ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 131 เปลี่ยนชื่อว่าส้มโอ

Now you are reading ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? Chapter 131 เปลี่ยนชื่อว่าส้มโอ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 131 เปลี่ยนชื่อว่าส้มโอ

ตอนที่ 131 เปลี่ยนชื่อว่าส้มโอ

นางยกเนื้อกระต่ายเข้าไปในห้อง แต่กลับพบว่ามารดากับพี่สะใภ้ตนดูสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ก็รู้สึกงงเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ไม่คิดอะไรมาก และกวักมือเรียกทั้งสองมากิน

“ท่านแม่ พี่สะใภ้ รีบมาชิมเนื้อกระต่ายตัวนี้สิ เฉียวเฉียวเป็นคนทำเองเลยนะ อร่อยมากเลย!”

เนื้อกระต่ายนี้อร่อยจริงๆ ระหว่างทางนางทนไม่ไหวเลยแอบกินไปสองสามชิ้น

อันซีโหวฮูหยินเห็นท่าทางพูดอะไรทำอะไรไม่คิดของบุตรสาวตน ก็อดตำหนินางไม่ได้ “หยุดพูดว่าเฉียวเฉียวอย่างนั้น เฉียวเฉียวอย่างนี้เสียที นางคือซู่หวางเฟย อย่างไรก็สมควรได้รับความเคารพ!”

“อีกอย่าง ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าไปยุ่งกับคนของจวนอัครเสนาบดี? พวกนั้นล้วนเป็นหมาบ้า กัดคนได้เก่งที่สุด แม้เราจะไม่กลัวปัญหา แต่ก็ไม่ควรสร้างปัญหา ข้าคร้านจะช่วยเก็บกวาดสิ่งที่เจ้าทำแล้ว ”

เมื่อเว่ยอวิ๋นซูได้ยินถึงตรงนี้ ก็เข้าใจในที่สุดว่าเหตุใดสีหน้ามารดาตนถึงดูไม่ดีนัก นางก็ขมวดคิ้ว และเอ่ยด้วยโทสะ “พวกปีศาจเหล่านั้นมาหาเรื่องท่านแล้ว?”

อันซีโหวฮูหยินพยักหน้า ก็ใช่นะสิ ตอนเช้านางกำลังเพลิดเพลินชมทิวทัศน์กับลูกสะใภ้อย่างอารมณ์ดี แต่กลับถูกหลู่ซื่อฮูหยินท่านอัครเสนาบดีมาขัดและทำลายมันไป อารมณ์ดีพลันหายไปในบัดดล!

เว่ยอวิ๋นซูเบะปาก “ใช่ว่าข้ายั่วโมโหพวกนางก่อนเสียหน่อย นางเข้ามาขอบทเรียนเอง หรือข้าต้องตามใจนาง?”

อันซีโหวฮูหยินรู้นิสัยของลูกสาวตัวเองดี แม้จะมุทะลุไปหน่อย แต่เป็นคนตรงไปตรงมามาก ไม่มีทางสร้างปัญหาง่ายๆ แน่ แต่จะว่าอย่างไรดี แค่รู้สึกแน่นหน้าอกหายใจไม่ออก จึงอยากดุด่าสักสองสามประโยคก็เท่านั้น

เว่ยอวิ๋นซูหวาดกลัวในความจู้จี้ของมารดา จึงรีบขัดปากนางไว้ “เอาล่ะๆ หายโกรธได้แล้ว รีบมากินเนื้อกระต่ายเร็ว ไม่อย่างนั้นอีกเดี๋ยวมันจะเย็นแล้วนะ”

เนื้อกระต่ายในจานนั้นหอมอย่างมาก จนความหิวของอันซีโหวฮูหยินถูกกระตุ้นเข้า นางเคยกินอาหารที่เฉียวเยี่ยนทำ และรู้ว่าฝีมือการทำอาหารของนางนั้นดีแค่ไหน จึงรีบเรียกลูกสะใภ้มาทานด้วยกัน

ผัดเนื้อกระต่ายเผ็ดหอม ไม่มีกลิ่นเหม็นคาวเหมือนในภาพจำเลย แล้วทั้งสามคนก็รับประทานเนื้อกระต่ายจานนั้นหมดอย่างรวดเร็ว

เว่ยอวิ๋นซูยังคงพยายามใช้ตะเกียบคีบชิ้นพริกบนจาน มองหาเนื้อกระต่ายที่หลงเหลืออยู่ แม้แต่กระเทียมในนั้นก็ถูกนางกินจนหมด

ส่วนคนที่เหลือที่ได้กลิ่นอาหารก่อนหน้านี้ คิดว่าวันนี้จะมีอาหารดีๆ ให้กิน แต่หลังจากได้รับอาหารมาก็พบว่าไม่เพียงแต่ไม่หอมเท่านั้น แต่ยังไหม้อีกด้วย!

พวกเขาโมโหขึ้นมา คิดว่าพวกคนครัวกำลังหลอกพวกเขา คนกลุ่มใหญ่จึงไปที่ครัว หลังจากถามคนครัวแล้วถึงได้รู้ว่าอาหารนั้นซู่หวางเฟยเป็นคนทำ

ซู่หวางเฟยคือใคร คือคนที่เปิดภัตตาคารนะสิ ผู้คนเกือบทั้งหมดเคยกินอาหารที่ร้านฮวาอวิ๋น และอดนึกถึงอาหารในภัตตาคารไม่ได้ นั่นมันอร่อยจริงๆ นะ!

ฮ่องเต้กับฮ่องเฮาก็ได้เสวยเนื้อกระต่ายเช่นกัน และหลังจากเสวยอาหารของพ่อครัวเข้าไปหนึ่งคำ ฮ่องเต้เฒ่าก็ตรัสอย่างอารมณ์เสีย “พ่อครัวพวกนี้นับวันยิ่งใช้ไม่ได้แล้วจริงๆ !”

เมื่อก่อนทำไม่อร่อยก็ว่าไปอย่างแล้ว ตอนนี้ยังจะทำไหม้อีก!

……

หลังจากพักอยู่ในเขตล่าสัตว์มาหลายวัน เมื่อกลับมาเมืองหลวงก็ใกล้จะกลางเดือนสี่แล้ว ในวันที่สองหลังจากกลับมาเมืองหลวง ผลการทดสอบก็ออก ตามที่คาดไว้ เฉียวจิ่นมีรายชื่ออยู่ในนั้น เขาได้อันดับที่หก ซึ่งถือว่าเป็นคะแนนที่ใช้ได้ทีเดียว

การสอบหน้าพระที่นั่งมีกำหนดในอีกครึ่งเดือน เฉียวจิ่นจึงใช้เวลาช่วงนี้ตั้งใจทบทวนตำรา และพยายามสอบให้ได้อันดับที่ดีในการสอบหน้าพระที่นั่ง

หลังออกจากเมืองหลวงไปหลายวัน เฉียวเยี่ยนก็พาลูกทั้งสองไปเยี่ยมมารดากับพี่ชาย และถือโอกาสแสดงความยินดีกับพี่ชายด้วย

แต่ยังไม่ทันได้ออกไปจากตำหนัก เว่ยอวิ๋นซูก็มาหา นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองได้พบกันนับแต่กลับจากเขตล่าสัตว์มาเมืองหลวง

ทันทีที่เว่ยอวิ๋นซูเข้าไปในตำหนักท่านอ๋องซู่ ก็รู้สึกแค่ว่าได้เปิดหูเปิดตา นางคิดว่าจวนนางถูกไถที่เยอะมากพอแล้ว แต่เห็นตำหนักอ๋องซู่ในตอนนี้ มันก็ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว!

อย่างน้อยจวนอันซีโหวของพวกเขายังเหลือดอกไม้ใบหญ้าไว้เชยชม แต่ตำหนักอ๋องซู่ไถที่จนไม่เหลืออะไร และทุกซอกทุกมุมเต็มไปด้วยผักที่ปลูกไว้

ตอนนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ผักในแปลงล้วนเป็นต้นกล้าเขียวขจี แต่ตำหนักอ่องซู่ที่เป็นเช่นนี้กลับดูไม่รกหูรกตาหรือมีระดับต่ำเลย กลับกันมันให้ความรู้สึกเหมือนทิวทัศน์ชนบทอันงดงาม

เมื่อเห็นเฉียวเยี่ยน เว่ยอวิ๋นซูก็เหมือนเด็กที่หาแม่เจอ และบ่นพึมพำอย่างเสียใจ “เฉียวเฉียว ข้าขอมาหลบที่นี่กับเจ้าสักพักได้ไหม ข้าถูกท่านแม่บ่นจู้จี้จนหูจะชาแล้ว!”

