ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 126 เขาคงไม่ใช้ความรุนแรงกับเจ้าหรอกใช่ไหม
บทที่ 126 เขาคงไม่ใช้ความรุนแรงกับเจ้าหรอกใช่ไหม
บทที่ 126 เขาคงไม่ใช้ความรุนแรงกับเจ้าหรอกใช่ไหม
เฉียวเยี่ยนเห็นท่าทางนิ่งค้างของเว่ยอวิ๋นซูก็รู้สึกขบขันอย่างมาก หรือว่านี่จะเป็นผู้นิยมชมชอบท่านอ๋องของนางอีกคน?
แต่ดูจากคำเรียกและท่าทางแล้ว ดูไม่เหมือนชื่นชอบเลย แต่กลับดูเหมือนหวาดกลัวกับรังเกียจมากกว่า
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา เมื่อครู่เพิ่งพูดถึงมู่ฉินเจิน เขาก็พาเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์มาหาเฉียวเยี่ยนแล้ว ห่างกันแค่ช่วงหนึ่ง เจ้าปลาอ้วนเห็นมารดาก็โบกมือน้อยไปมา พลางตะโกนเรียกด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว
“ท่านแม่ ท่านพี่ ข้ากับท่านพ่อล่าสัตว์มาได้ตั้งหลายตัวแน่ะ!”
เมื่อเห็นสองพ่อลูก บนใบหน้าเฉียวเยี่ยนก็มีรอยยิ้มปรากฏออกมา และยืนอยู่ที่นั่นรอพวกเขามาหา แต่เว่ยอวิ๋นซูกลับเหมือนถูกฟ้าผ่าในวินาทีที่เห็นมู่ฉินเจิน ก่อนจะร่ำลาเฉียวเยี่ยนอย่างลุกลี้ลุกลน แล้วก็จากไปโดยไม่หันกลับมา
“ข้ายังมีเรื่องต้องทำ ขอตัวก่อน ไว้ค่อยคุยกันใหม่!”
พูดยังไม่ทันจบ คนกลับวิ่งหนีหายไปแล้ว จนเฉียวเยี่ยนอดหัวเราะไม่ได้ ตอนนี้นางแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายกลัวมู่ฉินเจิน
จนกระทั่งสองพ่อลูกเข้ามาใกล้ เฉียวเยี่ยนก็ยื่นแขนออกไปกอดลูกสาว และถามมู่ฉินเจิน “ท่านรู้จักกับนางหรือ? ดูเหมือนนางจะกลัวท่านมากเลย”
มู่ฉินเจินพยักหน้าเล็กน้อย “นางเป็นบุตรสาวของอันซีโหว นางตามอันซีโหวมาประจำอยู่ที่ค่ายทางทิศตะวันตกตั้งแต่ยังเด็กและเติบโตอยู่ที่นั่น เมื่อก่อนข้าเคยพบปะนางสองสามครั้งตอนที่ไปประจำการอยู่ค่ายซีเป่ย”
เฉียวเยี่ยนไม่คิดมาก่อนว่าคนที่พบกันโดยบังเอิญจะเป็นลูกของคนรู้จัก ถึงกระนั้นก็เข้าใจในทันที ท่าทางอิสระไม่ถูกควบคุมของนางไม่เหมือนกับสตรีผู้อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนในเมืองหลวงเลย
“แล้วเหตุใดนางถึงได้หวาดกลัวท่านนักล่ะ?”
แม้ท่านอ๋องของนางจะมีสีหน้าเย็นชา แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่เรียกแค่ชื่อก็สามารถทำให้ผู้คนแตกตื่นได้แน่
สองสามีภรรยาพาเด็กๆ เดินทางกลับ และมู่ฉินเจินก็เล่าความหลังเหล่านั้นให้เฉียวเยี่ยนฟัง
เมื่อก่อนเว่ยอวิ๋นซูเคยเป็นเด็กเหลือขอ ครั้นเมืองเล็กๆ ซีเป่ยถูกรุกราน สถานการณ์สงครามรุนแรง นางผู้เป็นดรุณีน้อยคนหนึ่งเรียนรู้ศาสตร์วิชาการได้เพียงครึ่งเดียวก็เอ็ดตะโรโหวกเหวกอยากเข้าร่วมกองทัพต่อสู้ฟาดฟันกับศัตรู
มู่ฉินเจินกับแม่ทัพอีกหลายนายต่างปฏิเสธ แต่ใครจะรู้ว่านางจะมีนิสัยอุกอาจมากเช่นนี้ ถึงกับไปลอบโจมตีค่ายศัตรูกลางดึก พยายามสร้างตำนานเพียงลำพัง ผลที่ได้ก็คือถูกศัตรูจับเป็นเชลย
มู่ฉินเจินโมโหโกรธามาก เดิมทีจะไม่สนใจนาง แต่เนื่องจากนางเป็นบุตรสาวของอันซีโหวซึ่งมีมิตรภาพที่ดีต่อกันมาอย่างยาวนาน จึงนำกองกำลังทหารไปช่วยนางออกมา
แต่หลังจากช่วยออกมาแล้ว เขาก็ไม่ปล่อยนางไปง่ายๆ สั่งโบยนางหลายครั้งตามกฎอาญาศึกจนเกือบจะพรากชีวิตนางไป นับแต่บัดนั้นมา เว่ยอวิ๋นซูเห็นเขา เมื่อใดก็จะวิ่งอ้อมหนีไปทุกครั้ง
เฉียวเยี่ยนฟังจบก็หัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง ไม่คิดว่าหญิงสาวคนนั้นจะองอาจถึงขนาดที่กล้าบุกเดี่ยวเข้าไปในค่ายของศัตรู
เมื่อกลับมาถึงค่ายพัก นักล่าสัตว์ส่วนใหญ่ก็กลับมากันแล้ว หวังกงกงขันทีข้างกายฝ่าบาทกำลังนับจำนวนสัตว์ที่ล่ามากับพวกทหารผู้น้อยสองสามคน และจดบันทึกไว้
ความจริงแล้วการล่าสัตว์นี้เป็นถิ่นของพวกฝ่ายกลาโหม พวกฝ่ายพลเรือนผอมกระหร่องกะแหร่งล้วนไม่กล้าแม้แต่จะเหนี่ยวสายธนูด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการล่าสัตว์เลย
เมื่อมู่ฉินเจินกับเฉียวเยี่ยนกลับมา พวกทหารผู้น้อยก็ลากเกวียนที่มีสัตว์เต็มคันรถตามหลังมา อืม ไม่ต้องนับแล้ว อันดับหนึ่งต้องตกเป็นของคู่รักสองคนนี้อย่างแน่นอน!
ฮ่องเต้เฒ่ามีความสุขมาก ลูบเคราพลางหัวเราะเสียงดัง ด้วยกลัวคนอื่นจะไม่รู้ว่าลูกชายกับลูกสะใภ้ตนเป็นนักล่าที่เก่งกาจที่สุด
เด็กทั้งสองก้าวขาสั้นไปหาเสด็จปู่กับเสด็จย่า และเดินทะเล่อทะล่าไปนั่งกินผลไม้กับของว่างในอ้อมแขนพวกเขา ฮองเฮาหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดหน้าให้เด็กทั้งสอง และฟังพวกเขารายงานเรื่องล่าสัตว์ด้วยเสียงดังเจี้ยวจ้าว พร้อมยกยิ้มมุมปาก
พระสนมเสียนเฟยที่อยู่ข้างๆ เห็นภาพนี้ก็รู้สึกหดหู่ใจ และคิดถึงพระโอรสที่ถูกคุมขัง
หลังจากนำเหยื่อที่ล่าได้กลับมา ฮ่องเต้ก็ประทานรางวัลให้ตามสมควร จากนั้นจึงมอบเหยื่อที่ล่ามาได้ให้พ่อครัวจัดการทำเป็นอาหารให้ทุกคนได้รับประทานร่วมกัน
