ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] 96: ผู้ที่จากไปและผู้ที่ยังอยู่
บทที่ 96: ผู้ที่จากไปและผู้ที่ยังอยู่
เมืองเฟิงตู แต่เดิมเรียกว่านครวิญญาณถูกก่อตั้งขึ้นมาโดยพระจักรพรรดิเหอแห่งราชวงศ์ฮั่นในปีหยงหยวนที่ 2 และมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า 2,000 ปี มันตั้งอยู่ทางเหนือของแม่น้ำแยงซี นอกจากนี้ยังเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “เมืองผี” และ “บ้านเกิดของไตรภูมิดันเตในรูปแบบของจีน” [1]
ส่วนหนึ่งของเมืองเฟิงตูนั้นได้จมอยู่ใต้น้ำพร้อมกับการติดตั้งเขื่อนสามผา ภายใต้ผิวน้ำในเวลานี้ เสา โครงสร้าง และบ้านหลายหลังดูเหมือนจะถูกดึงโดยพลังลึกลับบางอย่างขณะที่พวกมันพังทลายลงจนเกิดเสียงดังอู้อี้ขึ้น
ก้อนหินจำนวนมากพลังทลายลงและจมลงใต้ก้นบึ้งของเขื่อน ผู้ใดก็ตามที่ครอบครองดวงเนตรแห่งนรกจะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าภายใต้ผิวน้ำที่นิ่งสนิทแห่งนี้มีการรวมตัวกันของดวงวิญญาณหยินหลายแสนดวง! และพวกมันทั้งหมดก็รวมตัวกันอยู่รอบ ๆเมืองเฟิงตู
มันเหมือนกับว่าพวกมันกำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่างด้วยความคาดหวังอย่างใจจดใจจ่อ และยิ่งพวกมันรอนานมากเท่าไหร่ พวกมันก็ยิ่งร้อนรนมากขึ้นเท่านั้น ซ้ำร้าย วิญญาณบางตนถึงขั้นที่เริ่มแสดงท่าทีที่คล้ายจะเปลี่ยนร่างเป็นวิญญาณอาฆาตแล้วเช่นกัน แต่ทันใดนั้น พวกมันทั้งหมดก็ต้องหยุดชะงักไป
พวกมันเงยหน้าและมองไปทางทิศตะวันออกอย่างพร้อมเพรียงกัน
ทั้งหมดต่างแสดงสีหน้าเดียวกันอย่างไม่ผิดเพี้ยน สัมผัสถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ
และจากนั้น ภายในเสี้ยววินาทีต่อมา พวกมันก็มุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางของเมืองเป่าอันราวกับวิญญาณที่คลุ้มคลั่ง!
เสียงเรียกของนรก ไม่มีวิญญาณตนใดกล้าขัดขืน!
ณ บริเวณเหนือเขื่อนสามผา ด้านหลังของเขื่อนคือแม่น้ำแยงซี ในขณะที่เนินเขาที่เขียวขจีตั้งขนาบอยู่ทั้งสองฝั่งของเขื่อน น้ำในแม่น้ำพลันลดฮวบลงและเกิดเป็นคลื่นสึนามิขนาดใหญ่ ทว่าในทางกลับกัน น้ำสีเขียวฟ้าที่ถูกเก็บสะสมอยู่ด้านบนของเขื่อนนั้นดูสงบและนิ่งเงียบ ให้ความรู้สึกเหมือนกับมหาสมุทรที่ไร้ที่สิ้นสุด
นักพรตเต๋าผู้หนึ่งนั่งอยู่ที่จุดกึ่งกลางของเขื่อนสามผา จุดที่เป็นที่รู้จักกันในชื่อของ “ปากของมังกร”
สายลมพัดอย่างรุนแรงในขณะที่ลิงป่าส่งเสียงร้องดังมาจากทั้งสองฝั่งของแม่น้ำ ทว่านักพรตผู้นี้กลับไม่เปิดเปลือกตาขึ้นมาดูเลยแม้แต่น้อย
“นายคิดว่าเขากลายเป็นรูปปั้นหินไปหรือยัง?” คนงานคนหนึ่งที่อยู่สำนักงานใกล้ ๆ จ้องมองไปยังนักพรตคนดังกล่าวอย่างงุนงง “นี้ก็ผ่านมาสิบปีแล้วแต่เขากลับกินข้าวแค่เดือนละครั้งและดื่มน้ำเพียงหนึ่งถังเท่านั้น แล้วก็นั่งอยู่ตรงนั้นมาตลอด คนที่ไม่รู้เรื่องอาจจะคิดว่าเขากำลังสะกดอะไรบางอยู่ก็ได้นะ”
ทันทีที่เขาเอ่ยจบ นักพรตเต๋าผู้นั้นก็พลันลืมตาขึ้นมา
“นี่มัน…” สีหน้าตกตะลึงปรากฏขึ้นแทนใบหน้าเรียบเฉยและนิ่งสงบ เขารีบวิ่งไปที่ริมเขื่อนทันที “นี่มัน…เป็นไปได้อย่างไร?!”
