ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] 39เทพประจำตระกูล (2)
บทที่ 39เทพประจำตระกูล (2)
หวังเฉิงห่าวหน้าซีด ริมฝีปากของเขาสั่นระริก หลังพิงกำแพง หน้าผากเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น ๆ
ใคร…อยู่หลังประตู?
ใคร…กำลังข่วนประตู…ในเวลาตี 4 นี้?
ทว่าเขาไม่ได้เปิดปากหรือถามอะไรออกไปทั้งนั้น
แกร็กกก…ครืดด…เสียงที่อยู่อีกด้านหนึ่งของประตูดังขึ้นเรื่อย ๆ มันแทบจะเหมือนกับอะไรบางอย่างกำลังจะทะลุออกมาจากประตูในอีกไม่กี่อึดใจนี้!
“อ๊ากกกกกกก!!!!” หวังเฉิงห่าวไม่สามารถทนได้อีกต่อไป และในเมื่อเขาไม่กล้าวิ่งกลับไปที่ห้องของตัวเอง เขาก็เลือกที่จะวิ่งตรงลงไปชั้น 1 ราวกับคนบ้าแทน
บริเวณชั้น 1 ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด
“เถ้าแก่…เถ้าแก่!!” เด็กหนุ่มตะโกนอย่างสุดเสียง เขาอยากได้แสงสว่าง! เขาอยากได้ยินเสียงของใครบางคน! โรงแรมผีสิงนี้กำลังจะทำให้เขาเป็นบ้าแล้ว!
ตามข้อบังคับประจำชาติ โรงแรมจำเป็นจะต้องอยู่เฝ้าที่เคาน์เตอร์อยู่ตลอดเวลา แต่ที่นี่กลับไม่เป็นแบบนั้น
“อยู่ไหน…เขาหายไปไหน?!” วินาทีนี้ หวังเฉิงห่าวน้ำตาไหลออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เขากลับไม่ได้รับเสียงตอบกลับเลยสักนิด ความเงียบที่น่าขนลุกนั้นหนาวเหน็บราวกับสุสานน้ำแข็ง เขากำลังเสียสติ และวิ่งไปที่ประตูหลักของตัวโรงแรมด้วยความหวังที่จะหนีออกไปจากที่นี่ ทว่าน่าเสียดาย เด็กหนุ่มพบว่าประตูมันถูกล็อกอยู่!
“เปิดประตู…ใครก็ได้ช่วยเปิดประตูให้ที!!” เด็กหนุ่มทุบประตูอย่างแรงด้วยน้ำตาอาบหน้า อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาทุบประตูไปอีกสองครั้ง หวังเฉิงห่าวก็ต้องหยุดลง
มันไม่ใช่เพราะว่าเขาสงบลง แต่เขาแค่รู้สึกตกตะลึงกับสิ่งที่ตนได้เห็น จากนั้นร่างกายของเขาก็สั่นอย่างรุนแรงขึ้นกว่าเดิม ขนบริเวณต้นคอของเขาลุกชัน
ภาพที่สะท้อนบนประตูที่เป็นกระจกแสดงให้เห็น…ร่างของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเหมือนกับผู้หญิงชุดดำก่อนหน้านี้…กำลังยืนอยู่ที่ด้านหลังของเขา!
ใบหน้าขาวซีดและดวงตาที่แดงก่ำของเธอกำลังมองตรงมาที่เขา!
และวินาทีที่ไฟสว่างขึ้น เด็กหนุ่มที่ไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้ก็ต้องกรีดร้องออกมาอย่างหวาดกลัว!
“อ๊ากกกกก! ช่วยด้วย!! ผีหลอก!! ที่นี่มีผีสิง!!!”
“คุณ…” ร่างของชายชราค่อย ๆ เดินออกมาจากเงามืด น้ำเสียงที่เปล่งออกมาในความมืดดูคล้ายกับเสียงของนกฮูกในยามราตรีแสงสว่างจากโคมไฟส่องสลัวใบที่ใบหน้าของชายสูงวัย ทว่ามันกลับทำให้หวังเฉิงห่าวหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม
“คุณ…อยากจะออกไปข้างนอกหรือ?”
“ใช่! แล้วคุณก็รีบเปิดไฟด้วย! ขอร้อง ปล่อยผมไปเถอะ!” หวังเฉิงห่าวเอนหลังพิงประตูทางเข้าอย่างเหนื่อยอ่อนขณะที่เอ่ยออกมาเสียงดัง
ชายแก่ยังคงเงียบ
หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ เขาก็พูดขึ้นว่า “ไปซะ…และอย่ากลับมาที่นี่อีก…”
เสียงกรุ๊งกริ๊งของกุญแจที่ดังขึ้นในความมืดทำให้หวังเฉิงห่าวร้องไห้ออกมาอย่างสิ้นหวัง “ขอร้องล่ะครับ ช่วยเปิดไฟที! รีบเปิดไฟก่อน! ผมทนไม่ไหวแล้ว!”
“อย่างนั้นหรือ…” เสียงของชายชราแหบแห้งกว่าเดิม “คุณ…อยากจะให้ผมเปิดไฟจริง ๆ น่ะหรือ?”
“ใช่ ใช่แล้ว! รีบเปิดทีเถอะ!”
เงียบ
วินาทีต่อมา ในที่สุดแสงไฟก็สว่างขึ้นหลังจากได้ยินเสียงเปิดสวิตช์ไฟ หวังเฉิงห่าวหันไปมองรอบ ๆ ตัว ทว่าเมื่อเขาหันกลับมา เด็กหนุ่มก็หมดสติไปทันที
เลือด…
ผนังที่อยู่โดยรอบมีรอยเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว!
มันยังไม่แน่ชัดว่าคราบเลือดที่แห้งแล้วพวกนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ มีคราบบางส่วนเปื้อนเป็นรูปตัว ‘x’ ในขณะที่บางส่วนถูกเขียนเป็นคำที่อ่านไม่ออก ทว่านี่ยังไม่ใช่ส่วนที่น่ากลัวมากที่สุด ส่วนที่น่ากลัวมากที่สุดของมันก็คือความจริงที่ว่า…มันยังมีป้ายชื่อวิญญาณจำนวนมากที่ตั้งอยู่บนชั้นวางของที่อยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์อำนวยความสะดวก!
ทันใดนั้นเสียงของบางอย่างก็ดังมาจากชั้นสอง เสียงของมันคล้ายกับมีใครบางคนถีบประตูออกมา
สีหน้าของชายสูงวัยเปลี่ยนเป็นขรึมจัด เขารีบพุ่งตัวไปบนชั้นสองและพบว่าฉินเย่กำลังยืนอยู่หน้าบานประตูที่ติดอยู่กับหน้าต่าง เด็กหนุ่มกำลังอยู่ระหว่างการถอยเท้ากลับมายืนตัวตรงตามเดิม
“แก!!!” ชายชราร้องออกมาเสียงดังและหมายจะคว้าร่างของฉินเย่เอาไว้
แต่ช่างน่าแปลกประหลาดนัก ยิ่งเขาเข้าไปใกล้ฉินเย่มากเท่าไหร่ สีหน้าของเขาก็ซีดลงเรื่อย ๆ ในท้ายที่สุด ราวกับผิวหนังเหี่ยวย่นของเขาถูกฉีกออก ใบหน้าของชายชราเผยรอยยิ้มที่โหดเหี้ยมและชั่วร้ายออกมาให้เห็น
แต่ก่อนที่เขาจะสามารถเข้าไปใกล้มากพอ ร่างของฉินเย่ก็พลันระเบิดคลื่นพลังหยินที่หนาแน่นกว่าออกมา! ร่างของชายสูงวัยกระเด็นออกไปไกลหลายเมตรเมื่อปะทะเข้ากับแรงระเบิดดังกล่าว!
“มันจำเป็นจริง ๆ เหรอ?” ฉินเย่ขมวดคิ้วและส่ายศีรษะไปมาขณะที่มองเข้าไปภายในห้อง ไม่สนใจชายชราเลยสักนิด
ภายในห้องมืดสนิท
ผ้าม่านและหน้าต่างทุกบานถูกปิดทั้งหมด แต่หากมอง ดี ๆ จะพบว่าบริเวณกลางห้องมีเพียงเทียนสี่เล่มที่ถูกจุดเอาไว้และพวกมัน….ก็ถูกวางอยู่บนโลกศพสีดำสนิท
เมี๊ยววว! แมวดำตัวหนึ่งกระโจนออกมาจากหลังประตู ฉินเย่เหลือบมองประตูเล็กน้อย และเขาก็พบว่ามันเต็มไปด้วยรอยข่วนจำนวนมาก
“สรรพชีวิตล้วนต้องตาย ไม่ว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตมาอย่างไร จงอย่าเอาใจไปยึดติดกับสิ่งใดเลย” ฉินเย่ถอนหายใจออกมาและละสายตาจากโลงศพตรงหน้า จากนั้นจึงดึงคอเสื้อของชายชราและลากอีกฝ่ายลงไปที่ชั้นหนึ่ง
สัมผัสที่รู้สึกได้นั้นเย็นยะเยือก…
ร่างของชายแก่ไร้ซึ่งความร้อนใด ๆ และ….ไร้ซึ่งน้ำหนัก
จากนั้นฉินเย่ก็เตะเข้าที่ข้างเอวของหวังเฉิงห่าวอย่างแรง กระชากสติของอีกฝ่ายให้กลับมาด้วยความเจ็บปวดที่ได้รับ หวังเฉิงห่าวสูดลมหายใจเข้าอย่างแรงเมื่อได้สติ จากนั้นจึงหันกลับไปมอง จากนั้น ทันทีที่เขาได้เห็นภาพแปลกประหลาดตรงหน้า เขาก็แทบจะหมดสติไปอีกครั้ง
“ลืมตาแล้วดูดี ๆ” ฉินเย่เหวี่ยงแขนและโยนร่างของชายชราไปยังโซฟาที่อยู่ด้านข้าง “นี่มันธุระของนาย เพราะฉะนั้นนายควรจัดการมันด้วยตัวเอง”
“ขะ…ของฉันเหรอ?” เมื่อสบตากับฉินเย่ หวังเฉิงห่าวก็รู้สึกสงบลง เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว สำหรับเขา ฉินเย่ก็เป็นเหมือนกับโดราเอม่อนที่สามารถทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ
“แนะนำตัวเสีย…” ฉินเย่ไม่สนใจหวังเฉิงห่าวและหันไปพูดกับชายชรา “เจ้าตายมานานแค่ไหนแล้ว? แล้วเหตุใดดวงวิญญาณของเจ้าจึงยังวนเวียนอยู่ที่นี่?”
“ตาย?! นี่เขาไม่ใช่คนหรอกเหรอ?” หวังเฉิงห่าวสะดุ้งแทบตัวโยน ทว่าฉินเย่กลับกดร่างของเขาเอาไว้ให้นั่งลงตามเดิม จากนั้นอีกฝ่ายก็สบตากับเขาและพูดว่า “นายอยากจะเป็นหนึ่งในคนวงในของฉันหรือเปล่า?”
หวังเฉิงห่าวผงะไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารัว
“ถ้าอย่างนั้นก็ทำตัวให้ชินซะ…” ฉินเย่เอ่ยและหันกลับไปพูดกับชายสูงวัย “พูด! ข้าไม่ได้มีความอดทนมากนักหรอกนะ”
“ทะ…ทะ…ท่านคือยมทูตอย่างนั้นหรือ?” เสียงของชายชราเบาลง ฉินเย่ก้มหน้าดูนาฬิกาข้อมูลของตัวเองอย่างทดไม่ไหว “อีก 35 นาทีจะถึงตี 5 แล้ว ถึงตอนนั้นเมื่อไหร่ ข้าจะส่งเจ้าไปตามทางของตัวเองทันที เพราะฉะนั้นเจ้าควรจะพูดในเรื่องสำคัญจะดีกว่า”
“ดะ..ได้…” ชายชราสูดหายใจเข้าช้า ๆ ก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นและโค้งคำนับฉินเย่อย่างเคารพ “ท่านยมทูต…ผมได้กระทำสิ่งที่เป็นการดูหมิ่นต่อท่านยิ่ง ได้โปรดอภัยให้กับผู้ต่ำต้อยอย่างผมด้วยเถิด…”
“ผม…มีนามว่าโจวตงฝาง ตอนที่เสียชีวิตผมมีอายุ 49 ปี แต่เหตุผลที่ดวงวิญญาณของผมยังคงติดอยู่ที่นี่ไม่ใช่เพราะความมั่งคั่งหรือความแค้นแต่อย่างใด! ท่านผู้ทรงอำนาจ ผมมั่นใจว่าท่านเองก็คงจะสามารถยืนยันเรื่องนี้ได้จากการตรวจสอบ! โรงแรมแห่งนี้…ไม่เคยทำร้ายผู้คนมาก่อน!”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นเพียงเอ่ยอย่างไม่แยแสนักว่า “แน่นอนว่าข้ารู้ หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเจ้าได้เตือนพวกเราไม่ให้อยู่ที่นี่ทันทีที่เราเพิ่งมาถึง ข้าก็คงจะปัดเป่าวิญญาณของเจ้าไปเสียตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว….”
“พูดถึงเรื่องนี้ ข้าเองก็สงสัยเช่นกัน” เขาเอ่ยพร้อมโน้มตัวไปด้านหน้า “เหตุใดเจ้าจึงยังวนเวียนอยู่ที่นี่? ร่างของเจ้า…ดูเหมือนจริงจนมนุษย์ธรรมดาก็ไม่สามารถแยกออกได้ หรือว่าเจ้า…จะเป็นเทพประจำตระกูล?”
“เทพประจำตระกูล?”
ฉินเย่จึงอธิบายอย่างอดทน “เทพประจำตระกูลนั้นไม่เหมือนกับวิญญาณร้าย พวกเขายังคงถูกกระตุ้นโดยความต้องการของตัวเองขณะเสียชีวิต ทว่าความต้องการนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเจตนาร้ายใด ๆ กลับกัน พวกมันมักจะเกี่ยวข้องกับครอบครัวของพวกเขาแทน และสวรรค์เองก็ทรงมีเมตตาและตัดสินใจที่จะปล่อยดวงวิญญาณของพวกเขาเหล่านี้ไว้เพื่อให้พวกเขาสามารถดูแลตระกูลของตัวเองต่อไป แม้จะตายไปแล้วก็ตาม…”
“โดยทั่วไปแล้ว เทพประจำตระกูลจะไม่มีทางทำร้ายใคร และจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะปกปักรักษาตระกูลของตัวเองเอาไว้ หากพูดกันตามตรง พวกเขาคือดวงวิญญาณที่ยังผูกติดอยู่กับโลกมนุษย์ที่ทำเฉพาะแต่เรื่องดี ๆ ยิ่งกว่านั้น พวกเขายังสามารถรักษาสติปัญญาและความนึกคิดของตัวเองในช่วงก่อนเสียชีวิตเอาไว้ได้ด้วย ซึ่งแตกต่างจากดวงวิญญาณเร่ร่อนที่ไม่สามารถพูดอะไรได้อย่างสิ้นเชิง”
หวังเฉิงห่าวพยักหน้าอย่างครุ่นคิด จากนั้นจึงหันไปมองโจวตงฝางอีกครั้ง “นั่นมันไม่ถูกต้องเลยสักนิด! ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อยากให้เราอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก แต่เขาก็ยังผ่อนปรนและปล่อยให้เรานอนพักที่นี่! แค่นี้ก็พิสูจน์แล้วว่าเขามีจิตใจที่มุ่งร้าย! เขาไม่ใช่คนดี!”
