ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 132 บัณฑิตผู้งดงาม
ตอนที่ 132 บัณฑิตผู้งดงาม
ตอนที่ 132 บัณฑิตผู้งดงาม
เฉียวเยี่ยนก็รู้สึกขบขันมาก จึงขยุมท้องอ้วนๆ ของเจ้าส้ม แล้วดุด้วยรอยยิ้ม”เจ้ายังรู้จักขานตอบอีกนะ ดูสิเจ้าทำให้เจ้านายน้อยของเจ้าโกรธจนกลายเป็นอะไรไปแล้ว!”
หลังจากเสียงหัวเราะคึกครื้นจบลง เฉียวเยี่ยนก็จูงมือเด็กๆ ออกไปข้างนอก เจ้าดำเดินส่ายก้นตามมา เจ้าปลาอ้วนก็เอี้ยวตัวโบกมือให้มัน
“เจ้าดำ เจ้ารีบกลับไปเร็ว วันนีเราจะไปบ้านท่านลุงกัน พาเจ้าไปด้วยไม่ได้นะ”
เจ้าดำเข้าใจในความเป็นมนุษย์มาก รู้ว่าเมื่อเจ้านายโบกมือให้เช่นนี้แสดงว่าไม่ให้มันตามไป จึงหูลู่หางตกหมุนตัวกลับเข้าไปในลานอย่างน่าสงสาร
เว่ยอวิ๋นซูรู้สึกแปลกประหลาด ก่อนเอ่ยอย่างตกใจ”เฉียวเฉียว สุนัขบ้านเจ้าเชื่อฟังเกินไปแล้ว!”
เฉียวเยี่ยนยิ้ม จะไม่เชื่อฟังได้หรือ? มันได้รับการฝึกฝนมาจากสามพ่อลูกเชียวนะ ในสมัยโบราณไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสุนัขทหาร แต่สามพ่อลูกได้ค้นพบเทคนิคการฝึกโดยไม่มีครูสอน และสอนเจ้าดำจนเชื่อฟังอย่างมาก แถมยังทำตามคำสั่งง่ายๆ สำเร็จด้วย
พวกเขาขึ้นรถม้าออกเดินทางไปยังจวนสกุลเฉียว เฉียวเยี่ยนได้ส่งคนไปแจ้งจวนสกุลเฉียวไว้แล้ว เมื่อซูเนี่ยนหว่านรู้ว่าเด็กๆ จะมา ก็เตรียมอาหารอร่อยๆ ไว้ล่วงหน้ามากมาย และยังลงมือทำน้ำแกงด้วยตัวเอง เมื่อพวกเขามาถึงก็ดื่มได้เลย
เมื่อมาถึงหน้าประตูจวนสกุลเฉียว ก็ไม่จำเป็นต้องให้คนแจ้ง เฉียวเยี่ยนพาคนเข้าไปเลย ที่นี่เปรียบเหมือนกับบ้านหลังที่สองของนาง เมื่อกลับมาบ้าน นางไม่เคยระแวดระวังเลย
บ่าวสองคนที่เฝ้าหน้าประตูกับคนงานต้อนรับหน้าประตูเห็นเฉียวเยี่ยนก็ยิ้มกว้างเป็นดอกไม้บาน มีความเคารพแต่ไม่ดูห่างเหิน ความกระตือรือร้นก็ดูไม่ล้ำเส้นจนเกินไป
เด็กทั้งสองคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดีราวกับเข้ามาในบ้านของตัวเอง เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์จูงมือเว่ยอวิ๋นซูไปเดินเล่นในลานบ้านประหนึ่งเจ้านายน้อย
ก่อนหน้านี้ลานบ้านของจวนสกุลเฉียวเคยถูกคหบดีอู๋ไถรื้อมาก่อนแล้ว ดังนั้นเฉียวจิ่นกับซูเนี่ยนหว่านจึงไม่จำเป็นต้องหาคนมาทำความสะอาด ตอนนี้ได้ปลูกผักในแปลงแล้ว และผักที่ปลูกล้วนเป็นผักพื้นบ้านที่เห็นได้บ่อยๆ
ตอนนี้เฉียวจิ่นกับซูเนี่ยนหว่านชอบแบกจอบลงทำงานในสวนแล้ว เมื่อเห็นเมล็ดพืชเติบโตเป็นต้นกล้าเขียวชอุ่มก็รู้สึกเกิดความภาคภูมิใจ ทั้งยังเป็นการฆ่าเวลา ไม่รู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปช้าอย่างตอนที่อยู่จวนเสนาบดีก่อนหน้านี้