ครืนนน…สำหรับมนุษย์ที่ยืนอยู่รอบ ๆ ท้องฟ้าเหนือศีรษะของพวกเขาเปลี่ยนเป็นดำมืดอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาเพียงสิบวินาที ท้องฟ้าที่สดใสก่อนหน้านี้ได้ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำ พร้อมทั้งแสงสว่างวาบที่เกิดจากฟ้าแลบและเสียงฟ้าร้องดังขึ้นให้ได้ยิน
แต่สำหรับนักพรตเต๋าแล้ว…นั่นไม่ใช่กลุ่มก้อนเมฆสีดำเลยสักนิด กลับกัน พวกมันคือดวงวิญญาณหยินจำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังบินข้ามเขื่อนและส่งเสียงร้องออกมาอย่างสุดเสียง ปกคลุมทั่วท้องฟ้าไปหมด!
นี่มัน…นี่มันมากเกินไปแล้ว! จำนวนนับไม่ถ้วน! จำนวนของวิญญาณหยินทั้งหมดต้องมีอย่างต่ำล้านตน! ไม่…มันมากกว่านั้นมาก!
เหมือนกลุ่มนกที่บินรวมกลุ่มกัน วิญญาณหยินจำนวนมากก่อตัวเป็นก้อนเมฆสีดำขนาดใหญ่ที่ทำให้ท้องฟ้ามืดลงอย่างสมบูรณ์!
ปรากฏการณ์ดังกล่าวดำเนินไปนานถึงสิบนาทีเต็มก่อนที่กลุ่มก้อนวิญญาณหยินจะหายไปในที่สุด แต่ทันใดนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนดังขึ้น “ดูนั่น! มันคืออะไรน่ะ?!” “พระเจ้า…เป็นไปไม่ได้…ทำไมมันถึงเยอะขนาดนี้?!” “ประตูของนครวิญญาณได้เปิดออกแล้วอย่างนั้นเหรอ?”
เขาก้มลงมองดูด้านล่างทันที
และเขาก็ได้เห็น ภายใต้สายน้ำที่ไหลเชี่ยว โลงศพที่ผุพังจำนวนมากค่อย ๆ โผล่ขึ้นมาจากส่วนลึกของแม่น้ำ
จำนวนที่แน่นอนนั้นยังไม่สามารถทราบได้ แต่ถึงอย่างนั้น…มันก็มากเพียงพอที่จะปกคลุมผิวน้ำของแม่น้ำแยงซีทั้งหมด!
