ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 102 หากกล่าวขอบคุณอีกข้าจะลงโทษเจ้า

Now you are reading ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? Chapter 102 หากกล่าวขอบคุณอีกข้าจะลงโทษเจ้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 102 หากกล่าวขอบคุณอีกข้าจะลงโทษเจ้า

ตอนที่ 102 หากกล่าวขอบคุณอีกข้าจะลงโทษเจ้า

เฉียวเยี่ยนสืบเสาะมาหลายวันก็หาสถานที่เหมาะสมไม่ได้ เลยร้อนใจอยู่เล็กน้อย หลังจากมู่ฉินเจินรู้ความคิดนาง แค่ใช้เวลาเพียงหนึ่งวัน ก็หาสถานที่พอใช้ได้ให้แก่นางได้

ภายในเมืองหลวงมีเรือนรกร้างอยู่หลังหนึ่ง พื้นที่ค่อนข้างใหญ่ เป็นจวนของขุนนางคนหนึ่งที่ต้องโทษมาก่อน ทั้งครอบครัวของขุนนางคนนั้นถูกประหารเก้าชั่วโคตร จวนก็ถูกริบคืนราชสำนัก ผ่านไปหลายปี ฝ่าบาทไม่ได้พระราชทานเรือนหลังนั้นให้เป็นของรางวัลออกไปเลย

ทุกวันนี้ เรือนหลังนั้นยังเป็นของราชสำนัก แต่เพราะไม่ได้ซ่อมมาหลายปี ภายในลานจึงมีวัชพืชขึ้นไปทั่ว หลังคาเริ่มรั่ว แต่โชคดีที่บ้านไม่เสียหาย หลังจากซ่อมแซมง่ายๆ ก็สามารถใช้ใหม่ได้แล้ว

มู่ฉินเจินไปตรวจสอบดูเองแล้วรอบหนึ่ง รู้สึกว่าพอใช้ได้ ก่อนจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เฒ่า ให้พระองค์พระราชทานบ้านให้เฉียวเยี่ยน เพื่อเป็นรางวัลให้นางที่จัดเตรียมงานเลี้ยง

ฮ่องเต้เฒ่าไม่อยากตรัสอะไร เห็นว่าเป็นแค่บ้านทรุดโทรมหลังหนึ่ง จึงพระราชทานเป็นรางวัลอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง

ครั้นเฉียวเยี่ยนได้ยินข่าวนี้ก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก หากมีบ้านสำเร็จรูป เช่นนั้นนางก็จะประหยัดเงินที่เอาไปสร้างโรงงานได้ อีกทั้งที่ตั้งยังอยู่ภายในเมือง ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของราชวงศ์กับขุนนางระดับสูงเท่านั้นที่จะอยู่ได้

ปัญหาที่อยู่ในใจของมาหลายวันได้รับการแก้ไขแล้ว เฉียวเยี่ยนก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา ซึ่งพอถึงพลบค่ำ ก็ยากที่จะชวนมู่ฉินเจินไปเดินเล่นด้วยกันได้

วันนี้เด็กทั้งสองเล่นในสำนักศึกษาจนมีความสุขเกินไป หลังจากกินข้าวเสร็จไม่นานก็หลับไป นางสั่งฮุ่ยเซียงให้เฝ้าพวกเขาเอาไว้ ส่วนนางก็ไปลากมู่ฉินเจินไปเดินเล่นในสวน

ฟ้ามืดลงแล้ว แต่แสงจันทร์สว่างดีมาก มู่ฉินเจินถือโคมไฟไว้มือหนื่ง อีกมือจับมือเฉียวเยี่ยนเอาไว้

ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องจุดโคมไฟก็ได้ แค่แสงจันทร์ก็เพียงพอให้พวกเขาเห็นเส้นทางแล้ว แต่เขาก็ยังถือ เพราะอยากอาศัยแสงโคมมองหน้านางให้ชัดเจน

สองสามีภรรยาเดินเล่นอย่างช้าๆ อยู่ในสวน และสนทนาการอย่างสบายๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเฉียวเยี่ยนที่พูด มู่ฉินเจินฟังอยู่เงียบๆ และตอบรับมาเป็นครั้งคราวเพื่อแสดงความคิดของตัวเอง

