ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 138 คุมตัวส่งไปให้ทางการ
ตอนที่ 138 คุมตัวส่งไปให้ทางการ
ตอนที่ 138 คุมตัวส่งไปให้ทางการ
เฉียวเยี่ยนคร้านจะคุยกับชายน่าขยะแขยงเช่นนี้ให้มากความ จึงเอ่ยกับองครักษ์ทั้งสองที่อยู่ด้านข้าง “พาเขาส่งไปให้ทางการ เปิ่นเฟยจะฟ้องเขา!”
เมื่อนางพูดเช่นนี้ออกมา ทุกคนต่างพากันตกใจ กระทั่งเถาซานเหลียงเองก็ตกใจเช่นกัน เขาแค่มาเอะอะโวยวายเท่านั้น คงไม่ถึงขั้นพบทางการหรอกกระมัง?
“ขะ…ข้าจะบอกอะไรให้ ท่านอย่ามาพูดจาส่งเดชไม่คำนึงถึงความจริง ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด ตะ…ต่อให้เง็กเซียนฮ่องเต้มาก็ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก!”
เขามีท่าทางลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย คำพูดคำจาก็ตะกุกตะกัก เห็นได้ชัดว่ากำลังขาดความมั่นใจ ทว่าปากกลับเอาแต่บอกว่า ‘ข้าไม่กลัวอะไรเลย’
เฉียวเยี่ยนแสร้งยิ้มและเอ่ยอย่างเย็นชา “อย่าเพิ่งร้อนตัวสิ รอเจ้าไปถึงศาลแล้ว เจ้าก็จะรู้เองว่ามีความผิดอะไร!”
“พาตัวไป!”
ทันทีที่นางโบกมือ องครักษ์สองคนก็ก้าวไปข้างหน้าแล้วหิ้วเถาซานเหลียงเหมือนหิ้วปีกไก่ลากออกไปทันที หลังจากลากไปได้ระยะหนึ่ง ก็ยังได้ยินเสียงเขากรีดร้องโวยวาย
“ข้าไม่ผิด! ปล่อยข้า! พวกเจ้ากำลังใส่ร้ายข้า!”
พวกชาวบ้านมองภาพนี้อย่างเหม่อลอย หลังจากได้สติกลับมาก็แอบสะใจเล็กน้อย หากไอ้ดาวหายนะคนนี้เข้าคุกไปได้ หมู่บ้านของพวกเขาคงสงบสุขกว่านี้มาก!
แต่พวกเขาก็สงสัยเช่นกันว่าเถาซานเหลียงทำผิดอะไร?
ไม่นาน เฉียวเยี่ยนก็คลายความสงสัยของพวกเขา นางเอ่ยกับแม่นมข้างกายฮองเฮา “แม่นม รบกวนท่านไปกับพวกองครักษ์ด้วย ไปรายงานเหตุผลต่อนายอำเภอ ส่วนเรื่องหลักฐาน เปิ่นเฟยจะนำไปให้พรุ่งนี้”
แม่นมคนนี้เป็นคนเก่าแก่ข้างกายฮองเฮา นางอยู่กับฮองเฮามาตั้งแต่ยังไม่ออกเรือน และฮองเฮาได้นับถือนางดุจพี่สาวมานานแล้ว อีกอย่างนางก็เป็นคนดี เฉียวเยี่ยนจึงเคารพนางอย่างเต็มเปี่ยม
หลังจากเฉียวเยี่ยนบอกเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ ทุกคนก็เข้าใจในทันที ที่แท้สาเหตุที่หวางเฟยจะฟ้องเถาซานเหลียงหาใช่แค่ทำให้เขากลัว แต่มีเหตุผลและหลักฐานจริงๆ!
ก่อนที่นางจะไปลงนามสัญญาที่ดินกับหมู่บ้านจิ่วหลีพัว ครอบครัวของเถาซานเหลียงได้ลงนามที่ดินห้าหมู่ ในเวลานั้นมีตู้เยว่หงอยู่ด้วย เถาซานเหลียงลงนามที่ดินห้าหมู่อย่างปิติโดยไม่คิดอะไรทันที โดยฝันว่าทุกเดือนจะมีเงินมาถึงมือ เช่นนี้เขาก็จะดื่มเหล้าได้เต็มที่แล้ว!