เคร้ง….ในเวลาเดียวกัน ภายในวิลล่าที่อยู่ห่างไกลออกไป ชายชราคนหนึ่งที่สวมเสื้อคลุมจักรพรรดิเนื้อนุ่มที่กำลังถือถ้วยชาอยู่ดี ๆ มือก็สั่นเทาขึ้นมาอย่างกะทันหัน ส่งผลให้ถ้วยชาดังกล่าวตกลงกับพื้นและแตกเป็นเสี่ยง ๆ
“ความรู้สึกนี้…” เขาลุกขึ้นยืน เดินไปที่หน้าต่างและมองไกลออกไป “เป็นไปได้อย่างไร…”
“เหตุใดข้าถึงรู้สึกใจสั่นอย่างบอกไม่ถูกเช่นนี้…”
“มันชวนให้ข้างนึกถึงตอนนั้น…เมื่อหลายพันปีก่อน ครั้งแรกที่ข้าได้ไปเยือนนรก…”
……………………………………………
มหาวิทยาลัยอันฮุ่ย เมืองเป่าอัน ภายในรังของเชาโยวเต๋า
เวลายังคงเดินไปช้า ๆ ฉินเย่นอนอยู่ด้านข้างของปากหลุม เครื่องแบบยมทูตของเขาขาดวิ่น พลังหยินที่หลงเหลืออยู่ภายในร่างของเด็กหนุ่มในเวลานี้นั้นเบาบางเป็นอย่างมาก กล้ามเนื้อของเขากระตุกเกร็งอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ขณะที่เปลือกตาของเขายังคงปิดสนิท
“เฮือกกก…” หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เด็กหนุ่มก็ลุกขึ้นนั่งอย่างกะทันหัน หน้าผากของเขาเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ และเหมือนกับนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ ฉินเย่รีบก้มลงไปมองภายในหลุมทันที
“อาร์ตี้?” เขาพยายามจะตะโกนออกไปแต่ก็พบว่าร่างกายของตัวเองในตอนนี้กำลังสั่นระริกด้วยความเจ็บปวด แต่ฉินเย่ก็ไม่ได้สนใจเลยสักนิด เขายังคงมองลงไปยังส่วนลึกของหลุมต่อไป
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ยินเสียงตอบกลับเลยแม้แต่น้อย
“แค่ก แค่ก…” เขาเปิดปากเพื่อที่จะเปล่งเสียงเรียกออกไปอีกครั้ง แต่ก็จบลงด้วยการไอออกมาอย่างรุนแรง เด็กหนุ่มยกมือทาบอกตัวเองอย่างสิ้นหวัง ก่อนจะสามารถตะโกนออกไปได้ในที่สุด “อาร์ทิส?”
อิส อิส อิส….เสียงตอบเดียวที่เขาได้ยินดังกลับมาจากหลุมลึกที่มืดมิด มีเพียงเสียงสะท้อนที่ไม่มีที่สิ้นสุดของเขาเอง
มันยังคงไม่มีเสียงตอบกลับเลยสักนิด
“อราก….” เขาเรียกออกไปเป็นครั้งที่สาม ทว่าก่อนที่เขาจะพูดจบ ลำแสงบางอย่างก็พุ่งออกมาจากส่วนลึกของหลุมราวกับเศษอุกกาบาตขนาดเล็ก
ทันทีที่มันพุ่งออกมา มันก็ร่วงลงกับพื้นราวกับลูกบอลธรรมดา ๆ
กึก กึก กึก…เสียงสะท้อนดังขึ้นไปทั่ว ริมฝีปากของฉินเย่แห้งผากขณะที่ค่อย ๆ ก้มลงเก็บสิ่งที่อยู่บนพื้น
มันคือลูกบอลผนึก
บนพื้นผิวของลูกบอลผนึกมีรอยไหม้เกรียมไปทั่ว ผ้าที่ใช้ในการห่อหุ้มซึ่งได้รับการพันอย่างแน่นหนาก่อนหน้านี้เหลือเพียงเศษซากบาง ๆ และตัวอักษรภาษาสันสกฤตที่ถูกเขียนอยู่บนนั้นก็เหลือเพียงร่องรอยจาง ๆ เท่านั้น
ทันทีที่มือของฉินเย่สัมผัสเข้ากับลูกบอลผนึก มันก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ ราวกับเม็ดทราย เผยให้เห็นเพียงความมืดที่อยู่ภายใน
ร่างวิญญาณของอาร์ทิสไม่ได้อยู่ในนั้น
และร่างจริงของนางก็เช่นกัน
มันราวกับว่าภายในลูกบอลผนึกไม่เคยบรรจุสิ่งใดมาก่อน มัน….ว่างเปล่า
ฉินเย่มองลูกบอลผนึกอย่างเศร้าสร้อยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมา
“เหตุใดท่านจึงไม่ทำเพื่อตัวเองสักครั้ง…” เขาหยิบแถบผ้าขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ใบหน้าเยาว์วัยเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ซับซ้อน “ท่านเป็นคนนำความตายมาหาตัวเองตั้งแต่แรก…”
“ข้าเป็นตัวเอกของเรื่องนี้ แต่ท่านก็ยังพยายามที่จะสังหารข้าตั้งแต่ตอนที่อยู่ในนรก และตามกฎของเรื่องนี้ มันก็หมายความว่าท่านจะต้องตาย แต่ท่านก็ไม่ตาย และยังคงอยู่ เดินทางกับข้ามาเป็นเวลานาน และข้าเองก็เกือบจะเชื่อในท่านอย่างหมดหัวใจแล้ว แต่ทันใดนั้นท่านก็สวมบทของ ‘หญิงสาวผู้ช่วยวีรบุรุษผู้ตกทุกข์ได้ยาก’ ขึ้นมา ท่านกำลังพยายามที่จะสลักเครื่องหมายของตัวเองไว้ในใจของข้าเหมือนกับจุดสีแดงที่อยู่กลางหน้าผากหรืออย่างไร? ช่างงี่เง่ายิ่งนัก งี่เง่าจริง ๆ…”
เขาเก็บเศษผ้าที่ไหม้เกรียมไปอย่างระมัดระวัง โดยไม่สนใจเศษขี้เถ้าที่เปื้อนนิ้วมือของตัวเองเลยสักนิด
“และข้าก็ได้บอกท่านไปนานแล้วว่าหากมีอะไรซ่อนเอาไว้ท่านก็ควรจะแสดงมันออกมาให้หมดก่อนที่จะสายเกินไป การเก็บไพ่ตายพวกนี้เอาไว้มีประโยชน์อันใดกัน? ชีวิตมันก็เป็นเช่นนี้…สิ่งที่แย่ที่สุดที่สามารถเกิดขึ้นกับคนคนหนึ่งได้ ก็คือการที่ต้องตายก่อนที่จะได้ใช้เงินทั้งหมดที่หามาอย่างยากลำบาก”
“ดูท่านสิ ช่วงแรกของชีวิตนั้นช่างรุ่งโรจน์ แต่ช่วงกลางกลับขึ้น ๆ ลง ๆ และช่วงสุดท้าย ท่านก็แก่ขึ้นและไม่มีสิ่งใดให้พึ่งพา ความพลิกผันมากมายในชีวิตทำให้หญิงสาวผู้เต็มไปด้วยความหวังอย่างท่านจบลงด้วยการไม่เชื่อใจผู้ใด แม้แต่ในเสี้ยววินาทีแห่งความตาย ท่านก็เลือกที่จะไม่บอกข้าถึงวิธีการที่จะสร้างนรกขึ้นใหม่ ท่านปฏิเสธที่จะสอนศาสตร์ลับแห่งนรกให้แก่ข้า และท่านยังหวังจะทำร้ายข้าและทำให้ข้าหมดหวังไปเอง….แต่ดูตอนนี้สิ ข้าเป็นเพียงคนเดียวที่มาเก็บร่างของท่าน…”
แม้ว่าเศษผ้าที่ใช้ห่อนั้นจะยาวมาก แต่ว่าฉินเย่ก็รวบเก็บขึ้นมาทั้งหมดไว้ในมือ
เด็กหนุ่มเก็บรวบทุกอย่างไว้ในมือและส่ายศีรษะไปมา “ขอให้ไปสู่สุคติ ข้าจะไม่ลืมเผาเงินกระดาษไปให้ท่านทุกปีเมื่อถึงวันนี้….”
“เจ้าสรุปชีวิตของข้าได้รวบรัดดีนี่?” ทันใดนั้น น้ำเสียงเย็นยะเยือกของผู้หญิงคนหนึ่งดังมาจากด้านหลังของเขา
ฉินเย่ตกตะลึงเป็นอย่างมาก เขารีบหันกลับไปมองอย่างเหลือเชื่อทันที
อรากษสะยืนอยู่ด้านหลังของเขาอย่างพอดิบพอดี แต่มันไม่ใช่เพียงภาพมายา มันคือร่างที่แท้จริงของนาง
นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาได้เห็นร่างที่แท้จริงของอีกฝ่าย
และครั้งนี้มันก็ใกล้กว่าที่เคย
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านางเป็นคนที่สวยคนหนึ่ง
เมื่อนางไม่ได้อยู่ในสถานะของตุลาการนรก ความงามของนางนั้นมีมากเสียจนทำให้หัวใจของเหล่าบุรุษที่พบเห็นใจสั่นสะท้าน รูปหน้าของนางคมชัดและตรงตามตำรับของคนโบราณ ผิวของนางขาวและดูเนียนนุ่ม ริมฝีปากเป็นสีแดงสดสะดุดตาในขณะที่ดวงตามีลักษณ์คล้ายกับเมล็ดอัลมอนด์ของนางนั้นใสราวกับสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วง คิ้วสีดำเข้มที่เรียงตัวเป็นทรงสวยยิ่งขับเน้นดวงตาคู่งามให้โดดเด่นยิ่งกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม อาร์ทิสในยามนี้นั้นรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก
ใบหน้าของนางซีดเซียวกว่าปกติ ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงไปหมด และเสื้อคลุมสีสดใสของนางก็ไหม้เกรียม และเวลานี้ นางก็กำลังจ้องไปที่ฉินเย่ด้วยสายตาที่ไร้ความปรานี
ยังไม่ตายเหรอ?
เอาล่ะ…มันค่อนข้างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย….
ฉินเย่ก้มหน้าลงมองดูของในมือของตน จากนั้นจึงเงยหน้ามองอาร์ทิสอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าคนตรงหน้าสามารถปลดปล่อยตัวเองได้โดยอาศัยความช่วยเหลือจากการโจมตีอันทรงพลังของตี้ทิง จากนั้นเขาจึงค่อย ๆ คลี่เศษผ้าออกและเริ่มพันมันรอบ ๆ ศีรษะของอีกฝ่าย “ไม่เป็นไร ทั้งหมดเป็นเพียงคำโกหก ทั้งหมดคือฟองสบู่ คือดอกไม้ไฟที่เปล่งประกายเพียงชั่วครู่….” [2]
ตูม! ฉินเย่สามารถพันเศษผ้ารอบศีรษะของอาร์ทิสได้เพียงรอบเดียวเท่านั้นก่อนที่ร่างของเขาจะถูกกระแทกด้วยแรงบางอย่างจนกระเด็นออกไป จากนั้นพลังลึกลับก็คว้าร่างของเขากลางอากาศและดึงกลับให้ไปหยุดอยู่ตรงหน้าอาร์ทิสอีกครั้ง และครั้งนี้เขาก็หยุดลงห่างจากเล็บสีดำของอีกฝ่ายเพียงแค่หนึ่งเซนติเมตรเท่านั้น
“แค่ก…แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก!!” พลังหยินที่อยู่รอบ ๆ ร่างของนางสลายไปพร้อมกับอาร์ทิสที่ไอออกมาอย่างรุนแรง สองวินาทีต่อมา นางก็เอ่ยด้วยเสียงนิ่งเรียบ “เจ้าคงคาดไม่ถึงใช่หรือไม่? ว่าความโชคร้ายที่สุดในชีวิตของข้าจะกลายเป็นพรอันประเสริฐและปลดปล่อยข้าของจากการกักขังของลูกบอลผนึกแบบนี้?”