วิธีคบหากันของทั้งสองคนนั้นแปลกมาก ไม่เหมือนหนุ่มสาวที่รักกัน จู๋จี๋อี๋อ๋อกันตลอดเวลา แต่เหมือนคู่รักชราที่คบกันมาครึ่งชีวิตที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกันและรักกันยาวนาน

นางต้องการหาเงิน เขาก็สนับสนุน เขาจะไปว่าราชกิจจัดการเรื่องราชการ นางก็ทำอาหารอร่อยๆ ให้เขา ตอนที่ยุ่งแต่ละคนก็ยุ่งมาก และไม่ไปรบกวนอีกฝ่าย ตอนว่างก็อยู่เป็นลูกๆ หรือพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ

เฉียวเยี่ยนไม่เคยมีความรักมาก่อน จึงไม่รู้ว่าคู่หนุ่มสาวคู่อื่นแสดงความรักกันอย่างไร บางทีอาจเป็นการรักกันอย่างกระตือรือร้น ดุดันเร่าร้อนปานจะขาดใจ ให้คำมั่นสัญญาว่าจะรักจนชั่วฟ้าดินสลาย รักมั่นกันไปชั่วกัปป์ชั่วกัลปาวสาน

ชีวิตของนางกับมู่ฉินเจินไม่มีช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นอะไรปานนั้น แต่เมื่อเทียบกับสิ่งเหล่านั้นแล้ว นางขอเพลิดเพลินกับความสุขอันอบอุ่นและเรียบง่ายในตอนนี้ดีกว่า

ทั้งสองคุยกันจนมาถึงเรื่องเรือนรกร้างหลังนั้น เฉียวเยี่ยนมีความรู้สึกบางอย่าง จึงเอ่ยขอบคุณมู่ฉินเจินอย่างจริงจัง

มู่ฉินเจินชะงักฝีเท้า ดึงมือนางเอาไว้ สีหน้าอ่อนโยนเคลือบไปด้วยร้อยยิ้มเล็กน้อย ทว่าน้ำเสียงเผด็จการมาก “ต่อไปห้ามเอ่ยขอบคุณข้าอีก หากยังทำผิดอีก ข้าจำต้องลงโทษเจ้าแล้ว!”

ทุกสิ่งที่เขาทำล้วนทำด้วยใจ และเป็นเพราะนางคือคนที่เขารัก เป็นเพราะนางมีค่า เขาจึงไม่ต้องการให้นางมารู้สึกซาบซึ้งในพระคุณกับเขา

เฉียวเยี่ยนหลุดหัวเราะออกมา พลางเงยหน้าขึ้น และยิ้มให้เขา “เช่นนั้นท่านจะลงโทษข้าอย่างไรล่ะ?”

มู่ฉินเจินหลุบตามองดวงหน้าขาวนวลเกลี้ยงเกลาของนาง ดวงตาแวววาวคู่นั้นเปี่ยมล้นไปด้วยรอยยิ้ม จนทำให้เขาคันยุบยิบที่ใจ

ลูกกระเดือกเขาขยับ ก่อนก้มหน้าลงไปจุมพิตหน้าผากนาง ทั้งหนักแน่นทั้งเน้นย้ำ สักพักหนึ่งจึงผละออก และกระซิบเสียงเบา

“ลงโทษแบบนี้ไง”

เฉียวเยี่ยนยังคงมึนงง บนหน้าผากหลงเหลือความอบอุ่นอยู่ ในหัวยังเต็มไปด้วยสัมผัสอบอุ่นอ่อนโยนเมื่อครู่

นี่คือครั้งแรกที่มู่ฉินเจินจูบหน้าผากนาง อย่ามองว่าท่านอ๋องเย็นชา แต่ความจริงแล้วเขาหน้าด้านมาก ขวยอายง่าย และหน้าแดงง่ายด้วย

เมื่อก่อนนางเป็นคนเริ่มหอมแก้มเขาก่อน และทุกครั้งก็แกล้งหยอกจนปลายหูเขาแดงได้ แต่ไม่คิดเลยว่าวันนี้เขาจะจูบตัวเอง

นางกุมหน้าผากไว้และคืนสติกลับมา และรู้สึกเขินอายเล็กน้อยกับท่าทางตัวเองเมื่อครู่ ก็แค่จุ๊บหน้าผากเอง มีอะไรให้น่าขบคิดกัน!