สุขภาพของเฉียวจิ่นไม่ค่อยดีนัก มิอาจทำกิจกรรมอะไรหนักๆ ได้ แต่การแบกจอบเล็กไปปลูกผักก็ไม่เหนื่อยอะไรมากแถมยังได้ประโยชน์ออกกำลังกายด้วย และตอนนี้สุขภาพของเขาก็ดีขึ้นกว่าเดิมมาก
ในลานบ้านจวนสกุลเฉียวมีต้นแปะก๊วยเก่าแก่อยู่ต้นหนึ่ง ทั้งแข็งแรงและแผ่กิ่งก้านใหญ่กว้าง ยามถึงฤดูใบไม้ร่วงเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทั้งต้นดูสวยงามมาก
แต่เฉียวจิ่นกับซูเนี่ยนหว่านเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในช่วงฤดูหนาวปีที่แล้ว เห็นเพียงต้นแห้งโล้นไร้ใบ ภาพงดงามนั้นล้วนฟังมาจาคหบดีอู๋เล่าทั้งสิ้น
ตอนนี้แปะก๊วยผลิตาออกมาอีกครั้งแล้ว และงอกใบสีเขียวออกมาจนเหมือนพัดน้อยหลายด้าม ซึ่งเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ชอบใบของต้นแปะก๊วยมาก และมักจะเรียกมันว่าต้นใบพัด เมื่อก่อนที่มาจวนสกุลเฉียว นางจะนำใบไม้กลับบ้านไปด้วย แล้วเอาไปหนีบไว้ในตำราของบิดา พอแห้งแล้วก็ค่อยหยิบออกมา
และนี่เพิ่งเข้าจวนมา นางก็แทบอยากพาท่านน้าเว่ยอวิ๋นซูไปดูต้นไม้พัดอันล้ำค่าของนางไม่ไหว
เว่ยอวิ๋นซูจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรคือต้นไม้พัด จึงอยากรู้เล็กน้อย เลยเดินตามเด็กน้อยไปอย่างไม่ลังเล
ทว่า แม้ต้นแปะก๊วยจะสวยงาม แต่มันกลับเติบโตอยู่ในลานบ้านของเฉียวจิ่น เด็กน้อยเป็นเด็กอายุแค่เพียงสี่ขวบ จะรู้ได้อย่างไรว่าชายหญิงควรหลีกเลี่ยงข้อครหากัน จึงพาเว่ยอวิ๋นซูตรงเข้าไปในลานบ้านของลุงตัวเอง
ด้วยเหตุนี้ ฉากต่อไปจึงทำให้ลุงคนหนึ่งอับอายมากๆ
วันนี้แสงแดดดีมาก ส่องกระทบร่างอย่างอบอุ่น และไม่รู้สึกว่าร้อนเกินไป เฉียวจิ่นย้ายเก้าอี้โยกไปไว้ใต้ต้นไม้ และเอนกายบนเก้าอี้โยกอาบแดดอย่างสบายๆ พลางอ่านหนังสือไปด้วย
ร่มเงาของต้นแปะก๊วยบังแสงแสงแดดไปเสียส่วนใหญ่ จึงไม่จ้าจนแสบตาเกินไป
เฉียวจิ่นไม่ชอบความวุ่นวาย จึงมีเพียงจิ้งหมิงคอยปรนนิบัติเขาอยู่ในลานบ้านคนเดียว แต่ยามนี้จิ้งหมิงไม่ได้อยู่ในลานบ้าน ดังนั้นทั่วทั้งลานบ้านมีเพียงเขาผู้เดียว เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์พาคนอื่นมาก็ไม่มีใครมารายงาน และเขาเองก็หมกมุ่นกับการอ่านมากเกินไป จึงไม่ได้สังเกตว่ามีหนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กกำลังเข้ามา
เมื่อเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์เห็นลุงตัวเอง ก็ปล่อยมือเว่ยอวิ๋นซู ก้าวขาสั้นวิ่งไปหาอย่างมีความสุข และเรียกท่านลุงด้วยเสียงอ่อนหวาน
“ท่านลุง ข้ามาหาแล้ว!”
