ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] 46 สมาคมอวี๋หลาน (1)
บทที่ 46 สมาคมอวี๋หลาน (1)
สิบนาทีต่อมา ฉินเย่นั่งลงที่ปลายเตียงพร้อมกับหวังเฉิงห่าวที่มีสีหน้าอึมครึม
กลิ่นเหม็นไหม้ลอยคละคลุ้งไปทั่วอากาศ ดวงวิญญาณ หยินตามดวงยืนอยู่ตรงหน้าของฉินเย่ ถูมือไปมาด้วยความหิวกระหาย หวังเฉิงห่าวยังคงนั่งนิ่ง ๆ อยู่ข้างฉินเย่ เขาอยากไปนอนเต็มที แต่ก็ไม่กล้าขยับตัวเลยแม้แต่น้อย
“นายนี่เปลี่ยนไปมากเลยนะ” ฉินเย่เอ่ย “ตอนอยู่ที่โรงเรียนเก่าของเรา นายวางท่าเสียใหญ่โต แล้วดูนายตอนนี้สิ?”
หวังเฉิงห่าวกระแอมออกมาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยว่า “คนเรามักเปลี่ยนไป หลังจากประสบเคราะห์ร้ายครั้งใหญ่ในชีวิต…”
“ดูนายสิ สูงตั้ง 180 เซนติเมตร แถมยังมีใบหน้าที่ได้ 80 คะแนนเป็นอย่างต่ำ แต่กลับขี้ขลาดอย่างกับเด็กผู้หญิง เพื่อที่จะฝึกความเข้มแข็ง นายต้องรับผิดชอบเรื่องน้ำและซื้ออาหารเย็นตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป มีข้อสงสัยอะไรไหม?”
แปลก…มีบางอย่างแปลก ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้…แต่แม้จะระแวงอยู่บ้าง หวังเฉิงห่าวก็ยังพยักหน้าตอบกลับไปอยู่ดี
การอวดเบ่งและวางอำนาจ เป็นสิ่งที่มีไว้ใช้กับสิ่งมีชีวิตที่เป็นคนเหมือนกันกับเขาเท่านั้น แต่ตั้งแต่ออกมาจากเมืองชิงซี เขากลับรู้สึกราวกับว่าตัวเองยังไม่ได้เจอคนปกติเลยสักคน…
เขาไม่ได้ร้องเสียงหลงเวลาตกใจกลัวเพียงเล็กน้อยอีกต่อไป แต่เขาก็ควรจะได้ใช้เวลาในการปรับตัวมากกว่านี้ไม่ใช่เหรอ?
เขารู้ดีว่าที่ฉินเย่แนะนำแบบนั้นก็เพื่อประโยชน์ของตัวเขาเอง แต่ก็นั่นแหละ…การเสริมสร้างความกล้าหาญของคนนั้นจำเป็นต้องใช้เวลา…
อืม…คำแนะนำของอีกฝ่ายนั้นดูเหมือนจะมีเหตุผล แต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ามันมีบางอย่างผิดปกติ….
“เอาเถอะ” ฉินเย่โบกมืออย่างไม่ใส่ใจให้กับหวังเฉิงห่าวก่อนที่จะหันความสนใจของตนกลับมาที่ดวงวิญญาณทั้งสามอีกครั้ง “พวกเจ้าทั้งสามจะลงไปด้วยตัวเองหรือจะให้ข้าส่งพวกเจ้าไป?”
“ท่านผู้ทรงอำนาจ” นักเรียนที่มีใบหน้าเยาว์วัยยกมือขึ้นเกาศีรษะ “เกี่ยวกับเรื่องนั้น…คือว่า ท่านช่วยส่งคนกระดาษหรืออะไรที่คล้ายกับ…”
“ยืมใช้ร่าง? นี่พวกเจ้ายังไม่ยอมลงไปอีกอย่างนั้นหรือ?” ฉินเย่กลอกตา เขาถูหน้าตัวเองเบา ๆ ก่อนจะเหยียดแขนออกและใช้นิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้และนิ้วกลางถูเข้าด้วยกันซ้ำ ๆ พร้อมกับพูดว่า “ไม่ กฎก็คือกฎ”
“แต่ท่าน….พวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองตายได้อย่างไร…ผะ ผม แค่อยากขอโอกาสได้พูดกับครอบครัว สั่งเสียกับพวกเขาเป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้น”
ฉินเย่เพียงถูนิ้วทั้งสามเร็วขึ้นและเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่คล้ายจะเหลืออด “ไม่มีสิ่งใดสามารถสำเร็จได้โดยปราศจากกฎเกณฑ์และข้อบังคับ หากถึงเวลาไป เจ้าก็ต้องไป พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าหากพวกเจ้ายังคงอยู่ที่นี่ต่อไปอีกสักหนึ่งปีหรือครึ่งปี พวกเจ้าก็จะกลายเป็นวิญญาณร้าย?”
