ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 101 ร้องเพลงใต้แสงจันทร์
ตอนที่ 101 ร้องเพลงใต้แสงจันทร์
ตอนที่ 101 ร้องเพลงใต้แสงจันทร์
เขาชิมอีกหนึ่งอึก ในปากยังคงรู้สึกถึงฟองแก๊ส ทว่าครั้งนี้เขาสงบนิ่งลงไปมา แล้วลิ้มรสอย่างละเมียดละไม
เฉียวเยี่ยนเองก็ดื่มไปหนึ่งอึก และถามด้วยรอยยิ้ม “เป็นอย่างไร? อร่อยหรือไม่?”
มู่ฉินเจินพยักหน้าเล็กน้อย เริ่มแรกที่ชิมรู้สึกเผ็ดซ่ามาก แต่เมื่อดื่มอีกครั้งกลับมีรสชาติที่พิเศษ กล่าวคือ รู้สึกชอบมาก!
เด็กทั้งสองเห็นมารดากับบิดากำลังดื่มน้ำที่มัน ‘ซ่า’ ก็รู้สึกอยาก จึงยื่นหน้าเข้าไปใกล้อยากจะดื่มเช่นกัน เฉียวเยี่ยนจึงนำหลอดมาเจาะนมแคลเซี่ยมให้พวกเขา และหลอกล่อให้พวกเขาดื่มนมแคลเซียม
ขณะที่ดื่มกิน สองสามีภรรยาก็พูดคุยกัน ชีวิตดูสะดวกสบายมาก พวกข้ารับใช้เองก็เปิดเตาเล็กกินอาหารยามดึกเช่นกัน หลังจากองครักษ์กลับตำหนักแล้วก็ผ่อนคลายมาก ไม่ต้องเฝ้าระวังตลอดเวลา แถมยังรับประทานอาหารกับพวกพี่น้องบ่อยๆ ได้
อย่างไรเสียวรยุทธ์ของเจ้านายทั้งสองเก่งกาจกว่าพวกเขาอยู่แล้ว หากดูจากเรื่องอันตราย ก็ไม่แน่พวกเขาอาจจะเป็นหนึ่งคนนั้นที่ถูกช่วยเหลือ
ด้วยเหตุนี้เรือนจิ่งเสวียนขนาดใหญ่จึงมีเพียงครอบครัวสี่คน ส่วนฮุ่ยเซียงไปเล่นกับพวกพี่น้องแล้ว ช่วงนี้นางปวดใจอย่างมาก จึงต้องล่าถอยไปรักษาแผลใจก่อน
สงครามแย่งชิงหวางเฟยของนางกับท่านอ๋องครั้งนี้จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของนาง และพักนี้ท่านอ๋องก็ได้ใจมาก เอาแต่เกาะติดหวางเฟยทุกวัน ไม่เหลือโอกาสให้นางเลยแม้แต่น้อย!
และหวางเฟยเองก็หลงใหลท่านอ๋องจนสับสน จนลืมเสียสิ้นว่ายังมีนางผู้นี้อยู่
ฮุ่ยเซียงที่ร้องไห้เมื่อนึกถึงเรื่องปวดใจพวกนี้กินอาหารมื้อใหญ่กับพวกพี่สาวน้องสาว แล้วยังดื่มเหล้าเล็กน้อย
ในขณะที่เฉียวเยี่ยนดื่มเครื่องดื่ม จู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในพระราชวังวันนี้ นางจึงกระดิกนิ้วใส่มู่ฉินเจิน พลางยิ้มอย่างลึกลับยิ่ง “อยากฟังข้าร้องเพลงไหม?”