เว่ยอวิ๋นซูเติบโตอยู่ท่ามกลางทะเลทรายทางซีเป่ยมาตั้งแต่เด็ก คนที่ติดต่อคบค้าล้วนเป็นเหล่าสตรีกล้าหาญ และมักจะเล่นกับเด็กผู้ชาย ดังนั้นจึงขาดการพิจารณาในด้านขอบเขตระหว่างชายหญิง เมื่อเห็นเฉียวจิ่นจึงไม่รู้สึกอึดอัดอะไร
นางสำรวจรอบลานบ้าน และสิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือต้นแปะก๊วยเก่าแก่ต้นนั้น และตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่าต้นพัดที่คนตัวเล็กพูดถึงก็คือต้นแปะก๊วย
เฉียวจิ่นหันหลังให้กับประตูบ้าน เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของเด็กน้อย มุมปากของเขาก็โค้งขึ้น บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนออกมา เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้โยก วางหนังสือในมือลง แล้วหันกลับไปรับเจ้าก้อนแป้งที่โถมเข้ามา
เจ้าปลาอ้วนพุ่งเข้ามาราวกับลูกกระสุนก็ไม่ปาน และเมื่อกำลังจะพุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของท่านลุงก็นึกขึ้นได้ว่าท่านลุงสุขภาพไม่ค่อยดี ก็รีบหยุดตัวเองไว้อย่างแรง เมื่อมาถึงตัวท่านลุง แรงที่พุ่งเข้ามาก็น้อยลงแล้ว
เฉียวจิ่นเห็นการกระทำของเด็กน้อยกับตาตัวเองก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างมาก ได้รับการใส่ใจของเด็กน้อยในเวลานี้ จะไม่รู้สึกอบอุ่นหัวใจได้อย่างไร
หลังจากกอดเด็กน้อยและหอมไปสองฟอด เฉียวจิ่นถึงได้สังเกตเห็นหญิงสาวชุดแดงยืนอยู่ในลานบ้านด้วย นางมีรูปร่างค่อนข้างสูงเพรียว สวมชุดกระโปรงที่ไม่เหมือนผู้หญิงทั่วไปสวมกัน แต่เป็นเสื้อผ้ารัดรูป ตรงส่วนแขนเสื้อมีเกราะหุ้มไว้ ส่วนเท้ายังเป็นรองเท้าหุ้มส้นยาวปักลายสีแดงเข้ม
ผมของนางมัดรวบเป็นหางม้าสูง ผิวค่อนข้างคล้ำเล็กน้อย แต่ก็ยังงดงามมาก ร่างกายนางเต็มไปด้วยความมีสุขภาพแข็งแรง และมีพลัง
และอาจเป็นเพราะไม่เคยเจอสตรีเช่นนี้มาก่อน เฉียวจิ่นจึงจ้องมองเว่ยอวิ๋นซูอยู่นานจนเหม่อลอยไปชั่วขณะ
เว่ยอวิ๋นซูก็สำรวจเขาเช่นกัน เมื่อครู่นี้วุ่นอยู่กับการดูทิวทัศน์ในลานบ้าน จึงไม่ทันได้พบว่าชายที่อยู่ใต้ต้นแปะก๊วยนั้นเป็นทิวทัศน์ที่งดงามที่สุดในลานบ้านอย่างแท้จริง
เฉียวเยี่ยนเป็นหญิงงามที่สุดในเมืองหลวง เฉียวจิ่นย่อมไม่แตกต่างมาก รูปร่างหน้าตาของเขามีความคล้ายคลึงกับเฉียวเยี่ยนอยู่มาก เมื่อเทียบกับบุรุษทั่วไป เขาก็ดูอ่อนโยนและสวยงามกว่า จะบอกว่าหล่อ มิสู้บอกเขาว่าสวยดีกว่า
เขางดงามมากจริงๆ สวมชุดคลุมยาวหลวมสีฟ้าคราม หน้าตางดงามดุจภาพวาด จมูกสูงโด่ง ริมฝีปากแดง ฟันขาว เนื่องจากป่วยมาหลายปีจึงทำให้ผิวเขาซีดขาว และให้กลิ่นอายเยือกเย็นคงแก่เรียน ดูราวกับเซียนผู้จุติลงมาจากสวรรค์และไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องทางโลก
เว่ยอวิ๋นซูเองก็ตกตะลึงเช่นกัน บุรุษที่นางเคยเจอในทะเลทรายทางซีเป่ยล้วนเป็นชายป่าเถื่อนหยาบกร้าน จะเคยเจอชายหนุ่มบอบบางเช่นนี้ได้อย่างไร!