เฉียวเยี่ยนนำขนมอบกับผลไม้มาต้อนรับนาง แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “เกิดอะไรขึ้น?”

เว่ยอวิ๋นซูถอนหายใจ หยิบขนมอบชิ้นหนึ่งยัดเข้าปาก และเอ่ยอู้อี้ “อย่าพูดถึงมันเลย แม่ข้าบีบบังคับให้ข้าไปดูตัว และให้ข้ารีบออกเรือนในปีนี้!”

“มีอะไรให้ต้องรีบร้อนขนาดนั้นเลยหรือ? ปีนี้ข้าเพิ่งจะมีอายุสิบแปดปีเอง ยังเป็นเด็กอยู่เลย แต่งงานอะไร แต่งกับใครกัน!”

“อีกอย่างคนพวกนั้นที่ท่านแม่บังคับข้าไปเจอ ถ้าไม่เป็นอันธพาลลูกผู้ลากมากดี ก็ตัวเตี้ยน่าเกลียด หากให้ข้าออกเรือนกับพวกเขา ไม่สู้ให้ข้าหาผู้ชายที่ซีเป่ยเสียจะดีกว่า!”

เฉียวเยี่ยนฟังนางบ่นฉอดๆ ก็รู้สึกทั้งขบขันทั้งจนใจ โลกนี้มันก็เป็นเช่นนี้แหละ สตรีอายุสิบห้าสิบหกก็เริ่มออกเรือนแล้ว หากอายุสิบแปดถึงยี่สิบปีแล้วยังไม่ออกเรือน นั่นก็หมายความว่าเป็นสาวเทื้อไม่มีผู้ใดอยากได้ และจะถูกผู้อื่นนำไปนินทาเอา

เป็นเพราะได้รับการอบรมในสมัยปัจจุบัน นางจึงรับไม่ได้กับขนบธรรมเนียมเสื่อมเสียที่สืบต่อกันมานับพันปี แต่อาศัยเพียงนางคนเดียวคงไม่สามารถเปลี่ยนขนบธรรมเนียมเสื่อมเสียเหล่านี้ได้ ดังนั้นนางจึงเชื่อฟังตัวเองมาโดยตลอดเพื่อปรับให้เข้ากับยุคนี้

แต่นางเห็นเว่ยอวิ๋นซูเป็นเพื่อน จึงอยากแบ่งปันความคิดของตัวเองให้กับนาง

“ผู้หญิงมิควรแต่งงานเพื่อการแต่งงาน เพราะนั่นคือเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับทั้งชีวิต เจ้าต้องหาใครสักคนที่ถูกใจตัวเอง และมั่นใจว่าเขาควรค่าแก่การมอบความไว้วางใจให้ถึงจะสามารถจับมือเขาไปตลอดชีวิตได้ ดังนั้น ก่อนจะเจอคนที่ใช่ จงอดทนต่อแรงกดดัน อย่าได้ยอมรับมัน”

เมื่อเว่ยอวิ๋นซูได้ยินคำพูดนี้ ความรู้สึกหลากหลายก็ประเดประดังอยู่ในใจ นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินคนอื่นเอ่ยเช่นนี้กับนาง

นางมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่สะใภ้ หลังจากถูกมารดาบ่นตำหนิ นางก็จะไปบ่นกับพี่สะใภ้ แต่พี่สะใภ้ของนางจะพูดเสมอว่าการแต่งงานเป็นขนบธรรมเนียมที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ทุกคนที่ถึงวัยออกเย้าก็ควรจะออกเรือน และให้นางเชื่อฟังมารดา

แต่หลังจากได้ยินคำพูดของเฉียวเยี่ยน นางก็คล้ายกับมีพลังขึ้นมาในทันที และพร้อมจะสู้กับท่านแม่ให้ถึงที่สุด!

ทั้งสองคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ลุงฉูก็เข้ามารายงานว่ารถม้าเตรียมพร้อมแล้ว เว่ยอวิ๋นซูถึงได้รู้ว่าเฉียวเยี่ยนเตรียมจะออกไปข้างนอก

นางรู้สึกเกรงใจเล็กน้อย “ขอโทษนะเฉียวเฉียว ข้าไม่รู้ว่าวันนี้เจ้าจะออกไปข้างนอก”

เฉียวเยี่ยนส่ายหน้าอย่างไม่แยแส “ไม่เป็นไร ข้าแค่จะไปหาท่านแม่กับพี่ชาย เจ้าอยากไปด้วยกันไหม?”

เว่ยอวิ๋นซูรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย นางไม่อยากกลับบ้านไปฟังมารดาบ่น อยู่ในเมืองหลวงก็ไม่มีเพื่อนอะไรมากมาย ตอนนี้ได้รู้จักเพื่อนอย่างเฉียวเยี่ยน จึงคิดแค่ว่าเวลานี้อยากจะเกาะติดอยู่กับนาง

แต่เมื่อพิจารณาว่านั่นเป็นจวนของพี่ชายนาง ก็เอ่ยอย่างไม่แน่ใจ “มันจะเหมาะสมหรือไม่?”

เฉียวเยี่ยนเผลอยิ้มออกมา “มีอะไรไม่เหมาะกัน ข้าขอเป็นตัวแทนท่านแม่กับท่านพี่ต้อนรับเจ้า”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เว่ยอวิ๋นซูก็ลืมความกังวลอื่นๆ ทั้งหมดไป และเดินส่ายก้นตามเฉียวเยี่ยนออกไปข้างนอก

เด็กทั้งสองกำลังเล่นลูกหนังกับเจ้าส้ม เจ้าดำอยู่ในลานบ้าน เจ้าส้มสมกับที่เป็นแมวส้มจริงๆ จากส้มก้อนเล็กๆ โตจนกลายเป็นเจ้าส้มอ้วนแล้ว พอวิ่งทีหนึ่งเนื้อหนังก็จะสั่นกระเพื่อมขึ้นมา

เฉียวเยี่ยนไปหาเด็กๆ ในลานบ้าน เห็นเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์กำลังถือลูกหนังแกล้งเจ้าส้มอยู่ และเอ่ยสอนมันอย่างดุดันแบบเด็กๆ “เจ้าส้ม เจ้าอ้วนเกินไปแล้ว รีบลุกขึ้นมาลดน้ำหนักเร็ว!”

แต่เจ้าส้มกลับนอนนิ่งอยู่บนพื้นไม่ไหวติ่ง แม้แต่สายตาก็ไม่แลให้เจ้านายน้อยสักนิด

เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์บ่นพึมพำอย่างโกรธเคือง “เจ้าอย่าชื่อว่าเจ้าส้มเลย เปลี่ยนเป็นเจ้าส้มโอดีกว่า เจ้าส้มโออ้วนกลมเอ๊ย!”

เฉียวเยี่ยนเดินเข้าไปแตะใบหน้าโมโหจนพองแก้มของเด็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปลอบ”ลูกรักไม่โกรธนะ เจ้าส้มเป็นเช่นนี้ก็ดีมากแล้ว อ้วนสักหน่อยก็ดูมีโชคลาภนะ”

บางทีเจ้าส้มอ้วนอาจเข้าใจคำพูดนาง ถึงได้ขานรับอย่างเกียจคร้านเสียงหนึ่ง ทำให้เว่ยอวิ๋นซู่ที่อยู่ข้างๆ หัวเราะจนกุมท้อง

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

เลือกคู่ครองเป็นเรื่องใหญ่ ควรเลือกคนที่เข้ากันได้น่ะถูกแล้ว เพราะถ้าแต่งงานตามหน้าที่แล้วเจอคนที่เข้ากันไม่ได้ก็เหมือนตกนรกทั้งเป็นเลย

ไหหม่า(海馬)

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *