ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 125 เป็นภรรยาของมัจจุราชมู่จริงๆ
ตอนที่ 125 เป็นภรรยาของมัจจุราชมู่จริงๆ
ตอนที่ 125 เป็นภรรยาของมัจจุราชมู่จริงๆ
เฉียวเยี่ยนนั่งกับเสี่ยวฉวนเอ๋อร์ ขณะที่มู่ฉินเจินนั่งกับเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ สองสามีภรรยาโค้งคำนับให้กัน ก่อนจะแบกคันธนูและลูกธนูไว้บนหลังเพื่อล่าสัตว์
ลูกทั้งสองถือคันธนูและลูกธนูขนาดเล็กของตัวเองซึ่งมู่ฉินเจินทำไว้ให้ และเด็ก ๆ ก็วางไม่ลง
หลังจากเข้าไปในป่า เฉียวเยี่ยนถือคันธนูไว้ในมือและสังเกตการเคลื่อนไหวรอบๆ ตัวอย่างระมัดระวัง ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ เหยื่อที่จำศีลตลอดฤดูหนาวก็ได้ออกมาจากที่อาศัยแล้ว แลดูมีชีวิตชีวายิ่ง
เมื่อได้ยินเสียงกรอบแกรบในพุ่มไม้โดยรอบ เฉียวเยี่ยนก็กลั้นหายใจ เหนี่ยวสายธนูออกจนสุดแล้วเล็งไปที่พุ่มไม้ จากนั้นลูกธนูก็หลุดจากแหล่งพุ่งเข้าไปในพุ่มไม้อย่างดุดัน
พุ่มไม้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง กวางตัวหนึ่งพยายามดิ้นรนออกจากพุ่มไม้ ธนูดอกนั้นปักที่ขาหลังของมัน มันจึงลากขาที่บาดเจ็บเพื่อพยายามหลบหนี
เฉียวเยี่ยนเหนี่ยวสายธนูอีกครั้ง ใช้ประโยชน์จากความเหนือกว่าไล่ติดตาม ครั้งนี้ลูกศรแทงทะลุหัวใจกวางจนมันสิ้นชีพในคราวเดียว
นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี จากนั้นทหารสองสามคนที่มีหน้าที่ปกป้องและจับเหยื่อให้นางก็โห่ร้อง ไม่คาดคิดว่าซู่หวางเฟยผู้อ่อนโยนจะยิงธนูเก่งขนาดนี้!
เฉียวเยี่ยนลดคันธนูอย่างพึงพอใจ แตะศีรษะเล็กๆ ของเสี่ยวฉวนเอ๋อร์ที่กำลังตื่นเต้นในอ้อมแขนตน และพูดให้กำลังใจว่า “ลูกรัก เจ้าอยากลองดูไหม?”
เสี่ยวฉวนเอ๋อร์พยักหน้าอย่างตื่นเต้น เลียนแบบวิธีการเหนี่ยวสายยิงธนูของมารดา เล็งเป้าไปยังกวางที่ตายแล้วก่อนปล่อยมือ แล้วลูกศรก็พุ่งตรงไปปักที่ลำคอของกวางตัวนั้น
เล็งได้ดีมาก แต่กำลังยังไม่พอ หัวลูกศรยังไม่ปักลึกเข้าไปในเนื้อ ทว่านี่มันก็ดีมากแล้ว เด็กรุ่นราวคราวเดียวกันคนอื่นยังยิงได้ดีไม่เท่าเขาเลย!
เฉียวเยี่ยนหอมแก้มน้อยๆ ของลูกชายและเอ่ยชมเชย “ลูกสุดยอดมาก!”
หลังล่าเหยื่อตัวแรกได้ ทั้งแม่ลูกก็เดินหน้าลุยต่ออย่างมีความสุข ขณะที่พลทหารด้านหลังแบกเหยื่อและเดินตามพวกเขาไปอย่างเงียบๆ
ระหว่างทางเต็มไปด้วยนกและสัตว์นานาชนิด แต่เฉียวเยี่ยนกลับทำราวกับมาซื้อของ สอยพวกมันร่วงมาตลอดทาง จนทหารหลายคนที่ตื่นตะลึงในคราวแรกเริ่มชาชินไปกับเหตุการณ์นี้ ทำหน้าที่เป็นลูกหาบไร้ความรู้สึกตามเก็บเหยื่อที่ล่าได้ทุกชนิดทุกตัวไปตามทาง
มู่ฉินเจินก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน เขาล่าเหยื่อได้มากมาย ทั้งพ่อและลูกสาวต่างมีช่วงเวลาที่ดี ครั้นมู่ฉินเจินยิงธนู เจ้าปลาอ้วนตัวน้อยในอ้อมแขนของเขาก็เหนี่ยวสายธนูยิงตามเขาโดยไม่สนใจว่าจะถูกเป้าหมายหรือไม่ ขอให้ได้ยิงเป็นใช้ได้
เจ้าปลาอ้วนมีกำลังแข็งแกร่งและยังเล็งเก่ง บางครั้งก็ยิงโดนเหยื่อบ้าง แต่ส่วนที่ยิงถูกล้วนดูแปลกพิกลนัก บ้างก็ถูกหัว บ้างก็ถูกก้น
เมื่อมีคนมาล่าสัตว์ในป่ามากขึ้น เหยื่อที่ได้ยินเสียงจึงไม่ขยับตัว ในบริเวณชายป่าจึงมีเหยื่อให้ล่าได้ไม่มากนัก
เฉียวเยี่ยนจึงพาเสี่ยวฉวนเอ๋อร์ไปยังป่าลึก เพื่อหลีกเลี่ยงบรรดาคนที่มาล่าสัตว์
เมื่อเดินลึกเข้าไปในป่า สภาพป่าก็รกทึบมากขึ้นและยากต่อการเคลื่อนไหวจนมีคนเข้ามาได้ไม่กี่คน แต่จำนวนเหยื่อก็มีมากขึ้นเช่นกัน
เฉียวเยี่ยนวางแผนที่จะตระเวนอยู่ที่นี่สักพัก แทนที่จะเดินลึกเข้าไป เนื่องจากพื้นที่ป่าลึกจะไม่อยู่ในการควบคุมดูแลของทหารองครักษ์อีกต่อไป และอาจมีสัตว์ร้ายบุกมาทำร้ายพวกเขา
นางหาชัยภูมิเหมาะๆ เพื่อซ่อนตัวรอเหยื่อปรากฏตัว แล้วก็รินน้ำใส่ถ้วยใบเล็กติดตัวยื่นให้เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ เด็กน้อยจ้องมองภาพด้านหน้าอย่างจริงจังราวกับอยู่ในสงคราม
หลังจากรอประมาณสามในสี่ชั่วยาม เหยื่อก็ปรากฏตัว
กวางตัวหนึ่งโผล่หัวออกมาจากพุ่มไม้ มองลงมาหาอาหาร เฉียวเยี่ยนขยับเบา ๆ ชักคันธนูและเหนี่ยวสายเล็งไปที่หัวใจของกวาง
ลูกธนูถูกยิงออกไป และลูกศรก็เจาะเข้าที่หัวใจของกวาง แต่แล้วลูกศรอีกดอกหนึ่งก็ยิงไปที่กวางตัวนั้นเช่นกัน ซึ่งความเร็วห่างจากลูกธนูของเฉียวเยี่ยนเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น
เฉียวเยี่ยนเบิกตากว้างอย่างตื่นตกใจและมองไปรอบ ๆ มีคนอื่นอยู่แถวนี้!
ทหารหลายคนที่ตามมาชักดาบออกมาล้อมเฉียวเยี่ยนและเสี่ยวฉวนเอ๋อร์อย่างระแวดระวัง
เสียงฝีเท้าดังขึ้นไม่ไกล เฉียวเยี่ยนจึงตามบุคคลนั้นไป และเห็นหญิงสาวในชุดทหารม้าสีแดงเดินถือธนูในมือมาทางพวกเขา
หญิงสาวคนนั้นมีรูปร่างสูงเพรียว มัดผมเป็นทรงหางม้าสูง ดั้งจมูกโด่ง ดวงตาคมเข้ม ผิวนวลละออ ท่าทางสดใสและเอื้ออารี เห็นได้ชัดว่าเป็นคนในตระกูลผู้ฝึกตน
เฉียวเยี่ยนรวบรวมความทรงจำในสมอง แต่เจ้าของเดิมกลับไม่มีบุคคลดังกล่าวในความทรงจำเลย และไม่รู้จักตัวตนของอีกฝ่ายมาระยะหนึ่งแล้ว
นางมองคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ส่วนคนที่อยู่อีกฝั่งก็มองมาทางนางเช่นกัน หลังจากนั้นชั่วอึดใจ ดรุณีชุดแดงก็พูดขึ้นเป็นคนแรก “เจ้าเป็นคนยิงเหยื่อตัดหน้าข้าหรือ? ข้าไม่ขอยอมรับ ดังนั้นมาสู้กันเถิด หากเจ้าชนะ เจ้าก็นำเหยื่อไปได้”
หญิงสาวในชุดสีแดงพูดอย่างตรงไปตรงมาและทำตัวราวนักเลง แม้นางจะดูน่ารำคาญ แต่เฉียวเยี่ยนก็ไม่ได้ติดใจอะไร ตรงกันข้ามกลับคิดว่านางน่ารักกว่าเหล่าหญิงชาเขียวหรือแม่ดอกบัวขาวมารยาร้อยเล่มเกวียนพวกนั้นเสียอีก
ดวงตาเฉียวเยี่ยนปรากฏรอยยิ้ม เอ่ยเบา ๆ “หากเจ้าว่าจะลงมือเช่นนั้น ข้าก็เสียหน้าแย่น่ะสิ”
ดรุณีชุดแดงจ้องมองอย่างหมดความอดทน: “อย่ามาโยกโย้ แค่บอกว่าจะสู้หรือไม่ก็พอ ไม่ต้องมาทำกระบิดกระบวน!”
อา! ยัยเล็กพริกขี้หนูนี่แสบนัก แต่ก็สมน้ำสมเนื้อกับนางเหมือนกัน!
เฉียวเยี่ยนโบกมือให้ทหารที่อยู่ข้างหลังนาง บอกให้พวกเขาพาลูกของนางออกไปยืนห่างๆ เพราะนางต้องให้ความสนใจกับผู้ท้าชิงตัวต่อตัวคนนี้
หลังจากที่พวกทหารถอยออกไปแล้ว เฉียวเยี่ยนก็ทำท่าเชิญหญิงสาวในชุดแดง อีกฝ่ายเคลื่อนไหวโดยไม่เกรงใจ ทันทีที่โยนคันธนูทิ้ง นางก็พุ่งตรงเข้าหาเฉียวเยี่ยน
พวกนางต่อสู้แบบประชิดตัวโดยไม่ใช้อาวุธใด ๆ หญิงสาวชุดแดงผู้นี้มีทักษะการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง ทุกกระบวนทุกท่วงท่าล้วนแข็งแรงดุดัน แต่ก็ยังต้านเฉียวเยี่ยนที่ออกท่าอย่างไร้แบบแผนไม่ได้
เฉียวเยี่ยนเรียนรู้เทคนิคการต่อสู้ระยะประชิดของสมัยใหม่ นางไม่สนใจท่วงท่าออกยุทธ์ ขอแค่รวดเร็วดุดันและแม่นยำ โจมตีไปยังจุดสำคัญของศัตรู ดังนั้นการเคลื่อนไหวของนางจึงไร้กฏเกณฑ์ แม้จะรับหมัดนี้ของนางได้ ทว่าหมัดต่อไปจะมาตรงไหนกลับมิอาจรู้แน่
สถานการณ์การต่อสู้เริ่มมีช่องโหว่แล้ว และหญิงสาวชุดสีแดงก็ค่อยๆ เป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ เฉียวเยี่ยนฉวยจังหวะเหมาะจับแขนของหญิงสาวบิดไปข้างหลัง ในที่สุดดรุณีน้อยก็พ่ายแพ้ราบคาบ
“การต่อสู้จบลงแล้ว เจ้าแพ้แล้ว!”
หลังจากเฉียวเยี่ยนพูดจบ นางก็ปล่อยมือและปล่อยให้หญิงสาวเป็นอิสระ
หญิงสาวชุดสีแดงขยับแขนคลายความเจ็บ เผยสีหน้าเจ็บปวด แต่ไม่นานก็มีสีหน้าดีขึ้น ตบหน้าอกของตนพลางกล่าวกับเฉียวเยี่ยนอย่างไม่ถือสา “ข้าชื่อเว่ยอวิ๋นซู เจ้าถูกใจข้ามาก ข้าเลยอยากสานไมตรีกับเจ้า”
เฉียวเยี่ยนรู้สึกขบขันกับคำพูดของนาง และตอบอย่างสุภาพว่า “ข้าชื่อเฉียวเยี่ยนสวัสดีนะสหายใหม่”
เฉียวเยี่ยน?
ครั้นเว่ยอวิ๋นซูเอ่ยทวนชื่อนี้ นางก็รู้สึกคุ้นเคยมากราวกับว่าเคยได้ยินมาจากที่ไหนสักแห่ง แต่ก็จำไม่ได้แล้วว่าได้ยินมาจากไหน
พอๆๆ ในเมื่อคิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิดแล้ว!
หญิงสาวทั้งสองที่เพิ่งสานไมตรียืนสนทนากันสองสามคำ เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ก็เดินมาหามารดาด้วยขาสั้นๆ พร้อมกับพลทหารผู้คุ้มกัน
เฉียวเยี่ยนจับมือเด็กน้อยและแนะนำ “นี่คือเสี่ยวฉวนเอ๋อร์ลูกชายของข้า ลูกรัก เรียกท่านน้าสิ”
เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ด้วยคิดว่าคนที่มาทะเลาะกับแม่ของเขาไม่ใช่คนดี แต่สุดท้ายเขาก็เชื่อฟังคำพูดของแม่
“ท่านน้า”
เว่ยอวิ๋นซูทำท่าจะตอบด้วยความยินดี แต่เมื่อเห็นใบหน้าของเสี่ยวฉวนเอ๋อร์แล้วก็ไม่อาจสงบใจลงได้ เหตุใดเขาถึงดูเหมือนมัจจุราชมู่มากขนาดนี้?
นางถามเฉียวเยี่ยนอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้า… เจ้ามีความสัมพันธ์อย่างไรกับมัจจุราชมู่?”
มัจจุราชมู่?
เฉียวเยี่ยนได้ยินคำพูดนี้ก็พลันนึกไปถึงท่านอ๋องของนาง บางครั้งนางก็ได้ยินจากองครักษ์บางคนว่าหลายคนในค่ายทหารต่างเรียกเขาว่ามัจจุราช
เว่ยอวิ๋นซูเพิ่งตระหนักได้ว่าคำพูดของนางฟังดูไม่เหมาะสมเล็กน้อย จึงแก้ไขอย่างอย่างรวดเร็ว “เพ้ย! คือท่านอ๋องซู่ เจ้ากับท่านอ๋องซู่เป็นอะไรกัน?”
เฉียวเยี่ยนเลิกคิ้วขึ้น แสร้งทำเป็นรู้แจ้งแล้วพูดว่า “โอ้ นั่นเขาเอง!”
เว่ยอวิ๋นซูตั้งตารอ ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าสองคนคืออะไร?
เฉียวเยี่ยนมองนางด้วยรอยยิ้ม “เขากับข้าเป็นสามีภรรยากัน!”
สีหน้าของเว่ยอวิ๋นซูแข็งทื่อ ว่าจะไม่ประหลาดใจแล้วก็ต้องประหลาดใจจนได้!
เป็นเรื่องยากที่นางจะชอบใครสักคน แต่นางกลับเป็นภรรยาของมัจจุราชมู่!
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เฉียวเยี่ยนนี่ชาติก่อนตั้งตี้ตะลุยดันตีบอสบ่อยเปล่าเนี่ย ยิงแม่นเหมือนจับวางเลย
ช็อคล่ะสิแม่สาวชุดแดง สาวคนนี้แอบรักอ๋องซู่อยู่หรือเปล่านะ
ไหหม่า(海馬)
Comments