นางนั่งอยู่ใต้แสงจันทร์ แสงเทียนส่องดวงหน้านาง นัยน์ตาเป็นประกายแวววาว มุมปากแฝงไปด้วยรอยยิ้มลึกลับ นางในเวลานี้ในสายตามู่ฉินเจินดูเจิดจรัสกว่าดวงดาวบนท้องฟ้าเสียอีก
เขามองอย่างเหม่อลอย ไม่ได้ตอบคำถามในทันที ทว่าเด็กทั้งสองกลับร้องไชโยอยากฟังมารดาร้องเพลง เฉียวเยี่ยนลูบศีรษะเด็กน้อยทั้งสองอย่างพึงพอใจในตัวพวกเขา
นางลุกเดินเข้าไปในเรือน มู่ฉินเจินถึงได้สติกลับมา เขาเคยฟังเสียงร้องของนาง ตอนกล่อมเด็กๆ นอนจะร้องเพลง อาบน้ำให้เด็กๆ นางก็ร้องเพลง บางเวลาที่ทำงานนางก็ส่งเสียงเป็นทำนองเพลงออกมา มันไพเราะ นุ่มนวล อ่อนหวานมาก เหมือนตัวนาง
แต่เหมือนเขาจะไม่เคยได้ยินนางร้องเพลงแบบเป็นทางการเลย จึงอดคาดหวังขึ้นมาไม่ได้
ในตอนที่เฉียวเยี่ยนออกมาจากในบ้านอีกครั้งก็มีของบางอย่างอยู่ในมือนาง มันคือกีตาร์ตัวหนึ่งที่เพิ่งซื้อมาจากระบบตัวน้อยเมื่อครู่ ใช้คะแนนนางไปหนึ่งพันกว่าคะแนน ช่างแพงเหลือเกิน
ตอนสมัยปัจจุบันนางเคยเรียนกีตาร์เอง ไม่ต้อยเอ่ยถึงว่ามีฝีมือแค่ไหน นางดีดได้อย่างคล่องแคล่วมาก และมักจะเล่นกีตาร์ร้องเพลงกับพวกเพื่อนๆ
งานก่อนหน้านี้ของนางคือนักอนุรักษ์ทรัพยากรพันธุกรรมพืชหายาก สถานที่ทำงานส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภูเขาอันหนาวจัด บางครั้งถูกตัดไฟตัดน้ำ ไม่มีอินเทอร์เน็ตเข้าถึง กีตาร์จึงเป็นที่พึ่งทางใจสำหรับนางกับเพื่อนๆ
ภายใต้ราตรีกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยดวงดารา นางกับเพื่อนร่วมงานก่อกองไฟ นางดีดกีตาร์ พวกเขาเต้นรำรอบกองไฟ ใช้ชีวิตอย่างผ่าเผยและอบอุ่นสบายมาก
ยามนี้ได้สัมผัสกีตาร์อีกครั้ง ความรู้สึกคิดถึงบ้านอย่างแรงกล้าพรั่งพรูออกมาจากใจ และไม่รู้ว่าเพื่อนเก่าเหล่านั้นเป็นอย่างไรกันบ้าง
นางกอดกีตาร์นั่งลงบนเก้าอี้ แล้วลองดีดสายอยู่ครู่หนึ่ง และตั้งสายอยู่สองสามครั้ง มือนางดูติดขัดเล็กน้อย ทว่าโชคดีที่ไม่ได้ลืมทักษะพื้นฐาน
หลังจากเตรียมเสร็จแล้ว นางก็เริ่มเล่น เสียงเฉพาะของกีตาร์ดังขึ้นก้องเรือนจิ่งเสวียน เสียงเสนาะไพเราะ ทว่าไม่นุ่มนวลเท่าเสียงกู่เจิง แต่ให้ความรู้สึกที่หนักแน่นกว่า
หลังจากเล่นแล้ว เสียงของเฉียวเยี่ยนก็ดังขึ้น มันสงบ อ่อนนุ่มมาก ฉะฉานประหนึ่งเล่าเรื่องราว
“ถ้าวันหนึ่งฉันมีสวนผลไม้ใหญ่ๆ
ฉันจะยอมละทิ้งการแสวงหาทุกอย่างแล้วมาเป็นชาวนาทำไร่
ทุกเช้าฉันไถนาในทุ่งหญ้าเขียวขจี
