ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 135 คนเมืองเยือนชนบท
ตอนที่ 135 คนเมืองเยือนชนบท
ตอนที่ 135 คนเมืองเยือนชนบท
ตอนนี้ถนนในหมู่บ้านม่ายเซียงถูกแผ้วถางจนกว้างขวางมาก รถม้าผ่านไปได้สบายไร้สิ่งกีดขวาง เมื่อไปถึงไร่มันเทศกับไร่พริก ก็จะเห็นคนจำนวนมากกำลังทำงานอยู่
มันเทศเพิ่งลงปลูกได้ไม่กี่วัน ก็มีร่องรอยการแตกหน่อแทรกออกมาตรงบนเถาเล็กน้อย และต้นกล้าพริกก็เริ่มมีชีวิตขึ้นมาแล้ว
เฉียวเยี่ยนลงไปตรวจสอบการเจริญเติบโตของต้นกล้าอย่างละเอียด พบว่าไม่มีแมลงศัตรูพืชหรือโรค และไม่มีอาการขาดธาตุอาหาร ตอนนี้เจริญเติบโตได้ดีมาก
พวกชาวบ้านที่ทำงานในไร่ได้ยินว่าซู่หวางเฟยจะมาก็หยุดงานและรีบเข้าไปล้อมนาง เฉียวเยี่ยนสอบถามปัญหาที่พบในการเพาะปลูกกับพวกเขา และให้คำตอบแก่พวกเขา
ทว่าพวกชาวบ้านก็ไม่มีปัญหาอะไรมากนัก หลังจากผ่านการปลูกมาหนึ่งฤดู พวกเขาก็ได้เรียนรู้กลเม็ดเคล็ดลับการปลูกมันเทศกับพริกแล้ว อีกทั้งพืชสองชนิดนี้ก็ปลูกได้ไม่ยาก และไม่เหลือบ่ากว่าแรงสำหรับพวกเขาที่ทำการเกษตรมาครึ่งค่อนชีวิต
หลังจากคุยกับพวกเขาสักพัก และเห็นว่าไม่มีปัญหาอะไร เฉียวเยี่ยนจึงบอกลาพวกเขา แล้วขึ้นรถม้าเดินทางไปยังหมู่บ้านจิ่วหลีพัวต่อ
น้อยครั้งนักที่ฮองเฮาจะเสด็จออกนอกวัง จึงตื่นตาตื่นใจกับทัศนียภาพทั้งหมดภายนอกวังหลวง เลยเปิดม่านรถม้าออกและโผล่ศีรษะออกไปดูตลอดทาง เมื่อเห็นบางอย่างที่น่าสนใจ ก็ตะโกนดีใจเหมือนเด็กน้อยไม่ปาน
“ว้าว เสี่ยวเยี่ยน เสี่ยวเยี่ยน เจ้ารีบดูเร็ว นั่นคืออะไร”
ฮองเฮาชี้ไปยังเจ้าตัวขนาดใหญ่สีขาวอมชมพูที่นอนแช่อยู่ในอ่างเก็บน้ำพลางร้องตะโกนตกใจออกมา และคิดว่าตัวเองเห็นสัตว์ประหลาด
เฉียวเยี่ยนมองไปตามที่นางชี้ และพบว่ามันเป็นเพียงแค่ควายเผือกหนึ่งตัว ควายเผือกค่อนข้างพบเจอได้ยาก ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่เคยเห็นล้วนเป็นสีดำ
ควายเผือกนอนแช่อยู่ในน้ำ ขนขาวที่เดิมทีเห็นไม่ชัดก็ลู่แนบไปกับลำตัว เห็นเพียงผิวขาวอมชมพูแต่ไกลๆ มันเอาหัวไปใกล้ผิวน้ำอีกครั้ง เผยแค่สันหลังออกมาจนเหมือนกับสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ซ่อนตัวอยู่ในน้ำ
ลูกทั้งสองก็อยากรู้เช่นกันว่าสัตว์ประหลาดมีหน้าตาเป็นอย่างไร จึงขยับศีรษะน้อยเข้าไปใกล้เสด็จย่า. และมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยกัน
เด็กทั้งสองเองก็ไม่เคยเห็นควายเผือกมาก่อน จึงอ้าปากด้วยความประหลาดใจ
เฉียวเยี่ยนรู้สึกจนใจกับคนเมืองสามย่าหลาน ก่อนเอ่ยอธิบาย “นั่นไม่ใช่สัตว์ประหลาด มันคือควายเผือกก็เท่านั้น”
ลูกทั้งสองพยักหน้าเข้าใจในทันที ทว่าฮองเฮายังคงมีสีหน้าประหลาดใจ นางไม่ได้ออกนอกวังมาสองปี แม้แต่ควายก็เปลี่ยนรูปร่างแล้วรึ?
นางเติบโตมาพร้อมกับคาบช้อนเงินช้อนทอง ก่อนราชาภิเษก นางเป็นสตรีบอบบาง หลังจากอภิเษกไปแล้วนางก็เป็นชินหวางเฟย ต่อมาก็กลายเป็นไทจื่อเฟย* แล้วจากนั้นก็เป็นมารดาของแผ่นดิน จะเคยเห็นควายเผือกได้อย่างไร มีเพียงครั้งเดียวที่เห็นคือก่อนออกเรือนเคยเห็นวัวบนถนนครั้งหนึ่งบนถนน นางก็คิดว่าวัวทั้งหมดมีรูปร่างเช่นนั้น
(*พระชายาเอกของพระยุพราชหรือรัชทายาท(ไท่จื่อ))
คนเมืองอย่างฮองเฮาถอดใจมาตลอดทาง จวบจนถึงป่าท้อในหมู่บ้านจิ่วหลีพัวก็ตกใจจนพูดไม่ออก!
ป่าท้อในหมู่บ้านจิ่วหลีพัวไม่มีภาพแน่นอนอยู่ในหัวนางเลย รู้แค่ว่ามันใหญ่ และมีเยอะมาก แต่กลับนึกภาพจริงๆ ไม่ออก
จนกระทั่งเห็นสีชมพูทั่วทั้งเขาและป่าในตอนนี้ นางถึงได้รู้สึกว่าป่าท้อในหมู่บ้านจิ่วหลีพัวนั้นน่าตกตะลึงเพียงใด
ไม่มีสตรีคนไหนไม่ชอบดอกไม้ แม้แต่สตรีที่มีอายุเลยครึ่งชีวิตอย่างนางก็ไม่ยกเว้น ครั้งแรกที่เห็นป่าท้อขนาดใหญ่เช่นนี้ ก็รู้สึกตื่นเต้นจนพูดไม่ออก
เฉียวเยี่ยนกับลูกทั้งสองคุ้นเคยกับป่าท้อเป็นอย่างดีแล้ว เมื่อมาเหยียบสถานที่คุ้นเคยอีกครั้ง ก็ไม่ตกใจเท่ากับฮองเฮา
บนเนินเขามีการทำถนนไว้แล้ว รถม้าสามารถผ่านเล้าไก่กับบ้านพักคนงานบนไหล่เขาได้ ถนนเส้นนี้สร้างขึ้นเพื่อขนส่งสินค้า พวกทหารปลดประจำการเก่งชำนาญได้ใช้เวลาสร้างอย่างยาวนานกว่าจะทำสำเร็จ
ก่อนจะถึงไหล่เขา ฮองเฮาก็ตื่นเต้นอย่างไม่อาจหักห้ามพระทัยได้ นางอยากจะลงรถไปเล่น เฉียวเยี่ยนจึงเกลี้ยกล่อมอย่างจนใจ “เสด็จแม่ รออีกหน่อยเถิด ประเดี๋ยวก็ถึงแล้ว ทิวทัศน์บนภูเขาดียิ่งกว่านี้อีก”
ครั้นฮองเฮาได้ยินว่าทิวทัศน์บนยอดเขาดีกว่านี้ ก็ออกปากเร่งองครักษ์ที่ขับรถม้าให้เร่งความเร็วอีกหน่อย นางรอแทบไม่ไหวแล้ว
เบื้องหลังรถม้าคือผู้ติดตามของฮองเฮา พวกเขาก็ตกใจกับป่าท้อไม่น้อย มันสวยงามเหลือเกิน!
นี่น่าจะเรียกว่าแดนสุขาวดีสินะ ในอากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมหวานของดอกท้อ นางข้าหลวงบางคนอดไม่ได้ที่จะเก็บดอกไม้มาทัดเรือนผม รับกับประโยคที่ว่า ‘ดวงหน้าแดงเปล่งปลั่งดังดอกท้อ’
รถม้าเคลื่อนวนไปวนมา ในที่สุดก็มาถึงเล้าไก่ คนงานกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ข้างคอกไก่รอการมาถึงของเฉียวเยี่ยน หลังจากเฉียวเยี่ยนลงจากรถม้า ก็ทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้ม
หลังจากลูกทั้งสองลงจากรถม้า พวกเขาก็แทบวิ่งตรงไปยังเล้าไก่อย่างทนไม่ไหว เพื่อไปดูลูกเจี๊ยบที่เพิ่งฟักออกมา และมิวายลืมลากเสด็จย่าผู้แสนดีของพวกเขาไปด้วย
เมื่อกลุ่มคนงานได้ยินเด็กสองคนเรียกสตรีสูงส่งสง่างามว่าเสด็จย่า สมองของพวกเขาก็ตายสนิทไปชั่วขณะ หลังได้สติกลับมาก็ตกใจ เสด็จย่าของเด็กทั้งสองก็คือมารดาของอ๋องซู่มิใช่หรือ? เช่นนั่นก็เป็นฮองเฮาไม่ใช่รึ?
นั่นคือฮองเฮาเชียวนะ! ไม่นึกเลยว่ามารดาแห่งแผ่นดินจะเสด็จพระราชดำเนินที่เนินเขาของพวกเขาจริงๆ ? ต่อจากนี้ก็โม้ได้ตลอดชีวิตเลยสิ!
ความตกตะลึงของทุกคนอยู่ในสายตาเฉียวเยี่ยน ก็เดาได้ว่าพวกเขารู้ตัวตนของฮองเฮาแล้ว จึงเอ่ยกับพวกเขาเสียงเบา “เรื่องนี้ต้องเก็บเป็นความลับ ห้ามแพร่งพรายออกไป เพื่อหลีกเลี่ยงคนไม่ดีมาลอบทำร้าย ”
“ขอรับ!”
พวกคนงานยืนตัวตรง ขานรับเสียงดังกังวาน แผ่รังสีน่าเกรงขาม พวกเขาล้วนเป็นทหารปลดประจำการ แม้จะออกจากค่ายทหาร ก็ไม่ละทิ้งการฝึก ตอนเช้าหลังจากตื่นนอนทุกวันพวกเขาจะมารวมตัวฝึกกันบนเขา บวกกับขึ้นลงเขาทุกวัน พวกเขาก็รู้สึกว่าร่างกายดีกว่าเมื่อก่อนอีก!
ฮองเฮาถูกเด็กทั้งสองลากไปที่ประตูเล้าไก่ พอเห็นลูกเจี๊ยบขนปุกปุยข้างใน ก็รู้สึกว่าน่ารักจนใจละลาย เจ้าตัวเล็กพวกนี้ช่างน่ารักยิ่งนัก
แม่ไก่ค่อนข้างจะหวงลูกมันมาก ลูกทั้งสองคนทำได้เพียงมองตาปริบๆ ไม่กล้ายื่นมือเข้าไปลูบ ด้วยกลัวว่าจะถูกจิก
เฉียวเยี่ยนรวบรวมกำลังพลโดยไม่หยุดพัก พร้อมนำเครื่องมือไปสอนคนงานผสมเกสรเทียมให้ดอกท้อ
เด็กทั้งสองมีฮองเฮาดูแลอยู่ นางจึงค่อนข้างสบายใจ หลังจากคุยกับพวกเขาแล้วก็จากไป
วิธีการผสมเกสรเทียมให้ดอกท้อนั้นค่อนข้างง่าย โดยใช้การผสมเกสรเฉพาะจุด กล่าวคือเก็บละอองเรณูจากต้นไม้อื่นก่อน แล้วใช้แปรงขนจุ่มละอองเรณูที่เก็บสะสมมาได้แตะกับดอกไม้อื่น
แม้วิธีการนี้จะง่าย แต่ในนั้นก็มีจุดระวังหลายอย่าง ประการแรก เวลาในการเก็บละอองเรณูนั้นสำคัญมาก โดยทั่วไปจะเก็บในตอนเช้า และต้องเป็นดอกที่เพิ่งบาน แบบนี้ถึงจะแน่ใจว่าละอองเรณูไม่ถูกฝนชะล้าง และสามารถมั่นใจได้ว่าละอองเรณูจะเต็มไปด้วยความมีชีวิต
ใส่ละอองเรณูที่เก็บได้ลงในขวดขนาดเล็กที่ค่อนข้างปิดสนิท จากนั้นก็ใช้แปรงขนจุ่มแล้วปัดไว้บนดอกอื่นก้เสร็จแล้ว
เวลาในการผสมเกสรก็ต้องจับจังหวะให้ดี ต้องพยายามเลือกสภาพอากาศที่ไม่มีลมและแสงแดดจ้า ไม่เช่นนั้นละอองเรณูยังไม่ถูกผสมก็ถูกลมหรือน้ำฝนพัดพาไปก่อนแล้ว
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว ซึ่งไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุดในการเก็บละออกงเรณู แต่เฉียวเยี่ยนอยากสาธิตให้พวกคนงานดูก่อน และสอนวิธีการทำให้พวกเขาทำเป็น เมื่อถึงพรุ่งนี้ก็ให้พวกเขาลงมือทำกันเอง
ตอนอยู่ในเมืองหลวงนางได้เตรียมเครื่องมือไว้ล่วงหน้าแล้ว เครื่องมือนั้นหาง่ายมาก ก็แค่ขวดแก้วเล็กๆ กองหนึ่งที่มีจุกยางประเภทนั้น แล้วก็แปรงขน
ใช้แปรงกวาดละอองเกสรดอกไม้ลงในภาชนะแก้วขนาดเล็กเก็บให้มิดชิด เพื่อลดการสูญเสียละอองเรณู
พวกคนงานดูหวางเฟยเหนียงเหนียงสาธิตอย่างตั้งใจ ก็รู้สึกว่ามันง่ายมาก เฉียวเยี่ยนสาธิตไปสองสามดอก ก็ให้พวกเขาลงมือทำเอง พลางกำชับพวกเขาว่าต้องทำเบาๆ อย่าทำให้ดอกฉีกขาด
ทว่าหลังจากพวกคนมือไม้หยาบกร้านลงมือทำ คำเตือนนั้นก็หมดความสำคัญ เพียงลงแปรงไปครั้งหนึ่งก็ทำดอกไม้ฉีกขาด และถึงขั้นทำดอกไม้ขาดออกมาก็มี
โชคดีที่มีดอกท้อมากมายพอจะให้พวกเขาทดลอง ไม่เช่นนั้น ก่อนจะได้ผลลัพธ์ตามต้องการ ดอกไม้คงถูกพวกเขาผลาญจนไม่เหลือแล้ว
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
เอ็นดูเสด็จย่าจริงๆ ค่ะ ความชาววังที่ไม่เคยออกมานอกวังไกลๆ นี่นะ
ไหหม่า(海馬)
Comments