น่าเสียดาย ก่อนที่ความเพ้อฝันของเขาจะเป็นจริง ตู้เยว่หงก็หย่ากับเขาเสียก่อน ส่งผลให้พื้นที่ห้าหมู่ย่อมถูกทิ้งร้าง คนที่หัวร้อนและยังขี้เกียจสันหลังยาวอย่างเถาซานเหลียงจะลงพื้นที่ไปทำงานได้อย่างไร
นับจากบ้านถูกไฟเผา เขาก็สร้างกระท่อมหลังหนึ่งในลานบ้านที่พังยับเยิน และใช้ชีวิตด้วยการลักเล็กขโมยน้อยไปวันๆ
ตอนนั้นเฉียวเยี่ยนได้เขียนระบุในใบสัญญาไว้อย่างชัดเจน หากเช่าที่ดินแล้วผู้เช่าไม่ทำการเพาะปลูก ก็จะไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ และจะถือว่าทำผิดสัญญา ต้องชำระค่าเสียหาย
นางเดาว่าตอนนี้เถาซานเหลียงคงไม่มีเงินจ่ายค่าเสียหายให้นางอย่างแน่นอน จึงส่งเขาไปให้ทางการ และใช้กฎหมายลงโทษเขา
การจัดการกับคนเช่นนี้ ใช้เหตุผลใช้ความรู้สึกตลอดไปไม่ได้ผลหรอก ดังนั้นมิสู้ใช้ไม้แข็ง ให้เขาได้รับบทเรียนดีกว่า
ทว่านางเก็บใบสัญญาลงนามที่ดินไว้ที่บ้าน จึงอยากได้ฉบับของเถาซานเหลียงมา จะได้นำไปแสดงต่อหน้านายอำเภอเพื่อเป็นหลักฐานได้
นางส่งแม่นมกับองครักษ์สองคนไปที่ว่าการอำเภอด้วยกันก่อน จากนั้นก็ให้องครักษ์อีกคนหนึ่งควบม้าเร็วกลับไปรับเอกสารที่ตำหนักอ๋องซู่
หลังจากจัดการเถาซานเหลียงแล้ว เฉียวเยี่ยนก็รู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อย จึงพาฮองเฮากับเด็กๆ เดินไปที่ไร่มันเทศกับไร่พริกต่อ
สถานการณ์ในหมู่บ้านจิ่วหลีพัวคล้ายกับในหมู่บ้านม่ายเซียง มันเทศกับพริกเติบโตได้ดี และปีนี้ชาวบ้านจำนวนมากใช้พื้นที่ส่วนใหญ่ในบ้านของพวกเขาเพื่อปลูกมันเทศ
ปริมาณมันเทศที่เก็บเกี่ยวได้เมื่อปีที่แล้วช่างมากมายเสียจนน่าตกใจ หากพวกเขาปลูกมากกว่านี้หน่อยก็ไม่ต้องกลุ้มใจกับเสบียงอาหารตลอดทั้งปีแล้ว อีกทั้งไอ้ของที่เหมือนก้อนดินขรุขระนี้ก็อร่อยมาก ทั้งหวานทั้งหนึบ แถมเถามันเทศยังนำมาเลี้ยงหมูได้ด้วย
……
เฉียวเยี่ยนพักอยู่ในสวนป่าท้อติดต่อกันหลายวัน ความจริงพวกคนงานมีความชำนาญในทักษะการผสมเกสรเทียมแล้ว และก็ทำได้ดีมาก ไม่จำเป็นต้องให้นางคอบจับตาดูเอง แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อฮองเฮากับเด็กทั้งสองยังสนุกกันไม่พอ อ้อยอิ่งอยู่ในสวนป่าท้อไม่ยอมไปไหน
ฮองเฮาอยากจะพักอยู่ในสวนป่าท้อนี้ตลอดไปจนไม่ยอมกลับวังแล้ว ตาเฒ่าคนนั้นในวังก็ไม่ต้องการ ทุกวันต้องการเพียงเชยชมดอกไม้ ป้อนอาหารไก่อยู่ที่นี่
ตอนนี้หญิงเฒ่าคนนี้เหมือนกับเด็กทั้งสองทุกอย่าง นั่นก็คือหลงใหลในความสุขกับการนำกองทัพไก่ พอถึงเวลาอาหาร สามย่าหลานก็นัดกันมาตีฆ้องด้วยกัน มองฝูงไก่ที่พากันวิ่งกรูเข้ามา และส่งเสียงร้องเจี๊ยวจ๊าว
เฉียวเยี่ยนหมดปัญญากับทั้งสามคนจริงๆ หากพวกเขาไม่กลับ นางก็ไม่สามารถกลับไปคนเดียวได้ จึงทำได้แต่เพียงไปผสมเกสรเทียมกับพวกคนงาน
ทว่ายังไม่ทันได้คลี่คลายกับสามปีศาจนี้เลย ก็มีอีกหนึ่งตัวเข้ามาร่วมสนุกด้วยแล้ว
เว่ยอวิ๋นซูถูกแม่ของนางบ่นจู้จี้จุกจิกอยู่บ้านทุกวันก็เกิดความรำคาญ จึงวิ่งไปหาเฉียวเยี่ยน แต่เมื่อรู้ว่าเฉียวเยี่ยนออกเดินทางไกล นางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปที่จวนสกุลเฉียว ไปหาซูเนี่ยนหว่าน ผู้เป็น ‘แม่’ ที่หายสาบสูญไปหลายปีเพื่อให้นางปลอบโยน
หลังจากตีเนียนไปกินข้าวที่บ้านซูเนี่ยนหว่านจนกินอิ่มดื่มพอแล้ว นางก็ไถ่ถามว่าเฉียวเยี่ยนไปที่ใด ด้วยเหตุนี้นางจึงควบม้ารีบไปหาเฉียวเยี่ยนที่หมู่บ้านจิ่วหลีพัว
เมื่อมาถึงตีนเขาป่าท้อในหมู่บ้านจิ่วหลีพัว แม้นางจะเป็นสตรีที่ชำนาญสรรพอาวุธมาตลอดก็ยังหลงใหลไปกับทิวทัศน์ของที่นี่ ถนนที่สร้างใหม่บนภูเขานั้นเดินทางง่ายมาก แม้รอบๆ จะไม่มีคนชี้นำทาง นางก็ไม่ร้อนรน แค่เลียบเคียงไปตามถนนก็เป็นอันใช้ได้แล้ว
ทิวทัศน์ของสวนป่าท้องดงามยิ่งนัก นางจึงลงจากหลังม้า เดินจูงม้าขึ้นเขา พลางเก็บดอกท้อกับดอกไม้ป่า
ถนนสายนี้มุ่งตรงไปยังเล้าไก่กับหอพักคนงานบนไหล่เขา ในตอนนี้คนงานต่างวุ่นอยู่กับงาน เฉียวเยี่ยนเองก็ถือเครื่องมือไปผสมเกสรเทียมให้ดอกท้อเช่นกัน มีเพียงแค่สามย่าหลานเท่านั้นที่พักผ่อนอยู่ในที่พัก
เก้าอี้โยกสามตัววางเรียงกันอยู่ใต้ต้นท้อ ฮองเฮากำลังเอนพระวรกายอยู่บนเก้าอี้โยก โดยมีแผ่นพอกหน้าปิดพระพักตร์เอาไว้ ด้านข้างมีนางข้าหลวงยืนอยู่และคอยป้อนผลไม้ให้นางเป็นครั้งคราว หากฮ่องเต้เฒ่าในวังรู้เรื่องวันที่แสนสบายนี้ ต้องอิจฉานางจนตายเป็นแน่
เด็กทั้งสองก็นอนอยู่ข้างๆ เสด็จย่า บนใบหน้าอวบอ้วนของเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ก็พอกหน้าด้วยแผ่นพอกหน้าเช่นเดียวกัน เพียงแต่ใบหน้าของนางเล็กเกินไป แผ่นพอกหน้าจึงเหมือนผ้าคลุมศีรษะผืนหนึ่งที่คลุมจากหน้าจนไปถึงลำคอ
ขาอ้วนข้างหนึ่งของเด็กน้อยไขว้อยู่บนขาอีกข้างหนึ่ง เท้าน้อยที่สวมถุงเท้าลวดลายการ์ตูนน่ารักส่ายไปมา และยังอ้าปากให้พี่นางข้าหลวงป้อนผลไม้ให้
เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ไม่ได้พอกหน้าเหมือนเสด็จย่ากับน้องสาว เขานั่งขัดสมาธิตัวตรงและอ่านหนังสือเล่มหนึ่งอยู่
เมื่อเว่ยอวิ๋นซูมาถึงที่หมายและเห็นสามย่าหลานเช่นนี้ มุมปากก็กระตุกอยู่ครู่หนึ่ง พลางเอ่ยในใจ เจ้าของที่กับมหาเศรษฐียังไม่สบายเท่ากับสามคนนี้เลย
ครั้นองครักษ์กับนางข้าหลวงที่อยู่ข้างฮองเฮาสังเกตเห็นนาง ก็ถามอย่างระแวดระวัง “ท่านเป็นใคร?”
เว่ยอวิ๋นซูเก็บความคิดไว้ และเดินไปข้างหน้าเคารพฮองเฮา “เว่ยอวิ๋นซู บุตรสาวอันซีโหวคารวะฮองเฮาเพคะ”
ฮองเฮาพอกหน้าอยู่ จึงมิอาจขยับส่วนหน้าแรงเกินไปได้ นางจึงโบกมือ แล้วเอ่ยอย่างหน้าบูด “ลุกขึ้นเถิด”
พระนางรู้จักสาวน้อยคนนี้ ตอนพิธีล่าสัตว์เห็นนางเข้าไปใกล้ชิดกับเสี่ยวเยี่ยน จึงแน่ใจว่านางอาจจะมาหาเสี่ยวเยี่ยน
เจ้าปลาอ้วนที่พอกหน้าเหมือนกันไม่ทำให้อะไรให้มากความ นางเด้งตัวลุกจากเก้าอี้โยก และโถมเข้าหาเว่ยอวิ๋นซูทั้งที่ยังพอกหน้าเหมือนผีน้อยแสนตลก
“ท่านน้า ท่านมาหาท่านแม่หรือ?”
เมื่อเว่ยอวิ๋นซูเห็นท่าทางตลกของคนตัวเล็ก ก็ไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี จึงก้มตัวสอดแขนเข้าใต้รักแร้นาง แล้วยกขึ้นมา
“ใช่แล้ว ท่านน้ามาหาแม่เจ้า เด็กน้อย คิดถึงท่านน้าหรือไม่?”
เมื่อเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ถูกยกขึ้นมา ไม่เพียงแต่ไม่หวาดกลัว แต่ยังหัวเราะอย่างมีความสุขด้วย และตอบกลับด้วยเสียงลากยาวน่ารัก “คิดถึงเจ้าค่ะ”
หลังจากให้ความสนใจกับคนตัวเล็กแล้ว นางก็เคลื่อนสายตาไปมองเสี่ยวฉวนเอ๋อร์ ดวงหน้าที่เหมือนมัจจุราชมู่นั่นเห็นแล้วช่างน่าขย้ำจริงๆ !
เมื่อเสี่ยวฉวนเอ๋อร์รู้สึกถึงสายตานาง เขาก็ระแวดระวังขึ้นทันใด รีบปิดหนังสือไถลตัวลงจากเก้าอี้โยก และวิ่งไปอยู่ข้างหลังลุงองครักษ์
เว่ยอวิ๋นซูยิ้มเก้อเขินค้างอยู่บนใบหน้า ก่อนเอ่ยตำหนิ”เด็กคนนี้ช่างเอาอกเอาใจยากเหมือนอย่างพ่อจริงๆ !”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
หลักฐานครบแบบนี้ ไปแก้ต่างในศาลเอาแล้วกันนะขยะเปียกแซ่เถา
ชีวิตฮองเฮาช่างสุขสบายยิ่งนัก ฮ่องเต้อิจฉาจนหน้าดำคร่ำเครียดแล้วมั้ง
ไหหม่า(海馬)
Comments