“แต่ท่าน…”
“แต่ก็อย่างว่า…” เวลานี้ ฉินเย่แทบจะถูนิ้วชี้กับนิ้วโปงตัวเองตรงหน้าดวงวิญญาณทั้งสามแล้ว “กฎคือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น…”
เกิดอะไรขึ้นกับระดับความเข้าใจพื้นฐานของกลุ่มวิญญาณตรงหน้า?
นี่พวกเจ้าไม่รู้เลยหรือว่าข้ากำลังพยายามจะสื่อถึงสิ่งใด?
ดวงวิญญาณทั้งสามชะงักไป นี่ยมทูตตรงหน้านี้เขา…. พยายามจะขอสินบนจากพวกเขาอย่างนั้นหรือ?
อ๋อ…นี่สินะที่เรียกว่าด้านมืดของสังคม สิ่งที่พวกเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แม้ว่าจะตายไปแล้วก็ตาม เฮ้อ…มนุษย์พวกนี้ช่างชั่วร้ายเสียจริง…
“ท่านผู้ทรงอำนาจ…” นักเรียนที่ตัวสูงที่สุดในกลุ่มกระแอมออกมา “พวกเรา…พวกเราเป็นเพียงเด็กนักเรียนจน ๆ เท่านั้น…”
โดยปราศจากคำพูดใด ๆ ฉินเย่หมุนตัวและเตรียมที่จะหยิบกระบี่ปีศาจของเขาขึ้นมา
“ไม่! อย่า! ได้โปรด!” “ไว้ชีวิตพวกเราด้วยเถอะ! ผมรู้จักมหาวิทยาลัยอันฮุ่ยเป็นอย่างดี! ผมสามารถเป็นผู้นำทางและสหายของท่านได้!” “โปรดเมตตาพวกเราด้วย! เอาอย่างนี้สิ ๆ! ทำไมไม่ลองให้ผมร้องเพลงกล่อมท่านทุกคืนดูล่ะ?”
เขาจะอยากฟังเพลงกล่อมเด็กโง่ ๆ พวกนั้นไปเพื่ออะไร?!
ฉินเย่รู้สึกอนาถเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ที่เขารับหน้าที่ในฐานะของยมทูตมา มีแต่เรื่องของหวังเจ๋อหมิน คนเดียวที่เขารู้สึกว่าทำงานคุ้มค่าที่สุด ส่วนคนอื่น ๆ ก็เป็นเพียงแค่เจ้าของโรงแรมร้างหรือไม่ก็นักเรียนจน ๆ ที่สวมเครื่องแบบที่ขาดรุ่งริ่งเท่านั้น ไม่มีที่ให้เขาหาผลประโยชน์ได้เลยสักนิด!
เขาไม่ได้อยากจะเป็นเจ้าหน้าที่ที่ใสสะอาดและซื่อตรง…แต่สถานการณ์กลับไม่ให้โอกาสเขาได้ทำการทุจริตได้เลย…
“พวกเรายังมีห่วง! ” เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่ยอมอ่อนข้อของฉินเย่ เด็กนักเรียนทั้งสามก็รีบคุกเข่าลงกับพื้นและเอ่ยขอร้องเสียงสั่น
“หยุดถ่วงเวลาได้แล้ว ข้าจะยอมให้พวกเจ้าวิ่งหนีไปก่อน 39 เมตร….” ฉินเย่กวัดแกว่งกระบี่ปีศาจในมือของตน ทว่าก่อนที่เขาจะเอ่ยจบ เขาก็ต้องชะงักไป
ห่วงเหรอ?
คำคำนี้มีความหมายตรงตัวอย่างที่ควรจะเป็น ทว่ามันก็กลับจุดประกายบางอย่างที่อยู่ในตัวของเขา
หวังเฉิงห่าวกำลังนั่งดูอย่างตั้งใจ พอเห็นฉินเย่ลุกขึ้นอย่างกะทันหันและหันมาสั่งเขาว่า “ไปต้มน้ำมาให้ฉันที…”
“…หลังจากนี้เหรอ?” หวังเฉิงห่าวรู้สึกสบายใจขึ้นเป็นอย่างมากเมื่อเห็นว่าวิญญาณทั้งสามที่อยู่ตรงหน้านั้นดูน่าสังเวชกว่าตนมาก
“เดี๋ยวนี้!”
แม้จะสับสนเล็กน้อย แต่หวังเฉิงห่าวก็ลุกไปหยิบกาน้ำและเดินออกจากห้องไป ฉินเย่ที่เห็นเช่นนั้นก็รีบเดินไปล็อกประตู และมองดวงวิญญาณทั้งสามที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสายตาที่ลึกสุดจะหยั่ง
“น่าสนใจ” หลายวินาทีต่อมา รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าของเด็กหนุ่มก็หายไป เขาถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “พวกเจ้าตายมานานแค่ไหนแล้ว?”
“3 ปีครับ” ทั้งสามเอ่ยตอบอย่างเคารพ
“สามปี…น่าสนใจ…น่าสนใจยิ่งนัก…” ฉินเย่เคาะนิ้วมือของตนกับโต๊ะและพึมพำกับตัวเองคล้ายกับกำลังตกอยู่ในห้วงความคิด “มนุษย์ทุกคน นอกจากไม่ใช่พวกบ้าที่ปลิดชีวิตตัวเองแล้ว ย่อมมีห่วงอยู่เป็นธรรมดา หากการตายของพวกเขานั้นผิดธรรมชาติ แต่….ข้าไม่เห็นเช่นนั้นในกรณีของพวกเจ้า”
“หากพูดกันตามตรง แม้ว่าจะตายไปแล้วแต่พวกเจ้าก็ยังเป็นดวงวิญญาณที่ยังสดใสร่าเริง และการควบคุมสติของพวกเจ้าก็แทบจะไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย หรือว่า…พวกเจ้าตายโดยสมัครใจอย่างนั้นหรือ?”
ดวงวิญญาณทั้งสามส่ายหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน
“พวกเจ้าตายโดยไม่เต็มใจ แต่กลับไม่มีร่องรอยของความอาฆาตเลยแม้แต่น้อย…” แววตาของฉินเย่เปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกขณะที่มองออกไปนอกหน้าต่าง ตอนนี้เป็นเวลาค่ำแล้ว และความมืดก็ได้ปกคลุมไปทั่วบริเวณมหาวิทยาลัย “หากเป็นเช่นนั้นจริง มันก็เหลือความเป็นไปได้เพียงแค่ข้อเดียว…”
“พวกเจ้า…คงจะตายโดยไร้ซึ่งความเจ็บปวดใด ๆ อันที่จริง พวกเจ้าอาจจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองตาย!”
วิญญาณที่สูงที่สุดเม้มปากแน่นและพยักหน้าอย่างอ่อนแรง
“ข้าไม่ได้อยากตาย” เวลานี้ความร่าเริงก่อนหน้านี้ของเขาได้หายไปอย่างสิ้นเชิง ริมฝีปากของเขาสั่นสะท้าน แม้แต่ร่างวิญญาณของเขาก็เริ่มสั่นไหว “แต่…พวกเราไม่มีทางเลือก”
“เราทั้งสามไม่รู้เลยว่าตัวเองตายได้อย่างไร ความเจ็บปวดใด ๆ ก็ไม่มีเช่นกัน มันคล้ายกับว่าพวกเราแค่หลับไป…จากนั้นก็เห็นว่าพ่อแม่ของพวกเราเดินทางมาที่นี่เพื่อเก็บข้าวของทั้งหมดของเรา…ผมเห็นแม่ของผมร้องไห้…ทั้งที่ผมยืนอยู่ข้างนางแท้ ๆ แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียว!”