เด็กทั้งสองไปเล่นกับเสด็จปู่เสด็จย่าแล้ว ส่วนเฉียวเยี่ยนกับมู่ฉินเจินกลับไปพักผ่อนที่กระโจม และเสวยสุขกับเวลาอยู่สองต่อสองที่หาได้ยาก
เฉียวเยี่ยนนำของว่างที่เตรียมไว้มากมายออกมา และถือโอกาสในตอนที่เด็กสองคนไม่อยู่ แกะห่อมันฝรั่งทอดกรอบกินกับมู่ฉินเจิน
เด็กทั้งสองควบคุมปากตัวเองไม่ได้ หากกินมันฝรั่งทอดมากไปมักจะทำให้เป็นร้อนใน บางครั้งนางถึงกับต้องรับประทานของว่างลับหลังพวกเขา ไม่เช่นนั้นหากพวกเขาเห็นเข้า ต้องทำตัวน่าสงสารขอขนมกับนางเป็นแน่
นางนอนหนุนตักท่านอ๋อง ถือมันฝรั่งทอดไว้ในมือ กินจนเกิดเสียงกรอบแกรบ และบางครั้งก็ป้อนให้มู่ฉินเจิน
และมู่ฉินเจินก็รับหน้าที่นวดให้นาง ทั้งนวดไหล่ ทั้งนวดแขน สบายจนตาเฉียวเยี่ยนแทบจะปิด
ทว่าทันใดนั้น ก็มีเสียงฝีเท้าดังกรอบแกรบอยู่นอกกระโจม พร้อมกับเงาตะคุ่มลับๆ ล่อๆ ปรากฏอยู่บนกระโจม ทำให้สองสามีภรรยาระแวดระวังขึ้นมาทันใด
เฉียวเยี่ยนพลิกตัวลุกขึ้น มู่ฉินเจินหยิบอาวุธลับที่ซ่อนอยู่ในอกเตรียมซัดโจมตีออกไป แต่กลับได้ยินเสียงคนที่อยู่นอกกระโจมดังออกมา
“เฉียวเฉียว เจ้าอยู่ในนั้นหรือไม่?”
มันเป็นเสียงของเว่ยอวิ๋นซู
เฉียวเยี่ยนคลายความตึงเครียดลง ก่อนจะหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกในทันใด
เฉียวเฉียว? นี่มันคำเรียกอะไรกันเนี่ย?
นางกำลังจะลุกขึ้นออกไป แต่ท่านอ๋องกลับย่างเดินไปถึงประตูก่อนนาง และแหวกม่านกระโจมออก
เว่ยอวิ๋นซูก้มตัวอยู่ ครั้นได้ยินเสียงแหวกม่านออกก็มองไปด้วยความดีใจ แต่ผลที่ได้กลับเห็นมู่ฉินเจินยืนจังก้าอยู่หน้าประตูม่านด้วยใบหน้าเย็นเยือก
นางเบิกตากว้าง กรีดร้องด้วยความตกใจทันใด และล้มลงก้นกระแทกพื้น
จบเห่แล้ว! ไฉนจึงเรียกมัจจุราชออกมาได้เล่า!
เฉียวเยี่ยนเดินไปที่ประตู เห็นฉากนี้เข้าก็ผลักท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ถอยหลังกลับไปอย่างจนใจ “พอได้แล้ว ท่านเลิกทำให้นางกลัวได้แล้ว คนดี อยู่ข้างในรอข้านะ”
ครั้นเห็นเฉียวเยี่ยน เว่ยอวิ๋นซูก็เหมือนเห็นผู้ช่วยชีวิต ดวงตานางเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา ดูน่าสงสารยิ่ง
เฉียวเยี่ยนเห็นชัดๆ ว่าคนตรงหน้าดูจะเป็นคนดื้อรั้น ทว่าตอนนี้กลับเบะปากขอความช่วยเหลืออย่างน่าเวทนา จึงอดรู้สึกขบขันไม่ได้
นางดึงเว่ยอวิ๋นซูลุกขึ้นจากพื้น สาวน้อยรีบลากนางออกไปให้ห่างจากมู่ฉินเจินทันที
จวบจนมองไม่เห็นกระโจมที่เฉียวเยี่ยนกับมู่ฉินเจินพักอยู่ เว่ยอวิ๋นซูถึงได้หยุด พลางลูบอกตัวเองเหมือนกำลังหวาดผวาไม่หาย จนกระทั่งสงบลงดวงหน้าก็เต็มไปด้วยความเสียใจ
เฉียวเยี่ยนรู้สึกสับสนกับท่าทางของนาง จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าลากข้าออกมามีอะไรจะพูดหรือ?”
เว่ยอวิ๋นซูคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “คนดีๆ คนหนึ่ง เหตุใดถึงแต่งกับมัจจุราชไปได้ เขาคงไม่ใช้ความรุนแรงกับเจ้าหรอกใช่หรือไม่?”
เฉียวเยี่ยนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ขอร้องล่ะ ท่านอ๋องของนางไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นจริงๆ นะ
อีกอย่าง ด้วยสถานการณ์ของพวกเขาสองคน ต่อให้ใช้ความรุนแรงในครอบครัว มันก็เป็นการใช้ความรุนแรงในครอบครัวของนางจริงไหม?
“ไม่ต้องห่วง ท่านอ๋องของข้าไม่ทำร้ายข้าหรอก และเขาก็ไม่ได้รุนแรงอย่างที่เจ้าคิดขนาดนั้น”
เว่ยอวิ๋นซูเบะปาก แอบบ่นพึมพำในใจ ไม่รุนแรงที่ไหนกัน เมื่อก่อนให้คนโบยบั้นท้ายนางจนแตก จนต้องนอนพังพาบพักฟื้นตั้งหลายเดือนกว่าจะหาย ความเจ็บปวดที่ร้อนผะผ่าวนั้น นางยังจำฝังใจไม่หาย!
“เช่นนั้นหากวันหน้าเขาใช้ความรุนแรงกับเจ้า จำไว้ว่าเจ้าต้องบอกข้า แม้ข้าจะเอาชนะเขาไม่ได้ แต่ข้าสามารถเรียกคนมาช่วยเจ้าได้ คนที่ข้ารู้จักมีมากมายเลย!”
เฉียวเยี่ยนคิดว่าผู้หญิงคนนี้ดูน่ารักนัก จนใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นี่แค่เจอกันเพียงครั้งเดียว นางกลับกระตือรือร้นราวกับว่าพวกนางเป็นเพื่อนที่สนิทกันมานานหลายปี
“อืม ข้าจะจำไว้ ขอบใจนะ”
ในระหว่างที่ทั้งสองสนทนากัน เว่ยอวิ๋นซูเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้แนะนำตัวเอง จึงเอ่ยอย่างเร่งรีบ “ก่อนหน้านี้ข้าลืมบอกไป บิดาข้าคืออันซีโหว ส่วนมารดาข้าเจ้าน่าจะรู้จักดี ก่อนหน้านี้ข้าอยู่ที่ซีเป่ยมาตลอด เพิ่งกลับมาช่วงนี้ ตอนที่ท่านแม่เขียนจดหมายมาให้ข้าได้เขียนเอ่ยถึงเจ้าตั้งหลายครั้ง”
วันนี้เมื่อนางได้ยินคำว่าเฉียวเยี่ยนก็รู้สึกว่าคุ้นหูนัก จวบจนได้เห็นมู่ฉินเจินถึงได้นึกขึ้นได้ว่า นี่คือซู่หวางเฟยที่มารดานางโม้จนจะลอยขึ้นสวรรค์ไม่ใช่หรือ?
เมื่อก่อนนางไม่สนใจว่าหญิงสูงศักดิ์ในเมืองหลวงที่มักจะร้องไห้ฟูมฟาย เสแสร้งแกล้งทำเหล่านั้นจะยอดเยี่ยมอะไร แต่เมื่อได้เห็นในวันนี้ นางถึงได้ตระหนักว่าเฉียวเยี่ยนเป็นอย่างที่มารดานางพูดจริงๆ นางเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก!
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
สาวชุดแดงคนนี้เป็นลูกสาวสุดแสบของท่านอันซีโหวนี่เอง วีรกรรมแสบไม่เบา น่าจะเข้ากันได้กับเจ้าปลาอ้วนนะ
ไหหม่า(海馬)
Comments