี้จะมีความคิดที่ถือตัวเป็นใหญ่เช่นนี้หลังจากที่ไม่ได้รับการควบคุมเพียงแค่ร้อยปี ! หินวิญญาณ 100,000 ก้อนสำหรับเครื่องบรรณาการร้อยปีอย่างนั้นหรือ ?! นี่เจ้ากำลังมอบมันให้กับพวกขอทานหรืออย่างไร ?!
“อวดดี !!” เสียงตะโกนดังตอบกลับจนแม้แต่อาร์ทิสเองก็ตกใจ นี่คือสิ่งที่ติดอยู่ที่ปลายลิ้นของนาง แต่ชายผู้นี้กลับขโมยและพูดมันออกไปเสียก่อน
และเขาคนนั้นก็คือ… อวี๋เชียน !
“ยมโลกนั้นเป็นของโลกใต้พิภพของจีนโดยชอบธรรม หากปราศจากการแต่งตั้งอำนาจจากยมโลก พวกเราก็ไม่ต่างอะไรกับวิญญาณชั่วร้ายที่อยู่โดยรอบ หากเจ้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อที่จะถวายสัตย์ปฏิญาณว่าจะสวามิภักดิ์กับโลก เช่นนั้น… เจ้ามาที่นี่เพื่อสิ่งใดกัน ?” จิตสังหารที่รุนแรงแผ่ออกมาจากร่างของเขา เปลี่ยนร่างเป็นสายลมกระโชกแรกที่พัดเข้าหาทหารวิญญาณกว่าแสนนายที่อยู่เบื้องหน้า พลังหยินของเขาเองก็เริ่มที่จะหลั่งไหลออกมาราวกับกระแสน้ำสูง และเปลวไฟนรกในดวงตาของเขาพลันลุกโชนอย่างรุนแรงขณะที่เอ่ยต่อด้วยเสียงเย็นยะเยือก “เว้นเสียแต่… เจ้ากำลังพยายามจะใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของยมโลกในตอนนี้ ?”
“ยมโลกนั้นตั้งอยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณกาล และมันก็จะไม่มีวันยอมให้วิญญาณตนใดมากระทำการที่เป็นการดูหมิ่นและหยามศักดิ์ศรีอำนาจของมันเป็นอันขาด ! ผู้ที่กระทำผิดจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต ! นี่คือคำกล่าวของท่านจ้าวนรกองค์แรกแห่งยมโลก เจ้าลืมถ้อยคำเหล่านี้ไปแล้วอย่างนั้นหรือ ?!”
“อวี๋เชียน” เสียงแหบแห้งตอบกลับมาพร้อมกับเสียงหัวเราะเย็นยะเยือก “เจ้ากับกองกำลังเพียงเท่านั้นน่ะหรือ ?” น้ำเสียงของอีกฝ่ายนั้นแฝงไปด้วยความกระหายเลือดอย่างเห็นได้ชัด “หรือเจ้ากำลังจะบอกว่าข้า ชากัน ไม่สามารถจัดการเจ้าได้ ?”
พรึ่บ !
ทันใดนั้นทหารม้านับแสนก็ก้มตัวลง กระชับทวนในมือและพร้อมที่จะพุ่งตัวออกไปทันทีที่ได้รับคำสั่ง ในขณะเดียวกัน กองกำลังของหยางจีเย่เองก็ดึงสายธนูและกระชับดาบและหอกในมือแน่น
กองกำลังที่แข็งแกร่งทั้งสองเตรียมพร้อมที่จะปะทะกันในทุกเมื่อ !
เงินกระดาษปลิวว่อนอย่างไร้ที่สิ้นสุด ในขณะที่ดินแดนส่วนที่เหลือถูกปกคลุมด้วยความเงียบ
ร่างของทหารวิญญาณสองกลุ่มที่หันหน้าเข้าหากันนั้นดูราวกับกำแพงใหญ่สองกำแพงที่ยาวไร้ที่สิ้นสุด ฉินเย่หรี่ตาลง แม้ว่าเขาจะคาดการณ์ไว้แล้วว่าราชทูตกบฏพวกนี้จะนำกองกำลังของตัวเองมาด้วย แต่การเผชิญหน้ากับสถูปเหล็กและกำลังเสริมที่มีจำนวนกว่าแสนตนนั้นมันคนละเรื่องกันอย่างสิ้นเชิง ฉินเย่พลันรู้สึกประหม่าขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
ติ้ง… ทันใดนั้นเอง บรรยากาศที่ตึงเครียดก็ถูกทำลายโดยเสียงพิณที่ดังขึ้น
ท่วงทำนองที่เหลือดังตามมาในเวลาไม่นาน สร้างความผ่อนคลายให้กับผู้ที่ได้ยินขณะที่ภาพของฝูงนกอพยพบินเข้ามาอย่างเป็นระเบียบ เสียงที่ยิ่งสงบดังขึ้นจากในความมืด “ทุกท่าน ไม่ได้เจอกันเสียนาน อย่างไรเสีย เราต่างก็เป็นคนคุ้นเคยกัน มันจำเป็นที่จะต้องทำเช่นนี้จริง ๆ น่ะหรือ ?”
การแทรกแซงอย่างกะทันหันให้ทำลายความตึงเครียดในชั้นบรรยากาศราวกับปล่อยกลไกเครื่องจักรที่พันกันแน่น คนทั้งหมดหันหน้าไปมองยังทิศทางที่เสียงพิณดังขึ้น ในเสี้ยววินาทีต่อมา จังหวะที่รัวและต่อเนื่องก็ค่อย ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งดินแดน
มันไม่ใช่เสียงของกองกำลังขนาดใหญ่
กลับกัน มันเป็นเพียงเสียงของบางสิ่งบางอย่างที่มีขนาดใหญ่กำลังกระทืบเท้าเท่านั้น กลุ่มก้อนพลังหยินปั่นป่วนเป็นอย่างมากขณะที่ดวงตาขนาดสิบเมตรสามคู่พลันลุกโชนด้วยเปลวไฟนรกอยู่ภายในความมืด
มันเหมือนกับว่ามีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่กำลังเข้ามาใกล้พวกเขา ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนมากกว่าเดิม คนทั้งหมดหรี่ตาลงและมองไปยังปรากฏการณ์ที่น่าตกใจนี้ และพวกเขาก็เห็นเปลวไฟนรกจำนวนนับไม่ถ้วนลุกโชนขึ้นด้านหลังของดวงตาขนาดใหญ่ทั้งสามคู่นั้น
ฟึ่บ… หัวสัตว์ขนาดใหญ่สามหัวปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้า มันไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่น่าจะถูกสร้างขึ้นมาเสียมากกว่า สองในสามนั้นมีลักษณะเหมือนกับหัววัว ในขณะที่หัวที่สามดูเหมือนกับหัวม้า และในเวลาไม่นาน ร่างขนาดใหญ่ที่สูงหลายร้อยเมตรของพวกมันก็ก้าวออกมาจากกลุ่มเมฆดำและเดินตรงมาหยุดอยู่กึ่งกลางของกองกำลังทั้งสองฝั่ง
“นี่มัน…” สายตาของฉินเย่จับจ้องไปที่ภาพที่น่าเหลือเชื่อตรงหน้า ร่างของอสูรกลถูกล่ามด้วยสายโซ่จำนวนมากและถูกแปะทับด้วยแผ่นยันต์จำนวนมหาศาล พวกมันดูไม่ต่างอะไรกับป้อมปราการเคลื่อนที่เลยแม้แต่น้อย ด้วยขนาดที่ใหญ่โตของมัน กองกำลังที่เรียงตัวอยู่ทั้งสองฝั่งถูกทำให้ต้องถอยกลับไปอย่างห้ามไม่ได้ เหลือเพียงพื้นที่กว้างขนาดหลายร้อยเมตรระหว่างกัน และแน่นอนว่าความตึงเครียดระหว่างทั้งสองเองก็มลายหายไปในที่สุด
เสียงแตรดังขึ้นให้ได้ยินจากบนหลังของอสูรกลทั้งสาม บนหลังของพวกมันดูคล้ายกับก้อนเนื้องอกจำนวนมาก และทั้งหมดก็ต่างมีเปลวไฟนรกลุกโชนอยู่ภายใน บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าทหารวิญญาณหลายพันนายได้มาถึงแล้ว นอกจากนี้ ธงผืนใหญ่บนหลักของอสูรทั้งสามที่ปลิวไสวไปตามสายลมยังปรากฏคำว่า ‘เจ้าศักดินาโจวกงจินแห่งถังหมิง’ ‘เจ้าศักดินาหวางเมิ่งแห่งสิงหปุระ’ และ ‘เจ้าศักดินาบ้านเจ้าแห่งมาลายา’
ข้าราชการศักดินาสามคนสุดท้ายมาถึงในที่สุด !
จิวยี่ บ้านเจ้า และหวางเมิ่ง !
ตึ้ง !!
พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงขณะที่อสูรกลทั้งสามค่อย ๆ หยุดลงตรงพื้นที่ว่างระหว่างกองกำลังทั้งสอง จากนั้น พร้อมกับเสียงของกลไกที่ดังขึ้นเบา ๆ ร่างของพวกมันโน้มตัวมาด้านหน้า ก้มตัวและนอนลงกับพื้น เปลี่ยนเป็นกำแพงกลขนาดใหญ่ที่แบ่งแยกกองกำลังทั้งสองออกจากกันโดยสมบูรณ์
หลังจากเงียบไปพักใหญ่ หลิวอวี้ก็เอ่ยขึ้นในที่สุด “โจวกงจิน บ้านติ้งหยวน หวางเมิ่ง… นี่มันหมายความว่าอย่างไร ?”
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะแยกกองกำลังทั้งสองออกจากกัน แต่ข้าราชการศักดินาผู้มาใหม่ทั้งสามก็ยังคงนั่งอยู่บนอสูรของตน น้ำเสียงที่เย็นยะเยือกและชัดเจนเอ่ยตอบหลิวอวี้ “ไม่มีอะไร เพียงแต่… เจ้าไม่เกรงกลัวสวรรค์เลยอย่างนั้นหรือ ?”
เงียบ
“พวกเจ้าไม่เคยนึกถึงข้อเท็จจริงที่ว่าสวรรค์ได้ละเว้นการกระทำการใด ๆ นับตั้งแต่ที่ยมโลกแห่งใหม่ถูกก่อตั้งขึ้นมาบ้างเลยหรือ ? พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่านั่นหมายความว่าอย่างไร ?”
“มันหมายความว่าพวกเขายอมรับยมโลกแห่งใหม่ในฐานะโลกใต้พิภพของจีน !” ดวงตาของอวี๋เชียนเป็นประกายขึ้น “สวรรค์ไม่มีทางอดทนต่อการดำรงอยู่ของยมโลกจอมปลอม ! เหล่าวิญญาณจะต้องมีที่ให้ไปหลังจากที่เสียชีวิต ! ผู้กระทำกรรมดีจะต้องได้รับผลตอบแทน และผู้กระทำชั่วจะต้องได้รับการลงโทษ ! กงล้อแห่งสังสารวัฏจะต้องถูกสร้างขึ้นอีกครั้ง ! สหายทั้งเจ็ดของข้า มันยังไม่สายเกินไปที่พวกเจ้าจะชดใช้ความผิดของตนเองและกลับใจ !”
ไม่เลว…
สาเหตุที่ฉินเย่ยังคงเงียบมาตลอดก็เพราะเขากำลังสังเกตท่าทางและความคิดของราชทูตทั้ง 12 อยู่ เขาต้องยอมรับเลยว่าอวี๋เชียนและหยางจีเย่นั้นเป็นพวกชอบใช้กำลัง ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองยังไม่สนใจกับเรื่องเหล่านี้เลยด้วยซ้ำ แต่ข้าราชการศักดินาทั้งสองกลับเผชิญหน้ากับข้าราชการศักดินาคนอื่น ๆ ทันที
“ไร้สาระ !” หลิวอวี้เอ่ย “ข้าคือผู้ที่ได้รับพรจากสวรรค์ให้มีอายุยืนยาวและความรุ่งโรจน์ชั่วนิรันดร์ ข้าได้พิสูจน์ตัวเองในฐานะของเจ้าศักดินาของโลใต้พิภพแห่งฮันยาง ดังนั้นเหตุใดข้าจึงถูกปฏิเสธโอกาสในการที่จะได้เป็นเจ้าผู้ปกครองยมโลกด้วยเล่า ? สวรรค์อย่างนั้นหรือ ? ที่สวรรค์ยอมรับเรื่องนี้ก็เพียงเพราะว่ายังไม่มียมโลกอื่นถือกำเนิดขึ้นในตอนนี้ก็เท่านั้น ! ไม่เช่นนั้นเจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนี่จะมีโอกาสได้นั่งบนบัลลังก์ได้อย่างไร ?”
เกาฉางกงพึมพำเสียงเย็น “เช่นนั้นก็ต้องย้อนกลับไปสู่ยุครณรัฐ ก่อนที่ท่านจ้าวนรกองค์แรกจะได้รวบรวมยมโลกให้เป็นหนึ่ง ผู้ชนะจะได้ครอบครองทุกสิ่ง ตัวเลือกสุดท้ายที่สวรรค์ได้เลือกไม่จำเป็นต้องหมายความว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเสมอไป”
เจ้าของเสียงเย็นยะเยือกแย้มยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น หลิวอวี้ เหตุใดเจ้าจึงเป็นแทนตัวเองในฐานะของ ‘กษัตริย์’ ต่อหน้า ‘เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม’ นั่นเสียเล่า ?”
หลิวอวี้ที่ได้ยินดังนั้นก็เงียบไป
“เจ้าเคยพูดก่อนหน้านี้นี่ว่าเจ้าได้กลิ่นของตี้ทิงออกมาจากร่างของเขา ท่านตี้ทิงคืออสูรขั้นพระยม และมันก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งสองได้เผชิญหน้ากันมาก่อน แต่… ทั้ง ๆ ที่ท่านตี้ทิงสามารถหลบหนีจากเงื้อมมือของพระกษิติครรภโพธิสัตว์มาได้ในตอนนั้น เหตุใดเขาจึงไม่ทำอะไรกับจ้าวนรกองค์ใหม่ของยมโลกผู้นี้ ?”
นี่อีกฝ่ายอยู่ฝั่งเดียวกับเขาหรือเปล่า ?
ฉินเย่มองไปยังอสูรกลทั้งสาม ไม่… ไม่จำเป็น มันไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขายังจงรักภักดีอยู่หรือไม่หลังจากเวลาได้ผ่านมานานขนาดนี้ เพราะไม่ว่าอย่างไร…หัวใจของมนุษย์ก็ยากต่อการคาดเดา…
นอกจากนี้ หากผู้มาใหม่ทั้งสามอยู่ฝั่งเดียวกับเขา คนพวกนี้ก็คงรีบคุกเข่าและทำความเคารพเขาอย่างที่อวี๋เชียนและหยางจีเย่ทำไปแล้ว
ทุกอย่างกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ในที่สุดชายวัยกลางคนก็เอ่ยขึ้น “พวกท่านทั้งสามน่าจะรู้ดีนะว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกที่จ้องจะฉวยโอกาส”
“อย่างน้อยพวกเราก็จะรอดชีวิต” เสียงแหบพร่าดังขึ้นอีกครั้ง “แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าเราทั้งสามไม่เต็มใจที่จะเข้าร่วมในการปลุกปั่นของเจ้าในครั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเรายอมรับการมีอยู่ของยมโลกเช่นกัน มันก็เพียงแค่พวกเขายังไม่มีแผนที่จะหันหลังให้กับยมโลกในตอนนี้ก็เท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่ท่านตี้ทิงเองก็ดูเหมือนจะยอมรับการมีอยู่ของยมโลกแห่งใหม่เช่นนี้ หากเจ้าอยากรนหาที่ตายก็ตามใจ แต่พวกเราแค่ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปก็เท่านั้น”
หลิวอวี้ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ระเบิดหัวเราะออกมา “งี่เง่า ! หากตี้ทิงยอมรับเจ้าเด็กนี่ในฐานะของจ้าวนรกองค์ใหม่ของยมโลก เช่นนั้นคำพูดที่ท่ารเพิ่งพูดออกมาก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ท่านต้องตายเป็นพันครั้ง !”
“ขอโทษด้วย แต่พวกเราไม่อยากเสี่ยงอะไรทั้งสิ้นในเวลานี้” น้ำเสียงเย็นยะเยือกเอ่ยตอบกลับอย่างเชื่องช้าทว่าชัดเจน “หากเจ้ายังยืนยันที่จะกระทำการใดกับยมโลกและไม่คำนึกถึงวิถีแห่งสวรรค์ เช่นนั้น…”
โฮกกกก ! โฮกกกก ! โฮกกกก !