ทั้งสองประสานสายตากัน ไม่มีใครละสายตาหนี แต่สุดท้ายเฉียวจิ่นก็เป็นฝ่ายแพ้ไปก่อน พลางลนลานก้มมองดูว่าเสื้อผ้าตัวเองมีอะไรไม่เหมาะสมหรือไม่
เขาคำนับแสดงกิริยาของบัณฑิตให้เว่ยอวิ๋นซูอย่างระมัดระวังเล็กน้อย “ข้าน้อยขอคารวะ ไม่ทราบว่าแม่นางจะมา จึงได้ล่วงเกินไป ขอแม่นางโปรดให้อภัยด้วย”
ไม่รู้เหตุใด เว่ยอวิ๋นซูเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของเขาก็คิดว่ามันน่ารักมาก ก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้มสดใส “เป็นข้าที่มาโดยไม่ได้รับเชิญเอง ท่านจะมีความผิดได้อย่างไร รีบลุกขึ้นเถิด”
นางเป็นคนเข้ากับคนอื่นได้ดี ขอแค่เห็นใครแล้วถูกใจ ก็จะพูดอะไรทำอะไรอย่างไม่คิด และเดินเข้าไปทำความรู้จักอย่างไม่ยี่หระ
เมื่อได้เห็นเฉียวจิ่นตอนนี้ นางก็รู้สึกถูกใจมาก ก่อนจะสำรวจเขาขึ้นลงอีกครั้ง และอุทานด้วยความพึงพอใจ สมกับเป็นพี่ชายของเฉียวเฉียวจริงๆ ช่างดูดียิ่งนัก
ด้วยเหตุนี้ นางจึงอยากผูกมิตรอีกครั้ง ก่อนจะแนะนำตัวเองกับเฉียวจิ่น “ข้าชื่อเว่ยอวิ๋นซู เป็นสหายของเฉียวเฉียว พ่อข้าคืออันซีโหว ท่านคงเป็นพี่ชายของเฉียวเฉียวสินะ ท่านชื่ออะไร แล้วปีนี้อายุเท่าไหร่?”
เฉียวจิ่นรู้สึกงุนงงเล็กน้อยกับคำถามรัวมาเป็นชุดของนาง เขาไม่เคยเจอหญิงสาวที่กระตือรือร้นเช่นนี้มาก่อนเลย จึงเคารพเว่ยอวิ๋นซูภายใต้ความประหม่าอีกครั้ง และตอบคำถามกลับอย่างอึกๆ อักๆ
“ข้าน้อยเฉียวจิ่นคารวะคุณหนูเว่ย ตัวข้านามว่าเฉียวจิ่น ปีนี้อายุยะ…ยี่สิบหก”
อายุของเฉียวจิ่นอ่อนกว่ามู่ฉินเจินหนึ่งปี แต่มู่ฉินเจินต้องการเรียกเขาว่าพี่ภรรยา และทำให้ท่านอ๋องไม่พอใจไปหลายวัน
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
คู่นี้ก็เหมาะอยู่นะ ฝ่ายหญิงเข้มแข็ง ฝ่ายชายอ่อนโยน
ไหหม่า(海馬)
Comments