ฉินเย่พยายามยิ้มออกมา ขณะที่เขายังคงลอยอยู่กลางอากาศ “เกี่ยวกับเรื่องนั้น…ก่อนหน้านี้พวกเราอาจจะมีเรื่องให้เข้าใจผิดกันเล็กน้อย…”
“เข้าใจผิดเล็กน้อยอย่างนั้นหรือ?!” อาร์ทิสคว้าหูของเด็กหนุ่มตรงหน้าและดึงมันอย่างแรงจนฉินเย่ร้องโอดโอยออกมาด้วยความเจ็บปวด “อย่า…ขอร้องล่ะ พอแล้ว! ใจเย็น ๆ สิ! โลกนี้มันมีเรื่องให้น่าอัศจรรย์อีกมากนะ! ท่านไม่ควรทำหน้าบึ้งตึงเช่นนี้! มันไม่ส่งผลดีกับท่านเลยสักนิด!”
“อาร์ตี้หรือ?! หืม?!” ตอนนี้อาร์ทิสได้บิดหูของฉินเย่จนครบ 180 องศาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในที่สุด คลื่นความโกรธที่สะสมอยู่ภายในใจของนางก็ได้ปลดปล่อยออกมาเสียที
“ขี้เกียจหรือ?! ไร้ประโยชน์หรือ?! ขี้ขลาดหรือ?! เฮอะ?!!”
“อาร์ทิสหรือ?!”
“มินิเธลอย่างนั้นหรือ?!”
ในท้ายที่สุด นางก็เตะเข้าที่ก้นของฉินเย่อย่างแรงจนทำให้ก้นของอีกฝ่ายยุบเข้าไปขณะที่เจ้าของร่างกระเด็นออกไปประมาณสามเมตร
“หึ…” อาร์ทิสไม่แม้แต่จะมองไปที่เด็กหนุ่ม กลับกัน นางตัวสั่นด้วยความตื่นเต้นขณะที่ก้มลงมองมือทั้งสองข้างของคนเอง จากนั้น นางก็เงยหน้าขึ้น และหัวเราะออกมาอย่างสุดเสียง “ฮ่า ๆๆๆๆๆๆ…..!!!!”
ตูม!! คลื่นพลังหยินที่น่าสะพรึงกลัวระเบิดออกมาจากร่างของหญิงสาว ทั่วทั้งสถานที่สั่นไหวอย่างรุนแรง ฉินเย่ส่งเสียงครางอู้อี้ออกมา มีบางอย่างดันขึ้นมาถึงลำคอ แต่เขาก็พยายามกลืนมันกลับไป
เขาคำนวณผิดไป…
ท่านยังมีชีวิตรอดได้อย่างไรกัน?
นั่นหมายความว่าความรู้สึกของข้าก่อนหน้านี้มันเสียเปล่าอย่างนั้นหรือ?
ฉินเย่ไม่คิดเลยว่าการโจมตีอันทรงพลังของตี้ทิงจะสามารถทำลายลูกบอลผนึกและปลดปล่อยตุลาการนรกที่ถูกขังอยู่ภายในให้ออกมาได้ นอกจากนี้…ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา อาร์ทิสยังทำตัวใสซื่อและไม่รู้เรื่องอะไร จนเขาแทบจะลืมนิสัยอารมณ์แปรปรวนของอีกฝ่ายไป
ฟึ่บ…หลังจากที่การระเบิดอันรุนแรงของพลังหยินสิ้นสุดลง ทุกอย่างพลันเงียบสงบลงอีกครั้งอย่างน่าแปลกประหลาด ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นเหมือนกับอารมณ์ที่ไม่แน่นอนของอาร์ทิส
เมฆดำที่อยู่รอบร่างของนางสลายไป ขณะที่นางสูดหายใจเข้าอย่างช้า และน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาก็สั่นเทา “ข้าออก….”