อสูรกลทั้งสามที่นอนอยู่บนพื้นคำรามออกมาอย่างดุร้าย ทันใดนั้น วิญญาณจำนวนมากที่ถือหน้าไม้และลูกศรเพลิงก็โผล่ออกมาจากบนหลังของพวกมัน และทั้งหมดก็เล็งเป้าไปที่กองกำลังทหารวิญญาณนับแสน !
เงียบ
บรรยากาศกลับไปตึงเครียดอีกครั้ง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงแหบพร่าที่เจือไปด้วยความกระหายเลือดก็ดังขึ้น “พวกท่าน…ยืนยันว่าจะยืนอยู่ฝั่งเดียวกับยมโลกจริง ๆ ใช่หรือไม่ ?”
“อาจจะ…” น้ำเสียงเย็นยะเยือกเอ่ยตอบพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ “ข้าขอแนะนำว่าอย่าตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่นเป็นอันขาด ในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ข้าได้เผากองกำลังทหาร 8 แสนนายและส่งไปสู่ยมโลก จนได้รับฉายาเทพแห่งเปลวไฟมา ม้ากลตัวนี้มีหน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์และลูกศรที่ลุกโชนด้วยเปลวไฟแห่งกรรมสามล้านดอก หากเจ้าอยากจะลองดูก็เชิญ… แล้วมาดูกันว่ามันจะสามารถกำจัดกองกำลังที่เจ้านำมาด้วยได้หรือไม่”
พรึ่บ !
ทันทีที่เอ่ยจบ ลูกศรของหน้าไม้ทั้งหมดก็ลุกโชนด้วยเปลวไฟสีแดงเข้ม
เปลวไฟเหล่านี้ไม่ใช่เปลวไฟธรรมดา
แต่พวกมันทั้งหมดถูกจุดขึ้นจากดวงไฟวิญญาณแห่งกรรมเก้าชั้น !
Comments
ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] 344: การรวมตัวกันของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ (3)
บทที่ 344: การรวมตัวกันของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ (3)
ฉินเย่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว หากพูดตามความจริง เขายังคงมีสีหน้านิ่งเฉยขณะที่กวาดสายตามองผนึกทั้งเจ็ดที่ลอยอยู่บนฟ้า
เยี่ยมยอดมาก… เยี่ยมยอดมากจริง ๆ ตลอดร้อยปีที่มีชีวิตอยู่มา เขายังไม่เคยถูกเหยียบย่ำด้วยการยั่วยุเช่นนี้มาก่อน ข้าราชการศักดินาเหล่านี้ไม่เคารพความเป็นคนของเขาเลยแม้แต่น้อย !
เช่นนั้น… เราก็มาดูกันว่าใครจะได้หัวเราะออกมาเป็นคนสุดท้ายเมื่อจบการประชุมราชสำนักในครั้งนี้ !
ตราสัญลักษณ์ทั้งเจ็ดเปล่งประกายอยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง ราวกับต้องการจะแสดงให้ฉินเย่เห็นถึงความรุ่งโรจน์ในชื่อของพวกเขา จากนั้น ก่อนที่ฉินเย่จะเอ่ยสั่ง ทั้งหมดก็ถูกดึงกลับไปยังที่ที่มันจากมา
ไม่มีใครถามใด ๆ
และพวกเขาก็ไม่แม้แต่จะหันไปหาจ้าวนรกที่สถาปนาตัวเองเพื่อขออนุญาตเช่นกัน
ฉินเย่แย้มยิ้ม
ความเงียบที่น่ากดดันปกคลุมทั่วทั้งสถานที่อยู่ครู่หนึ่งก่อนที่หลิวอวี้จะแค่นหัวเราะออกมา “อวี๋เชียน หยางจีเย่… ทั้ง ๆ ที่ข้าอุตส่าห์เชิญเจ้าทั้งสองมาที่ฮันยางด้วยตัวเองเพื่อพูดคุยสั้น ๆ นี่คือคำตอบของพวกเจ้าสำหรับคำเชิญของข้าเช่นนั้นหรือ ?”
“มันคงไม่เป็นการดีนักที่เราจะหันดาบเข้าหากันไม่ใช่หรือ ?”
ทว่าคำตอบที่หลิวอวี้ได้รับกลับมีเพียงการก่อค่ายกลหอกที่กระชับมากขึ้น และบรรยากาศที่บีบคั้นจนทุกคนสามารถสัมผัสได้
“หลิวอวี้ !” หยางจีเย่เอ่ยตอบออกไปโดยไม่หวาดหวั่น “ท่านจ้าวนรกทรงยืนอยู่เบื้องหน้าของท่าน เหตุใดจึงยังไม่รีบทำความเคารพพระองค์ ?! นี่ท่านยังกล้าเรียกตนว่าเป็นข้าราชการศักดินาของยมโลกอยู่อีกอย่างนั้นหรือ ?!”
“หืม ? ท่านจ้าวนรกอยู่ที่นี่ด้วยหรือ ?” เสียงที่ค่อนข้างอ่อนหวานดังมาจากที่นั่งของเกาฉางกงแห่งเจียวจื่อ แต่มันก็แทบจะไม่สัมผัสถึงอารมณ์ใด ๆ จากน้ำเสียงของเขาได้เลย “เหตุใดข้าจึงมองไม่เห็นเขากัน ?”
ทว่าก่อนที่จะเอ่ยจบ เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นจากที่ไหนสักแห่ง “ฮ่า ๆๆ นอกจากนี้ ตั้งแต่เมื่อใดกันที่ท่านจ้าวนรกของยมโลกเห็นค่าของพวกเราข้าราชการศักดินาตัวจ้อยอยู่ในสายตา ? พวกเราไม่แม้แต่จะสามารถเทียบได้กับพระยมแห่งพระตำหนักทั้งสิบเสียด้วยซ้ำ ฉะนั้นเพราะเหตุใดจู่ ๆ ท่านจ้าวนรกถึงนึกเราขึ้นมากัน ? ไม่ใช่ว่าเรามักจะได้รับการต้อนรับจากเจ้าหน้าที่ระดับล่างของยมโลกในทุกครั้งที่ตอบรับหมายเรียกสำหรับประชุมราชสำนัก และกลับมาเพื่อมอบเครื่องบรรณาการหรอกหรือ ? หรือว่ายมโลกไม่สามารถมอบหมายงานอันต่ำต้อยเช่นนี้ได้อีกต่อไป ? ท่านจ้าวนรกจำเป็นจะต้องปรากฏตัวด้วยองค์เองเพียงเพราะเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ ? รถม้าหยกของพระองค์อยู่ที่ใด ? ธงประจำพระองค์เล่า ? หรือพวกเจ้ากำลังจะบอกข้าว่า…”
เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะแค่นหัวเราะออกมาด้วยเสียงเย็นยะเยือก “ยมโลกในตอนนี้กำลังแร้นแค้นและยากจนเป็นอย่างมาก ? มากจึงถึงขนาดที่ต้องขอความช่วยเหลือจากรัฐบริวารของตนเอง ?”
ทันใดนั้นชายอีกคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้น “และข้ายังได้ยินมาอีกว่าท่านจ้าวนรกองค์ใหม่ของยมโลกทรงเจริญพระชนมพรรษาไม่ถึง 20 พรรษาด้วยซ้ำมิใช่หรือ ?”
“ฮ่า ๆๆ …การแต่งตั้งชั่วคราวนั้นมักจะมีผลเสียตามมาเสมอ เพราะไม่ว่าอย่างไร ยมโลกก็กำลังเริ่มต้นจากการไม่มีอะไรเลย” เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้น “ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งความรุ่งโรจน์และความงดงามของยมโลกแห่งเก่าจะตกต่ำลงจนถึงขั้นขอเศษเหลือจากรัฐบริวารเช่นนั้น แต่ไม่เป็นไร… หึหึหึ… หากท่านจ้าวนรกทรงอยู่แถวนี้จริง ๆ เช่นนั้นก็กรุณาส่งคนมารับเครื่องบรรณาการจากเราไปด้วยเถิด เพราะไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็เคยเป็นครอบครัวเดียวกัน และพวกข้าก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้เมื่อต้องเห็นยมโลกแห่งใหม่กัดฟันและอดทนต่อความยากลำบากด้วยตนเองเพียงลำพัง… ข้านำหินวิญญาณมาด้วย 100,000 ก้อน หวังว่าท่านจ้าวนรกจะไม่ทรงปฏิเสธน้ำใจนี้…”
ใบหน้าของอาร์ทิสกระตุกและบิดเบี้ยวด้วยความโกรธเกรี้ยว
เจ้าพวกเนรคุณ ! ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะหันกลับมาแว้งกัดผู้ที่คอยให้อาหารตนมาเป็นเวลานาน ไม่คิดเลยว่าข้าราชการศักดินาเหล่านี้จะมีความคิดที่ถือตัวเป็นใหญ่เช่นนี้หลังจากที่ไม่ได้รับการควบคุมเพียงแค่ร้อยปี ! หินวิญญาณ 100,000 ก้อนสำหรับเครื่องบรรณาการร้อยปีอย่างนั้นหรือ ?! นี่เจ้ากำลังมอบมันให้กับพวกขอทานหรืออย่างไร ?!
“อวดดี !!” เสียงตะโกนดังตอบกลับจนแม้แต่อาร์ทิสเองก็ตกใจ นี่คือสิ่งที่ติดอยู่ที่ปลายลิ้นของนาง แต่ชายผู้นี้กลับขโมยและพูดมันออกไปเสียก่อน
และเขาคนนั้นก็คือ… อวี๋เชียน !
“ยมโลกนั้นเป็นของโลกใต้พิภพของจีนโดยชอบธรรม หากปราศจากการแต่งตั้งอำนาจจากยมโลก พวกเราก็ไม่ต่างอะไรกับวิญญาณชั่วร้ายที่อยู่โดยรอบ หากเจ้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อที่จะถวายสัตย์ปฏิญาณว่าจะสวามิภักดิ์กับโลก เช่นนั้น… เจ้ามาที่นี่เพื่อสิ่งใดกัน ?” จิตสังหารที่รุนแรงแผ่ออกมาจากร่างของเขา เปลี่ยนร่างเป็นสายลมกระโชกแรกที่พัดเข้าหาทหารวิญญาณกว่าแสนนายที่อยู่เบื้องหน้า พลังหยินของเขาเองก็เริ่มที่จะหลั่งไหลออกมาราวกับกระแสน้ำสูง และเปลวไฟนรกในดวงตาของเขาพลันลุกโชนอย่างรุนแรงขณะที่เอ่ยต่อด้วยเสียงเย็นยะเยือก “เว้นเสียแต่… เจ้ากำลังพยายามจะใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของยมโลกในตอนนี้ ?”
“ยมโลกนั้นตั้งอยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณกาล และมันก็จะไม่มีวันยอมให้วิญญาณตนใดมากระทำการที่เป็นการดูหมิ่นและหยามศักดิ์ศรีอำนาจของมันเป็นอันขาด ! ผู้ที่กระทำผิดจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต ! นี่คือคำกล่าวของท่านจ้าวนรกองค์แรกแห่งยมโลก เจ้าลืมถ้อยคำเหล่านี้ไปแล้วอย่างนั้นหรือ ?!”
“อวี๋เชียน” เสียงแหบแห้งตอบกลับมาพร้อมกับเสียงหัวเราะเย็นยะเยือก “เจ้ากับกองกำลังเพียงเท่านั้นน่ะหรือ ?” น้ำเสียงของอีกฝ่ายนั้นแฝงไปด้วยความกระหายเลือดอย่างเห็นได้ชัด “หรือเจ้ากำลังจะบอกว่าข้า ชากัน ไม่สามารถจัดการเจ้าได้ ?”
พรึ่บ !
ทันใดนั้นทหารม้านับแสนก็ก้มตัวลง กระชับทวนในมือและพร้อมที่จะพุ่งตัวออกไปทันทีที่ได้รับคำสั่ง ในขณะเดียวกัน กองกำลังของหยางจีเย่เองก็ดึงสายธนูและกระชับดาบและหอกในมือแน่น
กองกำลังที่แข็งแกร่งทั้งสองเตรียมพร้อมที่จะปะทะกันในทุกเมื่อ !
เงินกระดาษปลิวว่อนอย่างไร้ที่สิ้นสุด ในขณะที่ดินแดนส่วนที่เหลือถูกปกคลุมด้วยความเงียบ
ร่างของทหารวิญญาณสองกลุ่มที่หันหน้าเข้าหากันนั้นดูราวกับกำแพงใหญ่สองกำแพงที่ยาวไร้ที่สิ้นสุด ฉินเย่หรี่ตาลง แม้ว่าเขาจะคาดการณ์ไว้แล้วว่าราชทูตกบฏพวกนี้จะนำกองกำลังของตัวเองมาด้วย แต่การเผชิญหน้ากับสถูปเหล็กและกำลังเสริมที่มีจำนวนกว่าแสนตนนั้นมันคนละเรื่องกันอย่างสิ้นเชิง ฉินเย่พลันรู้สึกประหม่าขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
ติ้ง… ทันใดนั้นเอง บรรยากาศที่ตึงเครียดก็ถูกทำลายโดยเสียงพิณที่ดังขึ้น
ท่วงทำนองที่เหลือดังตามมาในเวลาไม่นาน สร้างความผ่อนคลายให้กับผู้ที่ได้ยินขณะที่ภาพของฝูงนกอพยพบินเข้ามาอย่างเป็นระเบียบ เสียงที่ยิ่งสงบดังขึ้นจากในความมืด “ทุกท่าน ไม่ได้เจอกันเสียนาน อย่างไรเสีย เราต่างก็เป็นคนคุ้นเคยกัน มันจำเป็นที่จะต้องทำเช่นนี้จริง ๆ น่ะหรือ ?”
การแทรกแซงอย่างกะทันหันให้ทำลายความตึงเครียดในชั้นบรรยากาศราวกับปล่อยกลไกเครื่องจักรที่พันกันแน่น คนทั้งหมดหันหน้าไปมองยังทิศทางที่เสียงพิณดังขึ้น ในเสี้ยววินาทีต่อมา จังหวะที่รัวและต่อเนื่องก็ค่อย ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งดินแดน
มันไม่ใช่เสียงของกองกำลังขนาดใหญ่
กลับกัน มันเป็นเพียงเสียงของบางสิ่งบางอย่างที่มีขนาดใหญ่กำลังกระทืบเท้าเท่านั้น กลุ่มก้อนพลังหยินปั่นป่วนเป็นอย่างมากขณะที่ดวงตาขนาดสิบเมตรสามคู่พลันลุกโชนด้วยเปลวไฟนรกอยู่ภายในความมืด
มันเหมือนกับว่ามีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่กำลังเข้ามาใกล้พวกเขา ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนมากกว่าเดิม คนทั้งหมดหรี่ตาลงและมองไปยังปรากฏการณ์ที่น่าตกใจนี้ และพวกเขาก็เห็นเปลวไฟนรกจำนวนนับไม่ถ้วนลุกโชนขึ้นด้านหลังของดวงตาขนาดใหญ่ทั้งสามคู่นั้น
ฟึ่บ… หัวสัตว์ขนาดใหญ่สามหัวปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้า มันไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่น่าจะถูกสร้างขึ้นมาเสียมากกว่า สองในสามนั้นมีลักษณะเหมือนกับหัววัว ในขณะที่หัวที่สามดูเหมือนกับหัวม้า และในเวลาไม่นาน ร่างขนาดใหญ่ที่สูงหลายร้อยเมตรของพวกมันก็ก้าวออกมาจากกลุ่มเมฆดำและเดินตรงมาหยุดอยู่กึ่งกลางของกองกำลังทั้งสองฝั่ง
“นี่มัน…” สายตาของฉินเย่จับจ้องไปที่ภาพที่น่าเหลือเชื่อตรงหน้า ร่างของอสูรกลถูกล่ามด้วยสายโซ่จำนวนมากและถูกแปะทับด้วยแผ่นยันต์จำนวนมหาศาล พวกมันดูไม่ต่างอะไรกับป้อมปราการเคลื่อนที่เลยแม้แต่น้อย ด้วยขนาดที่ใหญ่โตของมัน กองกำลังที่เรียงตัวอยู่ทั้งสองฝั่งถูกทำให้ต้องถอยกลับไปอย่างห้ามไม่ได้ เหลือเพียงพื้นที่กว้างขนาดหลายร้อยเมตรระหว่างกัน และแน่นอนว่าความตึงเครียดระหว่างทั้งสองเองก็มลายหายไปในที่สุด
เสียงแตรดังขึ้นให้ได้ยินจากบนหลังของอสูรกลทั้งสาม บนหลังของพวกมันดูคล้ายกับก้อนเนื้องอกจำนวนมาก และทั้งหมดก็ต่างมีเปลวไฟนรกลุกโชนอยู่ภายใน บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าทหารวิญญาณหลายพันนายได้มาถึงแล้ว นอกจากนี้ ธงผืนใหญ่บนหลักของอสูรทั้งสามที่ปลิวไสวไปตามสายลมยังปรากฏคำว่า ‘เจ้าศักดินาโจวกงจินแห่งถังหมิง’ ‘เจ้าศักดินาหวางเมิ่งแห่งสิงหปุระ’ และ ‘เจ้าศักดินาบ้านเจ้าแห่งมาลายา’
ข้าราชการศักดินาสามคนสุดท้ายมาถึงในที่สุด !
