ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก 412 เรื่องวุ่นวายในโรงอาหาร
ตอนที่ 412 เรื่องวุ่นวายในโรงอาหาร
ตอนที่ 412 เรื่องวุ่นวายในโรงอาหาร
ด้วยเสียงคำรามของเขา บรรดาทหารชั้นผู้น้อยในโรงอาหารทั้งหมดเงียบไปชั่วขณะ
ทุกคนต่างก็มีความรู้สึกไม่ดีอยู่ข้างใน
เพราะหัวหน้าหน่วยไม่ได้แจ้งหัวหน้าตั่งก่อนรับประทานอาหาร และบอกให้พวกเขารีบไปกินก่อนที่หัวหน้าตั่งจะมา พอเรื่องนี้เกิดขึ้นหัวหน้าหน่วยของพวกเขาก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
จริง ๆ ทุกคนก็เห็นด้วย บางทีเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องรายงานหัวหน้าตั่ง กว่าที่ทุกคนจะเดินทางมาถึงที่นี่ก็ผ่านความยากลำบากมาไม่น้อย แม้แต่ในฉางจิงก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรับประทานอาหารแบบนี้ การที่ในอาทิตย์หนึ่งได้กินเนื้อกินผักก็ถือว่าดีมากแล้ว
ส่วนใหญ่พวกเขาจะไม่ได้อาศัยอยู่ในเมือง เพราะว่าต้องถูกส่งตัวไปยังที่ต่าง ๆ เพื่อทำภารกิจและการต่อสู้ ในเรื่องการกินอาหารก็ย่ำแย่ มีแค่อาหารแห้งและน้ำที่ไม่ได้ผ่านการต้มเท่านั้น
แต่ตอนนี้มาถึงเถาหยาง เมื่อเห็นอาหารมากมายที่มีทั้งผักและเนื้อ ไหนจะเครื่องดื่มและผลไม้ข้าง ๆ อีก ราวกับว่าพวกเขาอยู่ในสวรรค์บนดิน ขนาดพวกที่ชอบประจบประแจงหัวหน้าตั่งและชอบรายงานเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังเลือกที่จะปิดปากเงียบ
แต่คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายเขาก็รู้จนได้…และยังรู้เรื่องเร็วอีกด้วย เขาจะมาช้าสักครึ่งชั่วโมงไม่ได้หรือไง
ไม่ สิบนาทีก็ยังดี
หลังจากงุนงงอยู่สองวินาที ทหารผู้กล้าหาญก็รีบกินอาหารในจานอย่างรวดเร็วจนหมดเกลี้ยง พลางกลอกตาไปมาเนื่องจากสำลัก
ทันทีที่เขาลืมตาขึ้น ทุกคนก็เริ่มลงมือสวาปามอาหารที่อยู่ตรงหน้าเช่นเดียวกัน
ผู้ที่เข้าคิวก็เริ่มแตกแถวไม่เป็นระเบียบและพุ่งตัวไปที่บริเวณบุฟเฟ่ต์และเริ่มคว้าอาหารทันที
ทั้งข้าวทั้งน้ำซุบร้อน ๆ ลวกจนมือสั่น
ตั่งเหวยหรานโกรธมากและเดินตรงไปคว้าคอเสื้อหัวหน้าหน่วยพลาธิการ ลากเขาไปที่มุมตึกแล้วทุบตีเขา
หัวหน้าหน่วยคนอื่น ๆ รีบเข้าไปหยุดเขา แต่พวกเขาก็โดนเล่นงานเช่นเดียวกัน
เมื่อเหล่าทหารเห็นดังนั้น พวกเขาก็เริ่มรวมตัวกันเป็นกองเชียร์อยู่รอบ ๆ ในขณะที่พวกเขาถือจานเอาไว้ในมือแล้วกินอาหารไปด้วยพร้อมกับมองการต่อสู้ด้านหน้า
วุ่นวายไปทั้งโรงอาหาร
เมื่อซูเถารู้เรื่องนี้เข้า หัวหน้าหน่วยพลาธิการก็ได้รับการช่วยเหลือ ตาของเขาบวมเป่ง และถูกส่งตัวไปที่คลินิกแล้ว
ซูเถาเกิดอารมณ์โทสะจึงเดินไปที่โรงอาหารอย่างรวดเร็ว เธอเห็นทหารหนุ่มคนหนึ่ง อายุประมาณสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี นอนอยู่บนพื้นเพื่อหยิบลูกชิ้นที่กระจัดกระจายมากิน
ลูกชิ้นดูเหมือนจะถูกเหยียบจนแบน และเต็มไปด้วยคราบสกปรก
แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ และรีบยัดเข้าปากอย่างรวดเร็ว พร้อมกับแสดงสีหน้าพึงพอใจ หลังจากกินเสร็จเขาก็ตามเพื่อนคนอื่น ๆ ไปเก็บกวาดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ข้าวในโรงอาหารกระจัดกระจายและเลอะเทอะไปหมด มันน่าอายที่พวกเขาต้องขอให้คุณป้าทำความสะอาดมาช่วยจัดการ ชายกำยำอย่างพวกเขากลับมาทิ้งความประทับใจแย่ ๆ ไว้กับเถาหยาง
ซูเถาเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นก็ถอยออกมาและหันไปถามจวงหว่าน
“มีใครยังไม่ได้กินข้าวบ้าง?”
จวงหว่านปวดหัวจนแทบจะระเบิด
“คนเกือบครึ่ง หัวหน้าตั่งขอให้เอาจานทั้งหมดออก และทหารที่อยู่ปลายแถวก็ได้แต่มองดูจากระยะไกล พวกเขาไม่แม้แต่จะได้ดมกลิ่นของอาหาร”
“ไม่ให้กินข้าวเหรอ จะให้กินลมหรือยังไง เขาต้องการอะไรกันแน่?” ซูเถาขมวดคิ้ว
จวงหว่านเรียกคนที่มีหน้าที่ดูแลโรงอาหารมา ซึ่งเขาเองก็เพิ่งเผชิญกับการตะลุมบอนและยังถูกหัวหน้าตั่งทำร้าย เขาได้รับบาดเจ็บทั้งร่างกายและจิตใจ
เขาพูดด้วยใบหน้าเศร้า
“เถ้าแก่ซู หัวหน้าตั่งบอกว่าทางเถาหยางมีอาหารดี ๆ ให้พวกเขากินแบบนี้ มันทำให้พวกเขาเป็นคนกลับกลอก แต่พวกเขาจะอยู่รอดได้ยังไงหากไม่มีอาหารหรือเครื่องดื่มในสนามรบ และจากนี้ไปต้องให้พวกเขากินอาหารแค่สองมื้อต่อวัน และส่วนใหญ่เป็นอาหารแห้ง เขาบอกว่าถ้าผมไม่ทำตามคำสั่ง ก็จะไล่ผมออกไป…”
ใบหน้าของซูเถาสลดลง
ตั่งเหวยหรานไม่ได้พูดเรื่องนี้กับคนดูแลโรงอาหาร แต่เขาต้องการส่งคำพูดนี้มาถึงเธอซูเถา
เพราะว่าอาหารเหล่านี้เธอเป็นคนจัดการ และตั่งเหวยหรานไม่พอใจอย่างมากที่เธอเข้าไปยุ่งกับอาหารของทหาร
แต่เธอไม่ได้ผละออกไปเผชิญหน้ากับหัวหน้าตั่งทันที และพยายามสงบอารมณ์ของตัวเองลงก่อน และเริ่มสังเกตการทำงานและการพักผ่อนของทหาร
พวกเขาตื่นนอน 06.30 น. เพื่อฝึกในช่วงเช้า แล้วกินข้าวเช้าตอน 08.30 น. จากนั้นก็เข้าเรียนหลักสูตรทางการทหารแล้วก็ฝึกต่อจนถึง 13.00 จากนั้นพักกินอาหารเที่ยง 1 ชั่วโมง ช่วงบ่ายก็ฝึกยาวจนถึง 20.00 น. จากนั้นก็พักกินข้าวครึ่งชั่วโมง แล้วฝึกต่อถึง 23.00 น.
กว่าจะได้เข้านอนก็เข้าวันใหม่แล้ว
กล่าวได้ว่าการฝึกฝนความแข็งแกร่งนั้นค่อนข้างหนักมาก
ซูเถาก็ไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผล เธอกลัวว่าตนเองจะทำให้ทหารเสียคนและทำลายความมุ่งมั่น ดังนั้นจึงไปถามอาจารย์คนปัจจุบันของเมิ่งเสี่ยวป๋อ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของกัปตันทีมทหารรับจ้างพั่วจู๋เพื่อขอคำแนะนำ
กลุ่มพั่วจู่เป็นทีมทหารรับจ้างที่เธอจ้างให้พวกเขาไปช่วยเสิ่นเวิ่นเฉิงและทีมวิจัยคนอื่น ๆ ในฐานเหอคัง กัปตันต้วนของพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ในเถาหยาง และต้องการให้อาจารย์ที่เคารพนับถือของเขาซึ่งเป็นอัมพาตร่างกายส่วนล่างมาใช้ชีวิตเกษียณอายุอยู่ที่เถาหยางเฉย ๆ
ซึ่งต่อมาเธอก็ได้อนุญาตให้อาจารย์ของเขาหนิงอวี้ซาน สามารถอยู่ได้โดยอาศัยโควตา “รับสมัครผู้มีความสามารถพิเศษ” ของเถาหยาง
ประสบการณ์ทางทฤษฎีและภาคปฏิบัติของหนิงอวี้ซานมีมากมาย จะเห็นได้จากการฝึกเมิ่งเสี่ยวป๋อผู้โง่เขลาให้ใช้พลังได้อย่างเป็นปกติ ถือว่าเป็นพรสวรรค์ที่หาได้ยาก
สวีฉีเองก็ยังพูดถึงเขาอย่างชื่นชม และมักจะกระซิบข้างหูของซูเถาเพื่อดูว่าเขาจะให้งานกับหนิงอวี้ซานได้หรือไม่
ซึ่งซูเถาก็มีแผนนี้เช่นกัน เดิมทีเธอต้องการรอทหารจากฉางจิงมา และมอบหมายให้เขาทำหน้าที่บัญชาการทางยุทธวิธี