……

เช้าวันรุ่งขึ้น วันนี้เด็กทั้งสองไม่ไปเรียน เฉียวเยี่ยนจัดแจงพวกเขาตั้งแต่เช้าตรู่ และพาพวกเขาออกไปข้างนอก

วันนี้นางไปดูบ้านหลังนั้นแล้ว หลังจากตรวจดูก็พบว่าควรเริ่มงานได้ เมื่อคอยจนเข้าฤดูหนาว ทั่วฟ้าเต็มไปด้วยหิมะโปรย ระดับในการก่อสร้างจะยากขึ้นมาก

ตำหนักอ๋องซู่อยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองเขตใน และบ้านหลังนั้นอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ระยะห่างถือว่าไม่ไกลนัก หากนั่งรถม้าไปประมาณสองเค่อก็ถึงแล้ว

จวนถูกปิดตายมาหลายปี สีบนเสาจึงลอกออกบางส่วน เผยให้เห็นรอยต่างๆ เป็นหย่อมๆ

ผนังกระดาษที่ประตูถูกแกะออกแล้ว เฉียวเยี่ยนก็ได้กุญแจมาอยู่ในมือแล้ว ฮุ่ยเซียงจึงรับกุญแจมาเปิดประตูออก แล้วประตูที่ไม่ได้ใช้งานมาหลายปีก็ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดแสบแก้วหูออกมา

ประตูจวนถูกผลักเปิด เผยให้เห็นภาพภายในสู่สายตา ทางเดินปูแผ่นหินสายหนึ่งทอดยาวตรงไปยังประตูเยว่เหมิน ทั้งสองด้านของทางเดินแผ่นหินเดิมทีควรจะเป็นสวนดอกไม้ ทว่าในยามนี้มีวัชพืชขึ้นเต็มแล้ว มุมขวาของลานบ้านยังมีห้องอีกสองสามหลัง เป็นห้องพักของบ่าวที่เข้าเวรทำงาน

วัชพืชเหล่านั้นสูงจนจะเทียบเท่าคนแล้ว เด็กน้อยทั้งสองถึงกับปิดปากส่งเสียงอุทานออกมา ส่วนเฉียวเยี่ยนกังวลว่าในพุ่มหญ้าจะมีงูหรือไม่ จึงอุ้มเด็กทั้งสองเดินเข้าไปข้างใน

ยิ่งเดินเข้าไป ก็ยิ่งมีภาพที่น่าตกใจยิ่งกว่าเดิม สระบัวของก่อนหน้านี้ได้แห้งขอด โคลนใต้สระต้องแดดจนแตกระแหง ศาลาก็ถูกคลุมไปด้วยวัชพืช ทางเดินเล็กที่เอาไปเดินเที่ยวชมดอกไม้แต่เดิมนั้นถูกปิดเอาไว้หมด

นางจากทางเดินปูหินสายหลักที่เดินผ่านได้ สถานที่อื่นๆ ก็มองไม่เห็นเป็นเค้าโครงเดิมอีกแล้ว

เฉียวเยี่ยนเดินมาถึงลานหลัก นางสำรวจห้องรอบๆ แม้จะเก่าไปบ้าง แต่วัสดุที่ใช้ก่อสร้างนั้นคุณภาพดีมาก บ้านก็ยังดูมั่นคงมาก ไม่ใช่เป็นบ้านที่ดูทรุดโทรม

นางเปิดประตูห้องหนึ่งออก บนพื้นด้านในมีฝุ่นหนาเป็นชั้นๆ และมีเก้าอี้ล้มระเนระนาดกระจัดกระจาย เครื่องเคลือบต่างๆ แตกละเอียด ดูเหมือนบ้านจะถูกรื้อค้นในตอนนั้นจนข้าวของในบ้านล้มคว่ำภายใต้ความตื่นตระหนก