“มันเป็นเพราะว่าเขาไม่สามารถอดทนรอได้อีกต่อไปน่ะสิ….” ฉินเย่หันกลับไปมองดวงวิญญาณของชายชราด้วยสายตาที่ซับซ้อน “ทำไมนายไม่ลองฟังเรื่องที่เขาเล่าก่อนล่ะ….อย่างไรเสียมันก็เป็นเรื่องของผู้หญิงคนนั้นอยู่แล้วนี่…”
โจวตงฝางมองเข้าไปในตาของหวังเฉิงห่าวขณะที่เอ่ยออกมาว่า “ผมเติบโตที่นี่ ภรรยาของผมและตัวผม…ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองกู้แห่งนี้มาหลายทศวรรษแล้ว ตอนที่ลูกสาวของผมเกิดมาผมยังอายุน้อยมาก”
“ลูกสาวของผมชื่อว่าโจวฟางหรง…” แววตาของชายสูงวัยดูเหมือนกับกำลังย้อนมองอดีตของตน รอยยิ้มเปี่ยมสุขปรากฏขึ้นบนใบหน้าเหี่ยวย่น “เธอเป็นผู้หญิงที่สวยเหมือนกับชื่อของนาง เป็นดอกไม้งามทั้งตอนที่อยู่โรงเรียนมัธยมต้นและมัธยมปลาย น่าเสียดายที่ตอนนั้นพวกเรายากจนมาก และไม่สามารถซื้ออะไรได้ ตอนนั้น ทางหลวงยังไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเลย และโรงแรมของพวกเราก็มีเงินยังชีพเพียงเล็กน้อยเท่านั้น…”
“หลังจากจบมัธยมปลาย ลูกสาวของผมก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอเริ่มมีความคิดเกี่ยวกับการไปใช้ชีวิตที่อื่น ใช่…พวกเราเองก็เข้าใจความต้องการของเธอ เพราะอย่างไรเสียเมืองกู้แห่งนี้ก็เล็กเกินไป ผู้หญิงที่สวยและมีความรู้อย่างเธอควรออกไปดูโลกกว้าง และไม่จำเป็นจะต้องอยู่ที่นี่ตลอดชีวิตเหมือนอย่างพ่อแม่ของเธอ…”
เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของชายชราก็เริ่มสั่นเครือ เขาเริ่มสะอื้นเบา ๆ “ตะ แต่ผมไม่คิดเลย…วะ ว่าการจากไปของเธอจะเป็นการจากลาครั้งสุดท้ายของเรา!”
เขาเล่าเรื่องราวทั้งหมดลอดไรฟันอย่างละเอียด และแม้แต่หวังเฉิงห่าวก็สามารถสัมผัสได้ถึงความเสียใจและความเจ็บปวดอันไร้ขอบเขตภายในใจของดวงวิญญาณตรงหน้าได้
“จุดหมายแรกของเธอก็คือ…การไปหางานทำที่มณฑลตงไห่”
“มณฑลตงไห่เป็นสถานที่ที่เจริญแล้ว และมันย่อมเป็นธรรมดาที่ค่าครองชีพที่นั่นก็จะสูงกว่าที่นี่มาก แต่หรงหรงก็ไม่เคยมาขอเงินจากที่บ้านเลยสักครั้ง อันที่จริง…เธอเริ่มส่งเงินกลับมาให้ที่บ้านทุกเดือนเสียด้วยซ้ำ”
“พวกเราที่เป็นพ่อแม่ย่อมต้องดีใจมากอยู่แล้ว…ทุกครั้งที่เราไปพบกับเหล่าเพื่อน ๆ เราก็มักจะชมและเล่าตลอดว่าฟางหรงเป็นคนที่ฉลาดเพียงใด…หลังจากนั้น จำนวนเงินที่นางส่งกลับมาก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากร้อยเป็นพัน จากพันเป็นหมื่น! หลายหมื่น!”
“ตอนแรกพวกเรามีความสุขเป็นอย่างมาก…จนกระทั่งวันหนึ่ง…” ร่างของโจวตงฝางสั่นเทา น้ำสีใสเริ่มเอ่อล้นออกมาจากดวงตา “ผม…และภรรยาผู้ล่วงลับของผมจะไม่มีทางลืมวันที่น่ากลัวนั้น….”
“วันนั้น…พวกเราตื่นมาพร้อมกับป้ายประกาศที่น่าตกใจที่ติดอยู่ทั่วสถานที่สำคัญภายในเมือง ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนเก่าของหรงหรง ทางเข้าละแวกบ้านของพวกเรา และแม้แต่ตลาดที่ใหญ่ที่สุดในเมือง!”
ร่างของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรงราวกับใบไม้ที่ร่วงหล่นท่ามกลางสายลมที่พัดแรง ขณะที่เขาจ้องลึกเข้าไปในตาของหวังเฉิงห่าว “ป้ายประกาศนั่นเขียนว่า…หรงหรงได้ล่อลวงผู้บริหารของบริษัทแห่งหนึ่งและได้เป็นภรรยาของเขา! และด้วยความทะเยอทะยานของนาง หรงหรงถึงกับเรียกร้องให้ผู้ชายคนนั้นแต่งงานกับตน! ความต้องการของเธอช้างไร้ที่สิ้นสุด! สุดท้าย ผู้บริหารคนนั้นก็ทนไม่ไหว เขาจึงพาเธอไปที่ศาลเพื่อจบเรื่องทุกอย่าง และท้ายที่สุด บริษัทของเขาก็ชนะคดี ในขณะที่ลูกสาวของผมก็ถูกตัดสินให้มีความผิดฐานขู่กรรโชกทรัพย์โดยเจตนา!!!!”
พรึ่บ!
หวังเฉิงห่าวลุกขึ้นยืนทันที เขามองไปยังดวงวิญญาณตรงหน้าด้วยสีหน้าตกใจสุดขีด
“นั่งลงซะ” ฉินเย่เอ่ยสั่ง “ให้เขาเล่าให้จบ…”
“นี่คือปมที่ยังไม่จบสิ้นของนาย”
ริมฝีปากของหวังเฉิงห่าวกระตุกเล็กน้อย เด็กหนุ่มส่ายศีรษะไปมาเบา ๆ และนั่งลง ชายสูงวัยยังคงมองไปที่เด็กหนุ่มนิ่งขณะที่เอ่ยต่อ “ผมไม่เชื่อ…ไม่เชื่อว่าลูกสาวของผมจะทำอะไรแบบนั้น! เธอเป็นคนฉลาดและงดงาม! มีผู้ชายหลายคนชื่นชอบเธอ! แล้วเธอมีเหตุผลอะไรถึงต้องทำเรื่องแบบนั้น?!”
“แต่…ศาลก็ได้ตัดสินให้ลูกสาวของผมเป็นฝ่ายผิดไปแล้ว!”
“ตอนนั้นผมแทบจะเสียสติ ผมโทรไปด่าว่าเธออย่างหนัก บอกให้เธอกลับมาที่นี่ แต่หรงหรงไม่ได้ให้คำตอบอะไรเราเลย ส่วนแม่ของเธอ…ล้มป่วยอย่างกะทันหันด้วยอาการหัวใจวายและถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว…ที่หรงหรงไม่รู้เรื่องนี้ก็เพราะว่าผมไม่ได้บอกอะไรเธอ!”
น้ำตาของโจวตงฝางยังคงไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง “ผมกลัว…กลัวว่าหากตัวเองกดดันลูก หรงหรงจะทำเรื่องสิ้นคิดลงไป ตั้งแต่ตอนที่ยังเด็ก ผมรู้มาตลอดว่าเธอมีพรสวรรค์ในด้านการพูด ทว่าในขณะเดียวกัน เธอก็เป็นคนที่มีจิตใจบอบบางเป็นอย่างมาก ดังนั้นผมจึงขายบ้านของเราโดยไม่ให้เธอรู้ เหลือก็แต่โรงแรมเล็ก ๆ แห่งนี้ตั้งอยู่ข้างถนน…”
“ไม่ว่าอย่างไร….ผมก็เชื่อในตัวลูก! ต่อให้เธอจะทำทุกอย่างตามที่ถูกกล่าวหา ผมก็ยังเชื่อว่าเธอสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้! แต่ช่างน่าเสียดาย ไม่มีใครในเมืองยอมมอบโอกาสครั้งที่สองให้กับนาง!”
ชายชราปิดเปลือกตาลง ร่างของเขาสั่นสะท้านราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำอันเลวร้ายพวกนั้นอีกครั้ง “‘นังแพศยา!’ ‘ผู้หญิงร่านนั่นเป็นลูกของตระกูลโจว’ ‘อีตัวที่ยอมอ้าขาเพื่อแลกเงิน’….ความคิดเห็นพวกนี้มีให้ได้ยินไปทั่ว แม้แต่เหล่าชายที่เคยขอหรงหรงแต่งงานก่อนหน้านี้ก็เริ่มชี้มาที่โรงแรมของเราและกล่าวว่านาง!!”
“พวกเราไม่กล้าแม้แต่จะก้าวออกจากบ้าน ไม่กล้าที่จะเชิดหน้าคุยกับผู้อื่นอีกต่อไป…” จากนั้นจึงชี้ที่ผมของตน “และนั่นก็เป็นตอนที่ผมของผมเปลี่ยนเป็นสีขาวจนหมด ส่วนภรรยาของผม…เธอได้จากไปต่อหน้าต่อตาผมเมื่อได้ยินและเห็นข้อความว่าร้ายพวกนั้น…”
โจวตงฝางหลับตาลง เปลือกตาของเขากระตุกเล็กน้อย “ผม…ผมลืมไปแล้วว่าตัวเองตายมานานเท่าไร…ความปรารถนาสุดท้ายของผมมีเพียงปกป้องตระกูลของเราเอาไว้ มีคำกล่าวว่าผู้ชายคือเสาหลักของครอบครัวหรอกหรือ? แต่ผมกลับทำหน้าที่นั้นได้ไม่ดี…ในเมื่อผมไม่สามารถปกป้องพวกเขาได้ในขณะที่ผมยังมีชีวิตอยู่ อย่างน้อยก็ปล่อยให้ผมได้ปกป้องพวกเขาในตอนที่ผมตายก็แล้วก็ยังดี…”
ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างสะเทือนใจก่อนจะเงยหน้ามองเพดานที่มืดสนิทด้านบน “ถ้าเช่นนั้น…เหตุใดเจ้าจึงวนเวียนอยู่ที่นี่กัน?”
โจวตงฝางที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเปิดเปลือกตาขึ้นและมองฉินเย่ด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มของเขาเจือไปด้วยความปรารถนาและความพึงพอใจ “ผมไม่ได้รับการติดต่ออะไรจากหรงหรงอีกเลยนับแต่นั้น…แต่ผมก็ยังคิดว่ามันอาจจะมีความเป็นไปได้ที่เธอจะส่งจดหมายกลับมาหาพ่อคนนี้บ้างในอนาคต ดังนั้นผมจึงรออยู่ที่นี่อย่างใจจดใจจ่อ เพื่อที่ผมจะได้สามารถรับจดหมายของเธอได้ทันทีที่มันมาถึง…”
หวังเฉิงห่าวมองดูรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของชายชรา ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกจุกในลำคอ
“โรงแรมนี้ตั้งอยู่ริมถนน…เพราะฉะนั้นเมื่อไรที่เธอกลับมาที่นี่ ผมก็จะได้เป็นคนแรกที่พบนางไม่ใช่หรือ?”
Comments