แต่ดูจากพฤติกรรมอันน่าเกรงขามของตั่งเหวยหรานแล้ว เกรงว่าเขาคงจะทนไม่ได้ที่เธอส่งคนเข้าไปจัดการ
หนิงอวี้ซานเองก็เข้าใจ เพราะตั้งแต่ตั่งเหวยหรานมา เขาก็ไม่ได้ปรากฏตัว และได้แต่อ่านหนังสือในห้องของเขาทุกวัน
เมื่อซูเถามาถึงประตู ก็เห็นเมิ่งเสี่ยวป๋อเกาหัวและยิ้มอย่างไร้เดียงสา ดวงตาของเมิ่งเสี่ยวป๋อเป็นประกายเมื่อเขาเห็นซูเถา
“เถ้าแก่ซู ผมกำลังตามหาคุณพอดี ภรรยาของผมกำลังตั้งครรภ์ล่ะ คิกคิก…”
“ฉันรู้แล้วค่ะ ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ” ซูเถายิ้มกว้าง
เมิ่งเสี่ยวป๋อจากไปอย่างมีความสุข และภายในไม่กี่ก้าวภรรยาของเขาก็พาเขากลับบ้านด้วยการดึงหูของเขา
“คนเขารู้กันทั่วเถาหยางแล้ว! ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าเพิ่งพูดอะไรในช่วงสามเดือนแรก! นายแทบจะป่าวประกาศไปทั่วเถาหยางราวกับเป็นเครื่องกระจายเสียง นายไม่ต้องการหูแล้วใช่ไหมถึงยั่วโมโหฉันอยู่เรื่อยเลย”
ซูเถายิ้มให้กับคู่รักคู่นี้และเมื่อเธอเข้าไปในห้อง ก็เห็นหนิงอวี้ซานกำลังอ่านหนังสืออยู่บนรถเข็น
ปีนี้เขาอายุสี่สิบแล้ว แต่เขายังดูดีมาก และหลังของเขาก็ยังตั้งตรงแม้ว่าเขาจะป่วยหนักก็ตาม
“เถ้าแก่ซู” เขาวางหนังสือลงและดูเหมือนรู้ว่าเธอจะมา เขาพยักหน้าและหมุนรถเข็นเพื่อให้เธอเข้ามานั่ง
ซูเถาทักทายเขาสองสามคำ จากนั้นก็เข้าประเด็นและอธิบายจุดประสงค์ของการมา
หนิงอวี้ซานได้ยินเรื่องทั้งหมดของซูเถา ซึ่งดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะอยู่ในความทรงจำของเขา เขาส่ายหัวและพูดว่า
“เขายังเหมือนเดิมจริง ๆ บอกตามตรงนะเถ้าแก่ซู ผมมีเรื่องข้องใจส่วนตัวกับตั่งเหวยหราน เป็นเพราะเขา ผมถึงไม่ได้ไปฉางจิงเพื่อรับการรักษา ในช่วงปีแรก ๆ ผมมีความขัดแย้งกับความคิดของเขาในตอนเด็ก และเป็นปัญหาที่น่าอายมากเพราะครั้งหนึ่งผมเคยเรียกเขาว่าทรราช ฆาตกร ฯลฯ และต่อสู้กับเขา และผมก็ไม่ชอบการปฏิบัติต่อทหารอย่างแข็งกร้าวของเขามาก นี่คือความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างเรา”
ซูเถาเข้าใจทันทีว่าหนิงอวี้ซานไม่เห็นด้วยกับวิธีการนำทัพสุดโต่งของตั่งเหวยหราน
เพียงแต่เธอไม่คาดคิดว่าทั้งสองคนจะเป็นคนรู้จักกันมาก่อน
โลกกลมจริง ๆ…
ซูเถายังเงียบเสียงอยู่และไม่ได้พูดอะไรต่อ
หนิงอวี้ซานกล่าวต่อ
“แต่หลายปีผ่านไป อคติของผมที่มีต่อเขาค่อย ๆ จางหายไป พูดตามตรงตั่งเหวยหรานไม่ได้เป็นคนชั่วร้าย ตรงกันข้ามเขาได้ฝึกฝนทางการทหารมานับไม่ถ้วนเพื่อปกป้องผู้คนทั้งสหพันธ์ ในตอนที่วันสิ้นโลกได้เริ่มต้นขึ้นสองปีแรกเป็นช่วงที่ยากลำบากมากที่สุด เขาต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนมา และด้วยความห้าวหาญทางทหารที่โดดเด่น แนวคิดการนำทัพของเขาถูกปลูกฝังตั้งแต่นั้นมา เขารู้สึกว่าทหารที่มีชีวิตอยู่ในวันสิ้นโลกควรได้รับความทุกข์ยากที่สุด และละทิ้งความปรารถนาทั้งหกประการ เพื่อที่จะเป็นเครื่องจักรต่อสู้ที่ดีขึ้น”
—————————————————-
Comments