จิวยี่ บ้านเจ้า และหวางเมิ่ง !
ตึ้ง !!
พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงขณะที่อสูรกลทั้งสามค่อย ๆ หยุดลงตรงพื้นที่ว่างระหว่างกองกำลังทั้งสอง จากนั้น พร้อมกับเสียงของกลไกที่ดังขึ้นเบา ๆ ร่างของพวกมันโน้มตัวมาด้านหน้า ก้มตัวและนอนลงกับพื้น เปลี่ยนเป็นกำแพงกลขนาดใหญ่ที่แบ่งแยกกองกำลังทั้งสองออกจากกันโดยสมบูรณ์
หลังจากเงียบไปพักใหญ่ หลิวอวี้ก็เอ่ยขึ้นในที่สุด “โจวกงจิน บ้านติ้งหยวน หวางเมิ่ง… นี่มันหมายความว่าอย่างไร ?”
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะแยกกองกำลังทั้งสองออกจากกัน แต่ข้าราชการศักดินาผู้มาใหม่ทั้งสามก็ยังคงนั่งอยู่บนอสูรของตน น้ำเสียงที่เย็นยะเยือกและชัดเจนเอ่ยตอบหลิวอวี้ “ไม่มีอะไร เพียงแต่… เจ้าไม่เกรงกลัวสวรรค์เลยอย่างนั้นหรือ ?”
เงียบ
“พวกเจ้าไม่เคยนึกถึงข้อเท็จจริงที่ว่าสวรรค์ได้ละเว้นการกระทำการใด ๆ นับตั้งแต่ที่ยมโลกแห่งใหม่ถูกก่อตั้งขึ้นมาบ้างเลยหรือ ? พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่านั่นหมายความว่าอย่างไร ?”
“มันหมายความว่าพวกเขายอมรับยมโลกแห่งใหม่ในฐานะโลกใต้พิภพของจีน !” ดวงตาของอวี๋เชียนเป็นประกายขึ้น “สวรรค์ไม่มีทางอดทนต่อการดำรงอยู่ของยมโลกจอมปลอม ! เหล่าวิญญาณจะต้องมีที่ให้ไปหลังจากที่เสียชีวิต ! ผู้กระทำกรรมดีจะต้องได้รับผลตอบแทน และผู้กระทำชั่วจะต้องได้รับการลงโทษ ! กงล้อแห่งสังสารวัฏจะต้องถูกสร้างขึ้นอีกครั้ง ! สหายทั้งเจ็ดของข้า มันยังไม่สายเกินไปที่พวกเจ้าจะชดใช้ความผิดของตนเองและกลับใจ !”
ไม่เลว…
สาเหตุที่ฉินเย่ยังคงเงียบมาตลอดก็เพราะเขากำลังสังเกตท่าทางและความคิดของราชทูตทั้ง 12 อยู่ เขาต้องยอมรับเลยว่าอวี๋เชียนและหยางจีเย่นั้นเป็นพวกชอบใช้กำลัง ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองยังไม่สนใจกับเรื่องเหล่านี้เลยด้วยซ้ำ แต่ข้าราชการศักดินาทั้งสองกลับเผชิญหน้ากับข้าราชการศักดินาคนอื่น ๆ ทันที
“ไร้สาระ !” หลิวอวี้เอ่ย “ข้าคือผู้ที่ได้รับพรจากสวรรค์ให้มีอายุยืนยาวและความรุ่งโรจน์ชั่วนิรันดร์ ข้าได้พิสูจน์ตัวเองในฐานะของเจ้าศักดินาของโลใต้พิภพแห่งฮันยาง ดังนั้นเหตุใดข้าจึงถูกปฏิเสธโอกาสในการที่จะได้เป็นเจ้าผู้ปกครองยมโลกด้วยเล่า ? สวรรค์อย่างนั้นหรือ ? ที่สวรรค์ยอมรับเรื่องนี้ก็เพียงเพราะว่ายังไม่มียมโลกอื่นถือกำเนิดขึ้นในตอนนี้ก็เท่านั้น ! ไม่เช่นนั้นเจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนี่จะมีโอกาสได้นั่งบนบัลลังก์ได้อย่างไร ?”
เกาฉางกงพึมพำเสียงเย็น “เช่นนั้นก็ต้องย้อนกลับไปสู่ยุครณรัฐ ก่อนที่ท่านจ้าวนรกองค์แรกจะได้รวบรวมยมโลกให้เป็นหนึ่ง ผู้ชนะจะได้ครอบครองทุกสิ่ง ตัวเลือกสุดท้ายที่สวรรค์ได้เลือกไม่จำเป็นต้องหมายความว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเสมอไป”
เจ้าของเสียงเย็นยะเยือกแย้มยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น หลิวอวี้ เหตุใดเจ้าจึงเป็นแทนตัวเองในฐานะของ ‘กษัตริย์’ ต่อหน้า ‘เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม’ นั่นเสียเล่า ?”
หลิวอวี้ที่ได้ยินดังนั้นก็เงียบไป
“เจ้าเคยพูดก่อนหน้านี้นี่ว่าเจ้าได้กลิ่นของตี้ทิงออกมาจากร่างของเขา ท่านตี้ทิงคืออสูรขั้นพระยม และมันก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งสองได้เผชิญหน้ากันมาก่อน แต่… ทั้ง ๆ ที่ท่านตี้ทิงสามารถหลบหนีจากเงื้อมมือของพระกษิติครรภโพธิสัตว์มาได้ในตอนนั้น เหตุใดเขาจึงไม่ทำอะไรกับจ้าวนรกองค์ใหม่ของยมโลกผู้นี้ ?”
นี่อีกฝ่ายอยู่ฝั่งเดียวกับเขาหรือเปล่า ?
ฉินเย่มองไปยังอสูรกลทั้งสาม ไม่… ไม่จำเป็น มันไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขายังจงรักภักดีอยู่หรือไม่หลังจากเวลาได้ผ่านมานานขนาดนี้ เพราะไม่ว่าอย่างไร…หัวใจของมนุษย์ก็ยากต่อการคาดเดา…
นอกจากนี้ หากผู้มาใหม่ทั้งสามอยู่ฝั่งเดียวกับเขา คนพวกนี้ก็คงรีบคุกเข่าและทำความเคารพเขาอย่างที่อวี๋เชียนและหยางจีเย่ทำไปแล้ว
ทุกอย่างกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ในที่สุดชายวัยกลางคนก็เอ่ยขึ้น “พวกท่านทั้งสามน่าจะรู้ดีนะว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกที่จ้องจะฉวยโอกาส”
“อย่างน้อยพวกเราก็จะรอดชีวิต” เสียงแหบพร่าดังขึ้นอีกครั้ง “แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าเราทั้งสามไม่เต็มใจที่จะเข้าร่วมในการปลุกปั่นของเจ้าในครั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเรายอมรับการมีอยู่ของยมโลกเช่นกัน มันก็เพียงแค่พวกเขายังไม่มีแผนที่จะหันหลังให้กับยมโลกในตอนนี้ก็เท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่ท่านตี้ทิงเองก็ดูเหมือนจะยอมรับการมีอยู่ของยมโลกแห่งใหม่เช่นนี้ หากเจ้าอยากรนหาที่ตายก็ตามใจ แต่พวกเราแค่ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปก็เท่านั้น”
หลิวอวี้ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ระเบิดหัวเราะออกมา “งี่เง่า ! หากตี้ทิงยอมรับเจ้าเด็กนี่ในฐานะของจ้าวนรกองค์ใหม่ของยมโลก เช่นนั้นคำพูดที่ท่ารเพิ่งพูดออกมาก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ท่านต้องตายเป็นพันครั้ง !”
“ขอโทษด้วย แต่พวกเราไม่อยากเสี่ยงอะไรทั้งสิ้นในเวลานี้” น้ำเสียงเย็นยะเยือกเอ่ยตอบกลับอย่างเชื่องช้าทว่าชัดเจน “หากเจ้ายังยืนยันที่จะกระทำการใดกับยมโลกและไม่คำนึกถึงวิถีแห่งสวรรค์ เช่นนั้น…”
โฮกกกก ! โฮกกกก ! โฮกกกก !
อสูรกลทั้งสามที่นอนอยู่บนพื้นคำรามออกมาอย่างดุร้าย ทันใดนั้น วิญญาณจำนวนมากที่ถือหน้าไม้และลูกศรเพลิงก็โผล่ออกมาจากบนหลังของพวกมัน และทั้งหมดก็เล็งเป้าไปที่กองกำลังทหารวิญญาณนับแสน !
เงียบ
บรรยากาศกลับไปตึงเครียดอีกครั้ง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงแหบพร่าที่เจือไปด้วยความกระหายเลือดก็ดังขึ้น “พวกท่าน…ยืนยันว่าจะยืนอยู่ฝั่งเดียวกับยมโลกจริง ๆ ใช่หรือไม่ ?”
“อาจจะ…” น้ำเสียงเย็นยะเยือกเอ่ยตอบพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ “ข้าขอแนะนำว่าอย่าตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่นเป็นอันขาด ในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ข้าได้เผากองกำลังทหาร 8 แสนนายและส่งไปสู่ยมโลก จนได้รับฉายาเทพแห่งเปลวไฟมา ม้ากลตัวนี้มีหน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์และลูกศรที่ลุกโชนด้วยเปลวไฟแห่งกรรมสามล้านดอก หากเจ้าอยากจะลองดูก็เชิญ… แล้วมาดูกันว่ามันจะสามารถกำจัดกองกำลังที่เจ้านำมาด้วยได้หรือไม่”
พรึ่บ !
ทันทีที่เอ่ยจบ ลูกศรของหน้าไม้ทั้งหมดก็ลุกโชนด้วยเปลวไฟสีแดงเข้ม
เปลวไฟเหล่านี้ไม่ใช่เปลวไฟธรรมดา
แต่พวกมันทั้งหมดถูกจุดขึ้นจากดวงไฟวิญญาณแห่งกรรมเก้าชั้น !
Comments