เขาเริ่มสะอื้นไห้ “ตลอดสามปีที่ผ่านมา พวกเราพยายามใช้สมองของตัวเองหาสาเหตุของเรื่องทั้งหมด แต่…”
“แต่พวกเจ้าก็คิดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียว” ฉินเย่เอ่ยแทรกขึ้น “ดวงวิญญาณที่ถูกผูกไว้กับโลก คือวิญญาณที่ติดและถูกขังอยู่ในสถานที่สุดท้ายที่พวกเขาเคยอยู่ในตอนที่พวกเขายังมีชีวิต หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือ พื้นที่การเคลื่อนไหวของพวกเจ้าตลอดสามปีที่ผ่านมาได้ถูกจำกัดอยู่แค่ในห้องนี้เท่านั้น แต่มันไม่ควรเป็นเช่นนั้นเพราะพวกเจ้าเองก็มีห่วง แต่ห่วงนั้นคงจะถูกสะกดเอาไว้ ทำให้พวกเจ้าต้องติดอยู่ที่นี่ อยู่ภายในห้องนี้…”
มหาวิทยาลัยแห่งนี้…มีบางอย่างผิดปกติ!
“เจ้าจำอะไรได้บ้างหรือไม่?”
เขาไม่ได้คาดหวังคำตอบของคำถามนี้เท่าไหร่นัก เพราะอย่างไรแล้วดวงวิญญาณตรงหน้าก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองตายได้อย่างไร แล้วพวกเขาจะไปจำเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนตายได้อย่างไร?
ทว่าทันทีที่เขาถามออกไป ดวงวิญญาณทั้งสามกลับพูดพร้อมกันว่า “มีเสียงฆ้องและเสียงกลองดังขึ้น!”
ฟึ่บ….ฉินเย่หันไปมองอีกฝ่ายทันที จากนั้นจึงก้มหน้ามองพื้น ราวกับกำลังมองทะลุผ่านพื้นห้องและจ้องไปที่ผู้เฒ่าหลิวและใบหน้าที่เหี่ยวย่นของเขา
ฆ้องและกลองหรือ…
“ตอนเวลาเที่ยงคืน พวกเรามันจะได้ยินเสียงคล้ายกับมีคนกำลังตีฆ้องและกลองดังขึ้น จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าจำนวนมาก แต่ประตูทุกบานของที่นี่จะถูกล็อกทั้งหมดตอนเวลาเที่ยงคืน!”
“นอกจากนี้ พวกเราก็เห็นรอยเท้าเปียก ๆ สี่คู่ทุกวัน! มันแทบจะเหมือนกับ…เหมือนกับว่าคนเหล่านั้นกำลังยืนเงียบ ๆ อยู่ที่หน้าทางเข้าหลักที่ถูกล็อก จ้องมองไปที่ประตูจนกว่าที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นอีกครั้ง…”
ช่างบังเอิญเสียจริง…
“มันเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อสามปีที่แล้ว ตอนช่วงฤดูใบไม้ผลิ…ตอนที่ได้ยินเสียงฆ้องและกลองพวกนั้นครั้งแรก พวกเราสามคนไม่ได้เอะใจเลยแม้แต่น้อย” วิญญาณนักเรียนร่างสูงเอ่ยลอดไรฟัน “แต่เมื่อพวกเราไปไล่ถามคนอื่น ๆ ในเช้าวันต่อมา มันกลับไม่มีใครได้ยินเสียงพวกนั้นเลยสักคน!!”
“มีแค่พวกเราเท่านั้นที่ได้ยินมัน มัน…มันเหมือนกับว่าพวกเราเป็นคนที่ถูกจับฉลากมาให้รับเคราะห์ร้ายไม่มีผิด นอกเหนือจากเสียงฆ้องและเสียงกลองแล้ว มันยังมีกระทั่งเสียงของประทัดและเสียงของปี่โหวดังคลออยู่ด้วย และมันน่ารำคาญจนพวกเรานอนไม่หลับ!”
“ตอนแรกพวกเราคิดว่ามีใครแกล้งพวกเรา แต่…มันไม่ใช่ พวกเราลองนอนหมอบอยู่ที่ประตูทั้งคืน และมองทะลุตาแมวที่เราแอบติดตั้งเอาไว้ที่ประตูก่อนหน้านี้! แต่มันไม่มีคนอยู่ด้านนอกเลยแม้แต่คนเดียว!”
“ท่านพอจะนึกภาพออกไหมว่า…ทุก ๆ เที่ยงคืน ในค่ำคืนอันเงียบสงัดที่แสดงไฟทุกดวงถูกดับลง และทันใดนั้นท่านก็ได้ยินเสียงฆ้องและเสียงกลองดังขึ้น…เมื่อท่านมองผ่านตาแมวออกไป ท่านกลับไม่เห็นใครเลย แม้แต่คนเดียว แม้ว่าท่านจะได้ยินเสียงฝีเท้าหยุดลงที่หน้าประตูห้องของเราก็ตาม!!”
“พวกเราแทบจะเป็นบ้าตาย!” วิญญาณใบหน้าเยาว์วัยนึกย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อสามปีก่อนและเอ่ยด้วยเสียงที่สั่นเครือว่า “หลายต่อหลายครั้ง เมื่อเสียงฝีเท้าหยุดลงที่หน้าประตูห้อง แสงจากเทียนที่เราจุดแสดงให้เห็นว่ามีคนอยู่ที่อีกฝั่งของประตู! พวกเราเห็นเงาของคนพวกนั้นผ่านทางช่องใต้ประตู! แต่…เมื่อเรามองผ่านตาแมว เรากลับไม่เห็นใครสักคน!”
“เราเคยบอกเรื่องนี้กับคนอื่น ๆ แต่ไม่มีใครเชื่อเราเลย จากนั้นเมื่อถึงเวลาที่พวกเราจะต้องย้ายออกจากห้องนี้…นั่นก็คือจุดที่ความทรงจำของเราสิ้นสุดลง”
วิญญาณของคนทั้งสามสะอื้นไห้
พวกเขาเสียชีวิตอย่างลึกลับในช่วงต้นของชีวิต เพียงเพื่อที่จะพบว่าพวกเขาได้กลายเป็นวิญญาณที่ถูกผูกไว้กับโลก ที่ไม่สามารถก้าวเท้าออกจากห้องที่มีขนาดไม่ถึง 20 ตารางเมตร นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นอกจากคนทำความสะอาดที่เข้ามาทำความสะอาดห้องทุกปีก่อนที่มหาวิทยาลัยจะเปิดแล้ว ก็ไม่มีใครจดจำพวกเขาได้อีกต่อไป ดังนั้นพวกเขาจึงบังคับตัวเองให้มีความสุขอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้อยากสร้างความหวาดกลัวให้กับใครก็ตามที่เข้ามาในห้อง
พวกเขาอยากพูดคุย
พวกเขาอยากจะออกไปจากที่นี่
และเหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาอยากจะค้นหาว่าความจริงว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แต่น่าเศร้าที่พวกเขาไม่สามารถทำเรื่องพวกนั้นได้
ฉินเย่พิจารณาสิ่งที่ได้ยินทั้งหมดอยู่ครู่หนึ่ง “พวกเจ้าอยู่ที่นี่มาสามปี แล้วพวกเจ้าได้ยินเสียงฆ้องและเสียงกลองพวกนั้นในช่วง 1 ถึง 2 ปีที่ผ่านมาบ้างหรือเปล่า?”
“ไม่เลย อันที่จริง พวกเราเคยไม่ได้ยินใครพูดถึงเรื่องน่ากลัวพวกนี้มาก่อน! ไม่อย่างนั้นพวกเราคงไม่อยู่ที่นี่หรอก?!”
“เข้าใจแล้ว” ฉินเย่ชี้ไปยังมุมหนึ่งของห้อง “ไปอยู่ตรงนั้นก่อน เดี๋ยวข้าจะไปเอาตุ๊กตาคนกระดาษ 3 ตัวมาให้เจ้าในวันพรุ่งนี้”
“ขอบคุณ…ขอบคุณมากครับ!”
เขาไม่ได้ทำเพราะรู้สึกสงสาร
แต่เพราะ…หากเรื่องนี้คือเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่รายงานในมหาวิทยาลัยอันฮุ่ย การจัดการปัญหานี้ก็อาจจะทำให้เขาได้เงินกว่าล้านเหรียญ!
หวังเฉิงห่าวเดินกลับมาพร้อมกับกาต้มน้ำ อันดับแรก ทั้งสองดูตารางเรียนของมหาวิทยาลัย และเริ่มพูดคุยกับเกี่ยวกับชมรมที่พวกเขาวางแผนที่จะเข้าร่วม กว่าที่ทุกอย่างจะเสร็จเรียบร้อย เวลาก็ล่วงเลยเป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว
อันเป็นผลมาจากประกาศที่เผยแพร่ไปทั่วประเทศ ทั่วทั้งบริเวณของมหาวิทยาลัยจึงถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบทันทีที่เป็นเวลาพลบค่ำ
ไม่มีเสียงดังมาจากสนามฟุตบอลและสนามกีฬาอีกต่อไป
แสงไฟจากซุ้มที่อยู่รอบ ๆ เองก็ถูกปิดสนิทเช่นกัน
บนถนนเองก็ไม่มีแม้แต่จักรยานสักคันให้เห็น
นอกจากหอพักแล้ว แหล่งกำเนิดแสงเพียงอย่างเดียวก็คือหลอดไฟตามถนน เมื่อสายลมยามค่ำคืนพัดผ่าน ต้นไม้ส่งเสียงกรอบแกรบเป็นสัญญาณไม่ดีนัก ราวกับอสูรลึกลับกำลังค่อย ๆ คืบคลานมาอย่างช้า ภายใต้ความมืดยามรัตติกาล
แม้แต่ภายในหอพักเองก็เงียบสนิท ไม่มีใครส่งเสียงเอะอะตามทางเดินอย่างที่มักจะเห็นในหอพักทั่วไป ในความเป็นจริง มันเงียบจนแทบจะรู้สึกเหมือนกับว่ามีอสูรร้ายกำลังเข้ามาใกล้
หวังเฉิงห่าวนำแล็ปท็อปติดตัวมาด้วย แต่มันยังไม่ได้เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต หลังจากที่เล่นเกมในโทรศัพท์อยู่ครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มก็เริ่มเบื่อ เขาหาวออกมาเบา ๆ และเดินไปที่เตียง ฉินเย่ยังคงเลื่อนเว็บไซต์บนโทรศัพท์ของตัวเองต่ออีกครู่หนึ่ง ก่อนจะล้มตัวนอนเช่นกัน
เมื่อปราศจากความบันเทิงและการติดต่อใด ๆ จากโลกภายนอก ไม่นานความมืดของค่ำคืนก็คืบคลานเข้ามาในตัวอาคาร และหลอดไฟภายในตึกทุกดวงก็ถูกดับลงไปอย่างเป็นระเบียบ เมื่อถึงเวลาที่ฉินเย่เข้าสู่ห้วงนิทรา ทั่วทั้งโรงเรียนก็ถูกปกคลุมไปด้วยความมืด
ฉินเย่นอนหลับอย่างสงบ
ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ต้องตื่นขึ้นอีกครั้ง
ก๊องง ก๊องงง…เสียงระฆังจากหอระฆังของโรงเรียนดังขึ้น ทว่ามันกลับดังก้องไปทั่วบริเวณมหาวิทยาลัย
เสียงระฆังนั้น ราวกับมาจากสถานที่คนตาย เสียงที่ดังก้องไปทั่วนำพาความเย็นยะเยือกประหลาดมาด้วยอย่างน่าฉงน
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืน…
ฉินเย่ตื่นขึ้นทันทีที่เข็มนาฬิกาเคลื่อนมาหยุดที่เลข 12
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วยุ่ง จากนั้นวินาทีที่เขากำลังจะกลับสู่ห้วงนิทรา ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงดังกังวานของบางอย่างมาจากใกล้ ๆ
ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง!!! หึ่งงงง!!! เริ่มมาด้วยเสียงกลองดังติดต่อกันสามครั้ง จากนั้นจึงตามมาด้วยเสียงใสกังวานและคมชัดของฆ้อง! เสี้ยววินาทีต่อมา เสียงปี่โหวก็เริ่มบรรเลงพร้อมกับเสียงจุดประทัดที่ดังขึ้นไม่หยุด!
ฉินเย่ลุกขึ้นนั่งทันทีและหันไปมองหวังเฉิงห่าว อีกฝ่ายยังคงหลับสนิทราวกับท่อนไม้
จากนั้นฉินเย่จึงหันไปมองยังดวงวิญญาณทั้งสามที่พักอยู่ที่เตียงอีกหลังหนึ่ง ทั้งหมดดูมึนงงและร่างที่สั่นระริก พวกเขาก้าวลงจากเตียงและมองไปรอบ ๆ อย่างหวาดระแวง
“มันกำลังมา… มันกำลังมา!!”
“มาแล้ว… มันมาแล้ว!!”
“เสียงของฆ้องและกลองที่เหมือนกับเมื่อสามปีที่แล้ว…ดังขึ้นอีกครั้งแล้ว!!!”
[1] เครื่องดนตรีประเภทเป่าของจีนที่มีลักษณะคล้ายโอโบ ให้เสียงที่ดังและแหลมสูง มักถูกใช้ในพิธีงานศพและงานแต่ง นอกจากนี้ยังเป็นส่วนสำคัญของดนตรีประกอบพิธีกรรมต่างๆของลัทธิเต๋าอีกด้วย
Comments