ทุกค่ำฉันเฝ้าดูทุ่งข้าวสาลีในชนบท
ฉันจะละลายความกังวลไปสู่ตะวันตกดิน
ให้ใจโดดเดี่ยวรอความสุขของการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง”
เพลงพื้นบ้านนี้เป็นเพลงที่เฉียวเยี่ยนชอบฟังที่สุดตอนอยู่ในสมัยปัจจุบัน เพราะนางรู้สึกว่าเพลงนี้ได้ร้องความฝันของนางออกมา
หาสถานที่เงียบสงบสร้างบ้านหลังหนึ่ง และปลูกที่ดินสักสองสามหมู่ ด้านข้างบ้านไถที่ทำไร่ผักและสวนผลไม้ ทุกเช้าออกมาทำงาน ทุกค่ำกลับบ้านไปพักผ่อน ชวนเพื่อนๆ มาพูดคุยด้วยกัน หรือดื่มร้องรอบกองไฟ
นี่คือความฝันเมื่อก่อนของนาง หากไม่เกิดอุบัติเหตุแล้วทะลุมิติมา ไม่แน่นางอาจจะใช้ชีวิตเช่นนี้ไปแล้วก็ได้
แต่กระนั้นนางก็ไม่เคยเสียใจที่มายังโลกนี้ เพราะที่นี่มีเขา มีลูกๆ พวกเขาคือคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตนาง
นางในตอนร้องเพลงดูทุ่มเทอย่างมาก ใบหน้ายังแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน เสียงร้องนั้นยิ่งทำให้ราตรีสงบเงียบมากขึ้น
มู่ฉินเจินรู้สึกว่าเขาได้ค้นพบอีกด้านหนึ่งของเจ้าท่อนไม้แล้ว ไม่ใช่คนเห็นแก่เงินที่ลุ่มหลงในการหาเงิน และไม่ใช่แม่ครัวตัวน้อยที่กระตือรือร้นในการทำอาหาร นางมีความใฝ่ฝันอันเรียบง่ายมาก ทำไร่ทำสวนอย่างเงียบสงบ เพลิดเพลินความสุขไปกับการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง
เด็กน้อยทั้งสองถูกเสียงร้องของมารดาดึงดูด กอดนมแคลเซียมดื่ม พร้อมฟังอย่างนิ่งเงียบ ไม่มีวุ่นวายเลยสักนิด อีกทั้งฟังอย่างมีความสุข แถมยังส่ายร่างน้อยของตัวเองไปมา และเผยท่าทางพึงพอใจออกมา
เมื่อเล่นจบ มู่ฉินเจินก็ปรบมือให้นาง เด็กทั้งสองก็ปรบมือน้อยให้กำลังใจมารดา เฉียวเยี่ยนยิ้มอย่างมีความสุข และดึงพวกเขาเข้ามาหอมคนละสองฟอด
นอกเรือนจิ่งเสวียนมีข้ารับใช้มารวมตัวกันไม่น้อย พวกเขาล้วนมาเพราะเสียงร้องอันไพเราะเมื่อครู่ แต่ละคนยื่นศีรษะเบียดกันแอบฟังอยู่นอกเรือน ไม่กล้าเข้าไปรบกวนเจ้านายทั้งสอง
ใกล้จะเข้าสู่เดือนสิบแล้ว การเก็บเกี่ยวพืชผลในฤดูใบไม้ร่วงตามปกติใกล้จะสิ้นสุดลง แต่ของเฉียวเยี่ยนกลับเพิ่งเริ่มเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยว
พวกชาวบ้านสองหมู่บ้านที่ปลูกเป็นครั้งแรกต่างตกตะลึงเมื่อเห็นผลผลิต ผลผลิตของพื้นดินหมู่นี้อาจจะหนักถึงสองหรือสามพันชั่ง ซึ่งมากเท่ากับข้าวโพดที่พวกเขาปลูกในฤดูกาลหนึ่งเลย!
ที่สำคัญคือ ไม่คิดเลยว่าของสิ่งนี้จะอร่อยขนาดนี้ ทั้งหวานทั้งเนื้อแน่น อร่อยกว่าข้าวข้าวโพดที่พวกเขาทานมาก หากเอ่ยถึงข้อเสียเพียงอย่างเดียวของสิ่งนี้ก็คือหากกินมากเกินไปท้องจะอืด แล้วก็ผายลมออกมาไม่หยุด
ผลผลิตของหมู่บ้านทั้งสองแห่งไม่เลวเลย เฉียวเยี่ยนจึงเหลือไว้ส่วนหนึ่งให้เป็นเสบียงอาหารแก่พวกเขา และสามารถเอามาทำเป็นเมล็ดพันธ์ุไว้ปลูกปีหน้าได้ ส่วนที่เหลือทั้งหมดขนกลับไปเมืองหลวง ตอนนี้ห้องว่างทั้งหมดทั่วทั้งตำหนักอ๋องล้วนเต็มไปด้วยกองผัก
นอกจากเฉียวเยี่ยนแล้ว เกษตรกรคนอื่นๆ ก็เก็บเกี่ยวได้ดีเช่นกัน ในตอนแรกที่ปลูก พวกเขาเห็นเพียงการแลกเปลี่ยนเป็นเงินกับท้องพระคลังเท่านั้น แต่ตอนนี้เมื่อเห็นการเก็บเกี่ยวก็ดีใจจนยิ้มไม่หุบ และยังขัดเคืองใจกับบางอย่างที่ปลูกเพียงเล็กน้อยว่าทำไมตอนนั้นไม่ปลูกให้มากหน่อย
ทั้วทั้งประเทศเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่ ชาวบ้านดีอกดีใจเป็นพิเศษ ชื่อของเฉียวเยี่ยนถูกขานถึงอีกครั้ง พวกเกษตรกรต่างเลื่อมใสต่อซู่หวางเฟยมากยึ่งขึ้น
ตอนนี้ทั่วทั้งตำหนักไม่มีที่ให้วางได้แล้ว แต่แปลงที่ขุดยังไม่ถึงหนึ่งในสามเลย เฉียวเยี่ยนจึงคิดแผนขั้นต่อไปของนาง
นางอยากสร้างโรงงานหลังหนึ่ง ความจริงก็คือโรงงานแปรรูปอาหารในยุคปัจจุบัน เอามาใช้ผลิตสินค้าที่เป็นผงกับผักดอง
พริกที่ตากแห้งมีปริมาณมากพอแล้ว และเพียงพอที่จะให้นางตั้งโรงงานได้ นางมีแผนจะทำเครื่องปรุงซอสพริก ฮั่วกัวตี่เลี่ยว ซอสกันกัว* พวกนี้มาขายปลีกและส่ง ถึงตอนนั้นก็จะส่งไปขายทั่วประเทศ แล้วค่อยๆ ขยับขยายกิจการของนางออกนอกเมืองหลวง
(*干锅酱 ซอสกันกัว พริกหม้อไฟแห้ง)
นางต้องการสร้างโรงงานในเมืองหลวง เพื่อสะดวกในการจัดหาคนงาน การขนส่ง และการขาย แต่มันมีราคาต้นทุนสูงมาก และการซื้อที่ดินเพื่อสร้างโรงงานก็ไม่ใช่ถูกๆ เลย
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
โอ๋เอ๋นะคะฮุ่ยเซียง อกหักจากหวางเฟยแล้วก็กินดื่มย้อมใจไปให้เต็มที่นะคะ
มีแต่โปรเจคใหญ่ๆ เล็กๆ ไม่ ใหญ่ๆ ทำสินะคะ
ไหหม่า(海馬)
Comments