“ในที่สุดข้าก็ออกมาได้แล้ว!! ฮ่า ๆๆๆๆๆๆ!!”
หลังจากหัวเราะดังลั่นอยู่หลายวินาที นางก็ยกผ้าไหมสีเขียวพาดขึ้นที่หูของตัวเองอย่างสง่างาม แววตาที่ล้ำลึกและเย็นชาของนางนั้นงดงามจนทำให้ผู้ที่พบเห็นใจสั่น หญิงสาวมองฉินเย่ด้วยสายตาเย็นชาและเอ่ยว่า “ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้วก่อนหน้านี้ หนี้ค้างระหว่างเราไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถสะสางได้ภายในหนึ่งวัน…”
“เข้าใจผิดแล้ว ทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิด” ฉินเย่หัวเราะแห้ง แต่มือของเขาได้ค่อย ๆเอื้อมไปจับที่ด้ามกระบี่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่การเคลื่อนไหวของเขาจะรอดพ้นจากสัมผัสอันเฉียบคมของตุลาการนรกตรงหน้าไปได้อย่างไร? อาร์ทิสหัวเราะเย็นยะเยือกและทำให้กระบี่ปีศาจของฉินเย่กระเด็นออกไปทันที ปักมันเข้ากับกำแพงที่อยู่ห่างออกไปสิบเมตร ราวกับลูกธนูที่ถูกยิงออกไปจากคันธนู
อาร์ทิสก้าวไปหยุดอยู่ตรงหน้าของฉินเย่ เชยคางเด็กหนุ่มด้วยนิ้วมืออันเรียวงามของตนเอง
“เป็นเพียงนักล่าวิญญาณ แต่กลับกล้าต่อกรกับตุลาการนรกอย่างข้าอย่างนั้นหรือ? บอกข้ามา…เจ้าคิดว่าข้าควรจะลงโทษเจ้าเช่นไรดี?”
ฉินเย่เหงื่อออกเต็มไปหมด อารมณ์ของดวงวิญญาณตรงหน้าไม่สามารถคาดเดาได้เลยสักนิด
นางทำตามใจตัวเองเพียงอย่างเดียว
“พูดถึงเรื่องนั้น ท่านดูงดงามไม่เบาเลยนี่”
อาร์ทิสยิ้มบางเบา ริมฝีปากอ้าออกเล็กน้อยเผยให้เห็นลิ้นสีแดงเข้มที่ยื่นออกมาราวกับงูและเลียที่ข้างแก้มของฉินเย่เบา ๆ “อันที่จริง เจ้าก็เป็นแบบที่ข้าชอบ”
“…นั่นคงไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก มนุษย์และผีนั้นแตกต่างกันมากเกินไป พวกเราไม่มีทางที่จะไปด้วยกันรอด…” ฉินเย่ยกมือขึ้นและพึมพำเบา ๆ
“เริ่มกลัวขึ้นมาบ้างแล้วอย่างนั้นหรือ?” อาร์ทิสยังคงยิ้มบาง ๆ ขณะที่กำมือรอบลำคอของฉินเย่แน่น เสื้อผ้าที่ไหม้เกรียมและผมสีดำสนิทปลิวไสว และใบหน้าของนางในเวลานี้ดูน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก “ตอนที่เจ้าเรียกอรากษสะผู้สูงส่งอย่างข้าว่าอาร์ตี้ เสี่ยวอา หรืออาร์ทิสอะไรนั่น! เจ้าเคยนึกถึงความเป็นไปได้เช่นวันนี้บ้างหรือไม่?!!”
[1] วรรณกรรมที่พูดถึงนรก ดินแดนชำระบาปและอื่น ๆ ในความเป็นจริงแล้วนี่เป็นวรรณกรรมของอิตาลี แต่ที่ผู้เขียนเรียกมันว่าเป็น ‘รูปแบบของจีน’ ก็เพื่อที่จะสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้อ่านของเขา
[2] เนื้อเพลง Bubbles (泡沫) ของ G.E.M.
Comments