หลังคาบ้านมีรูรั่วมากมาย น้ำฝนรั่วลงมากระทบพื้นในห้อง จึงทำให้เกิดตะไคร้น้ำ และห้องยังเต็มไปด้วยกลิ่นอับ

เด็กทั้งสองถูกกลิ่นนั้นรมจนปิดจมูก แต่กระนั้นก็ยังมองไปรอบๆ อย่างอยากรู้ เฉียวเยี่ยนอุ้มพวกเขาออกจากห้องไป วางพวกเขาลงบนพื้น และจูงมือพวกเขาเดินตรงไปข้างหน้า

เด็กทั้งสองใกล้จะสี่ขวบเต็มแล้ว น้ำหนักเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย ต่อให้นางมีพละกำลังมากแค่ไหน การอุ้มเจ้าก้อนเนื้อสองคนในตอนนี้นานๆ ก็รู้สึกปวดแขนได้

เด็กน้อยทั้งสองมีความกล้าอย่างมาก เมื่อถึงที่ใหม่ก็แทบอยากออกไปสำรวจโลกใหม่ไม่ไหว จนระบบตัวน้อยสามารถเห็นสถานการณ์ของพวกเขาได้ เฉียวเยี่ยนจึงให้ฮุ่ยเซียงไปอยู่กับพวกเขา และสั่งห้ามไม่ให้พวกเขาแหวกเข้าไปในพงหญ้า

พวกเด็กๆ วิ่งไปเล่น นางเดินดูทุกซอกทุกมุมในจวนเพียงลำพัง แล้วบันทึกลงในสมุดบันทึกของตัวเอง เมื่อกลับไปเมื่อไรก็ค่อยหาคนงานมาจัดการทำความสาะอาดบ้านหลังนี้

ระบบตัวน้อยว่างไม่มีสิ่งใดทำ ก็เอาแต่คุยจ้อแจ้กับเฉียวเยี่ยนไม่หยุด นางตัวคนเดียวกลับไม่รู้สึกว่าเบื่ออะไร

บ้านหลังนี้ใหญ่มาก อาจจะมีพื้นที่เกือบสิบหมู่ หลังจากตรวจดูบ้านทั้งหลังแล้ว เฉียวเยี่ยนก็เข้าไปด้านใน ซึ่งด้านในนั้นเป็นที่พักของภรรยากับเหล่าอนุของเจ้าบ้าน และถูกแบ่งออกเป็นลานเล็กๆ แตกต่างกันไปอีก

หลังจากเดินดูในลานบ้านอยู่ครู่หนึ่ง เฉียวเยี่ยนก็พบสิ่งที่ทำให้นางนึกสนใจ ไม่นึกเลยว่าจะมีสวนต้นเหมยด้วย!

ดอกเหมยเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนมาโดยตลอด แต่เมื่อเทียบกับดอกแล้วนางชอบผลของมันมากกว่า บ๊วยสีเขียวเอามาแช่เหล้าหรือทำเป็นซอสบ๊วย สามารถกินได้ตั้งหนึ่งปีเชียวล่ะ

แต่น่าเสียดายที่สวนเหมยผืนนี้มีวัชพืชขึ้นล้อมไปหมดแล้ว กิ่งก้านก็พันกันยุ่งเหยิง บางต้นยังมีกาฝากขึ้น ซึ่งกิ่งส่วนหนึ่งถูกเกาะกินจนแห้งตายไปแล้ว

แต่โชคดีที่ยังพอฟื้นฟูได้ทันเวลา หลังจากที่นางกลับไปในวันนี้ก็คงหาทีมก่อสร้างมาจัดการสวนนี้ได้ แล้วนางก็จะมาตัดแต่งกิ่งและใส่ปุ๋ยให้ต้นเหมยพวกนี้ ถึงฤดูร้อนปีหน้าก็สามารถกินบ๊วยได้แล้ว

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ท่านอ๋องอย่าให้เฉียวเยี่ยนแสดงความรักแบบสาวศตวรรษที่ 21 เชียวนะคะ ไม่งั้นท่านจะเป็นฝ่ายแพ้

ผุดผลิตภัณฑ์ขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งแล้วล่ะสิ เหล้าบ๊วยกับซอสบ๊วยต้องมาแล้ว

ไหหม่า(海馬)

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *